Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811)
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj
<p>วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (SWU Dent J.)<br />เป็นวารสารทางวิชาการของคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีนโยบายสนับสนุนการเผยแพร่องค์ความรู้ ผลงานทางวิชาการและวิจัยด้านทันตแพทยศาสตร์และสาขาที่เกี่ยวข้อง โดยไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมใดใดๆ ในทุกขั้นตอน การพิจารณาบทความจะกระทำโดยผู้ทรงคุณวุฒิสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับบทความนั้น ๆ จากหลากหลายสถาบันและไม่ซ้ำสังกัดกันอย่างน้อย 3 ท่าน บทความที่ได้ลงตีพิมพ์ จะคัดเลือกจากการพิจารณาเห็นชอบให้ตีพิมพ์จากผู้ทรงคุณวุฒิ 2 ใน 3 ท่าน (ไม่มีการเปิดเผยชื่อและข้อมูลส่วนบุคคลต่อกันระหว่างผู้ทรงคุณวุฒิและเจ้าของบทความ)</p> <p><strong>วัตถุประสงค์ของวิทยาสาร:</strong><br />1. เพื่อเผยแพร่ความก้าวหน้าทางวิชาการและความรู้ใหม่ โดยเน้นทางด้านทันตแพทยศาสตร์และสาขาวิชาการที่เกี่ยวข้อง<br />2. เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนงานวิจัย รวมทั้งการค้นคว้าที่มีคุณค่าเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการ<br />3.เพื่อเป็นสื่อสัมพันธ์ทางวิชาการระหว่างทันตแพทย์และบุคคลอื่นในสาขาที่เกี่ยวข้อง</p> <p><strong>ประเภทของบทความ:</strong><br />1. บทวิทยาการ (Original articles)<br />2. บทความปริทัศน์ (Review articles)<br />3. รายงานผู้ป่วย (Case reports or Case series)<br />4. ปกิณกะ (Miscellanies) ได้แก่ บทความพิเศษที่มีเนื้อหาสาระทางวิชาการและเป็นประโยชน์ทางทันตกรรม</p> <p>เปิดรับบทความทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จากผู้นิพนธ์ทั้งภายในและภายนอกหน่วยงาน และไม่มีค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์ใด ๆ ในทุกขั้นตอน</p> <p>SWU Dent J. จัดพิมพ์มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548-2564 (ISSN 1905-0488)<br />ตีพิมพ์ฉบับออนไลน์ (E-ISSN 2774-0811) ตั้งแต่ปี 2565 จนถึงปัจจุบัน<br />SWU Dent J. อยู่ในฐาน TCI กลุ่ม 1 และ ACI ตามผลการประเมินคุณภาพวารสาร TCI รอบที 4 พ.ศ. 2563-2567</p> <p><strong>กำหนดการออกวิทยาสาร (ออนไลน์) ปีละ 2 ฉบับ</strong><br /><strong>ฉบับที่ 1 เดือนมกราคม – มิถุนายน ฉบับที่ 2 เดือน กรกฎาคม - ธันวาคม</strong></p>คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒen-USSrinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811)1905-0488<p>เจ้าของบทความต้องมอบลิขสิทธิ์ในการตีพิมพ์แก่วิทยาสาร โดยเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรแนบมาพร้อมบทความที่ส่งมาตีพิมพ์ ตามแบบฟอร์ม "<a href="https://drive.google.com/file/d/1JMrL7UM6QFFMKdpY02VSYAzkq8VPWhqr/view?usp=sharing" target="_blank">The cover letter format</a>" รวมทั้งต้องมีลายมือชื่อของผู้เขียนทุกท่านรับรองว่าบทความดังกล่าวส่งมาตีพิมพ์ที่วิทยาสารนี้แห่งเดียวเท่านั้น<br /><br /></p><p> </p>ความสัมพันธ์ระหว่างความรุนแรงของการสบฟันผิดปกติกับ ประสิทธิภาพการบดเคี้ยว
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/15987
<p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพการบดเคี้ยวระหว่างกลุ่มตัวอย่างที่มีการสบฟันปกติและกลุ่มตัวอย่างที่มีการสบฟันผิดปกติที่ระดับแตกต่างกัน และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรุนแรงของการสบฟันผิดปกติกับประสิทธิภาพการบดเคี้ยว</p> <p><strong>วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ:</strong> กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 18 ราย ได้แก่ กลุ่มที่มีการสบฟันปกติ(ค่าดัชนีพาร์ ≤ 10 ), กลุ่มที่มีการสบฟันผิดปกติในระดับน้อยถึงปานกลาง (ค่าดัชนีพาร์ 11-29) และกลุ่มที่มีการสบฟันผิดปกติในระดับมาก (ค่าดัชนีพาร์ ≥ 30 ) ประเมินประสิทธิภาพการบดเคี้ยวโดยการวิเคราะห์ขนาดอนุภาคกลางของอาหารเทียมด้วยวิธีการกรองสารผ่านตะแกรงหลายขนาด เปรียบเทียบความแตกต่างของประสิทธิภาพการบดเคี้ยวระหว่าง 3 กลุ่มด้วยสถิติ One-way ANOVA และวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความรุนแรงการสบฟันผิดปกติกับประสิทธิภาพการบดเคี้ยวโดยใช้สถิติเพียร์สัน ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 (p < 0.05)</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มการสบฟันปกติมีประสิทธิภาพการบดเคี้ยวสูงที่สุด และกลุ่มที่มีการสบฟันผิดปกติในระดับมากมีประสิทธิภาพการบดเคี้ยวต่ำที่สุด ค่าเฉลี่ยของประสิทธิภาพการบดเคี้ยวระหว่าง3 กลุ่ม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P = 0.013) โดยกลุ่มที่มีการสบฟันผิดปกติในระดับมากมีประสิทธิภาพการบดเคี้ยวต่ำกว่ากลุ่มการสบฟันปกติและกลุ่มสบฟันผิดปกติเล็กน้อยถึงปานกลางอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติความสัมพันธ์ระหว่างความรุนแรงของการสบฟันผิดปกติกับประสิทธิภาพการบดเคี้ยวมีความสัมพันธ์กันในระดับปานกลาง (r = 0.418) และการสบฟันหลังมีความสัมพันธ์ต่อประสิทธิภาพการบดเคี้ยวมากที่สุด เมื่อเทียบกับพารามิเตอร์ของดัชนีพาร์ตัวอื่น ได้แก่ ระยะเหลื่อมแนวราบ ระยะเหลื่อมแนวดิ่งและระยะการเบี่ยงเบนของแนวกลางฟัน</p> <p><strong>สรุป:</strong> ความรุนแรงของการสบฟันผิดปกติซึ่งประเมินโดยใช้ดัชนีพาร์มีผลต่อประสิทธิภาพการบดเคี้ยวเมื่อการสบฟันผิดปกติมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ประสิทธิภาพการบดเคี้ยวมีแนวโน้มลดลง</p> <p> </p> <p><strong>Objective:</strong> To compare masticatory performance among normal occlusion and two different malocclusion severity groups, and to assess correlations between malocclusion severity and masticatory performance.</p> <p><strong>Materials and Methods:</strong> Fifty-four subjects were divided into 3 groups; normal occlusion group (PAR score ≤ 10), mild to moderate malocclusion group (PAR score 11-29) and severe malocclusion group (PAR score ≥ 30). Masticatory performance was evaluated by analysis of median particle size of artificial food obtained with a multiple sieve method. Statistical significant was evaluated with One-way ANOVA test, and the correlation between malocclusion severity and masticatory performance assessed using Pearson’s correlation at p < 0.05.</p> <p><strong>Results:</strong> The results showed the highest masticatory performance was found in normal occlusion group whereas the lowest performance was found in severe malocclusion group. Significant differences in masticatory performance (P = 0.013) were detected among 3 different groups. Multiple comparisons showed significant differences in severe malocclusion group with normal occlusion group and mild to moderate malocclusion group. Correlation between malocclusion severity and masticatory performance (r = 0.418) was moderate. The most correlation parameters of PAR index that effect to masticatory performance was buccal occlusion compare to overjet, overbite and midline discrepancy.</p> <p><strong>Conclusions:</strong> Malocclusion severity determined by PAR index effects masticatory performance. Higher malocclusion severity resulted in lower masticatory performance.</p>ชนิดา กันนะเพ็ญประภา วัฒนสุขชัยพิชญา ไชยรักษ์
