Thai Pharmaceutical and Health Science Journal - วารสารไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm <p><strong>ไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ</strong></p> <p>วารสารไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ (Thai Pharmaceutical and Health Science Journal) เป็นวารสารวิชาการของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วารสารนี้จัดอยู่ในกลุ่ม 1 (tier 1) ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Journal Citation Index Centre; TCI) และ ASEAN Citation Index (ACI)</p> <p> </p> <p><strong>Impact Factor:</strong> 0.022 for 2018 (by TCI, since August 6, 2019)</p> <p><strong>รูปแบบ: </strong>วารสารตีพิมพ์บทความทั้งรูปแบบเล่ม (print) และออนไลน์ (online)</p> <p><strong>รูปแบบการประเมินต้นฉบับบทความ: </strong>double-blind peer review </p> <p><strong>ISSN: </strong>1905-3460 (print) เริ่มตีพิมพ์เล่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2549 (2006)</p> <p><strong>ISSN: </strong>2672-9687 (online) เริ่มตีพิมพ์ออนไลน์ตั้งแต่ 1 มกราคม 2551 (2008)</p> <p><strong>ความถี่: </strong>ปีละ 4 ฉบับ (ทุก 3 เดือน) โดยตีพิมพ์บทความวิจัยฉบับละ 10 - 12 บทความ</p> <p> </p> <p><strong>วัตถุประสงค์ (</strong><strong>Aim) </strong></p> <p> </p> <p>ไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพมีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาตีพิมพ์บทความวิชาการทั้ง1) บทความผลการศึกษาวิจัยที่แสดงข้อค้นพบใหม่หรือแง่มุมใหม่ทางวิชาการ และ 2) บทความประมวลความรู้ที่ก้าวหน้า ที่ครอบคลุมศาสตร์ทั้งเภสัชศาสตร์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ ของทั้งคณาจารย์ นิสิต/นักศึกษา นักวิจัย เภสัชกร บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข และนักวิทยาศาสตร์</p> <p> </p> <p><strong>ขอบเขต (</strong><strong>Scope)</strong></p> <p> </p> <p><strong>ขอบเขตเนื้อหา</strong> <strong>-</strong> นำเสนอบทความวิจัยและบทความประมวลความรู้ ที่ครอบคลุมศาสตร์สาขาเภสัชศาสตร์ สาขาวิทยาศาสตร์การแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ และสหสาขาวิชาชีพด้านสุขภาพ ดังต่อไปนี้</p> <ul> <li><strong>เภสัชศาสตร์</strong> <strong>(</strong><strong>pharmacy, pharmaceutical sciences)</strong> ได้แก่ เภสัชกรรมปฏิบัติ (pharmacy practice) การบริบาลทางเภสัชกรรม (pharmaceutical care) เทคโนโลยีเภสัชกรรม (pharmaceutical technology) เภสัชเคมี (pharmaceutical/medicinal chemistry) เภสัชวิทยา (pharmacology) เภสัชจลนศาสตร์ (pharmacokinetics) เภสัชพฤกษศาสตร์ (pharmaceutical botany) เภสัชเวทและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ (pharmacognosy and natural products) เภสัชกรรมสังคมและการบริหาร (social and administrative pharmacy) เภสัชเศรษฐศาสตร์ (pharmacoeconomics) โภชนคลินิก (clinical nutrition) อาหารและโภชนาการ (food and nutrition) เครื่องสำอาง (cosmetics) เทคโนโลยีชีวภาพ (biotechnology)</li> <li><strong>วิทยาศาสตร์การแพทย์และวิทยาศาสตร์สุขภาพ</strong> <strong>(</strong><strong>medical and health science)</strong> ได้แก่ เวชกรรม/แพทยศาสตร์ (medicine) ทันตกรรม (dentistry) การพยาบาล (nursing) การสาธารณสุข (public health) การแพทย์เสริมและการแพทย์ทางเลือก (complementary and alternative medicine) สหเวชศาสตร์ (allied health science) กายภาพบำบัด (physical therapy) การตรวจวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการ (diagnostic laboratory science) รวมถึง สรีรวิทยาทางการแพทย์ (medical physiology) กายวิภาคศาสตร์ (anatomy) จุลชีววิทยาทางการแพทย์ (medical microbiology)</li> <li><strong>สหสาขาวิชาชีพด้านสุขภาพ (</strong><strong>multidisciplinary healthcare science) </strong></li> </ul> <p> </p> <p><strong>ขอบเขตรูปแบบ – </strong>บทความวิชาการที่เผยแพร่ครอบคลุมรูปแบบดังต่อไปนี้</p> <ul> <li>บทความวิจัย (original research article)</li> <li>บทความนิพนธ์ปริทรรศน์ (review article)</li> <li>บทความวิชาการในรูปแบบรายงานผู้ป่วยหนึ่งราย (case report) และรายงานผู้ป่วยมากกว่าหนึ่งราย (case-series report)</li> <li>บทความวิจัยสื่อสารอย่างสั้น (short communication)</li> <li>บทความวิชาการในรูปแบบปกิณกะ (miscellaneous)</li> </ul> en-US <span style="font-family: Times New Roman; font-size: small;"> </span><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center; mso-layout-grid-align: none;"><span style="font-size: large;"><strong><span style="font-family: &quot;Browallia New&quot;,&quot;sans-serif&quot;; mso-fareast-font-family: &quot;Times New Roman&quot;;" lang="TH">ลิขสิทธิ์</span></strong><strong><span style="font-family: &quot;Browallia New&quot;,&quot;sans-serif&quot;; mso-fareast-font-family: &quot;Times New Roman&quot;;"> (Copyright)</span></strong><span style="font-family: &quot;Browallia New&quot;,&quot;sans-serif&quot;; mso-fareast-font-family: &quot;Times New Roman&quot;;"> </span></span></p><span style="font-family: Times New Roman; font-size: small;"> </span><p class="MsoBodyTextIndent" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span style="font-family: &quot;Browallia New&quot;,&quot;sans-serif&quot;; font-size: 6pt; mso-fareast-font-family: &quot;Times New Roman&quot;;"> </span></p><span style="font-family: Times New Roman; font-size: small;"> </span><p class="MsoBodyTextIndent" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster;"><span style="font-family: &quot;Browallia New&quot;,&quot;sans-serif&quot;; font-size: 13pt; mso-fareast-font-family: &quot;Times New Roman&quot;;" lang="TH">ต้นฉบับที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารนี้ถือเป็นสิทธิ์ของไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ การนำข้อความใด ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดของต้นฉบับไปตีพิมพ์ใหม่จะต้องได้รับอนุญาตจาก</span><span style="font-family: &quot;Browallia New&quot;,&quot;sans-serif&quot;; font-size: 13pt;" lang="TH">เจ้าของ</span><span style="font-family: &quot;Browallia New&quot;,&quot;sans-serif&quot;; font-size: 13pt; mso-fareast-font-family: &quot;Times New Roman&quot;;" lang="TH">ต้นฉบับและวารสารก่อน</span><span style="font-family: &quot;Browallia New&quot;,&quot;sans-serif&quot;; font-size: 13pt; mso-fareast-font-family: CordiaNew;"> </span></p><span style="font-family: Times New Roman; font-size: small;"> </span><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify; text-justify: inter-cluster; mso-layout-grid-align: none;"><strong><span style="font-family: &quot;Browallia New&quot;,&quot;sans-serif&quot;; font-size: 