การพัฒนาความสามารถในการสร้างตัวแทนความคิดเรื่องการไทเทรตกรดและเบส โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานด้วยวิธีการสืบเสาะความรู้ สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
Abstract
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความสามารถในการสร้างตัวแทนความคิดเรื่องการไทเทรตกรดและเบสโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานด้วยวิธีการสืบเสาะความรู้ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนเรื่องการไทเทรตกรดและเบสโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานด้วยวิธีการสืบเสาะความรู้ และ 3) ประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนต่อการจัดการเรียนรู้เรื่องการไทเทรตกรดและเบสโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานด้วยวิธีการสืบเสาะความรู้ กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 29 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่างง่าย โดยใช้ระยะเวลาในการวิจัย 12 ชั่วโมง เครื่องมือวิจัยคือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานด้วยวิธีการสืบเสาะความรู้ 2) แบบวัดความสามารถการสร้างตัวแทนความคิด 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ย 2 ค่าจากกลุ่มตัวอย่าง 2 กลุ่มที่ไม่เป็นอิสระจากกัน ผลวิจัยพบว่า 1) ก่อนเรียนผู้เรียนส่วนใหญ่ร้อยละ 63.45 ไม่สามารถสร้างตัวแทนความคิดได้อย่างสมบูรณ์อยู่ในระดับ 0 โดยผู้เรียนไม่สามารถวาดรูปและอธิบายขั้นตอนการทดลองและการเปลี่ยนแปลงสมการกรดและเบส รวมถึงปฏิกิริยาสะเทินที่เกิดขึ้นจากการไทเทรตกรดและเบสได้ แต่หลังเรียนผู้เรียนส่วนใหญ่ร้อยละ 75.87 มีความสามารถในการสร้างตัวแทนความคิดอยู่ในระดับ 3 โดยผู้เรียนสามารถอธิบายปรากฎการณ์ทางเคมีทั้ง 3 ระดับ คือ มหภาค จุลภาค และสัญลักษณ์ได้อย่างสมบูรณ์ 2) การเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบหลังเรียน (x̄= 24.59, S.D. = 0.91) สูงกว่าค่าเฉลี่ยของคะแนนทดสอบก่อนเรียน (x̄ = 11.55, S.D. = 0.79) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) ค่าเฉลี่ยของคะแนนความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.43, S.D. = 0.71) ผลการวิจัยพบว่าการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานด้วยวิธีการสืบเสาะความรู้ที่เน้นการจำลองสถานการณ์นี้ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีโอกาสสังเกตและสำรวจความเชื่อมโยงในระดับมหาภาค จุลภาคและสัญลักษณ์ สามารถพัฒนาความเข้าใจในเนื้อหาเคมีเชิงลึกของผู้เรียนได้ นอกจากนี้กิจกรรมการเรียนรู้ที่พัฒนาขึ้นนี้ยังช่วยลดความยากและความซับซ้อนของเนื้อหาซึ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเข้าใจเนื้อหาเคมีได้มากยิ่งขึ้นDownloads
Downloads
Published
Issue
Section
License
1) ต้องรับรองว่าผลงานที่ส่งมานั้นเป็นผลงานใหม่และไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน
2) เนื้อหาของบทความจะต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของวารสาร และบทความต้องไม่คัดลอกผลงานของบุคคลอื่น
3) ต้องรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากการทำวิจัย ไม่บิดเบือนข้อมูลหรือให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ
4) ต้องเขียนบทความให้ถูกต้องตามรูปแบบที่กำหนดไว้ใน “คำแนะนำสำหรับผู้เขียน”
5) ต้องปรับบทความตามรูปแบบและขนาดตัวอักษรตามแบบฟอร์ม (template) ของวารสาร
6) ผู้เขียนที่มีชื่อปรากฏในบทความทุกคนต้องเป็นผู้ที่มีส่วนในการดำเนินการวิจัยจริง
7) ต้องอ้างอิงผลงานของผู้อื่น กรณีที่มีการนำผลงานเหล่านั้นมาใช้ในผลงานของตัวเอง รวมทั้งจัดทำรายการอ้างอิงท้ายบทความ
8) ต้องตรวจสอบความถูกต้องของรายการเอกสารอ้างอิงทั้งในแง่ของรูปแบบและเนื้อหา บทความจะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ที่ใดมาก่อน และไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาของวารสารฉบับอื่น หากตรวจสอบพบว่ามีการตีพิมพ์ซ้ำซ้อน ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว โดยผู้เขียนจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการพิจารณาบทความดังกล่าว
9) ไม่ควรนำเอกสารวิชาการที่ไม่ได้อ่านมาอ้างอิงหรือใส่ไว้ในเอกสารอ้างอิง ควรอ้างอิงเอกสารเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม ไม่ควรอ้างอิงเอกสารที่มากจนเกินไป
10) ต้องระบุแหล่งทุนที่สนับสนุนในการทำวิจัยนี้และ / หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อน (หากมี) จะต้องระบุในบทความและแจ้งให้บรรณาธิการทราบ