Copyright (c) 2024 Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-02-222024-02-221711122Effect of Cement and Abutment Colors on Esthetic Outcomes of Highly Translucent Multilayered Monolithic Zirconia crowns
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/15988
<p><strong>Objective:</strong> To identify appropriate abutment–cement combinations for color matching of 1.2 mm-thick, A2 shade, highly translucent multilayered monolithic zirconia (HTMMZ) crowns.</p> <p><strong>Material and Methods:</strong> Abutments of A2 composite resin, A4 composite resin, and metal were fabricated along with seven 1.2 mm-thick, A2 shade HTMMZ crowns. Three try-in pastes (clear, universal, and opaque) were used as luting agents. Abutment-cement combination specimens were prepared by luting each crown on each abutment type using one of each luting agents. All specimens were assessed using spectrophotometry and then compared with the Katana A2 shade tab (control) to establish the color difference. A color difference of < 2.7 was necessary to be considered clinically acceptable. The data obtained were statistically analyzed using two-way ANOVA followed by post hoc Tukey’s test (α = 0.05).</p> <p><strong>Results:</strong> Abutment and cement colors and their interaction affected ΔE<sub>ab</sub> (p < 0.05). The A2 abutment-clear cement, A2 abutment-universal cement, A4 abutment-clear cement, and A4 abutment-universal cement groups showed the lowest values almost reached an acceptable color match. Unacceptable color matches were observed in all the cement and abutment groups.</p> <p><strong> Conclusions:</strong> For the A2 and A4 abutment, crowns luted with universal cement almost reached a clinically acceptable color match. And for the silver-palladium metal abutment, crowns luted with opaque cement showed lower ΔE<sub>ab</sub> value compared to clear and universal cement.</p>Kwansiri PlengsombutMali Palanuwech
Copyright (c) 2024 Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-02-222024-02-221712336ฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อก่อโรคในช่องปากโดยใช้คลอเฮกซิดีนร้อยละ 0.12 ร่วมกับผลิตภัณฑ์สมุนไพรฟ้าทะลายโจร กระชาย มะขามป้อม และ ยูคาลิปตัส แต่ละชนิด
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/15989
<p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์และแคนดิดาอัลบิแคนส์ ระหว่างคลอเฮกซิดีนร่วมกับผลิตภัณฑ์สมุนไพรแต่ละชนิด ได้แก่ ฟ้าทะลายโจร กระชาย มะขามป้อม และยูคาลิปตัส</p> <p><strong>วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ:</strong> นำผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรฟ้าทะลายโจร กระชาย มะขามป้อมและยูคาลิปตัส แต่ละชนิดมาทดสอบฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์และแคนดิดาอัลบิแคนส์ จากนั้นนำสมุนไพรฟ้าทะลายโจร กระชาย มะขามป้อม และยูคาลิปตัส แต่ละชนิดร่วมกับคลอเฮกซิดีนความเข้มข้นต่าง ๆ (75 : 50, 50 : 50, 25 : 75) มาทดสอบผลในการยับยั้งเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์และและแคนดิดา อัลบิแคนส์ โดยใช้วิธีการดิสก์ดิฟฟิวชั่น</p> <p><strong>ผลการทดลอง:</strong> ยูคาลิปตัสสามารถยับยั้งเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์ได้ดีที่สุดรองลงมาเป็นกระชาย มะขามป้อม และ ฟ้าทะลายโจรตามลำดับ โดยผลจากการใช้ยูคาลิปตัสร่วมกับคลอเฮกซิดีนในความเข้มข้น 50 : 50 สามารถยับยั้งเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์ได้ดีที่สุด รองลงมาได้แก่ ยูคาลิปตัสร่วมกับคลอเฮกซิดีนความ เข้มข้น 75 : 50 และฟ้าทะลายโจรร่วมกับคลอเฮกซิดีนความเข้มข้น 75 : 50 เท่ากับยูคาลิปตัสร่วมกับคลอเฮกซิดีน ความเข้มข้น 25 : 75 ตามลำดับ ส่วนฤทธิ์ของผลิตภัณฑ์สมุนไพรที่สามารถยับยั้งเชื้อแคนดิดาอัลบิแคนส์ได้ดี ที่สุดคือยูคาลิปตัส รองลงมาเป็นฟ้าทะลายโจร ส่วนมะขามป้อมและกระชายไม่สามารถยับยั้งเชื้อแคนดิดาอัลบิแคนส์ ได้ และผลจากการใช้ยูคาลิปตัสร่วมกับคลอเฮกซิดีนในความเข้มข้น 50 : 50 สามารถยับยั้งเชื้อแคนดิดาอัลบิแคนส์ ได้ดีที่สุด รองลงมาได้แก่ ยูคาลิปตัสร่วมกับคลอเฮกซิดีนในความเข้มข้น 25 : 75 ฟ้าทะลายโจรร่วมกับคลอเฮกซิดีน ในความเข้มข้น 75 : 25 ตามลำดับ</p> <p><strong>สรุป:</strong> ผลิตภัณฑ์สมุนไพรยูคาลิปตัสสามารถยับยั้งได้ทั้งเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์และเชื้อแคนดิดา อัลบิแคนส์ได้ดีที่สุด และผลิตภัณฑ์สมุนไพรยูคาลิปตัสร่วมกับคลอเฮกซิดีนในความเข้มข้น 50 : 50 สามารถ ยับยั้งเชื้อทั้งสเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์และเชื้อแคนดิดาอัลบิแคนส์ได้ดีที่สุดเช่นกัน</p> <p> </p> <p><strong>Objective:</strong> To study the effect of antimicrobial activity against <em>Streptococcus mutans</em> and <em>Candida albicans</em> by chlorhexidine with each <em>Andrographis paniculata</em>, <em>Boesenbergia rotunda</em>, <em>Phyllanthus emblica</em>, <em>Eucalyptus globulus</em>.</p> <p><strong>Materials and Methods:</strong> Using the herbal products with each <em>Andrographis paniculata</em>, <em>Boesenbergia rotunda</em>, <em>Phyllanthus emblica</em>, <em>Eucalyptus globulus</em> were studied the antimicrobial activity against <em>Streptococcus mutans</em> and <em>Candida albicans</em>. Then the herbal products with each <em>Andrographis paniculata</em>, <em>Boesenbergia rotunda</em>, <em>Phyllanthus emblica</em>, <em>Eucalyptus globulus</em> combining with chlorhexidine in various concentrations (75 : 50, 50 : 50, 25 : 75) were investigated the antimicrobial activity against <em>Streptococcus mutans</em> and <em>Candida albicans</em> by Disc diffusion method.