11pt; mso-fareast-font-family: &quot;Times New Roman&quot;;"> </span></strong></p><span style="font-family: Times New Roman; font-size: small;"> </span><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center; mso-layout-grid-align: none;"><span style="font-size: large;"><strong><span style="font-family: &quot;Browallia New&quot;,&quot;sans-serif&quot;; mso-fareast-font-family: &quot;Times New Roman&quot;;" lang="TH">ความรับผิดชอบ</span></strong><strong><span style="font-family: &quot;Browallia New&quot;,&quot;sans-serif&quot;; mso-fareast-font-family: &quot;Times New Roman&quot;;"> (Responsibility)</span></strong><span style="font-family: &quot;Browallia New&quot;,&quot;sans-serif&quot;; mso-fareast-font-family: &quot;Times New Roman&quot;;"> </span></span></p><span style="font-family: Times New Roman; font-size: small;"> </span><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify; text-indent: 36pt; text-justify: inter-cluster; mso-layout-grid-align: none;"><span style="font-family: &quot;Browallia New&quot;,&quot;sans-serif&quot;; font-size: 6pt; mso-fareast-font-family: &quot;Times New Roman&quot;;"> </span></p><span style="font-family: Times New Roman; font-size: small;"> </span><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: justify; text-indent: 36pt; text-justify: inter-cluster; mso-layout-grid-align: none;"><span style="font-family: &quot;Browallia New&quot;,&quot;sans-serif&quot;; font-size: 13pt; mso-fareast-font-family: &quot;Times New Roman&quot;;" lang="TH">ผลการวิจัยและความคิดเห็นที่ปรากฏในบทความเป็นความรับผิดชอบของผู้นิพนธ์ ทั้งนี้ไม่รวมความผิดพลาดอันเกิดจากเทคนิคการพิมพ์</span></p><span style="font-family: Times New Roman; font-size: small;"> </span> charoen@g.swu.ac.th (Charoen Treesak) jpharmswu@gmail.com (Weerasak Samee) Sun, 29 Dec 2024 03:15:10 +0000 OJS 3.3.0.8 http://blogs.law.harvard.edu/tech/rss 60 การศึกษาปัจจัยและระดับความเชื่อมั่นในการทำเวชปฏิบัติทางการแพทย์แผนไทยประยุกต์ของ ผู้ที่สำเร็จการศึกษาหลักสูตรการแพทย์แผนไทยประยุกต์บัณฑิต Self-efficacy and Its Influencing Factors in the Practice of Applied Thai Traditional Medicine Among the Graduates of the Applied Thai Traditional Medicine Program https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/15541 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาระดับและปัจจัยที่สัมพันธ์กับความเชื่อมั่นในความสามารถแห่งตนในทำเวชปฏิบัติการแพทย์แผนไทยประยุกต์ <strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การศึกษาเชิงพรรณนามีกลุ่มตัวอย่างคือ แพทย์แผนไทยประยุกต์ที่สำเร็จการศึกษาในปีการศึกษา 2552 – 2555 จำนวน 560 คน รับการประเมินโดยใช้แบบสอบถามลักษณะทางประชากรศาสตร์ และความเชื่อมั่นในความสามารถแห่งตนในการปฏิบัติการทางเวชปฏิบัติด้านการแพทย์แผนไทย</p> <p>และปัจจัยที่สัมพันธ์กับความเชื่อมั่นในความสามารถแห่งตนในการปฏิบัติการทางเวชปฏิบัติด้านการแพทย์แผนไทย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนา ทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของความเชื่อมั่น และวิเคราะห์ด้วยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน <strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> การวิเคราะห์ของปัจจัยความเชื่อมั่นในความสามารถแห่งตนในการปฏิบัติทางเวชปฏิบัติการแพทย์แผนไทยแยกตามสาขา พบว่าด้านเวชกรรมแผนไทย หัตถเวชกรรมแผนไทย และ ผดุงครรภ์แผนไทย มีปัจจัยที่ทำให้เกิดความเชื่อมั่นสูงสุดมาจาก การลงมือปฏิบัติทางเวชปฏิบัติด้วยตนเอง รองลงมาคือการเห็นตัวแบบ โดยคิดเป็นมากกว่าร้อยละ 90 ทั้งสองปัจจัย ระดับความยากของการปฏิบัติทางเวชปฏิบัติการแพทย์แผนไทย<strong> </strong>พบว่ามีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 104.22 <u>+</u> 37.28 คะแนน ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อมั่นในความสามารถแห่งตนในการปฏิบัติทางเวชปฏิบัติการแพทย์แผนไทยโดยรวม กับระยะเวลาจากสำเร็จการศึกษาถึงเริ่มทำงาน ระยะเวลาที่ทำงานในที่ปัจจุบัน และจำนวนแห่งที่ทำงาน พบว่าโดยรวมแล้วมีความพันธ์กันในระดับที่ต่ำอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (p &gt; 0.05) ผลวิเคราะห์เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความเชื่อมั่นในความสามารถแห่งตน พบว่าทุกด้านมีคะแนนเฉลี่ยความเชื่อมั่นในความสามารถแห่งตน ของกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เลือกวิชาเลือกนั้น มีคะแนนสูงกว่าคนที่เลือก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในด้านเวชกรรมแผนไทย หัตถเวชกรรมแผนไทย เภสัชกรรมแผนไทย และผดุงครรภ์แผนไทย (p=0.04, 0.001, &lt;0.001, 0.001 ตามลำดับ) <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ผลการศึกษาครั้งนี้ยืนยันให้เห็นว่าในการจัดการเรียนการสอน หรือการอบรมเพื่อเพิ่มพูนความรู้ ทักษะ และความมั่นใจทางการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ต้องให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง รวมทั้งการใช้ตัวแบบ และการใช้คำพูดจูงใจให้เกิดความเชื่อมั่นในความสามารถแห่งตน</p> <p><strong>คำสำคัญ </strong><strong>:</strong> ความเชื่อมั่นในความสามารถแห่งตน ; แพทย์แผนไทยประยุกต์ ; การศึกษา; เวชปฏิบัติ</p> <p><strong>Abstract</strong></p> <p><strong>Objective:</strong> This study explored factors associated with self-efficacy in the practice of Applied Thai Traditional Medicine (ATTM). <strong>Methods:</strong> This descriptive analysis involved 560 graduates from the years 2009 to 2012. Data collection was carried out using questionnaires that assessed self-efficacy, which included sections on general information, a self-efficacy scale, and factors related to self-efficacy. Statistical analyses performed on the collected data included descriptive statistics, T-tests, and Pearson correlation to examine the relationships and differences within the data. <strong>Results:</strong> The analysis revealed that self-efficacy in Thai traditional Medicine (TM), Thai traditional Massage (Tmas), and Thai traditional Midwifery (Tmid) was highly influenced by vicarious experience and mastery experience, with both factors exceeding 90%. The practical difficulty had a mean score of 104.22 ± 37.28. There was no statistically significant correlation between self-efficacy in ATTM practice and the duration for applying job since graduation, the duration of current job, or number of workplace experiences (p &gt; 0.05). The comparison of mean self-efficacy scores between participants who chose the major subject and those who did not revealed that participants who did not choose any major subjects had significantly higher scores in Thai traditional Medicine (TM), Thai traditional Massage (Tmas), Thai traditional Pharmacy (TP), and Thai traditional Midwifery (Tmid), with p-values of 0.04, 0.001, &lt;0.001, and 0.001 respectively.