วิวรรธน์การสอนศาสนาที่บูรณาการคติชนนิเวศพื้นถิ่น ในโรงเรียนพหุวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม่
Abstract
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์พัฒนาการการเรียนการสอนศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรมในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 2) ศึกษาบริบทของการจัดการเรียนการสอนศาสนาในโรงเรียนที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงใหม่ และ 3) เสนอแนวทางการสอนศาสนาที่บูรณาการคติชนพื้นถิ่นเข้าสู่ระบบการศึกษา การวิจัยนี้ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ โดยรวบรวมข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์เชิงลึกและการวิเคราะห์เอกสาร กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยประกอบด้วยครูผู้สอนวิชาศาสนา จำนวน 9 คน และนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 9 คน รวมทั้งสิ้น 18 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ การวิเคราะห์เอกสาร และแบบสัมภาษณ์ จากผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม โดยเน้นการเรียนรู้ที่หลากหลายและยืดหยุ่น ครูมีบทบาทสำคัญในการนำหลักสูตรไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ การสอนศาสนามุ่งเน้นการเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่เหมาะสมกับยุคสมัย 2) โรงเรียนในเชียงใหม่มีการเปิดกว้างในการเรียนรู้เกี่ยวกับศาสนาต่าง ๆ ครูและนักเรียนมีทัศนคติที่เปิดใจและยอมรับความหลากหลายทางศาสนา การเรียนรู้แบบเปรียบเทียบความเชื่อเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเสริมสร้างความเข้าใจและเคารพซึ่งกันและกัน การเรียนรู้ศาสนามีบทบาทสำคัญในการสร้างทักษะทางสังคมสำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข 3) การบูรณาการคติชนพื้นถิ่นในการเรียนการสอนศาสนาสามารถทำได้ผ่านเรื่องเล่า นิทานพื้นบ้าน หรือการสำรวจสถานที่สำคัญทางศาสนาในชุมชน นอกจากนี้ ควรพัฒนาสื่อการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ที่ใช้มัลติมีเดีย และส่งเสริมความร่วมมือระหว่างโรงเรียนและชุมชนเพื่อนำหลักสูตรที่สอดคล้องกับค่านิยมท้องถิ่น การวัดผลควรเน้นความเข้าใจในการใช้คติชนพื้นถิ่นในชีวิตประจำวันและการพัฒนาทักษะทางศีลธรรมDownloads
Downloads
Published
Versions
- 2024-12-30 (2)
- 2024-12-30 (1)
Issue
Section
License
1) ต้องรับรองว่าผลงานที่ส่งมานั้นเป็นผลงานใหม่และไม่เคยตีพิมพ์ที่ใดมาก่อน
2) เนื้อหาของบทความจะต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของวารสาร และบทความต้องไม่คัดลอกผลงานของบุคคลอื่น
3) ต้องรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจากการทำวิจัย ไม่บิดเบือนข้อมูลหรือให้ข้อมูลที่เป็นเท็จ
4) ต้องเขียนบทความให้ถูกต้องตามรูปแบบที่กำหนดไว้ใน “คำแนะนำสำหรับผู้เขียน”
5) ต้องปรับบทความตามรูปแบบและขนาดตัวอักษรตามแบบฟอร์ม (template) ของวารสาร
6) ผู้เขียนที่มีชื่อปรากฏในบทความทุกคนต้องเป็นผู้ที่มีส่วนในการดำเนินการวิจัยจริง
7) ต้องอ้างอิงผลงานของผู้อื่น กรณีที่มีการนำผลงานเหล่านั้นมาใช้ในผลงานของตัวเอง รวมทั้งจัดทำรายการอ้างอิงท้ายบทความ
8) ต้องตรวจสอบความถูกต้องของรายการเอกสารอ้างอิงทั้งในแง่ของรูปแบบและเนื้อหา บทความจะต้องไม่เคยตีพิมพ์เผยแพร่ที่ใดมาก่อน และไม่อยู่ระหว่างการพิจารณาของวารสารฉบับอื่น หากตรวจสอบพบว่ามีการตีพิมพ์ซ้ำซ้อน ถือเป็นความรับผิดชอบของผู้เขียนแต่เพียงผู้เดียว โดยผู้เขียนจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการพิจารณาบทความดังกล่าว
9) ไม่ควรนำเอกสารวิชาการที่ไม่ได้อ่านมาอ้างอิงหรือใส่ไว้ในเอกสารอ้างอิง ควรอ้างอิงเอกสารเท่าที่จำเป็นอย่างเหมาะสม ไม่ควรอ้างอิงเอกสารที่มากจนเกินไป
10) ต้องระบุแหล่งทุนที่สนับสนุนในการทำวิจัยนี้และ / หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อน (หากมี) จะต้องระบุในบทความและแจ้งให้บรรณาธิการทราบ