</p> <p><strong>Results:</strong> The herbal products with<em> Eucalyptus globulus</em> displayed the highest antimicrobial activity against <em>Streptococcus mutans</em>, then <em>Boesenbergia rotunda</em>, <em>Phyllanthus emblica</em> and<em> Andrographis paniculata</em> respectively. And the <em>Eucalyptus globulus</em> herbal products with chlorhexidine in concentration 50 : 50 displayed the highest antimicrobial activity against <em>Streptococcus mutans</em>, then <em>Eucalyptus globulus</em> herbal products with chlorhexidine in concentration 75 : 50, <em>Andrographis paniculata</em> herbal products with chlorhexidine in concentration 75 : 50 equal as the <em>Eucalyptus globulus</em> herbal products with chlorhexidine in concentration 25 : 75 respectively. The best antimicrobial activity of the herbal products against <em>Candida albicans</em> were<em> Eucalyptus globulus</em>, <em>Andrographis paniculata</em> respectively but <em>Phyllanthus emblica</em> and<em> Boesenbergia rotunda</em> gave no antimicrobial activity against <em>Candida albicans</em>. And the <em>Eucalyptus globulus</em> herbal products with chlorhexidine in concentration 50 : 50 displayed the highest antimicrobial activity against <em>Candida albicans</em>, then <em>Eucalyptus globulus</em> herbal products with chlorhexidine in concentration 25 : 75, and the <em>Andrographis paniculata</em> herbal products with chlorhexidine in concentration 75 : 25 respectively.</p> <p><strong>Conclusions:</strong> The <strong>Eucalyptus globulus</strong> herbal product gave the highest antimicrobial activity against either <em>Streptococcus mutans</em> or <em>Candida albicans</em>. And the <em>Eucalyptus globulus</em> herbal products with chlorhexidine in concentration 50 : 50 displayed the highest antimicrobial activity against either <em>Streptococcus mutans</em> or<em> Candida albicans</em> also.</p>ปรมาภรณ์ จิ๋วพัฒนกุล แก้วมณีณัฐกฤตา ลี้ศัตรูพ่ายปัณณวิชญ์ เตชะแสงมณีจิรวิชญ์ สิริพรทรัพย์ชญาภา ลิมป์จันทรา
Copyright (c) 2024 Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-02-222024-02-221713747ผลของการแปรงลิ้นต่อการลดลงของไอระเหยสารประกอบซัลเฟอร์
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/15990
<p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของระดับไอระเหยสารประกอบซัลเฟอร์ (ไฮโดรเจนซัลไฟด์ เมธิลเมอร์แคปแทน และไดเมธิลซัลไฟด์) ภายหลังการแปรงลิ้นร่วมกับการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน โดยติดตามผล 2 สัปดาห์</p> <p><strong>วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ:</strong> กลุ่มตัวอย่างที่ไม่มีโรคประจำตัว จำนวน 30 ราย ได้รับการตรวจวัดระดับไอระเหยสารประกอบซัลเฟอร์ด้วยเครื่องวัดระดับก๊าซยี่ห้อออรัลโครมาวัน ก่อนเริ่มทำการแปรงลิ้น จากนั้นแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มควบคุมให้แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันปกติทุกวัน กลุ่มทดลองให้แปรงลิ้นร่วมกับการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน เมื่อครบ 2 สัปดาห์ จึงมาวัดระดับไอระเหยสารประกอบซัลเฟอร์และเปรียบเทียบก่อนและหลังการแปรงลิ้นด้วยวิธีทางสถิติโดยใช้อินดิเพนเดนท์ ที เทสท์ ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 (p < 0.05)</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> กลุ่มทดลองที่ได้รับการแนะนำการแปรงลิ้นร่วมกับการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน มีระดับไอระเหยสารประกอบซัลเฟอร์ทั้งสามชนิด ลดลงจากระดับเริ่มต้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แตกต่างจากกลุ่มที่ไม่ได้รับการแปรงลิ้น เมื่อเทียบที่ระยะเวลา 2 สัปดาห์</p> <p><strong>สรุป:</strong> การแปรงลิ้นร่วมกับการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันช่วยลดระดับไอระเหยสารประกอบซัลเฟอร์ซึ่งเป็นก๊าซที่ก่อให้เกิดกลิ่นปากได้ เมื่อวัดที่ระยะเวลา 2 สัปดาห์</p> <p><strong>Objective:</strong> To study the difference in volatile sulfur compounds levels (hydrogen sulfide, methyl mercaptan and dimethyl sulfide) between baseline and after tongue brushing together with brushing and flossing at a 2-week follow up.</p> <p><strong>Materials and methods:</strong> Thirty healthy subjects were tested for volatile sulfur compounds levels using Oral chroma I as baseline. The subjects were then divided into two groups. The control group brushed and flossed their teeth everyday. The test group used tongue scraper together with brushing and flossing. After 2 weeks, the levels of volatile sulfur compounds were then measured and compared with baseline by a statistical method (Independent T test) at a 95% confident level (p < 0.05).</p> <p><strong>Results:</strong> The test group with tongue scraper had a statistical significance in reducing of volatile sulfur compounds when compared to baseline while the volatile sulfur compounds level in control group was not statistical different from the baseline at 2 weeks.</p> <p><strong>Conclusions:</strong> Tongue brushing, along with tooth brushing and flossing, reduced volatile sulfur compounds levels after brushing for 2 weeks.</p>มหัทธน พูลเกษร
Copyright (c) 2024 Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-02-222024-02-221714856ผลของความหนาต่อความสามารถในการรับแรงของการรวมกันระหว่างเรซินคอมโพสิตชนิดดั้งเดิมและคอมโพสิตเสริมแรงด้วยเส้นใยชนิดสั้น
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/15991
<p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาผลของความหนาของเรซินคอมโพสิตชนิดดั้งเดิมและคอมโพสิตเสริมแรงด้วยเส้นใยชนิดสั้นที่มีต่อความสามารถในการรับแรงของวัสดุ</p> <p><strong>วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ:</strong> เป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการ ใช้ผลิตภัณฑ์ 2 ชนิด ได้แก่ เอเวอร์เอ็กซ์โฟลว (everX Flow, GC Corporation, Tokyo, Japan) ซึ่งเป็นคอมโพสิตเสริมแรงด้วยเส้นใยชนิดสั้นที่ใช้เป็นโครงสร้างฐาน (substructure) และ จีเนียล โพสทีเรียร์ (G-ænial Posterior, GC corporation, Tokyo, Japan) ซึ่งเป็นเรซินคอมโพสิตชนิดดั้งเดิมที่ใช้เป็นวัสดุปิดทับ ทดสอบในชิ้นงานจำนวน 40 ชิ้น เตรียมเป็นทรงสี่เหลี่ยมขนาด 5 x 5 x 4 มิลลิเมตร แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ตามความหนาของวัสดุที่ใช้ปิดทับคือ ความหนา 1, 2, 3, และ 4 มิลลิเมตร ทำการวัดความสามารถในการรับแรง (load-bearing capacity) ด้วยเครื่องทดสอบแรงดึงแรงอัดที่มีหัวกดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 มิลลิเมตร กดตั้งฉากกับพื้นผิวชิ้นงานจนเกิดการแตกหัก แล้วตรวจดูการแตกหัก (fracture pattern) ในแต่ละชิ้นงานด้วยกล้องจุลทรรศน์สเตอริโอ นำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์สถิติความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) แล้วเปรียบเทียบค่าความแตกต่างระหว่างกลุ่มด้วยสถิติทดสอบหลังการวิเคราะห์ของทูกี (Tukey’s Post-hoc test) โดยกำหนดระดับนัยสำคัญที่ร้อยละ 95</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> ความหนาของเรซินคอมโพสิตชนิดดั้งเดิมและคอมโพสิตเสริมแรงด้วยเส้นใยชนิดสั้นมีผลต่อความสามารถในการรับแรงของวัสดุ โดยชิ้นงานในกลุ่มที่มีความหนาของวัสดุปิดทับ 1 มิลลิเมตร มีค่าความสามารถในการรับแรงสูงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) โดยวัสดุกลุ่มนี้มีการแตกแบบทั้งก้อนน้อยที่สุด การแตกส่วนใหญ่เป็นการแตกแบบบางส่วนที่สามารถซ่อมแซมได้</p> <p><strong>สรุป:</strong> กลุ่มความหนาของวัสดุที่ใช้ในการปิดทับหนา 1 มิลลิเมตร มีความสามารถในการรับแรงสูงที่สุดเนื่องจากวัสดุส่วนที่เหลือจะเป็นส่วนของคอมโพสิตเสริมแรงด้วยเส้นใยชนิดสั้น ซึ่งวัสดุมีคุณสมบัติในการกระจายแรงกระจายความเครียดและหยุดรอยร้าวได้ดี</p> <p><strong>Objective:</strong> To evaluate the effect of the thickness of conventional resin composite and short fiber-reinforced composite on load-bearing capacity.</p> <p><strong>Materials and Methods:</strong> Two resin composites were used in this study. Short fiber-reinforced composite (everX Flow, GC corporation, Tokyo, Japan) was used as the substructure and conventional resin composite (G-ænial Posterior, GC corporation, Tokyo, Japan) was used as the overlying layer for a total of 40 specimens with 5 x 5 x 4 mm dimension cuboid shape. There were four experimental groups according to the thickness of the top layer which were 1, 2, 3, and 4 mm respectively. Loadbearing capacity of the specimens were determined by a universal testing machine with a 2-mm diameter crosshead. The crosshead was moved perpendicularly to the specimens until fractured. The fracture patterns were further investigated by using a stereomicroscope. The data were statistically analyzed with one-way ANOVA and Tukey’s Post-hoc test to determine the mean differences of the load-bearing capacity among the experimental groups. The significance level was indicated at 0.05.</p> <p><strong>Results:</strong> The thickness of the conventional resin composite and short fiber-reinforced composite affected the load-bearing capacity of the restoration. The 1-mm group significantly had the highest load-bearing capacity compared with other groups (p < 0.05) and partial fractures in this group were mostly reparable.</p> <p><strong>Conclusion:</strong> The covering conventional resin composite of 1-mm thickness had the highest load-bearing capacity. This could be explained by the increase in the remaining space for short fiberreinforced composite which contributes to force distribution, stress distribution and crack arrest.</p>กนกกาญจน์ ขอรัตน์อนุชาติ ศรีจันบาลปุลิวรรณ กอวงษ์บุญฑริก นิยติวัฒน์ชาญชัย
Copyright (c) 2024 Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-02-222024-02-221715773อิทธิพลของระยะเวลาทำงานที่หลากหลายต่อคุณสมบัติเชิงกายภาพของเรซินโมดิฟายด์กลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์ 3 ชนิด
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/15992
<p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อเปรียบเทียบผลของระยะเวลาทำงานที่แตกต่างกันต่อการดูดซับน้ำ การละลายตัวในน้ำและการถูกกัดกร่อนโดยกรดของวัสดุเรซินโมดิฟายด์กลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์</p> <p><strong>วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ:</strong> นำวัสดุเรซินโมดิฟายด์กลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์ 3 ผลิตภัณฑ์ ได้แก่ Fuji II LC<sup>TM</sup> Capsule (GC Corporation; Tokyo, Japan), Riva Light Cure (SDI; Bayswater, Australia) และ Riva Light Cure HV (SDI; Bayswater, Australia) มาศึกษาผลของระยะเวลาที่ชะลอการฉายแสงต่อการดูดซับน้ำ การละลายตัวในน้ำ และการถูกกัดกร่อนโดยกรด โดยทดสอบตามมาตรฐาน ISO 4049:2000 (E) และ ISO 9917-1:2007 (E) วัสดุแต่ละผลิตภัณฑ์ถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มตามระยะเวลาที่รอก่อนการฉายแสง ได้แก่ 1 นาที, 10 นาที, 15 นาที และกลุ่มควบคุม ซึ่งเป็นระยะเวลาทำงานที่บริษัทผู้ผลิตกำหนดการดูดซับน้ำและการละลายตัวในน้ำทดสอบโดยการนำตัวอย่างทดลองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 15 มม. หนา 1 มม. ไปทำให้แห้งด้วยสารดูดความชื้น ทำการบันทึกปริมาตรและน้ำหนักก่อนแช่น้ำ จากนั้นจึงแช่น้ำเป็นเวลา 7 วัน แล้วบันทึกค่าน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นต่อปริมาตรเป็นค่าการดูดซับน้ำ นำตัวอย่างทดลองไปทำให้แห้งอีกครั้งด้วยสารดูดความชื้น บันทึกน้ำหนักที่หายไปเทียบกับน้ำหนักต่อปริมาตรก่อนการแช่น้ำเป็นค่าการละลายตัวในน้ำ ส่วนการถูกกัดกร่อนโดยกรดจะใช้ตัวอย่างทดลองขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 มม. หนา 2 มม. ที่ก่อตัวอยู่ในแบบหล่ออะคริลิก นำไปแช่ในสารละลายกรดแลคติกความเข้มข้น 0.1 โมล/ลิตร เป็นเวลา 24 ชั่วโมง วัดระดับผิวหน้าของวัสดุที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากการแช่กรดเป็นค่าการถูกกัดกร่อนโดยกรด</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> การเพิ่มระยะเวลาทำงานส่งผลให้การดูดซับน้ำของ Fuji II LC Capsule และ Riva Light Cure HV มีค่าลดลง แต่ไม่มีผลต่อการดูดซับน้ำของ Riva Light Cure การละลายตัวในน้ำและการถูกกัดกร่อนโดยกรดไม่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มระยะเวลาทำงานในทุกผลิตภัณฑ์</p> <p><strong>สรุป:</strong> การเพิ่มระยะเวลาทำงานส่งผลให้เกิดการดูดซับน้ำลดลงใน Fuji II LC Capsule และ Riva Light Cure HV แต่ไม่ส่งผลต่อการละลายตัวในน้ำ และการถูกกัดกร่อนโดยกรดของวัสดุเรซินโมดิฟายด์กลาส ไอโอโนเมอร์ซีเมนต์ทุกผลิตภัณฑ์ที่นำมาทดสอบ</p> <p> </p> <p><strong>Objective:</strong> To evaluate the influence of working time variations on water sorption, water solubility and acid erosion of resin-modified glass ionomer cements.