</p> <p><strong>Conclusion:</strong> The findings confirm that academic courses or training programs aimed at improving knowledge, skills, and self-efficacy in Applied Thai Traditional Medicine should provide opportunities for practical, hands-on learning, as well as vicarious experiences and verbal persuasion.</p> <p><strong>Keywords</strong>: Self - efficacy ; Applied Thai traditional medicine; Education; Clinical practice</p> pornnatcha_hen13 Henggrathok; Patkanyakorn Prompituck; Phiyaon Seeloopmork, Nalinthika Nathananwanit, Apinan Jamnian Apinan Jamnian, Pravit Akarasereenont, Veena Sirisuk Copyright (c) 2024 Thai Pharmaceutical and Health Science Journal - วารสารไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/15541 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0000 ปัจจัยทำนายความตั้งใจในการใช้ยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (PrEP) ของกลุ่มเยาวชนชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย จังหวัดชลบุรี Predictors of The Intention to Use Pre-exposure Prophylaxis (PrEP) among Young Men Who Have Sex with Men in Chonburi Province, Thailand https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/16156 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาความตั้งใจและปัจจัยที่สามารถร่วมกันทำนายความตั้งใจในการใช้ยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (PrEP) ของกลุ่มเยาวชนชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย จังหวัดชลบุรี <strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การศึกษาเชิงทำนายมีกลุ่มตัวอย่างคือเยาวชนชายอายุ 18-24 ปี จำนวน 293 คน ใช้วิธีการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบส่งต่อเป็นลูกโซ่ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามที่ตอบด้วยตนเองผ่านระบบออนไลน์ (Google form) ประกอบด้วยข้อมูลส่วนบุคคล ความรู้เกี่ยวกับยา PrEP ทัศนคติต่อการใช้ยา PrEP การคล้อยตามกลุ่มอ้างอิงในการใช้ยา PrEP การรับรู้ความสามารถของตนเองในการใช้ยา PrEP และความตั้งใจในการใช้ยา PrEP วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและสถิติการวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณแบบขั้นตอน <strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> เยาวชนชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชายมีความตั้งใจในการใช้ยา PrEP โดยรวมอยู่ในระดับสูง มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 21.0 (<em>SD</em> = 6.30) ปัจจัยทำนายความตั้งใจในการใช้ยา PrEP ได้แก่ การใช้ถุงยางอนามัย (β = -.218) การรับรู้ความสามารถของตนเองในการใช้ยา PrEP (β = .149) จำนวนคู่นอน (β = .173) และทัศนคติที่มีต่อการใช้ยา PrEP (β = .130) โดยสามารถร่วมกันทำนายความตั้งใจในการใช้ยา PrEP ได้ร้อยละ 11.6 (Adjusted R<sup>2</sup> = .116) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ผลจากการวิจัยนี้จะเป็นแนวทางในการพัฒนาโปรแกรมเพื่อส่งเสริมการใช้ยา PrEP ในกลุ่มเยาวชนชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย ที่เน้นการสร้างทัศนคติที่ดีต่อการใช้ยา PrEP การรับรู้ความสามารถของตนเองในการใช้ยา PrEP และกลุ่มที่ใช้ถุงยางอนามัย</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong>: ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย, ความตั้งใจ, ยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี</p> <p><strong>Objective:</strong> This research aimed to identify the intention and predictors of intention to use PrEP among young men who have sex with men in Chon Buri province. <strong>Method:</strong> In this predictive research, participants were 293 young men who have sex with men aged 18-24 years old. Respondent driven sampling technique (RDS) was used to draw the sample. The research instrument was a self-report e-questionnaire based on Google form. The questionnaires consisted of personal information, knowledge of PrEP, attitudes towards PrEP, normative beliefs of PrEP, and PrEP self-efficacy. Data were analyzed via descriptive statistics and Stepwise multiple regression analysis. <strong>Results:</strong> The findings showed that the mean score of intention to use PrEP among young men who have sex with men was at high level (<em>M</em>=21.0, <em>SD</em>=6.30). The predictors of intention to use PrEP were condom using (β = -.218), PrEP self-efficacy (β = .149), number of sexual partners (β = .173) and attitudes towards PrEP (β = .130). Those explained 11.6 % of the variance in intention to use PrEP (Adjusted R<sup>2</sup> =.116, p &lt; .05) <strong>Conclusion: </strong>The results serve as a guideline for developing programs to promote the use of PrEP among young men who have sex with men, which focusing on enhancing at attitudes towards PrEP, PrEP self-efficacy and those who used condom.</p> <p><strong>Keywords</strong>: Men Who Have Sex with Men, Intention, Pre-exposure Prophylaxis</p> Mananchaya Supamanee, Pornnapa Homsin, Rungrat Srisuriyawat Copyright (c) 2024 Thai Pharmaceutical and Health Science Journal - วารสารไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/16156 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0000 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับความเหนื่อยล้าที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งในผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลาม 1 เดือนหลังการผ่าตัดกระเพาะอาหาร เมืองเหวินโจว ประเทศจีน Factors Related to Cancer-related Fatigue in Advanced Gastric Cancer Patients One-month After Gastrectomy in Wenzhou, China https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/16140 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อประเมินระดับความเหนื่อยล้าที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง และทดสอบความสัมพันธ์กับภาวะนอนไม่หลับ ภาวะโภชนาการ ความวิตกกังวล และการสนับสนุนทางสังคม ซึ่งอาจส่งผลต่อความเหนื่อยล้าในผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลาม 1 เดือนหลังการผ่าตัดกระเพาะอาหาร <strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การศึกษาเชิงความสัมพันธ์มีกลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลามที่มาตรวจและรับการรักษาต่อเนื่องที่แผนกผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน แผนกศัลยกรรมทางเดินอาหาร The First Affiliated Hospital of Wenzhou Medical University in China จำนวน 111 คน ประเมินคนไข้โดยใช้แบบสอบถามภาวะนอนไม่หลับ แบบประเมินภาวะโภชนาการ แบบประเมินความวิตกกังวล แบบประเมินการสนับสนุนทางสังคม และแบบประเมินความเหนื่อยล้าฉบับย่อ ในช่วงสิงหาคม พ.