“อาบป่า” ยามหัศจรรย์ สร้างสรรค์การเรียนรู้
Abstract
“อาบป่า” ยามหัศจรรย์ สร้างสรรค์การเรียนรู้ เป็นหนึ่งในทฤษฎีที่นําแนวคิดทาง ธรรมชาติบําบัดมาผนวกกับกระบวนการเรียนรู้ ด้วยการเปิดประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ 1) ตา การมองเห็น 2) หู การได้ยินเสียง 3) จมูก การดมกลิ่น 4) ลิ้น การรับรู้รส และ 5) ผิวหนัง การสัมผัส โดยการใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติหรือหลอมรวมเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เป็นการเพิ่มพลังการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนแปลงทั้งทางร่างกายและจิตใจโดยวิธีการชำระล้างร่างกายและจิตใจด้วยธรรมชาติที่เรียกว่า “การอาบป่า”ซึ่งธรรมชาติสามารถกระตุ้นการรับรู้ของสมอง 3 ส่วน คือ 1) สมองส่วนที่คิดวิเคราะห์สถานการณ์ (Executive Area) 2) สมองส่วนที่ทำหน้าที่ตอบสนองต่อสัญญาณจากประสาทสัมผัสจากสิ่งแวดล้อม (Spatial Network) และ 3) สมองส่วนที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกับพฤติกรรม (Default Network) จึงช่วยบำบัดความเครียด ลดอาการซึมเศร้า ลบล้างความทรงจำที่เลวร้าย ทำให้รู้สึกดีขึ้น มีการเปิดใจ ยอมรับปัญหาที่เกิดขึ้นและรับฟังคำแนะนำ ซึ่งส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ดีขึ้นและตอบสนองต่อพฤติกรรมทางบวก และยังช่วยบำบัดโรคสมาธิสั้น (ADHD) ส่งผลให้เกิดสมาธิการเรียนรู้ได้ยาวนานขึ้น และยังเกิดแนวคิด (Idea) ดี ๆ มีความคิดสร้างสรรค์ ในการทำงานหรือการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นกระบวนการที่เน้นความคิดระดับสูง 3 ประเภท คือ การแก้ปัญหา การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดสร้างสรรค์ ที่สามารถทำงานร่วมกันอย่างลงตัว นอกจากนี้ การอาบป่า ยังช่วยเสริมสร้างระบบเลือดและระบบภูมิคุ้มกันต่าง ๆ ของร่างกาย รวมทั้งเพิ่มเซลล์การต้านมะเร็ง ส่งผลให้มีสุขภาพดีและมีความสุข มีพลังในการเรียนรู้และการใช้ชีวิตDownloads
Downloads
Published
Versions
- 2024-12-30 (2)
- 2024-12-30 (1)
Issue
Section
License
1) ต้องรับรองว่าผลงานที่ส่งมานั้นเป็นผลงานใหม่และไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน
2) เนื้อหาของบทความจะต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของวารสาร และบทความต้องไม่คัดลอกผลงานของบุคคลอื่น
3) ต้องรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากการทำวิจัย ไม่บิดเบือนข้อมูลหรือให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ
4) ต้องเขียนบทความให้ถูกต้องตามรูปแบบที่กำหนดไว้ใน “คำแนะนำสำหรับผู้เขียน”
5) ต้องปรับบทความตามรูปแบบและขนาดตัวอักษรตามแบบฟอร์ม (template) ของวารสาร
6) ผู้เขียนที่มีชื่อปรากฏในบทความทุกคนต้องเป็นผู้ที่มีส่วนในการดำเนินการวิจัยจริง
7) ต้องอ้างอิงผลงานของผู้อื่น กรณีที่มีการนำผลงานเหล่านั้นมาใช้ในผลงานของตัวเอง รวมทั้งจัดทำรายการอ้างอิงท้ายบทความ
8) ต้องตรวจสอบความถูกต้องของรายการเอกสารอ้างอิงทั้งในแง่ของรูปแบบและเนื้อหา บทความจะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ที่ใดมาก่อน และไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาของวารสารฉบับอื่น หากตรวจสอบพบว่ามีการตีพิมพ์ซ้ำซ้อน ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว โดยผู้เขียนจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการพิจารณาบทความดังกล่าว
9) ไม่ควรนำเอกสารวิชาการที่ไม่ได้อ่านมาอ้างอิงหรือใส่ไว้ในเอกสารอ้างอิง ควรอ้างอิงเอกสารเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม ไม่ควรอ้างอิงเอกสารที่มากจนเกินไป
10) ต้องระบุแหล่งทุนที่สนับสนุนในการทำวิจัยนี้และ / หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อน (หากมี) จะต้องระบุในบทความและแจ้งให้บรรณาธิการทราบ