</p> <p><strong>Materials and Methods:</strong> Three resin-modified glass ionomer cements, including Fuji II LC<sup>TM</sup> Capsule (GC Corporation; Tokyo, Japan), Riva Light Cure (SDI; Bayswater, Australia) and Riva Light Cure HV (SDI; Bayswater, Australia), were used to evaluate water sorption, water solubility and acid erosion by following the instructions of ISO 4049:2000 (E) and ISO 9917-1:2007 (E). Each product consisted of four experimental groups subjected to different light activation starting time after mixing. There were 1-minute, 10-minute, 15-minute and control. The control group was the working time recommended by manufacturers. For water sorption and water solubility tests, specimens with diameter of 15 mm and thickness of 1 mm were dried with desiccant. The weight and volume were recorded before water storage. Specimens were stored in water for seven days and weighed again. The increasing weight per volume after water storage was defined as water sorption value. The specimens were then dried with desiccant and weighed again. The reducing weight compared with the weight per volume before water storage was defined as water solubility value. For the acid erosion test, specimens with diameter of 5 mm and thickness of 2 mm in acrylic molds were immersed in 0.1 mol/l lactic acid solution for 24 hours. The eroded surface of specimen compared with the surface of the acrylic mold was recorded as acid erosion value.</p> <p><strong>Results:</strong> Increased working time decreased water sorption in Fuji II LC<sup>TM</sup> Capsule and Riva Light Cure HV but not in Riva Light Cure. However, increased working time had no influence on water solubility and acid erosion of all products.</p> <p><strong>Conclusion</strong>: Increased working time decreased water sorption in Fuji II LC<sup>TM</sup> Capsule Riva Light Cure HV but had no influence on water solubility and acid erosion of resin-modified glass ionomer cements used in this study.</p>สิวาลัย เลิศคารมอนุชาติ ศรีจันบาลปุลิวรรณ กอวงษ์ดุสิต นันทนพิบูลรังสิมา สกุลณะมรรคา
Copyright (c) 2024 Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-02-222024-02-221717486ผลของคลื่นไบนิวรอลบีทซ์ต่อสัญญาณชีพและความเครียดของผู้มารับบริการผ่าฟันคุดกรามล่างซี่ที่สาม
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/15993
<p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลของคลื่นไบนิวรอลบีทซ์ต่อสัญญาณชีพ ความเครียด และความวิตกกังวลในผู้ป่วยที่มารับบริการผ่าฟันคุดกรามล่างซี่ที่สาม</p> <p><strong>วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ:</strong> การวิจัยแบบกึ่งทดลองนี้ มีกลุ่มตัวอย่างของผู้ป่วยที่มารับบริการผ่าฟันคุดกรามล่างซี่ที่สามจำนวน 40 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มควบคุม 20 คน และกลุ่มทดลอง 20 คน กลุ่มควบคุมให้ใส่หูฟังโดยไม่เปิดคลื่นไบนิวรอลบีทซ์ กลุ่มทดลองให้ใส่หูฟังที่เปิดคลื่นไบนิวรอลบีทซ์ มีการประเมินความวิตกกังวลด้วยแบบสอบถาม ก่อนและหลังผ่าตัด ใช้เครื่องวัดสัญญาณชีพ วัดความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจใน4 ช่วงเวลา คือ ขณะนั่งรอหน้าห้องทันตกรรมก่อนการผ่าตัด (T1) ขณะหลังฉีดยาชา (T2) ขณะกรอฟันหรือกระดูก (T3) และขณะกัดผ้าก๊อซเมื่อการผ่าตัดสิ้นสุด (T4) การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ Paired t-test และระหว่างกลุ่มโดยใช้สถิติ Independent t-test และ Repeated measures ANOVA</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> ในกลุ่มทดลอง พบความดันโลหิตซิสโตลิกความดันโลหิตไดแอสโตลิกและอัตราการเต้นของหัวใจลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ระหว่างช่วงนั่งรอหน้าห้องทันตกรรมก่อนผ่าตัด (T1) กับเมื่อการผ่าตัดสิ้นสุด (T4) และช่วงขณะกรอฟันหรือกระดูก (T3) กับเมื่อการผ่าตัดสิ้นสุด (T4) ส่วนในกลุ่มควบคุมความดันโลหิตซิสโตลิก และความดันโลหิตไดแอสโตลิกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ระหว่างช่วงนั่งรอหน้าห้องทันตกรรมก่อนผ่าตัด (T1) กับเมื่อการผ่าตัดสิ้นสุด (T4) การเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มพบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของความดันโลหิตซิสโตลิกในช่วงขณะหลังฉีดยาชา (T2) กับเมื่อการผ่าตัดสิ้นสุด (T4) คะแนนความวิตกกังวลระหว่างกลุ่มควบคุมกับกลุ่มทดลอง ก่อนและหลังการผ่าตัดไม่มีความต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p = 0.188, p = 0.747)</p> <p><strong>สรุป:</strong> คลื่นเสียงไบนิวรอลบีทซ์ มีผลต่อความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจในผู้มารับบริการผ่าฟันคุดกรามล่างซี่ที่สาม</p> <p> </p> <p><strong>Objective:</strong> To study the effect of binaural beats on vital signs, stress and anxiety of outpatients with impacted mandibular third molar surgery.</p> <p><strong>Material and Methods:</strong> This quasi-experimental research consisted of 40 patients with impacted mandibular third molar which were divided into control group (20 patients) and experimental group (20 patients. The control group did not listen to binaural beats. The experimental group listened to binaural beats. All patients were assessed for anxiety with the questionnaire before and after surgery. Vital sign including blood pressure and heart rate were measured during four periods: at waiting area (T1), after anesthesia (T2), during bone or tooth removal (T3) and end of surgery (T4). Data were analyzed by following statistics, the pair t-test was used to assess individual group, the independent t-test and repeated measures ANOVA were used to assess the significance of differences between 2 groups.</p> <p><strong>Results:</strong> The experimental group showed a significant reduction in systolic blood pressure, diastolic blood pressure and heart rate between at waiting area (T1) and end of surgery (T4), during bone or tooth removal (T3) and end of surgery (T4). The control group showed a significant reduction in systolic blood pressure and diastolic blood pressure between at waiting area (T1) and end of surgery (T4). Comparison between groups found significant difference in systolic blood pressure between after anesthesia (T2) and end of surgery (T4). There was no significant difference of anxiety score before and after surgery. (p = 0.188, p = 0.747)</p> <p><strong>Conclusion:</strong> Listening to binaural beats affect to blood pressure and heart rate during the impacted mandibular third molar surgery.</p>อธิวัฒน์ ตันติสัมฤทธิ์
Copyright (c) 2024 Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-02-222024-02-221718799ผลของการบ้วนปากหลังการแปรงฟันในการลดแผ่นคราบชีวภาพ
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/15996