ศ. 2564 ถึงกุมภาพันธ์ พ.ศ.2565 ทดสอบความสัมพันธ์ด้วยสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน <strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> คะแนนเฉลี่ยของความเหนื่อยล้าเท่ากับ 2.71 (SD = 1.50) จาก 10 คะแนน ความแปรปรวนของการนอนหลับ ภาวะเสี่ยงด้านโภชนาการ และความวิตกกังวลมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความเหนื่อยล้าที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง (r = .37<strong>, </strong>p &lt;<strong> .</strong>001<strong>; </strong>r =<strong> .</strong>35, p &lt;<strong> .</strong>001<strong>; r = .</strong>57<strong>; </strong>p &lt; .001 ตามลำดับ) การสนับสนุนทางสังคมมีความสัมพันธ์ทางลบกับความเหนื่อยล้า (r = -<strong> .</strong>40<strong>, </strong>p &lt;<strong> .</strong>001) <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ผลการศึกษาอาจใช้เป็นความรู้พื้นฐานในการพัฒนาแผนการพยาบาลเพื่อส่งเสริมคุณภาพการนอนหลับ ภาวะโภชนาการ การสนับสนุนทางสังคม และลดความวิตกกังวล เพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งกระเพาะอาหารระยะลุกลามภายหลังการผ่าตัดกระเพาะอาหารลดความเหนื่อยล้าที่เกี่ยวกับมะเร็ง</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>:</strong> ความเหนื่อยล้าที่เกี่ยวข้องกับมะเร็ง; ความแปรปรวนของการนอนหลับ; ภาวะเสี่ยงทางโภชนาการ; ความวิตกกังวล; การสนับสนุนทางสังคม; มะเร็งกระเพราะอาหารระยะลุกลาม</p> <p><strong>Abstract</strong></p> <p><strong>Objective: </strong>To determine Cancer-related fatigue (CRF) and determine its relationships with influencing factors (i.e., insomnia, nutritional status, anxiety, and social support) among advanced gastric cancer patients one month after gastrectomy. <strong>Methods:</strong> This correlational study used simple random sampling to recruit 111 participants from the outpatient and inpatient of gastrointestinal surgery department of the First Affiliated Hospital of Wenzhou Medical University in Wenzhou, China. Participants were assessed with Athens Insomnia Scale, Patient-Generated Subjective Global Assessment, Zung Self-Rating Anxiety Scale, Social Support Rating Scale and Brief Fatigue Inventory. Data were collected from August 2021 to February 2022. Pearson’s correlation was used to test correlation. <strong>Results:</strong> The mean score of CRF was 2.71 (SD = 1.50) out of 10. The Pearson correlation analysis revealed that sleep disturbance, nutritional risk, and anxiety were positively associated with CRF (r = .37, p &lt; .001), (r = .35, p &lt; .001), (r = .57, p &lt; .001) respectively and social support was negatively associated with CRF (r = - .40, p &lt; .001). <strong>Conclusion:</strong> The findings can provide a theoretical basis for developing nursing intervention to improve sleep quality, enhance nutrition, reduce anxiety and provide more social support to enable advanced gastric cancer patients after gastrectomy to reduce cancer-related fatigue.</p> <p><strong>Keywords:</strong> cancer-related fatigue (CRF); sleep disturbances; nutritional risks; anxiety; social support; advanced gastric cancer</p> Xiang Yang, Niphawan Samartkit, Chutima Chantamit-o-pas Copyright (c) 2024 Thai Pharmaceutical and Health Science Journal - วารสารไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/16140 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0000 การศึกษาความคงสภาพและการประเมินผลทางคลินิกของสารละลายคลอรัลไฮเดรต รูปแบบสวนทวารหนักสำหรับเด็กที่ตรวจการได้ยินระดับก้านสมอง: การศึกษานำร่อง Stability and Clinical Assessment of Chloral Hydrate Rectal Solution for Pediatric Undergoing Auditory Brainstem Response Testing: A Pilot Study https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/16058 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาความคงสภาพของสารละลายคลอรัลไฮเดรตรูปแบบสวนทวารหนักความเข้มข้นร้อยละ 10 โดยน้ำหนักต่อปริมาตร ภายใต้สภาวะการเก็บรักษาที่แตกต่างกันและประเมินประสิทธิผลในการสงบประสาทเด็กที่ตรวจการได้ยินในระดับก้านสมอง <strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> ศึกษาความคงสภาพทางกายภาพ เคมี และจุลชีววิทยา ของยาเตรียมเฉพาะคราวคลอรัลไฮเดรตรูปแบบสวนทวารหนักความเข้มข้นร้อยละ 10 โดยน้ำหนักต่อปริมาตร ที่เก็บในภาชนะบรรจุขวดแก้วกันแสงภายใต้สภาวะการเก็บรักษาต่าง ๆ (ในตู้เย็นอุณหภูมิ 5 ± 2 องศาเซลเซียส และอุณหภูมิห้อง 25 ± 2 องศาเซลเซียส) โดยประเมินความคงสภาพของตัวอย่างในวันที่ 0, 15, 30, 45, 60 และ 90 ของการศึกษา รวมทั้งประเมินอัตราความสำเร็จในการสงบประสาทเด็ก 10 คนที่ตรวจการได้ยินในระดับก้านสมอง<strong> ผลการศึกษา</strong><strong>: </strong>สารละลายคลอรัลไฮเดรตรูปแบบสวนทวารหนักที่เก็บที่ 5 ± 2 องศาเซลเซียส มีตัวยาสำคัญอยู่ในช่วงค่ามาตรฐาน คือร้อยละ 95 ถึง 110 นาน 90 วัน แต่ที่เก็บที่อุณหภูมิห้องมีระดับตัวยาสำคัญอยู่ในช่วงค่ามาตรฐานนาน 15 วัน ไม่พบเชื้อจุลชีพในสารละลายคลอรัลไฮเดรตที่เก็บภายใต้สภาวะที่แตกต่างกัน อัตราความสำเร็จในการสงบประสาทเด็กที่ตรวจการได้ยินระดับก้านสมองเท่ากับร้อยละ 100 <strong>สรุป</strong><strong>: </strong> สารละลายคลอรัลไฮเดรตรูปแบบสวนทวารหนักความเข้มข้นร้อยละ 10 โดยน้ำหนักต่อปริมาตรมีความคงสภาพ 90 วัน ในภาชนะขวดแก้วปิดสนิทกันแสง ภายใต้สภาวะการเก็บรักษาในตู้เย็นที่อุณหูมิ 5 ± 2 องศาเซลเซียส และมีอัตราความสำเร็จในการสงบประสาทเด็กที่ตรวจการได้ยินระดับก้านสมองเท่ากับร้อยละ 100 โดยไม่พบอาการไม่พึงประสงค์</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>: </strong>การตรวจการได้ยินระดับก้านสมอง<em>; </em>คลอรัลไฮเดรต<em>; </em>โรคเด็ก<em>; </em>การบริหารยาทางทวารหนัก<em>; </em>การสงบประสาท<em>;</em> การศึกษาความคงสภาพ</p> <p><strong>Abstract</strong></p> <p><strong>Objective:</strong> To assess the stability of a 10% w/v chloral hydrate rectal solution under different storage conditions and evaluate its effectiveness in sedating children undergoing auditory brainstem response (ABR) testing. <strong>Method:</strong> The 10% w/v chloral hydrate rectal solution was prepared through extemporaneous compounding and stored in light-resistant glass containers under various conditions: refrigerated (5 ± 2 °C) and room temperature (25 ± 2 °C). The stability of the samples was assessed on days 0, 15, 30, 45, 60, and 90 for physicochemical and microbiological properties. Sedation success rates in 10 children undergoing ABR testing was also examined. <strong>Results: </strong>The refrigerated (5 ± 2 °C) chloral hydrate rectal solution remained stable within the 95.0% to 110.0% standard range for 90 days. In contrast, samples stored at room temperature remained stable for 15 days. Microbiological tests yielded negative results under all conditions indicating the influence of storage conditions on chloral hydrate content. Clinical studies demonstrated a 100% success rate in children undergoing ABR testing. <strong>Conclusion:</strong> The 10% w/v chloral hydrate rectal solution remained stable for at least 90 days when refrigerated (5 ± 2 °C) in a tightly sealed, light-resistant glass container. Rectal administration of the chloral hydrate rectal solution to children undergoing ABR testing resulted in a 100% success rate without any side effects.