การเตรียมเยื่อบุผิวช่องปากก่อนการฉีดยาชาและการรับรู้ความ เจ็บปวด: การศึกษานำร่อง
Abstract
บทคัดย่อวัตถุประสงค์: การศึกษานี้มุ่งที่จะเปรียบเทียบผลของการใช้ยาชาชนิดทา การทำให้เยื่อบุผิวเย็นด้วยน้ำแข็งและการไม่เตรียมเยื่อบุผิว โดยการเปรียบเทียบคะแนนความเจ็บปวดของผู้ป่วยขณะฉีดยาชาทางทันตกรรมวัสดุและวิธีการ: ผู้ป่วยผู้ใหญ่จำนวน 56 คน (อายุ 18-82 ปี, อายุเฉลี่ย 47 ปี) ที่มารับการถอนฟันภายใต้การฉีดยาชาเฉพาะที่ด้วยเทคนิกอินฟิลเตรชันในคลินิกศัลยศาสตร์ช่องปาก คณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับการคัดเลือกเข้าการศึกษานี้ และแบ่งเป็นสี่กลุ่มแบบสุ่ม กลุ่มแรกไม่มีการเตรียมเยื่อบุผิวก่อนการฉีดยาชาเฉพาะที่ กลุ่มที่สองได้รับการทายาชา และกลุ่มที่สามและสี่ได้รับการทำให้เยื่อบุผิวเย็นก่อนด้วยน้ำแข็งเป็นเวลา 5 และ 10 วินาทีตามลำดับ จากนั้นประเมินและบันทึกค่าคะแนนความเจ็บปวดขณะฉีดยาชาด้วยวิธีวิชวลแอนาลอกสเกล และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีครัสคัล วัลลิส โดยโปรแกรมเอสพีเอสเอสผลการศึกษา: คะแนนความเจ็บปวดในทุกกลุ่มไม่แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยกลุ่มที่หนึ่งซึ่งไม่ได้มีการเตรียมเยื่อบุผิวมีค่าเท่ากับ 3.30±2.38 กลุ่มที่สองซึ่งใช้ยาชาชนิดทามีค่าเท่ากับ 2.81±2.25 ส่วนกลุ่มที่ทำให้เย็นก่อนด้วยน้ำแข็งเป็นเวลา 5 และ 10 วินาทีมีค่าเท่ากับ 3.90±1.90 และ 2.67±2.20 ตามลำดับสรุปผลการศึกษา: การใช้ยาชาชนิดทา หรือ การทำให้เยื่อบุผิวเย็นก่อนเป็นเวลา 5 กับ 10 วินาที ก่อนการฉีดยาชาเฉพาะที่ในช่องปาก ไม่มีผลต่อการรับรู้ความเจ็บปวดของผู้ป่วย การลดขั้นตอนนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายเวลาและความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาชาชนิดทาได้คำสำคัญ: การทำให้ชาด้วยความเย็น การฉีดยา ความเจ็บปวด เยื่อเมือกช่องปากDownloads
Download data is not yet available.
Downloads
Published
2018-06-30
How to Cite
1.
ลิ้มมณี เ, พิศาลวรวัฒน์ พ, ทะแดง ล, ธเนศวร น, ธเนศวร ข. การเตรียมเยื่อบุผิวช่องปากก่อนการฉีดยาชาและการรับรู้ความ เจ็บปวด: การศึกษานำร่อง. SWU Dent J. [Internet]. 2018 Jun. 30 [cited 2024 Dec. 22];11(1):67-74. Available from: https://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/10218
Issue
Section
บทวิทยาการ (Original articles)
License
เจ้าของบทความต้องมอบลิขสิทธิ์ในการตีพิมพ์แก่วิทยาสาร โดยเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรแนบมาพร้อมบทความที่ส่งมาตีพิมพ์ ตามแบบฟอร์ม "The cover letter format" รวมทั้งต้องมีลายมือชื่อของผู้เขียนทุกท่านรับรองว่าบทความดังกล่าวส่งมาตีพิมพ์ที่วิทยาสารนี้แห่งเดียวเท่านั้น