วารสารวิจัยและพัฒนาการศึกษาพิเศษ
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/rise
<p><strong>วัตถุประสงค์ของการจัดทำวารสาร </strong><strong>:</strong> </p> <p> เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่ผลงานทั้งบทความวิจัย และบทความวิชาการทางด้านการศึกษาพิเศษ ของคณาจารย์ นิสิต/นักศึกษา นักวิชาการ และบุคลากรที่ทำงานทางด้านการศึกษาพิเศษ ที่ผ่านการพิจารณาจากผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านการศึกษา/ครุศาสตร์ และผู้ทรงคุณวุฒิจากศาสตร์ที่บูรณาการกับด้านการศึกษาพิเศษ เพื่อการนำองค์ความรู้สู่สังคมและประเทศให้เกิดประโยชน์ต่อไป</p> <p> </p> <p><strong>จุดมุ่งหมายและขอบเขตของวารสาร </strong><strong>:</strong></p> <p><strong> </strong>เป็นการนำเสนอผลงานวิจัยและงานทางวิชาการด้านการศึกษาพิเศษ โดยเน้นด้านหลักสูตรและการสอน การวิจัยและประเมินผล การบริหารการพัฒนาการศึกษา เทคโนโลยีการศึกษา การศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ รวมถึงงานอันเกิดจากการบูรณาการศาสตร์ทางการศึกษาพิเศษกับศาสตร์อื่นๆ โดยบทความจะต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองจากผู้ทรงคุณวุฒิในสาขาที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 3 ท่านต่อบทความ แบบ Double-blinded review system</p> <p> </p> <p><strong>กำหนดการเผยแพร่</strong><strong> :</strong></p> <p><strong> </strong>2 ฉบับต่อปี (ฉบับที่ 1: มกราคม – มิถุนายน และ ฉบับที่ 2: กรกฎาคม – ธันวาคม)</p> <p><strong> </strong></p> <p><strong>วารสารวิจัยและพัฒนาการศึกษาพิเศษ </strong>เป็นวารสารที่ผ่านการรับรองคุณภาพของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย [Thai-Journal Citation Index (TCI) Centre] และอยู่ใน วารสารกลุ่มที่ 2 (จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567)</p>
en-US
วารสารวิจัยและพัฒนาการศึกษาพิเศษ
2408-2651
-
บทบรรณาธิการ
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/rise/article/view/17123
<p>-</p>
กองบรรณาธิการ วารสารวิจัยและพัฒนาการศึกษาพิเศษ
Copyright (c) 2025
2025-07-27
2025-07-27
14 1
ง
ง
-
นโยบายและคุณลักษณะของการตีพิมพ์บทความ วารสารวิจัยและพัฒนาการศึกษาพิเศษ
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/rise/article/view/17117
<p>-</p>
กองบรรณาธิการ วารสารวิจัยและพัฒนาการศึกษาพิเศษ
Copyright (c) 2025
2025-07-27
2025-07-27
14 1
98
104
-
สารบัญ
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/rise/article/view/17124
<p>-</p>
กองบรรณาธิการ วารสารวิจัยและพัฒนาการศึกษาพิเศษ
Copyright (c) 2025
2025-07-27
2025-07-27
14 1
จ
ฉ
-
กองบรรณาธิการ
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/rise/article/view/17122
<p>-</p>
กองบรรณาธิการ วารสารวิจัยและพัฒนาการศึกษาพิเศษ
Copyright (c) 2025
2025-07-27
2025-07-27
14 1
ก
ค
-
การพัฒนาความสามารถการอ่านคำศัพท์ ของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ระดับปานกลาง โดยการใช้บัตรคำศัพท์ PICTURE ME READING ร่วมกับการเสริมแรงหลักของพรีแมค
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/rise/article/view/16567
<p>งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความสามารถการอ่านคำศัพท์ของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับปานกลาง ก่อนและหลังการใช้บัตรคำศัพท์ Picture Me Reading ร่วมกับการเสริมแรงหลักของพรีแมค มีกลุ่มเป้าหมายคือ นักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับปานกลาง จำนวน 2 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ บัตรคำศัพท์ Picture me reading, แผนการสอนเฉพาะบุคคล (IIP) และแบบทดสอบความสามารถการอ่านคำศัพท์ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ร้อยละความก้าวหน้ารายกลุ่มและรายบุคคล และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ โดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถการอ่านคำศัพท์ของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาระดับปานกลาง หลังการสอนโดยการใช้บัตรคำศัพท์ Picture Me Reading ร่วมกับการเสริมแรงหลักของพรีแมคสูงกว่าก่อนเรียนและอยู่ในระดับดีเยี่ยม</p>
ดวงพร เรวัณ
ชนิดา มิตรานันท์
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาการศึกษาพิเศษ
2025-07-27
2025-07-27