</p> <p><strong>Keywords: </strong>auditory brainstem response testing; chloral hydrate; pediatric; rectal administration; sedation; stability test</p> chutaporn siripermpool, Watcharaphong Chaemsawang Copyright (c) 2024 Thai Pharmaceutical and Health Science Journal - วารสารไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/16058 Sun, 29 Dec 2024 00:00:00 +0000 การศึกษานำร่องของแอปพลิเคชัน “รู้เท่าทันความเครียด” โดยใช้แนวคิดการบำบัดด้วยการยอมรับ และพันธสัญญาเป็นฐานเพื่อส่งเสริมการคิดเชิงบวก และลดการรับรู้ความเครียดในวัยรุ่นกลุ่มเสี่ยง A Pilot Study of “Be Aware of Stress” Application Base on Acceptance and Commitment Therapy Concept in Promoting Positive Thinking and Reducing Perceived Stress for At-risk Adolescents https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/16047 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชัน “รู้เท่าทันความเครียด” สำหรับวัยรุ่นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาสุขภาพจิตจากความเครียดและศึกษาความเป็นไปได้ของการใช้งาน <strong>วิธีการศึกษา:</strong> การวิจัยกึ่งทดลองแบบ 1 กลุ่มวัดผลก่อนและหลังการทดลองนี้แบ่งเป็น 2 ระยะ คือ 1) พัฒนาแอปพลิเคชันตามกรอบแนวคิดการบำบัดด้วยการยอมรับและพันธะสัญญา และ 2) ทดสอบความเป็นไปได้ของการนำไปใช้ กลุ่มตัวอย่างเป็นวัยรุ่นที่ศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น เดือนธันวาคม พ.ศ.2566 จำนวน 10 คนที่มีภาวะเครียดระดับปานกลางขึ้นไปที่ประเมินด้วยแบบคัดกรองความเครียดเบื้องต้นของกรมสุขภาพจิต (ST-5) และมีสมาร์ตโฟนในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ เลือกแบบเฉพาะเจาะจงจากโรงเรียนขยายโอกาสแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกของประเทศไทย ผู้ทรงคุณวุฒิใช้แบบประเมินการใช้งานแอปพลิเคชันบนมือถือ ส่วนวัยรุ่นตอบแบบสอบถามการคิดเชิงบวกสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา และแบบวัดการรับรู้ความเครียด ก่อนและหลังทดลองใช้ 4 สัปดาห์ และแบบวัดความพึงพอใจต่อการใช้งานแอปพลิเคชันบนมือถือ (ความเป็นไปได้) ที่หลังทดลองใช้ ทดสอบความแตกต่างด้วยสถิติทีแบบไม่อิสระ <strong>ผลการศึกษา:</strong> การทำงานของแอปพลิเคชันทั้ง 6 ฟังก์ชันผ่านการประเมินจากผู้ทรงคุณวุฒิในระดับดี (mean = 4.41 ± 0.68) วัยรุ่นมีความพึงพอใจต่อแอปพลิเคชันระดับสูง (mean = 4.06 ± 0.77) มีระดับการคิดเชิงบวกเพิ่มขึ้น (P-value = 0.008) และการรับรู้ความเครียดลดลง (P-value = 0.002) <strong>สรุป:</strong> แอปพลิเคชัน “รู้เท่าทันความเครียด” มีความเป็นไปได้ในการนำไปใช้เพื่อส่งเสริมการคิดเชิงบวกและลดความเครียดในวัยรุ่นกลุ่มเสี่ยง ควรวิจัยเชิงทดลองอย่างเคร่งครัดในกลุ่มตัวอย่างขนาดใหญ่เพื่อยืนยันประสิทธิผลของแอปพลิเคชันต่อไป</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> แอปพลิเคชันบนมือถือ; แอนดรอยด์; การบำบัดด้วยการยอมรับและพันธสัญญา; การคิดเชิงบวก; การรับรู้ความเครียด; วัยรุ่น; ไทย</p> <p><strong>Abstract</strong></p> <p><strong>Objective: </strong>To develop the <strong>“Be Aware of Stress”</strong> application and test its feasibility. <strong>Method:</strong> Quasi-experimental study with one-group pretest-posttest design was conducted with 2 phases of developing the application by integrating the concept of Acceptance and Commitment Therapy (ACT) and testing its feasibility. The sample included ten adolescents who were studying at junior high school in December 2023. They had at least moderate level of stress as screened through ST-5 and owned an android operative system smartphone. They were purposely recruited from an opportunity expansion school in the eastern part of Thailand. Experts rated the application using guidelines for evaluating the usability of m-Health.Adolescents completed Positive Thinking Test for High School Student and Perceived Stress Questionnaire before and after the 4-week trial, and Satisfaction Scale towards the Mobile Application (feasibility) after the trial. Pre- and post-trial scores were compared using paired t-test. <strong>Results:</strong> All 6 functional components of this Android smartphone application evaluated by the experts were at a good level (mean = 4.41 ± 0.68). Adolescents’ satisfaction with this application was at the high level (mean = 4.06 ± 0.77). After using this application, participants had significantly higher positive thinking scores (P-value = 0.008) and lower perceived stress scores (P-value = 0.002). <strong>Conclusion:</strong> It was feasible to use the <strong>“Be Aware of Stress”</strong> application to improve positive thinking and perceived stress among at-risk adolescents. Vigorous experimental research on larger sample should be conducted to further confirm the effectiveness of this application.