<p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> ศึกษาผลของการบ้วนปากหลังการแปรงฟันต่อการลดแผ่นคราบชีวภาพ</p> <p><strong>วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ:</strong> ผู้เข้าร่วมการศึกษาจำนวน 36 คน จะได้รับการอบรมเรื่องการแปรงฟัน การขูดหินน้ำลายและขัดฟันในการนัดครั้งที่ 1 งดการทำความสะอาดช่องปากใด ๆ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ก่อนวันนัดครั้งที่ 2 แล้วให้แปรงฟันตามวิธีที่จับฉลากได้ ซึ่งแบ่งเป็น 2 วิธีการ คือ การแปรงฟันแบบไม่บ้วนปาก และการแปรงฟันแล้วบ้วนปาก ตรวจดัชนีคราบจุลินทรีย์ทันที และหลังจากผ่านไป 5 นาที ขูดหินน้ำลายและขัดฟันงดการทำความสะอาดช่องปากใด ๆ เป็นเวลา 24 ชั่วโมง ก่อนวันนัดครั้งที่ 3 แล้วทำการศึกษาเช่นเดียวกับการนัดครั้งที่ 2</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> แบ่งกลุ่มที่แปรงฟันแบบไม่บ้วนปากและกลุ่มที่แปรงฟันแล้วบ้วนปาก ทั้ง 2 กลุ่ม มีข้อมูล 3 ชุด ชุดที่ 1 ก่อนการแปรงฟัน ชุดที่ 2 หลังการแปรงฟันทันที ชุดที่ 3 หลังการแปรงฟัน 5 นาที ในแต่ละชุดประกอบไปด้วย ด้านแก้ม ด้านลิ้น ฟันหน้า ฟันหลัง ซึ่งประกอบไปด้วยทั้งหมดของด้านนั้น ๆ ขอบเหงือก และด้านประชิด พบว่าดัชนีคราบจุลินทรีย์ของ 2 กลุ่ม มีค่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และไม่แตกต่างกันทั้งสองกลุ่มในทุกด้าน ยกเว้นด้านประชิดเมื่อวัดผลหลังแปรงฟันทันที และเมื่อเวลาผ่านไปไว้ 5 นาที คราบจุลินทรีย์ด้านประชิดลดลงอีก จนเกิดความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติเมื่อเทียบกับค่าเริ่มต้น พบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่บริเวณขอบเหงือกของฟันหน้า ณ เวลาทันทีและ 5 นาทีหลังจากแปรงฟันแบบไม่บ้วนปากเมื่อเทียบกับแบบบ้วนปาก ที่ p-value < 0.05</p> <p><strong>สรุป:</strong> การแปรงฟันลดคราบจุลินทรีย์ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่การบ้วนปากหลังการแปรงฟันไม่ช่วยลดคราบจุลินทรีย์ที่ยึดกับผิวฟัน</p> <p> </p> <p><strong>Objective:</strong> To study the effects of brushing with rinsing on reducing dental biofilm.</p> <p><strong>Materials and Methods:</strong> Thirty-six participants received training on toothbrushing, supragingival scaling, and tooth polishing during the first appointment. They were instructed to refrain from any oral hygiene care for 24 hours before the second appointment. For the second visit, each participant brushed their teeth according to the drawing method which is toothbrushing without rinsing and with rinsing. The plaque index was recorded immediately, after five minutes and tooth prophylaxis was accomplished right after. Prior to the third visit, 24 hours without oral hygiene care and the same procedure as the second visit was followed.</p> <p><strong>Results:</strong> The study included two groups: toothbrushing without rinsing and toothbrushing with rinsing. Both groups provided data for three sets: Set 1 pre-brushing, Set 2 immediately post-brushing, and Set 3 post-5-minute brushing. Each set was done on buccal, lingual, anterior, posterior which is composed of total area of that aspect, marginal and proximal area. Statistical analysis revealed a significant reduction in dental plaque indices for both groups, with no significant differences observed between the two groups in all aspects except for the gingival margin immediately post-brushing. However, after a 5-minute interval, dental plaque on the gingival margin significantly decreased, demonstrating a statistically significant difference when compared to the baseline values. Notably, there were statistically significant differences at the gingival margin of the anterior teeth immediately and 5 minutes after toothbrushing when comparing rinsing without rinsing with a p-value < 0.05.</p> <p><strong>Conclusion:</strong> Toothbrushing significantly reduces dental plaque, but rinsing after toothbrushing does not contribute to a further reduction in plaque adhering to tooth surfaces.</p>พรรษกร แสงแก้วกฤติมา ก้าวเกรียงไกรขวัญชนก ตันวัฒนากูลสรรพวุฒิ แสนเสมออัญชิสา เปล่งอารมณ์วรุณี เกิดวงศ์บัณฑิต
Copyright (c) 2024 Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-02-222024-02-22171100114ความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดอาการแสดงของเท็มโพโรแมนดิบิวลาร์ ดิสออเดอร์ ในผู้มารับบริการทันตกรรม โรงพยาบาลตากสิน
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/15998
<p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาความชุกและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเกิดอาการแสดงของเท็มโพโรแมนดิบิวลาร์ ดิสออเดอร์ในผู้มารับบริการทันตกรรม โรงพยาบาลตากสิน</p> <p><strong>วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ:</strong> รวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามเกี่ยวกับอุปนิสัยการใช้ขากรรไกร ประวัติ อุบัติเหตุและการจัดฟัน รวมถึงแบบบันทึกผลการตรวจระบบบดเคี้ยว แบบสอบถามอาการเท็มโพโรแมน ดิบิวลาร์ดิสออเดอร์ และแบบประเมินความเครียดของกรมสุขภาพจิต กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยที่มารับบริการทาง ทันตกรรมที่กลุ่มงานทันตกรรม โรงพยาบาลตากสิน ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2564 ถึง 30 ธันวาคม 2564 จำนวน 300 คน วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และหาความสัมพันธ์ระหว่างความชุกของอาการแสดงกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องด้วยสถิติไคสแควร์ และการทดสอบของฟิชเชอร์ กำหนดนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับน้อยกว่า 0.05 และนำปัจจัยต่าง ๆ ที่พบว่ามีนัยสำคัญมาวิเคราะห์ต่อด้วยสถิติถดถอยโลจิสติสพหุนามซึ่งแสดงผลด้วยค่าอัตราส่วนออด และช่วงความเชื่อมั่นร้อยละ 95</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> ผู้ป่วยจำนวน 300 คน มีอาการแสดงอย่างน้อย 1 อย่าง ร้อยละ 55 ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 62.7 อายุเฉลี่ย 47.9 ± 17.41 ปี อุปนิสัยการใช้ขากรรไกรที่พบมาก ได้แก่ ชอบอ้าปากกว้างหรือหาวนอนกว้าง ร้อยละ 69.1 ผู้ป่วยที่อ้าปากได้น้อยกว่า 40 มิลลิเมตร พบร้อยละ 43.0 และผู้ป่วยที่มีภาวะเครียดแต่อยู่ในระดับน้อย พบร้อยละ 82.3 ปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเกิดอาการแสดง ที่พบว่ามีนัยสำคัญทางสถิติ คือการรายงานว่ามีเสียงที่ข้อต่อขากรรไกรภายใน 30 วันที่ผ่านมา มีโอกาสเกิดอาการ มากกว่าที่ไม่มีเสียงถึง 3.07 เท่า (OR = 3.07, 95%CI = 1.50, 6.29)</p> <p><strong>สรุปการศึกษา:</strong> ผู้ป่วยที่มารับบริการที่กลุ่มงานทันตกรรมโรงพยาบาลตากสิน เกินครึ่งหนึ่งมีอาการแสดงของเท็มโพโรแมนดิบิวลาร์ดิสออเดอร์อย่างน้อย 1 อย่าง โดยปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ชอบอ้าปากกว้าง หรือหาวนอนกว้าง มีระดับความเครียดน้อย และผู้ป่วยที่เคยมีเสียงที่ข้อต่อขากรรไกรภายใน 30 วันที่ผ่านมา มีโอกาสเกิดอาการแสดงมากกว่าที่ไม่เคยมีเสียงถึง 3.07 เท่า</p> <p> </p> <p><strong>Objective:</strong> To study the prevalence and factors associated with signs of temporomandibular disorders in dental patients, at Taksin Hospital.