Journal of Research for Learning Reform (วารสารวิจัยเพื่อการปฏิรูปการเรียนรู้) https://ejournals.swu.ac.th/index.php/erdi Educational Research Development and Demonstration Institute, Srinakharinwirot University en-US Journal of Research for Learning Reform (วารสารวิจัยเพื่อการปฏิรูปการเรียนรู้) 2651-1010 <p>1) <span lang="TH">ต้องรับรองว่าผลงานที่ส่งมานั้นเป็นผลงานใหม่และไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน</span></p> <p>2) <span lang="TH">เนื้อหาของบทความจะต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของวารสาร</span> <span lang="TH">และบทความต้องไม่คัดลอกผลงานของบุคคลอื่น</span></p> <p>3) <span lang="TH">ต้องรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากการทำวิจัย</span> <span lang="TH">ไม่บิดเบือนข้อมูลหรือให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ</span></p> <p>4) <span lang="TH">ต้องเขียนบทความให้ถูกต้องตามรูปแบบที่กำหนดไว้ใน</span> “<span lang="TH">คำแนะนำสำหรับผู้เขียน</span>”</p> <p>5) <span lang="TH">ต้องปรับบทความตามรูปแบบและขนาดตัวอักษรตามแบบฟอร์ม</span> (template) <span lang="TH">ของวารสาร</span></p> <p>6) <span lang="TH">ผู้เขียนที่มีชื่อปรากฏในบทความทุกคนต้องเป็นผู้ที่มีส่วนในการดำเนินการวิจัยจริง</span></p> <p>7) <span lang="TH">ต้องอ้างอิงผลงานของผู้อื่น</span> <span lang="TH">กรณีที่มีการนำผลงานเหล่านั้นมาใช้ในผลงานของตัวเอง</span> <span lang="TH">รวมทั้งจัดทำรายการอ้างอิงท้ายบทความ</span></p> <p>8) <span lang="TH">ต้องตรวจสอบความถูกต้องของรายการเอกสารอ้างอิงทั้งในแง่ของรูปแบบและเนื้อหา บทความจะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ที่ใดมาก่อน และไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาของวารสารฉบับอื่น หากตรวจสอบพบว่ามีการตีพิมพ์ซ้ำซ้อน ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว โดยผู้เขียนจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการพิจารณาบทความดังกล่าว</span></p> <p>9) <span lang="TH">ไม่ควรนำเอกสารวิชาการที่ไม่ได้อ่านมาอ้างอิงหรือใส่ไว้ในเอกสารอ้างอิง</span> <span lang="TH">ควรอ้างอิงเอกสารเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม</span> <span lang="TH">ไม่ควรอ้างอิงเอกสารที่มากจนเกินไป</span></p> <p>10) <span lang="TH">ต้องระบุแหล่งทุนที่สนับสนุนในการทำวิจัยนี้และ</span> / <span lang="TH">หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อน</span> (<span lang="TH">หากมี</span>) <span lang="TH">จะต้องระบุในบทความและแจ้งให้บรรณาธิการทราบ</span></p> <p> </p> คำแนะนำสำหรับผู้เขียนและการเตรียมต้นฉบับบทความ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/erdi/article/view/16550 <p>คำแนะนำสำหรับผู้เขียนและการเตรียมต้นฉบับบทความ</p> กองบรรณาธิการ Copyright (c) 2024 2024-12-30 2024-12-30 7 2 การพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษาโดยใช้รูปแบบ ST2C Model เพื่อยกระดับคุณภาพเด็กปฐมวัยตามแนวคิด “เด็กดี วิถีพอเพียง” https://ejournals.swu.ac.th/index.php/erdi/article/view/16507 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อ 1) พัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษาโดยใช้รูปแบบ ST2C Model เพื่อยกระดับคุณภาพเด็กปฐมวัยตามแนวคิด “เด็กดี วิถีพอเพียง” และ 2) ประเมินประสิทธิผลของนวัตกรรมการจัดการศึกษาโดยใช้รูปแบบ ST2C Model เพื่อยกระดับคุณภาพเด็กปฐมวัยตามแนวคิด “เด็กดี วิถีพอเพียง” โครงการวิจัยนี้ดำเนินการวิจัยโดยใช้การวิจัยเชิงผสานวิธี (mixed method) กลุ่มเป้าหมายประกอบด้วยครูปฐมวัยจำนวน 2 คน และเด็กปฐมวัยจำนวน 29 คน จากโรงเรียนวัดหนองคุ้ม จังหวัดปราจีนบุรี ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจงและกลุ่มเป้าหมายสมัครใจและยินดีให้ข้อมูลการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ประกอบด้วย แบบสอบถาม แผนการจัดกิจกรรม แบบบันทึกผลการจัดกิจกรรม และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ ผลการวิจัยพบว่า 1) นวัตกรรมการจัดการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพเด็กปฐมวัยตามแนวคิด “เด็กดี วิถีพอเพียง” ที่เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษาคือรูปแบบ ST2C Model ประกอบด้วย S (School): สถานศึกษาพัฒนาการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยอย่างมีประสิทธิภาพ T (Teacher): ครูปฐมวัยมีศักยภาพด้านการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อส่งเสริมพัฒนาการของเด็กปฐมวัยอย่างเต็มศักยภาพ C (Classroom): การออกแบบห้องเรียนสำหรับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพตามบริบทของสถานศึกษา C (Community): การบริหารจัดการศึกษาที่เน้นทุกฝ่ายมีส่วนร่วม 2) ผลการศึกษาประสิทธิผลของนวัตกรรมการจัดการศึกษาเพื่อยกระดับคุณภาพเด็กปฐมวัยตามแนวคิด “เด็กดี วิถีพอเพียง” พบว่า 2.1) ด้านการพัฒนาคุณภาพการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เด็กปฐมวัย พบว่าสถานศึกษาสามารถจัดทำหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยที่คลุมพัฒนาการของเด็กทั้ง 4 ด้าน สอดคล้องกับบริบทท้องถิ่น ครูสามารถจัดกิจกรรมบูรณาการที่หลากหลายเพื่อพัฒนาคุณลักษณะอันพึงประสงค์ที่เหมาะสมกับวัย และครูสามารถประเมินพัฒนาการของเด็กอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง 2.2) ด้านการบริหารจัดการสถานพัฒนาเด็กปฐมวัย พบว่าสถานศึกษาสามารถบริหารจัดการการจัดการศึกษาโดยใช้รูปแบบ ST2C Model ที่เน้นทุกฝ่ายมีส่วนร่วมอย่างเป็นระบบโดยใช้วงจรคุณภาพ PDCA ซึ่งส่งผลให้ได้รับรางวัลระดับชาติและเป็นแนวปฏิบัติที่ดี และ 2.3) ด้านผลลัพธ์คุณภาพของเด็กปฐมวัย พบว่าเด็กมีพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน สมวัยเต็มศักยภาพทั้งทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา นอกจากนี้กิจกรรมยังส่งเสริมคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ให้เด็กมีคุณธรรม จริยธรรม รู้จักใช้ชีวิตอย่างพอเพียง มีความสุข และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขตามแนวคิด “เด็กดี วิถีพอเพียง” ผลที่ได้การวิจัยนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับหน่วยงานด้านการศึกษาในการนำไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนานวัตกรรมการจัดการศึกษาสำหรับเด็กปฐมวัยที่เหมาะสมกับบริบทของสถานศึกษาต่อไป</p> Pranom Manakit Copyright (c) 2024 Journal of Research for Learning Reform (วารสารวิจัยเพื่อการปฏิรูปการเรียนรู้) 2024-12-30 2024-12-30 7 2 1 16 การพัฒนาความสามารถในการสร้างตัวแทนความคิดเรื่องการไทเทรตกรดและเบส โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานด้วยวิธีการสืบเสาะความรู้ สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 https://ejournals.swu.ac.th/index.php/erdi/article/view/16442 <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสามารถในการสร้างตัวแทนความคิดเรื่องการไทเทรตกรดและเบสโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานด้วยวิธีการสืบเสาะความรู้ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนเรื่องการไทเทรตกรดและเบสโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานด้วยวิธีการสืบเสาะความรู้ และ 3) ประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการจัดการเรียนรู้เรื่องการไทเทรตกรดและเบสโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานด้วยวิธีการสืบเสาะความรู้ กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 29 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย โดยใช้ระยะเวลาในการวิจัย 12 ชั่วโมง เครื่องมือวิจัยคือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานด้วยวิธีการสืบเสาะความรู้ 2) แบบวัดความสามารถการสร้างตัวแทนความคิด 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย 2 ค่าจากกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่ไม่เป็นอิสระจากกัน ผลวิจัยพบว่า 1) ก่อนเรียนผู้เรียนส่วนใหญ่ร้อยละ 63.45 ไม่สามารถสร้างตัวแทนความคิดได้อย่างสมบูรณ์อยู่ในระดับ 0 โดยผู้เรียนไม่สามารถวาดรูปและอธิบายขั้นตอนการทดลองและการเปลี่ยนแปลงสมการกรดและเบส รวมถึงปฏิกิริยาสะเทินที่เกิดขึ้นจากการไทเทรตกรดและเบสได้ แต่หลังเรียนผู้เรียนส่วนใหญ่ร้อยละ 75.87 มีความสามารถในการสร้างตัวแทนความคิดอยู่ในระดับ 3 โดยผู้เรียนสามารถอธิบายปรากฎการณ์ทางเคมีทั้ง 3 ระดับ คือ มหภาค จุลภาค และสัญลักษณ์ได้อย่างสมบูรณ์ 2) การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบหลังเรียน (x̄= 24.59, S.D. = 0.91) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบก่อนเรียน (x̄ = 11.55, S.D. = 0.79) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ค่าเฉลี่ยของคะแนนความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.43, S.D. = 