</p> <p><strong>Key words:</strong> smartphone application, Android; Acceptance and Commitment Therapy, positive thinking, perceived stress, adolescents; Thai</p> Pornpun Sudjai, Pornpat Hengudomsub Pornpat Hengudomsub Copyright (c) 2024 Thai Pharmaceutical and Health Science Journal - วารสารไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/16047 Sun, 29 Dec 2024 00:00:00 +0000 ปัจจัยทำนายคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพในผู้ป่วยโรคลำไส้อักเสบ Factors Predicting Health-Related Quality of Life in Patients with Inflammatory Bowel Disease https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/15933 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>: </strong>เพื่อประเมินระดับคุณภาพชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพและทดสอบปัจจัยทำนายคุณภาพชีวิตนี้ในผู้ป่วยโรคลำไส้อักเสบในเมืองเหวินโจว ประเทศจีน <strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การศึกษาเชิงสัมพันธ์สุ่มตัวอย่างอย่างง่ายผู้ป่วยโรคลำไส้อักเสบ 150 ราย จากแผนกระบบทางเดินอาหารของโรงพยาบาลในเครือแห่งแรกของมหาวิทยาลัยการแพทย์เหวินโจว เมืองเหวินโจว ประเทศจีน ใช้แบบสอบถามรวบรวมข้อมูลทั่วไป และแบบประเมิน 1) คุณภาพชีวิตด้านสุขภาพของผู้ป่วยโรคลำไส้อักเสบ 2) การรับรู้ภาวะสุขภาพ 3) ภาพลักษณ์ทางกาย 4) การรับรู้ความเครียด 5) การรับรู้ด้านการสนับสนุนทางสังคมแบบหลายมิติ ทดสอบความสัมพันธ์ด้วยการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ <strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> ตัวอย่างมีคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพของระดับปานกลาง (ค่าเฉลี่ย 86.43 จาก 100 คะแนน) พบว่าการสนับสนุนทางสังคม การรับรู้ภาพลักษณ์ทางกาย การรับรู้ภาวะสุขภาพ และการรับรู้ความเครียด ร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของคุณภาพชีวิตด้านสุขภาพอย่างมีนัยสำคัญคิดเป็นร้อยละ 30 (adjusted R<sup>2</sup> = 0.300, F<sub>4,146</sub> = 16.939, P-value &lt; 0.001) โดยปัจจัยที่มีอำนาจทำนายสูงสุดคือการรับรู้ภาวะสุขภาพ (β = -0.341) ตามด้วยการรับรู้ความเครียด (β = -0.205) การรับรู้ภาพลักษณ์ร่างกาย (β = -0.218) และการสนับสนุนทางสังคม (β = 0.147) (P-value &lt; 0.05 ทั้งหมด) <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> คุณภาพชีวิตด้านสุขภาพของคนไข้โรคลำไส้อักเสบชาวจีนมีระดับปานกลาง และสัมพันธ์กับการสนับสนุนทางสังคม การรับรู้ภาพลักษณ์ทางกาย การรับรู้ภาวะสุขภาพ และการรับรู้ความเครียด</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>:</strong> คุณภาพชีวิตด้านสุขภาพ; โรคลำไส้อักเสบ; ภาพลักษณ์ทางกาย; การรับรู้ภาวะสุขภาพ; การรับรู้ความเครียด; การรับรู้การสนับสนุนทางสังคม</p> <p><strong>Abstract</strong></p> <p><strong>Objective:</strong> To determine level of health-related quality of life (HRQOL) and test its predicting factors among patients with inflammatory bowel diseases (IBD) in Wenzhou, China. <strong>Methods</strong>: This correlational study recruited 150 IBD patients from the Department of Gastroenterology in the First Affiliated Hospital of Wenzhou Medical University, Wenzhou, China using simple random sampling method. Demographic characteristics were collected. Questionnaires were used to assess IBD HRQoL, perceived health status, body image, perceived stress, and perceived social support. Associations between HRQoL and its predicting factors were tested using multiple linear regression analysis. <strong>Results:</strong> HRQOL was at a moderate level (mean = 86.43 out of 110 points). Social support, body image dissatisfaction, perceived health status and perceived stress significantly explained 30.0% of the variance in the HRQOL (adjusted <em>R </em><sup>2</sup> = 0.300, F<sub>4,146</sub> = 16.939, P-value &lt; 0.001). The strongest influencing factor was perceived health status (β= -.341 followed by perceived stress (β = -0.205), body image dissatisfaction (β = -0.218) and social support (β = 0.147) (P-value &lt; 0.05 for all). <strong>Conclusion:</strong> HRQOL in Chinese IBD patients was at a moderate level and significantly associated with social support, body image dissatisfaction, perceived health status and perceived stress.</p> <p><strong>Keywords: </strong>health-related quality of life; inflammatory bowel disease; body image; perceived health status,; perceived stress; perceived social support</p> Pornpat - Hengudomsub, Haixia Zhao, Panicha Ponpinij, Pornchai Jullamate Copyright (c) 2024 Thai Pharmaceutical and Health Science Journal - วารสารไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/15933 Sun, 29 Dec 2024 00:00:00 +0000 - ปัจจัยที่มีผลต่อความผาสุกทางใจในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพ Factors Affecting Psychological Well-being at Workplace among Nurses https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/15632 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาความผาสุกทางใจในการทำงานของพยาบาลและปัจจัยที่มีผลต่อความผาสุกทางใจในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพ <strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> กลุ่มตัวอย่างในครั้งนี้คือ พยาบาลวิชาชีพระดับปฏิบัติการโรงพยาบาลรัฐบาลระดับตติยภูมิแห่งหนึ่ง จำนวน 110 คน คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคล แบบสอบถามความผาสุกทางใจในการทำงาน แบบสอบถามความภาคภูมิใจในตนเอง แบบสอบถามสัมพันธภาพกับเพื่อนร่วมงาน แบบสอบถามการรับรู้ภาระงาน แบบสอบถามลักษณะสภาพแวดล้อมในการทำงาน และแบบสอบถามสมดุลชีวิตกับการทำงาน เก็บรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม พ.ศ 2565 ถึงเดือน 30 ธันวาคม พ.ศ 2565 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโดยใช้สถิติสมการถดถอยเชิงเส้นพหุคูณแบบขั้นตอน <strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> พยาบาลวิชาชีพมีความผาสุกทางใจในการทำงานโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง 49.90 (SD = 8.36) ปัจจัยที่มีผลต่อความผาสุกทางใจในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติมี คือ การรับรู้ภาระงาน (β = –.312, p &lt; .001) และลักษณะสภาพแวดล้อมในการทำงาน (β = .276, p &lt; .001) โดยทั้งสองตัวแปรร่วมกันส่งผลต่อความผาสุกทางใจในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพได้ร้อยละ 20.1 (R2 = .201, F(1,109) = 5.235, p &lt; .001) <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> พยาบาลวิชาชีพมีความผาสุกทางใจในการทำงานโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง การรับรู้ภาระงานและลักษณะสภาพแวดล้อมในการทำงานที่มีผลต่อความผาสุกทางใจในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพ ผลการวิจัยสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างความผาสุกทางใจในการทำงานให้กับพยาบาลวิชาชีพที่เริ่มปฏิบัติงาน เพื่อส่งเสริมความผาสุกทางใจในการทำงานของพยาบาลวิชาชีพต่อไป <strong>คำสำคัญ</strong> ความผาสุกทางใจในการทำงาน, พยาบาลวิชาชีพ, การรับรู้ภาระงาน, ลักษณะสภาพแวดล้อมในการทำงาน</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>:</strong> ความผาสุกทางใจในการทำงาน; พยาบาลวิชาชีพ; การรับรู้ภาระงาน; ลักษณะสภาพแวดล้อมในการทำงาน</p> <p><strong>Abstract</strong></p> <p><strong>Objective:</strong> To study the psychological well-being at workplace and factors affecting the psychological well-being at workplace of registered nurses. <strong>Method:</strong> The sample of 110 registered nurses at a Tertiary Care Hospital were selected by a simple random