การพัฒนารูปแบบการบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนด้านระบบฐานข้อมูล นักเรียนรายบุคคล ของโรงเรียนอนุบาลระนอง
Abstract
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาระบบการบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) เพื่อสร้างรูปแบบการบริหารจัดการระบบการบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 3) เพื่อนำรูปแบบการบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่พัฒนาขึ้นไปใช้ในการบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจในรูปแบบการบริหารจัดการระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ด้านระบบฐานข้อมูลนักเรียนรายบุคคล ของโรงเรียนอนุบาลระนอง การวิจัยแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน คือ 1 การศึกษาสภาพปัญหาและการศึกษาเอกสารหลักการแนวคิดที่เกี่ยวข้องเพื่อร่างรูปแบบการพัฒนา 2 การสร้างรูปแบบ 3 การทดลองใช้รูปแบบ และ 4 การประเมินรูปแบบ กลุ่มเป้าหมาย คือ ครูประจำชั้นระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 38 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบศึกษาสภาพแวดล้อมการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน แบบสัมภาษณ์สภาพปัญหา การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ด้านระบบฐานข้อมูลนักเรียนรายบุคคล คู่มือการจัดทำระบบฐานข้อมูลนักเรียนรายบุคคล แบบสัมภาษณ์การใช้งานรูปแบบ แบบศึกษาความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างเนื้อหากับจุดประสงค์ และสถิติพื้นฐาน ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1. การศึกษาสภาพและปัญหา 1) ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล พบว่า ข้อมูลที่ได้ไม่ถูกต้องและครบถ้วน และไม่ตรงตามความจริง ทำให้การแปลผลการประเมินคลาดเคลื่อน 2) ด้านการคัดกรองนักเรียน ข้อมูลที่ครูมีและไม่ตรงกับพฤติกรรมของนักเรียนที่แสดงออก ขาดข้อมูลที่แท้จริง 3) ด้านการส่งเสริมพัฒนานักเรียน พบว่า การดำเนินงานขาดความต่อเนื่อง ยังต้องมีการปรับปรุง 4) ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหา ผู้ปกครองขาดความเข้าใจวิธีการป้องกันและจัดการกับพฤติกรรมที่เป็นปัญหาของเด็ก 5) ด้านการส่งต่อนักเรียน ควรมีการส่งเสริมสนับสนุนนักเรียนในด้านต่าง ๆ ตามศักยภาพและความถนัด 2.การสร้างรูปแบบการบริหารจัดการงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน พบว่า รูปแบบประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ การวางแผน การดำเนินการ การตรวจสอบคุณภาพ และการปรับปรุงแก้ไข 3. การใช้รูปแบบและศึกษาสภาพปัญหาการใช้รูปแบบ พบว่า รูปแบบมีความเป็นระบบเหมาะสมกับบริบทของโรงเรียน มีความชัดเจนตรงกับความต้องการกระชับเวลาเอื้อต่อการทำงานของครู 4 ผลการศึกษาความพึงพอใจของครูประจำชั้นและหัวหน้าสายชั้นที่มีต่อรูปแบบการบริหารจัดการงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน พบว่า โดยรวมอยู่ระดับมากที่สุดDownloads
Downloads
Published
Issue
Section
License
1) ต้องรับรองว่าผลงานที่ส่งมานั้นเป็นผลงานใหม่และไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน
2) เนื้อหาของบทความจะต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของวารสาร และบทความต้องไม่คัดลอกผลงานของบุคคลอื่น
3) ต้องรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากการทำวิจัย ไม่บิดเบือนข้อมูลหรือให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ
4) ต้องเขียนบทความให้ถูกต้องตามรูปแบบที่กำหนดไว้ใน “คำแนะนำสำหรับผู้เขียน”
5) ต้องปรับบทความตามรูปแบบและขนาดตัวอักษรตามแบบฟอร์ม (template) ของวารสาร
6) ผู้เขียนที่มีชื่อปรากฏในบทความทุกคนต้องเป็นผู้ที่มีส่วนในการดำเนินการวิจัยจริง
7) ต้องอ้างอิงผลงานของผู้อื่น กรณีที่มีการนำผลงานเหล่านั้นมาใช้ในผลงานของตัวเอง รวมทั้งจัดทำรายการอ้างอิงท้ายบทความ
8) ต้องตรวจสอบความถูกต้องของรายการเอกสารอ้างอิงทั้งในแง่ของรูปแบบและเนื้อหา
9) ไม่ควรนำเอกสารวิชาการที่ไม่ได้อ่านมาอ้างอิงหรือใส่ไว้ในเอกสารอ้างอิง ควรอ้างอิงเอกสารเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม ไม่ควรอ้างอิงเอกสารที่มากจนเกินไป
10) ต้องระบุแหล่งทุนที่สนับสนุนในการทำวิจัยนี้และ / หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อน (หากมี) จะต้องระบุในบทความและแจ้งให้บรรณาธิการทราบ