14 1
1
16
-
การศึกษาสภาพปัญหาด้านการสื่อสาร วิธีการสื่อสาร ผลการใช้วิธีการสื่อสาร และการมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการสื่อสารของเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ หน่วยบริการตรอน
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/rise/article/view/16618
<p>การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา 1) สภาพปัญหาด้านการสื่อสาร 2) วิธีการสื่อสาร 3) ผลของการใช้วิธีการสื่อสาร และ 4) การมีส่วนร่วมของผู้ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการสื่อสารกับเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ กลุ่มเป้าหมาย คือ ครูการศึกษาพิเศษ และผู้ดูแลเด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ ศูนย์การศึกษาพิเศษ ประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ หน่วยบริการตรอน จำนวน 14 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสัมภาษณ์เชิงลึก วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์เนื้อหาการสัมภาษณ์เชิงลึก</p> <p>ผลการศึกษา พบสภาพปัญหาด้านการสื่อสารของเด็กออทิสติก และเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา บางคนสามารถพูดได้เป็นคำ 1 พยางค์ แต่ส่วนใหญ่ ไม่สามารถใช้ภาษาในการพูดสื่อสารได้ ไม่สามารถบอกความต้องการของตนเองได้ เมื่อครูและผู้ดูแลไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการ เด็กจะแสดงพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ เช่น กรีดร้อง เอาหัวโขกพื้น ตีผู้อื่น ขัดขวางต่อการเรียนรู้ และพัฒนาการ ซึ่งครูการศึกษาพิเศษและผู้ดูแล มีวิธีการสื่อสารกับเด็กออทิสติก โดยการใช้บัตรภาพ การสัมผัส การจูงมือ การให้หยิบของสิ่งที่ต้องการ การใช้กระดานสื่อสาร การพูดการอธิบายซ้ำๆ การใช้สื่อที่หลากหลาย การใช้สัญลักษณ์ การใช้สิ่งของและสถานการณ์จริง มีวิธีการสื่อสารกับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา โดยการใช้บัตรภาพ การใช้สายตา ท่าทางในการสื่อสาร การพูดซ้ำๆ การใช้โทรศัพท์ในการเปิดภาพหรือเสียง การใช้ภาษากาย ภาษามือ การเรียกชื่อ การให้หยิบของสิ่งที่ต้องการ การใช้สิ่งของและสถานการณ์จริง การเคาะให้ได้ยินเสียง การสังเกต และการจับมือทำ ผลของการใช้วิธีการสื่อสาร ดังกล่าวส่งผลให้ครูการศึกษาพิเศษและผู้ดูแล กับเด็กออทิสติก มีความเข้าใจกันมากขึ้น เข้าใจความต้องการ เข้าใจภาษาที่สื่อสาร รับรู้ ตอบสนองต่อสิ่งที่เด็กต้องการได้รวดเร็วมากขึ้น ปฏิบัติตามคำสั่งได้มากขึ้น มีพัฒนาการด้านการสื่อสารดีขึ้น สามารถช่วยเหลือตนเองได้ในการทำกิจกรรม มีพฤติกรรมที่ดีขึ้นเมื่อต้องการสิ่งต่างๆ กับเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา สามารถปฏิบัติตามคำสั่ง ปฏิบัติกิจกรรม หรือกิจวัตรประจำวันของตนเองได้ บอกความต้องการของตนเองได้ มีพัฒนาการความเข้าใจภาษาและการแสดงออกทางภาษาดีขึ้น พูดเป็นคำและประโยคเพื่อสื่อสารได้มากขึ้น และนักสหวิชาชีพมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกวิธีการสื่อสาร และสอนวิธีการสื่อสารดังกล่าว ให้ผู้ปกครองนำไปฝึกเด็กที่บ้านอย่างต่อเนื่อง</p>
สุปราณี นันตา
วรางคณา โสมะนันทน์
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาการศึกษาพิเศษ
2025-07-27
2025-07-27
14 1
17
31
-
การพัฒนารูปแบบการสอนแบบเน้นประสบการณ์ เพื่อส่งเสริมสมรรถนะด้านการศึกษาพิเศษ สำหรับนักศึกษาครู
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/rise/article/view/16899
<p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการสอนฯ 2) สร้างและตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการสอนฯ 3) ทดลองใช้รูปแบบการสอนฯ 4) ประเมินและปรับปรุงรูปแบบการสอนฯ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักศึกษาครู คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จำนวน 31 คน ที่ได้จากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ รูปแบบการสอนฯ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบทีแบบไม่อิสระ ผลการศึกษา สรุปได้ดังนี้ 1. ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน พบว่า ปัญหาและความต้องการในการส่งเสริมสมรรถนะด้านการศึกษาพิเศษ สำหรับนักศึกษาครู โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด และสมรรถนะด้านการศึกษาพิเศษที่ความสำคัญและจำเป็นสำหรับนักศึกษาครู ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับการศึกษาพิเศษและการศึกษาแบบเรียนรวม เด็กที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ เทคนิคการสอนในชั้นเรียนรวม การจัดการพฤติกรรมในชั้นเรียนรวม การปรับเปลี่ยนเพื่อการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม และบริการสนับสนุนเพื่อการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม และแนวทางการพัฒนารูปแบบการสอนควรมุ่งเน้นการจัดการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ 2. รูปแบบการสอนฯ ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ คือ แนวคิดพื้นฐาน หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา ขั้นตอนการจัดการเรียนการสอน และการวัดและประเมินผล พัฒนาขึ้นตามแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ 5 ขั้นตอน คือ ขั้นประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม ขั้นการฝึกปฏิบัติ ขั้นการสะท้อนความคิด ขั้นสรุปความคิดรวบยอด และขั้นการทดลองในสถานการณ์ใหม่ และผลการตรวจสอบคุณภาพของรูปแบบการสอนฯ พบว่า มีระดับความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด 3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการสอนฯ พบว่า สมรรถนะด้านการศึกษาพิเศษ สำหรับนักศึกษาครู หลังการทดลองสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความพึงพอใจของนักศึกษาครูที่มีต่อรูปแบบการสอนฯ พบว่า มีระดับความพึงพอใจ อยู่ในระดับมากที่สุด และ 4. รูปแบบการสอนฯ มีระดับคุณภาพในด้านความเป็นประโยชน์ ด้านความเป็นไปได้ ด้านความเหมาะสม และด้านความถูกต้อง อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
อนุชา ภูมิสิทธิพร
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาการศึกษาพิเศษ
2025-07-27
2025-07-27
14 1
32
49
-
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการปฏิบัติงานกับครอบครัวและบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับเด็กพิเศษโดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบออนไลน์ตามแนวคิดห้องเรียนกลับทางร่วมกับโมเดล T5 ที่ส่งผลต่อนักศึกษาพิการที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/rise/article/view/16953
<p>การศึกษาเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาการปฏิบัติงานกับครอบครัวและบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับเด็กพิเศษ ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบออนไลน์ตามแนวคิดห้องเรียนกลับทางร่วมกับโมเดล T5 ของนักศึกษาพิการที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี 2) ศึกษาระดับความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้แบบออนไลน์ตามแนวคิดห้องเรียนกลับทางร่วมกับโมเดล T5 สำหรับนักศึกษาพิการที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ประชากรคือนักศึกษาพิการที่มีความบกพร่องทางการได้ยินที่กำลังศึกษาในคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี จำนวน 4 คน กลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาพิการที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน จำนวน 4 คน ที่ลงทะเบียนเรียนในรายวิชาการปฏิบัติงานกับครอบครัวและบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับเด็กพิเศษ ภาคเรียนที่ 1/2563 ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ใช้เวลาในการจัดการเรียนรู้ 18 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้แบบออนไลน์ตามแนวคิดห้องเรียนกลับทางร่วมกับโมเดล T5 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบสอบถามความพึงพอใจ และแบบบันทึกภาคสนาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้สถิติ Wilcoxon Signed-Rank Test ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาพิการที่มีความบกพร่องทางการได้ยินมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และนักศึกษามีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ในระดับมากที่สุด</p>
ปรีดา กังแฮ
อรุณรัตน์ เดชสุวรรณ
อรรถพร วรรณทอง
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาการศึกษาพิเศษ
2025-07-27
2025-07-27
14 1
50
68
-
การพัฒนาเครื่องมือคัดกรองความเสี่ยงด้านทักษะการฟังเพื่อจับใจความและสื่อความหมายของผู้เรียนในระดับชั้นประถมศึกษาตอนต้น
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/rise/article/view/16957