sampling technique. Data collection was conducted using a self-report questionnaire, consisting of 7 parts, namely a personal information questionnaire, a psychological well-being at work questionnaire, a self-esteem questionnaire, a relationship with colleagues questionnaire, a perceived workload questionnaire, a work environment questionnaire and a work-life balance. Data were collected between December 1, 2022, and December 30, 2022. Descriptive statistics, Pearson’s produce moment correlation coefficients and stepwise multiple regression were employed for data analyses. <strong>Results:</strong> The results revealed that the psychological well-being at workplace total mean score was 49.90 (SD = 8.36), which was at a moderate level. The factors affecting the psychological well-being at workplace of registered nurses with statistical significance were perceived workload (β = -.312, p &lt; .001) and work environment (β = .276, p &lt; .001). These two variables together affected the work well-being of registered nurses by 20.1 % (R2 = .201, F(1,109) = 5.235, p &lt; .001)<strong>Conclusion:</strong> Psychological well-being at workplace of registered nurses was at a moderate level. Perceived workload and work environment affected the psychological well-being at workplace of registered nurses. The results of the research can be used as basic information to develop a model for promoting psychological well-being at work for registered nurses beginning their practice to promote psychological well-being in the work of registered nurses.</p> <p><strong>Keywords:</strong> psychological well-being at workplace, registered nurses; perceived workload; work environment</p> Yotsawadi Phongrup, Chanudda Nadkasorn, Pichamon Intaput Copyright (c) 2024 Thai Pharmaceutical and Health Science Journal - วารสารไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/15632 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0000 ปัจจัยที่สัมพันธ์กับพฤติกรรมป้องกันไข้เลือดออกในมารดาที่มีลูกน้อยกว่าห้าคน ในหมู่บ้านโคโมโร ดิลี ติมอร์-เลสเต Factors Related to Dengue Prevention Behaviors Among Mothers of Under Five Children in Comoro Village, Dili Timor-Leste https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/16151 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมป้องกันโรคไข้เลือดออกและความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมกับปัจจัยที่อาจมีผลต่อพฤติกรรม ในมารดาที่มีบุตรไม่เกินห้าคน <strong>วิธีการศึกษา</strong><strong>:</strong> การศึกษาความสัมพันธ์ในมารดา 240 คนที่มีลูกน้อยกว่าห้าคน ในหมู่บ้านโคโมโร ดิลี ติมอร์-เลสเต เลือกโดยการสุ่มแบบกลุ่มอย่างง่าย เครื่องมือมีแบบบันทึกลักษณะทางประชากรศาสตร์ แบบประเมิน 1) ความรู้เกี่ยวกับไข้เลือดออก, การรับรู้โอกาสเกิดโรค การรับรู้ความรุนแรงของโรค, การรับรู้ประโยชน์, การรับรู้อุปสรรค, ความเชื่อมั่นแห่งตน และพฤติกรรมป้องกันโรคไข้เลือดออก ทดสอบความสัมพันธ์ด้วยค่าสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน <strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> มากกว่าครึ่งของมารดามีพฤติกรรมป้องกันโรคไข้เลือดออกระดับต่ำ (53%) พบว่าความรู้เกี่ยวกับไข้เลือดออก (r = .206, p &lt; .01), การรับรู้ความรุนแรงของโรค (r = .172, p &lt; .01), การรับรู้ประโยชน์ (r = .196, p &lt; .01) และ ความเชื่อมั่นแห่งตน (r = .209, p &lt; .01) มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมป้องกันไข้เลือดออกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่การรับรู้โอกาสเกิดโรค (r = -.056, p &gt; .05) และการรับรู้อุปสรรค (r = .013, p &gt; .05) ไม่พบความสัมพันธ์ที่มีนัยสำคัญทางสถิติกับพฤติกรรมป้องกันไข้เลือดออก <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> ผลการศึกษาชี้แนะว่าความจำเป็นต้องเพิ่มพฤติกรรมป้องกันไข้เลือดออกในมารดาที่มีบุตรน้อยกว่าห้าคน </p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>:</strong> พฤติกรรมป้องกันโรคไข้เลือดออก; ความรู้เกี่ยวกับไข้เลือดออก, การรับรู้โอกาสเกิดโรค การรับรู้ความรุนแรงของโรค, การรับรู้ประโยชน์, การรับรู้อุปสรรค, ความเชื่อมั่นแห่งตน</p> <p><strong>Objective</strong>: To describe dengue prevention behaviors among mothers of under five children and to examine factors associated with dengue prevention behaviors among mothers of under five children. <strong>Methods</strong>: This correlation study was conducted among 240 mothers of under five children in Comoro village, Dili Timor Leste by simple cluster random sampling. Seven validated instruments were used to collect mother’s data; a demographic record form, knowledge regarding dengue questionnaire, perceived susceptibility questionnaire, perceived severity questionnaire, perceived benefits questionnaire, perceived barriers questionnaire, self-efficacy questionnaire, and dengue prevention behaviors questionnaire. The data were analyzed using descriptive statistics and Pearson’s correlation analysis. <strong>Results</strong>: More than half of the participants had poor dengue prevention behaviors (53%). It was found that knowledge regarding dengue (<em>r</em> = .206, <em>p</em> &lt; .01), perceived severity (<em>r</em> = .172, <em>p </em>&lt; .01), perceived benefit (<em>r </em>= .196, <em>p</em> &lt; .01) and self-efficacy (<em>r </em>= .209, <em>p</em> &lt; .01) showed statistically significant correlation with dengue prevention behaviors while perceived susceptibility (<em>r</em> = -.056, <em>p</em> &gt; .01) and perceived barrier (<em>r</em> = .013, <em>p</em> &gt; .01) showed no statistically significant correlation with dengue prevention behaviors. <strong>Conclusion</strong>: The findings highlighted there is an urgent need that could focus on enhancing dengue prevention behaviors among mothers of under five children.