</p> <p><strong>Materials and methods:</strong> Data were collected from a questionnaire to explore jaw habits, history of jaw injuries, and orthodontic treatment, including clinical records on the examination of the masticatory system, the DC/TMD Symptom Questionnaire as well as the stress assessment form of the Department of Mental Health. The samples consisted of 300 patients who received dental services, at Taksin Hospital from August 1, 2021, to December 30, 2021. Demographic data were analyzed by means and standard deviation (SD). Chi-squared statistics and the Fischer test were used to determine the relationship between the prevalence of signs of temporomandibular disorder and interested factors at p-value < 0.05. And the factors that were significant were analyzed by the multiple logistic regression statistics were an odds ratio (OR) with a 95% confidence interval.</p> <p><strong>Results:</strong> Of 300 dental patients, 55% had at least one sign of temporomandibular disorders, and 62.7% of them were female with a mean age of 47.9 ± 17.41 years. Wide mouth opening and yawning widely were the most prevalent jaw habits (69.1%). Patients whose maximum mouth opening was less than 40 mm were found 43.0% and 82.3% had mild stress. Factors associated with temporomandibular disorder statistical significance is a patient who used to have a clicking sound. There is a chance of temporomandibular disorder 3.07 times more than in patients who had no clicking sound. (OR = 3.07, 95%CI = 1.50, 6.29).</p> <p><strong>Conclusions:</strong> The prevalence of temporomandibular disorder with at least one symptom was higher than half of the patients who received dental services at Taksin Hospital. Factors associated with temporomandibular disorder included patients who opened their mouths and yawned widely and low levels of stress. Patients who used to have clicking sounds had a chance of temporomandibular disorder 3.07 times more than patients who had no clicking sound.</p>สุภาพร วิริยะจิรกุล พนมพร วานิชชานนท์ พิชญา ไชยรักษ์
Copyright (c) 2024 Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-02-222024-02-22171115134การประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนของกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพช่องปากเด็กอายุ 0-3 ปี ในอำเภอโคกเจริญ จังหวัดลพบุรี
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/15999
<p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อศึกษาผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนของกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพช่องปากเด็กอายุ 0-3 ปี ในอำเภอโคกเจริญ จังหวัดลพบุรี ที่จัดช่วงปีงบประมาณ 2559-2561</p> <p><strong>วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ:</strong> การวิจัยนี้เป็นวิจัยผสานวิธี ใช้ระเบียบวิธีวิจัยของการประเมินผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน มีทั้งหมด 6 ขั้นตอนได้แก่ 1) กำหนดขอบเขตการวิเคราะห์และระบุผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 2) ทำแผนที่ผลลัพธ์และสร้างตัวชี้วัด 3) เก็บข้อมูลการเปลี่ยนแปลงของผลลัพธ์และค่าแทนทางการเงินของผลลัพธ์ 4) การประเมินผลกระทบของกิจกรรม 5) คำนวณผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนและวิเคราะห์ความอ่อนไหว และ 6) รายงานผลแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและนำไปปฏิบัติ ใช้เวลาในการรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ ตั้งแต่เดือน มีนาคม 2564-เดือนกรกฎาคม 2565</p> <p><strong>ผลการศึกษา:</strong> พบว่ากิจกรรมนี้ใช้งบประมาณของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและองค์การบริหารส่วนตำบลในอำเภอโคกเจริญ มีมูลค่าการลงทุนปัจจุบันเป็นเงิน 192,551 บาท สร้างมูลค่าเป็นเงิน 915,126 บาท คือการลงทุน 1 บาท ได้ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุน 4.75 บาท เมื่อวิเคราะห์ความอ่อนไหวพบว่า ผลตอบแทนทางสังคมจากการลงทุนของกิจกรรมอยู่ที่ 1.06-4.80 บาท</p> <p><strong>สรุป:</strong> เงินทุก ๆ 1 บาทที่ลงทุนให้ผลตอบแทนทางสังคมอยู่ที่ 4.75 บาท โดยผลประโยชน์ของกิจกรรมตกแก่กลุ่มเป้าหมายหลักคือกลุ่มเด็กเล็กร้อยละ 85 และกลุ่มที่ยังได้รับประโยชน์จากกิจกรรม คือ ผู้ปกครอง ครูศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก และก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนร่วมกับกิจกรรม </p> <p> </p> <p><strong>Objective:</strong> The purpose of this research was to study the social return on investment of oral health promotion and prevention programs for 0–3 years old children in Khokcharoen District, Lopburi Province, which was held in the fiscal year 2016-2018.</p> <p><strong>Materials and methods:</strong> This research are mixed methods research, using research methodology based on social return on investment assessment. There are six steps consisting of 1) Determining the scope of analysis and identifying stakeholders. 2) Create an impact map and indicators. 3) Collecting outcome changes and defining financial proxies. 4) Impact assessment. 5) Calculation of social return on investment and sensitivity analysis. 6) Reporting results to stakeholders and implementation. Take time to collect data and analyze from March 2021-July 2022</p> <p><strong>Results:</strong> The results showed that this activity used the budget from the National Health Security Office and the subdistrict Administrative Organization in the Khokcharoen District. The current investment value was 192,551 baht, while the social return was 915,126 baht. Investing 1 baht has a social return from investment of 4.75 baht. When analyzing the sensitivity, it was found that the social return on investment was 1.06-4.80 baht.</p> <p><strong>Conclusions:</strong> For every 1 baht invested, the social return was 4.75 baht. The benefits of the activities fall on the leading target group, 85% of young children, which was consistent with the objectives of the activity. Parents and child development center teachers also receivedbenefits from the activity and this assessment built good relationships between staff involved in the activities.</p>กุลภัทรา เหล็กเพ็ชร จันทร์พิมพ์ หินเทาว์ วรรธนะ พิธพรชัยกุล
