รูปแบบการพัฒนาครูโดยใช้การพัฒนาบทเรียนร่วมกันผ่านชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ เพื่อส่งเสริมคุณภาพการจัดการเรียนรู้ของครูโรงเรียนอนุบาลระนอง
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ของครู 2) เพื่อสร้างและตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการพัฒนาครูโดยใช้การพัฒนาบทเรียนร่วมกันผ่านชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ 3) เพื่อศึกษาผลการใช้รูปแบบการพัฒนาครูโดยใช้การพัฒนาบทเรียนร่วมกันผ่านชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ 4) เพื่อประเมินและปรับปรุงรูปแบบการพัฒนาครูโดยใช้การพัฒนาบทเรียนร่วมกันผ่านชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ของครูโรงเรียนอนุบาลระนอง การวิจัยแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน คือ 1) การศึกษาองค์ประกอบและแนวทางการจัดการเรียนรู้ของครู 2) การสร้างและตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการพัฒนาครู 3) การศึกษาผลการใช้รูปแบบการพัฒนาครู และ 4) การประเมินและปรับปรุงรูปแบบการพัฒนาครูโดยใช้การพัฒนาบทเรียนร่วมกันผ่านชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ของครู กลุ่มตัวอย่าง คือ ครูโรงเรียนอนุบาลระนอง จำนวน 36 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบทดสอบ แบบประเมินวิธีการจัดการเรียนรู้ แบบบันทึกการเรียนรู้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) วิธีการจัดการเรียนรู้ของครูมี 3 องค์ประกอบ คือ ความสามารถในการจัดชั้นเรียน ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ และความสามารถในการวัดและประเมินผลผู้เรียน และแนวทางการส่งเสริมวิธีการจัดการเรียนรู้ของครู คือ การส่งเสริมให้ครูได้เรียนรู้ผ่านชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ 2) ผลการสร้างและตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการพัฒนาครูโดยใช้การพัฒนาบทเรียนร่วมกันผ่านชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพที่ส่งเสริมวิธีการจัดการเรียนรู้ของครู พบว่า รูปแบบการพัฒนาครู มี 6 องค์ประกอบ คือ ความเป็นมาของรูปแบบ หลักการ วัตถุประสงค์ การจัดกิจกรรม การวัดและประเมินผล รูปแบบมีความเหมาะสมโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 3) ผลการใช้รูปแบบการพัฒนาครู พบว่า หลังการพัฒนาครูมีความรู้ความเข้าใจสูงกว่าก่อนการพัฒนาโดยรวมร้อยละ 72.89 โดยครูทุกคนมีพัฒนาการเฉลี่ยร้อยละ 72.50 และ ครูมีวิธีการจัดการเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับมาก 4) ผลการประเมินรูปแบบการพัฒนาครูโดยใช้การพัฒนาบทเรียนร่วมกันผ่านชุมชนแห่งการเรียนรู้ทางวิชาชีพ ตามความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้องต่อการใช้รูปแบบในด้านปัจจัยนำเข้า ด้านกระบวนการพัฒนา ด้านผลผลิต และด้านปัจจัยที่เอื้อต่อความสำเร็จ พบว่า ทุกปัจจัยมีจุดเด่นมากกว่าจุดด้อยที่จะต้องพัฒนาและแก้ไขDownloads
Downloads
Published
Issue
Section
License
1) ต้องรับรองว่าผลงานที่ส่งมานั้นเป็นผลงานใหม่และไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน
2) เนื้อหาของบทความจะต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของวารสาร และบทความต้องไม่คัดลอกผลงานของบุคคลอื่น
3) ต้องรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากการทำวิจัย ไม่บิดเบือนข้อมูลหรือให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ
4) ต้องเขียนบทความให้ถูกต้องตามรูปแบบที่กำหนดไว้ใน “คำแนะนำสำหรับผู้เขียน”
5) ต้องปรับบทความตามรูปแบบและขนาดตัวอักษรตามแบบฟอร์ม (template) ของวารสาร
6) ผู้เขียนที่มีชื่อปรากฏในบทความทุกคนต้องเป็นผู้ที่มีส่วนในการดำเนินการวิจัยจริง
7) ต้องอ้างอิงผลงานของผู้อื่น กรณีที่มีการนำผลงานเหล่านั้นมาใช้ในผลงานของตัวเอง รวมทั้งจัดทำรายการอ้างอิงท้ายบทความ
8) ต้องตรวจสอบความถูกต้องของรายการเอกสารอ้างอิงทั้งในแง่ของรูปแบบและเนื้อหา
9) ไม่ควรนำเอกสารวิชาการที่ไม่ได้อ่านมาอ้างอิงหรือใส่ไว้ในเอกสารอ้างอิง ควรอ้างอิงเอกสารเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม ไม่ควรอ้างอิงเอกสารที่มากจนเกินไป
10) ต้องระบุแหล่งทุนที่สนับสนุนในการทำวิจัยนี้และ / หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อน (หากมี) จะต้องระบุในบทความและแจ้งให้บรรณาธิการทราบ