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) วิเคราะห์องค์ประกอบด้านเนื้อหาและด้านรูปแบบของเครื่องมือคัดกรองความเสี่ยงด้านการฟังเพื่อจับใจความและสื่อความหมายที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพของผู้เรียนในชั้นประถมศึกษาตอนต้น (2) พัฒนาเครื่องมือคัดกรองความเสี่ยงด้านการฟังเพื่อจับใจความและสื่อความหมาย ฯ และ (3) ตรวจคุณภาพเครื่องมือคัดกรองความเสี่ยงด้านทักษะการฟังเพื่อจับใจความและสื่อความหมาย ฯ ใช้การวิจัยเชิงผสมผสานวิธี (Exploratory Sequential Mixed Methods Design) แบ่งเป็น 2 ระยะการวิจัย ได้แก่ ระยะพัฒนาเครื่องมือ ประกอบด้วย (1) แบบสัมภาษณ์เกี่ยวกับทักษะการฟังเพื่อจับใจความในผู้เรียนระดับประถมศึกษาตอนต้น (สำหรับครูผู้สอน) (2) แบบสัมภาษณ์เกี่ยวกับทักษะการฟังเพื่อจับใจความในผู้เรียนระดับประถมศึกษาตอนต้น (สำหรับผู้เชี่ยวชาญ) (3) เครื่องมือคัดกรองความเสี่ยงด้านทักษะการฟังเพื่อจับใจความและสื่อความหมาย ฯ และ (4) แบบทดสอบการฟังเพื่อจับใจความและสื่อความหมายฯ ที่ผ่านการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา ระยะทดลองใช้เครื่องมือ ประกอบด้วย (1) แบบสัมภาษณ์ความคิดเห็นเกี่ยวกับเครื่องมือคัดกรองความเสี่ยงด้านทักษะการฟังเพื่อจับใจความและสื่อความหมาย ฯ และ (2) เครื่องมือคัดกรองความเสี่ยงด้านทักษะการฟังเพื่อจับใจความและสื่อความหมาย ฯ ผลการวิจัยพบว่า (1) เครื่องมือพัฒนาในรูปแบบรายการตรวจสอบ (Checklist) จำนวน 20 ข้อ ครอบคลุมพฤติกรรมการฟัง 7 ด้าน ได้แก่ การตอบคำถาม การปฏิบัติตามคำสั่ง การถ่ายทอดสาร ความสนใจ สมาธิ การสรุปใจความ และการตั้งคำถามตรงประเด็น พร้อมระบบให้คะแนน 3 ระดับ ได้แก่ ไม่เคย บางครั้ง และบ่อยครั้ง (2) เครื่องมือผ่านการตรวจสอบความตรงตามเนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญ มีค่าดัชนีความตรง (IOC) อยู่ในช่วง 0.60–1.00 และ (3) ผลการวิเคราะห์คุณภาพพบว่าค่าความยากเฉลี่ย 0.68 อำนาจจำแนก 0.67 ค่า CITC ระหว่าง .86–.97 และค่าความเที่ยง Cronbach’s alpha เท่ากับ .99 แสดงถึงคุณภาพของเครื่องมือในระดับสูง อีกทั้งมีความตรงตามสภาพในระดับปานกลาง (r = .471, p < .05) สามารถจำแนกผู้เรียนกลุ่มเสี่ยงได้แม่นยำ และได้รับความเห็นจากครูผู้ใช้จริงว่าเหมาะสม ใช้งานสะดวก และช่วยให้สามารถคัดกรองพฤติกรรมการฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีข้อจำกัดด้านเวลา</p>
อริศราภรณ์ เอเวอลีณ หนูจรเพชร
ชนิศา ตันติเฉลิม
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาการศึกษาพิเศษ
2025-07-27
2025-07-27
14 1
ุ69
85
-
ภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8 สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/rise/article/view/16939
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8 สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ และ 2) ศึกษาแนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา กลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8 สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครูผู้สอนและบุคลากรทางการศึกษา ในศูนย์การศึกษาพิเศษของกลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษาศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8 จำนวน 248 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถาม และแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพื้นฐาน ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีความต้องการจำเป็น และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ความต้องการจำเป็นมีค่าดัชนีการสร้างบรรยากาศส่งเสริมองค์กรนวัตกรรม (PNI modified = 0.359) ความเสี่ยงเชิงนวัตกรรม (PNI modified = 0.306) การทำงานเป็นทีมและมีส่วนร่วม (PNI modified = 0.137) ความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม (PNI modified = 0.116) และการมีวิสัยทัศน์นวัตกรรม (PNI modified = 0.066) ตามลำดับ 2) แนวทางการพัฒนาภาวะผู้นำเชิงนวัตกรรมฯ มี 28 แนวทาง ได้แก่ การสร้างบรรยากาศส่งเสริมองค์กรนวัตกรรม จำนวน 6 แนวทาง ความเสี่ยงเชิงนวัตกรรม จำนวน 6 แนวทาง การทำงานเป็นทีมและมีส่วนร่วม จำนวน 6 แนวทาง ความคิดสร้างสรรค์เชิงนวัตกรรม จำนวน 5 แนวทาง และการมีวิสัยทัศน์นวัตกรรมจำนวน 5 แนวทาง</p>
นัฎฐา เครือวิเสน
ปณตนนท์ เถียรประภากุล
Copyright (c) 2025 วารสารวิจัยและพัฒนาการศึกษาพิเศษ
2025-07-27
2025-07-27
14 1
86
97