Copyright (c) 2024 Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-02-222024-02-22171135150กองบรรณาธิการ ว.ทันต.มศว ปีที่ 17 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน) พ.ศ. 2567
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/15984
<p><strong>บทบรรณาธิการ:...</strong><br />สวัสดีท่านผู้อ่านทุกท่านนะครับ วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒฉบับนี้ เป็นฉบับปี พุทธศักราช 2567 เล่มที่ 1 ครับ ทางทีมบรรณาธิการยังคงความตั้งใจในการคัดสรรบทความวิจัยและบทวิทยาการ ที่มีคุณภาพเช่นเดิมเพื่อผู้อ่านทุก ๆ ท่านนะครับ ในฐานะตัวแทนของกองบรรณาธิการ ผมขอขอบพระคุณผู้ทรงคุณวุฒิ ทุกท่านที่ได้เสียสละเวลาในการพิจารณาบทความให้คงคุณภาพในเกณฑ์มาตรฐานมาโดยตลอด ขอขอบพระคุณผู้นิพนธ์ทุกท่านที่ไว้วางใจให้วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒเป็นช่องทางในการเผยแพร่องค์ความรู้ใหม่ ๆ สู่สังคม และขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่านอีกครั้งนะครับ ขอให้ผู้อ่านทุกท่านเพลิดเพลินไปกับความรู้ใหม่ ๆ ที่อยู่ในวารสารฉบับนี้ของเราครับ</p> <p>ในช่วงวันที่ 6–8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2566 องค์กรผู้บริหารคณะทันตแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย (อ.บ.ท.ท.) กำหนดให้คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย มหิดล เป็นเจ้าภาพในการจัดการประชุมวิชาการและเสนอผลงานวิจัยสาขาทันตแพทยศาสตร์ ระดับนานาชาติ ครั้งที่ 20 ขึ้นที่พัทยา จังหวัดชลบุรี ตัวผมเองได้มีโอกาสเข้าร่วมงาน โดยเฉพาะในส่วนของการประกวดและนำเสนอผลงานวิจัย พบว่ามีความน่าสนใจอย่างยิ่งในหัวข้อวิจัยและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นในสังคมทันตแพทย์ของพวกเรา ทั้งนี้ครั้งถัดไปในปีพุทธศักราช 2567 คณะทันตแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพในการจัดประชุมองค์ผู้บริหารคณะทันตแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทยครั้งที่ 21 ซึ่งจะจัดขึ้นที่อัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม โดยมีหัวข้อหลักในงานประชุมครั้งนี้คือ “Towards the Future of Dentistry: More Personalization and Greater Success” แน่นอนว่าทางทีมงานฝ่ายวิจัย คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้จัดการประกวดและการเผยแพร่ผลงานวิจัยที่มีคุณภาพดังเช่นในทุกครั้งที่ผ่านมา จึงใคร่ขอให้ทุกท่านรอติดตามผลงานวิจัยใหม่ ๆ ของสาขาทันตแพทย์ที่จะเกิดขึ้นในงานประชุมที่สำคัญของพวกเรา โดยประกาศกำหนดการอย่างเป็นทางการอีกครั้งในเว็บไซต์ของคณะฯ ครับ</p> <p>อนึ่งทางทีมบรรณาธิการฯ กำลังจะเข้าสู่การประเมินคุณภาพวารสารวิชาการที่อยู่ในฐานข้อมูล TCI รอบที่ 5 (2568-2572) ซึ่งต้องส่งเล่มวารสารเข้าสู่การประเมินโดยศูนย์ดัชนีการอ้างอิงสารสารไทย ในช่วงเดือนเมษายน ปีพุทธศักราช 2567 นี้ ทางกองบรรณาธิการฯ จะพยายามทำอย่างดีที่สุดเพื่อรักษาคุณภาพของวารสารของเราให้อยู่ที่ระดับ TCI กลุ่มที่ 1 เช่นเดิมครับ ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านช่วยเป็นกำลังใจให้กับทางทีมงานด้วยครับ ขอบพระคุณครับ</p> <p>สุดท้ายนี้ในวาระดิถีขึ้นปีใหม่ ซึ่งเป็นช่วงวารสารนี้จะทำการเผยแพร่พอดี ผมขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่านมีความสุข สมหวังในทุกประการ และมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงตลอดไปครับ แล้วพบกันอีกครั้งในวิทยาสารทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒฉบับปีพุทธศักราช 2567 เล่มที่ 2 ครับ</p> <p><br />ผศ.ดร.ทพ.ชัชพันธุ์ อุดมพัฒนากร<br />บรรณาธิการวิทยาสารทันตแพทยศาสตร์<br />มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ</p>วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Copyright (c) 2024 Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-02-222024-02-22171110การปรับปรุงพื้นผิวไทเทเนียมและโลหะผสมไทเทเนียมด้วยการแอโนไดเซชัน: ทบทวนวรรณกรรม
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/16000
<p>บทความปริทัศน์นี้ ทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวกับผลของปัจจัยตัวแปรเสริมของการแอโนไดเซชันต่อลักษณะสัณฐานพื้นผิวของไทเทเนียม โดยศึกษาสารละลายอิเล็กโทรไลต์ ความต่างศักย์ อุณหภูมิ และระยะเวลา จากการทบทวนวรรณกรรม พบว่า การใช้ค่าความต่างศักย์ต่ำกว่า 40 โวลต์ ที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส ในสารละลายอิเล็กโทรไลต์ที่มีความหนาแน่นของกระแสไฟฟ้า 20 มิลลิแอมแปร์ต่อตารางเซนติเมตร ที่ระยะเวลามากกว่า 20 นาที ทำให้อัตราการเกิดชั้นออกไซด์ได้ดีที่สุด เกิดรูพรุนขนาดเล็กกระจายตัวอยู่บนชั้นฟิล์มของไทเทเนียม ทำให้ต้านทานการกัดกร่อนได้ดี เมื่อส่องด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราดจากด้านบนมีลักษณะพื้นผิวที่เรียบเป็นเนื้อเดียวกัน และมีความเสถียรภาพ ส่งผลให้เกิดการเชื่อมประสานระหว่างกระดูกและรากฟันเทียมดีขึ้น นอกจากนี้การหักเหของแสงที่ความหนาของชั้นออกไซด์แตกต่างกันทำให้เกิดสีของไทเทเนียมออกไซด์ที่ต่างกัน ในงานทันตกรรมรากฟันเทียมแอโนไดซ์ไทเทเนียมสีเหลืองและสีชมพูนิยมใช้ในบริเวณที่ต้องการความสวยงาม อย่างไรก็ตามการแอโนไดเซชันในทางทันตกรรมยังมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้คุณสมบัติด้านความสวยงามและการยึดติดที่มีประสิทธิภาพต่อไป The purpose of this article was to conduct a literature review regarding the effect of anodization parameters on the surface characteristics of titanium including electrolyte solution, potential difference, temperature and duration. From the review of the literature, it was found that applying a potential difference of less than 40 V at a temperature of 40 °C in an electrolyte solution with an electric current density of 20 mA/cm2 for more than 20 minutes caused the best oxide formation rate. Small pores were distributed on the titanium film, making it resistant to corrosion well. When viewed from above in scanning electron microscopy, the surface was smooth, homogeneous and stable, resulting in better interface between the bone and the implant. In addition, the light refraction at different thicknesses of the oxide layer caused different colors of titanium oxide. Thus, in dental implants, yellow and pink anodized titanium are commonly used for beauty produces area. However, anodization in dentistry continues to evolve in order to achieve effective aesthetic and bonding properties.</p>สุภัทชา ปาคำมาทัชชกร กุลติยะรัตนะอภิชัย ยาวิราชพิมพ์เดือน รังสิยากูลพิสัยศิษฏ์ ชัยจรีนนท์
Copyright (c) 2024 Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811)
https://creativecommons.org/licenses/by-nc-nd/4.0
2024-02-222024-02-22171151167