0.71) ผลการวิจัยพบว่าการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานด้วยวิธีการสืบเสาะความรู้ที่เน้นการจำลองสถานการณ์นี้ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีโอกาสสังเกตและสำรวจความเชื่อมโยงในระดับมหาภาค จุลภาคและสัญลักษณ์ สามารถพัฒนาความเข้าใจในเนื้อหาเคมีเชิงลึกของผู้เรียนได้ นอกจากนี้กิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นนี้ยังช่วยลดความยากและความซับซ้อนของเนื้อหาซึ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเข้าใจเนื้อหาเคมีได้มากยิ่งขึ้น</p> Kwanhathai Ardnaree Copyright (c) 2024 Journal of Research for Learning Reform (วารสารวิจัยเพื่อการปฏิรูปการเรียนรู้) 2024-12-30 2024-12-30 7 2 17 37 วิวรรธน์การสอนศาสนาที่บูรณาการคติชนนิเวศพื้นถิ่น ในโรงเรียนพหุวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/erdi/article/view/16435 <p>บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์พัฒนาการการเรียนการสอนศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรมในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2) ศึกษาบริบทของการจัดการเรียนการสอนศาสนาในโรงเรียนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงใหม่ และ 3) เสนอแนวทางการสอนศาสนาที่บูรณาการคติชนพื้นถิ่นเข้าสู่ระบบการศึกษา การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยรวบรวมข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกและการวิเคราะห์เอกสาร กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยประกอบด้วยครูผู้สอนวิชาศาสนา จำนวน 9 คน และนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 9 คน รวมทั้งสิ้น 18 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ การวิเคราะห์เอกสาร และแบบสัมภาษณ์ จากผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม โดยเน้นการเรียนรู้ที่หลากหลายและยืดหยุ่น ครูมีบทบาทสำคัญในการนำหลักสูตรไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ การสอนศาสนามุ่งเน้นการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่เหมาะสมกับยุคสมัย 2) โรงเรียนในเชียงใหม่มีการเปิดกว้างในการเรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาต่าง ๆ ครูและนักเรียนมีทัศนคติที่เปิดใจและยอมรับความหลากหลายทางศาสนา การเรียนรู้แบบเปรียบเทียบความเชื่อเป็นวิธี<br />ที่มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างความเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกัน การเรียนรู้ศาสนามีบทบาทสำคัญในการสร้างทักษะทางสังคมสำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข 3) การบูรณาการคติชนพื้นถิ่นในการเรียนการสอนศาสนาสามารถทำได้ผ่านเรื่องเล่า นิทานพื้นบ้าน หรือการสำรวจสถานที่สำคัญทางศาสนาในชุมชน นอกจากนี้ ควรพัฒนาสื่อการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ที่ใช้มัลติมีเดีย และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างโรงเรียนและชุมชนเพื่อนำหลักสูตรที่สอดคล้องกับค่านิยมท้องถิ่น การวัดผลควรเน้นความเข้าใจในการใช้คติชนพื้นถิ่นในชีวิตประจำวันและการพัฒนาทักษะทางศีลธรรม</p> Kittiphat Srathongchun Copyright (c) 2024 Journal of Research for Learning Reform (วารสารวิจัยเพื่อการปฏิรูปการเรียนรู้) 2024-12-30 2024-12-30 7 2 38 59 การพัฒนาหลักสูตรเสริมสร้างทักษะการเป็นนวัตกรทางภูมิปัญญาผ้าไทยพวน โดยใช้แนวคิดเชิงออกแบบสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย https://ejournals.swu.ac.th/index.php/erdi/article/view/16524 <p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาหลักสูตรเสริมสร้างทักษะการเป็นนวัตกรทางภูมิปัญญาผ้าไทยพวนโดยใช้แนวคิดเชิงออกแบบสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และเพื่อศึกษาประสิทธิผลของการใช้หลักสูตรเสริมสร้างทักษะการเป็นนวัตกรทางภูมิปัญญาผ้าไทยพวนโดยใช้แนวคิดเชิงออกแบบสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ซึ่งใช้กระบวนการวิจัยและพัฒนา แบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 ศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรจากเอกสาร ตำรา งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สัมภาษณ์ปราชญ์ชาวบ้าน จำนวน 5 คน ระยะที่ 2 ออกแบบและพัฒนาหลักสูตร ระยะที่ 3 ทดลองใช้หลักสูตร และระยะที่ 4 ประเมินประสิทธิผลของหลักสูตร กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ จำนวน 15 คน โดยการสุ่มแบบกลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรเสริมสร้างทักษะการเป็นนวัตกรทางภูมิปัญญาผ้าไทยพวน โดยใช้แนวคิดเชิงออกแบบสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ประกอบด้วย หลักการของหลักสูตร จุดประสงค์ของหลักสูตร เนื้อหาสาระ กิจกรรมการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล 2) องค์ประกอบของทักษะการเป็นนวัตกรทางภูมิปัญญาผ้าไทยพวนนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ คือ การคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา การทำงานร่วมกับผู้อื่น และมีกระบวนการทำงานอย่างเป็นระบบ 3) ประสิทธิผลของหลักสูตรเสริมสร้างทักษะการเป็น นวัตกรทางภูมิปัญญาผ้าไทยพวนสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย มีค่าสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดโดยมีค่าประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) ต่อประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 80.00/86.92 4) คะแนนเฉลี่ยทักษะการเป็นนวัตกรทางภูมิปัญญาผ้าไทยพวนสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ในช่วงหลังเรียนพบว่าพบว่ามีความแตกต่างกับเกณฑ์ที่กำหนด โดยมีค่าสูงขึ้นอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติ .05</p> Napasiri Rueksanan Copyright (c) 2024 Journal of Research for Learning Reform (วารสารวิจัยเพื่อการปฏิรูปการเรียนรู้) 2024-12-30 2024-12-30 7 2 60 77 กองบรรณาธิการ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/erdi/article/view/16544 <p>กองบรรณาธิการ</p> กองบรรณาธิการ Copyright (c) 2024 2024-12-30 2024-12-30 7 2 สารบัญ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/erdi/article/view/16551 <p>สารบัญ</p> กองบรรณาธิการ Copyright (c) 2024 2024-12-30 2024-12-30 7 2 ความเป็นมาและถ้อยแถลงบรรณาธิการ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/erdi/article/view/16549 <p>ความเป็นมาและถ้อยแถลงบรรณาธิการ</p> กองบรรณาธิการ Copyright (c) 2024 2024-12-30 2024-12-30 7 2 “อาบป่า” ยามหัศจรรย์ สร้างสรรค์การเรียนรู้ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/erdi/article/view/16525 <p>“อาบป่า” ยามหัศจรรย์ สร้างสรรค์การเรียนรู้ เป็นหนึ่งในทฤษฎีที่นําแนวคิดทาง ธรรมชาติบําบัดมาผนวกกับกระบวนการเรียนรู้ ด้วยการเปิดประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ 1) ตา การมองเห็น 2) หู การได้ยินเสียง 3) จมูก การดมกลิ่น 4) ลิ้น การรับรู้รส และ 5) ผิวหนัง การสัมผัส โดยการใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติหรือหลอมรวมเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เป็นการเพิ่มพลังการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและจิตใจโดยวิธีการชำระล้างร่างกายและจิตใจด้วยธรรมชาติที่เรียกว่า “การอาบป่า”ซึ่งธรรมชาติสามารถกระตุ้นการรับรู้ของสมอง 3 ส่วน คือ 1) สมองส่วนที่คิดวิเคราะห์สถานการณ์ (Executive Area) 2) สมองส่วนที่ทำหน้าที่ตอบสนองต่อสัญญาณจากประสาทสัมผัสจากสิ่งแวดล้อม (Spatial Network) และ 3) สมองส่วนที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกับพฤติกรรม (Default Network) จึงช่วยบำบัดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลบล้างความทรงจำที่เลวร้าย ทำให้รู้สึกดีขึ้น มีการเปิดใจ ยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นและรับฟังคำแนะนำ ซึ่งส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ดีขึ้นและตอบสนองต่อพฤติกรรมทางบวก และยังช่วยบำบัดโรคสมาธิสั้น (ADHD) ส่งผลให้เกิดสมาธิการเรียนรู้ได้ยาวนานขึ้น และยังเกิดแนวคิด (Idea) ดี ๆ มีความคิดสร้างสรรค์ ในการทำงานหรือการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เน้นความคิดระดับสูง 3 ประเภท คือ การแก้ปัญหา การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดสร้างสรรค์ ที่สามารถทำงานร่วมกันอย่างลงตัว นอกจากนี้ การอาบป่า ยังช่วยเสริมสร้างระบบเลือดและระบบภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งเพิ่มเซลล์การต้านมะเร็ง ส่งผลให้มีสุขภาพดีและมีความสุข มีพลังในการเรียนรู้และการใช้ชีวิต</p> Natthaphon Phengsahwat Copyright (c) 2024 Journal of Research for Learning Reform (วารสารวิจัยเพื่อการปฏิรูปการเรียนรู้) 2024-12-30 2024-12-30 7 2 78 89