</p> <p><strong>Keywords</strong>: dengue prevention behaviors; knowledge regarding dengue; perceived susceptibility; perceived severity; self-efficacy</p> <p><strong> </strong></p> Eleonora15 Fernandes Almeida, Chintana Wacharasin, Natchanan Chivanon Copyright (c) 2024 Thai Pharmaceutical and Health Science Journal - วารสารไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/16151 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0000 ความคิดเห็นต่อองค์ประกอบการเรียนรู้ 8 ด้านและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนิสิตเภสัชศาสตร์ ชั้นปีที่ 3เปรียบเทียบระหว่างการเรียนในรูปแบบออนไลน์และผสมผสาน Perceptions of the 8 Dimensions of Learning Components and Academic Performance of Third-Year Pharmacy Students: A Comparison Between Online and Blended Learning https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/16129 <p><strong>วัตถุประสงค์</strong><strong>:</strong> ต้องการศึกษาเปรียบเทียบการเรียนรูปแบบออนไลน์และผสมผสาน ในด้านระดับคะแนนความคิดเห็นของผู้เรียนต่อ 8 องค์ประกอบการเรียนรู้ และหาความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนความคิดเห็นและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ GPA <strong>วิธีการศึกษา:</strong> ใช้แบบสอบถามมาตรวัดลิเคิร์ท 5 ระดับ (1-5 คือ เห็นด้วยน้อยที่สุดถึงเห็นด้วยมากที่สุด) ทดสอบกับผู้เรียนเภสัชศาสตร์ชั้นปีที่ 3 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 81 คน ที่ผ่านการเรียนทั้งสองรูปแบบมาแล้ว (รูปแบบออนไลน์ในภาคเรียนที่ 1 และผสมผสานในภาคเรียนที่ 2) <strong>ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> พบว่าในการเรียนรูปแบบผสมผสาน มีคะแนนความคิดเห็นโดยภาพรวมสูงกว่ารูปแบบออนไลน์ด้วยค่าเฉลี่ย 4.05±0.26, 3.82±0.29 ตามลำดับ (<em>p</em>&lt;0.001)&nbsp;โดยรายองค์ประกอบพบ 6 ใน 8 ด้าน คือ ผู้เรียน เนื้อหา สื่อการสอนและแหล่งเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ การติดต่อสื่อสาร และการวัดประเมินผล มีคะแนนความคิดเห็นของการเรียนแบบผสมผสานสูงกว่ารูปแบบออนไลน์ (<em>p</em>&lt;0.01) ในขณะที่องค์ประกอบด้านผู้สอนและด้านเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ มีคะแนนไม่แตกต่างกัน (<em>p</em>=0.849, 0.547 ตามลำดับ) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน คือเกรดเฉลี่ยรายภาคเรียน (GPA) ของทั้งสองรูปแบบการเรียน ไม่พบความสัมพันธ์กับคะแนนความคิดเห็น (ทั้งคะแนนภาพรวมและคะแนนรายองค์ประกอบ) <strong>สรุป</strong><strong>:</strong> การเรียนรูปแบบออนไลน์และผสมผสานมีผลเปลี่ยนแปลงคะแนนความคิดเห็นต่อองค์ประกอบการเรียนรู้ของผู้เรียน และคะแนนความคิดเห็นดังกล่าวไม่มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เมื่อองค์ประกอบการเรียนรู้รูปแบบผสมผสานสามารถเพิ่มความคิดเห็นทางบวกของผู้เรียนเภสัชศาสตร์ ดังนั้นการเรียนรูปแบบนี้จึงอาจเป็นรูปแบบที่น่าสนใจ ในการพัฒนาปรับปรุงให้เป็นรูปแบบการเรียนรู้ที่ดี สำหรับผู้เรียนสาขานี้หรือสาขาที่เกี่ยวข้องในระดับอุดมศึกษาต่อไป</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>:</strong> การเรียนแบบผสมผสาน, การเรียนแบบออนไลน์, องค์ประกอบการเรียนรู้, ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, ผู้เรียนเภสัชศาสตร์</p> <p><strong>Objective:</strong> To compare online and blended learning regarding students' perception scores toward eight learning components and to find the relationship between perception scores and academic performance (GPA). <strong>Methods:</strong> The study utilized a Likert-scale questionnaire with 5 levels (1-5, from strongly disagree to strongly agree), administered to 81 third-year pharmacy students in the academic year 2021, who had experienced both learning modalities (online in the first semester and blended learning in the second semester).<strong> Results:</strong> the perception scores in blended learning were significantly higher than those in online learning, with mean scores of 4.05±0.26 and 3.82±0.29, respectively (p&lt;0.001). Among the 8 components, 6 components including students, contents, Instructional media and resources, learning process, communication, and assessment showed significantly higher perception scores in blended learning compared to online learning (p&lt;0.01). There were no significant differences in scores for instructors and information technology network components (p=0.849, 0.547, respectively). There was no correlation found between students' academic performance (GPA) and perception scores (both overall and individual component scores). <strong>Conclusion:</strong>&nbsp;Online and blended learning can influence scores of students' perception of learning components, and these perception scores do not correlate with academic performance. Blended learning can positively enhance students' perceptions of learning components, particularly for pharmacy students. Therefore, this learning modality may be worth considering model for further development and improvement to become a good learning method for students in this field or related fields in higher education.</p> <p><strong>Keywords:</strong> Blended learning, Online learning, Learning components, Academic performance, Pharmacy students</p> <p>&nbsp;</p> Achida Jaruchotikamol, Naphassorn Prasit, Achiraya Riewruangsangkul, Pawitra Pulbutr, Benjamart Cushnei Copyright (c) 2024 Thai Pharmaceutical and Health Science Journal - วารสารไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/16129 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0000 ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ การเจริญเติบโตหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ การสนับสนุนทางสังคม ในสตรีหลังทารกตายปริกำเนิด ประเทศจีน Relationships between Post-traumatic Stress Disorder, Post-traumatic Growth, and Social Support in Women with Perinatal Loss in China https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/16053 <p><strong>บทคัดย่อ</strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์:</strong> เพื่อประเมินระดับความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ การเจริญเติบโตหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ การสนับสนุนทางสังคม และทดสอบความสัมพันธ์ของสามปัจจัยนี้ ในสตรีหลังทารกตายปริกำเนิดชาวจีน <strong>วิธีการศึกษา:</strong> ใช้วิธีสุ่มตัวอย่างตามความสะดวกเพื่อคัดเลือกสตรี 131 รายภายใน 6 เดือนหลังทารกตามปริกำเนิด ที่โรงพยาบาล Maternal and Child Health Hospital, Xia Pu County, ประเทศจีน ในช่วงกันยายน 2564 ถึงมิถุนายน 2565 รวบรวมข้อมูลประชากรศาสตร์ ใช้แบบสอบถามประเมินความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ การเจริญเติบโตหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ การสนับสนุนทางสังคม ฉบับภาษาจีน ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิอัลฟาของครอนบาคเป็น 0.90, 0.85 และ 0.93 ทดสอบและแสดงค่าความสัมพันธ์ของเพียร์สัน <strong>ผลการศึกษา:</strong> พบอัตราการเกิดความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจร้อยละ 55.7 ซึ่งค่อนข้างสูง คะแนนเฉลี่ยของการเจริญเติบโตหลังเหตุการณ์สะเทือนใจอยู่ที่ 36.98 ± 5.11 คะแนน ซึ่งต่ำกว่าการศึกษาที่ผ่านมา คะแนนเฉลี่ยการรับรู้การสนับสนุนทางสังคมอยู่ระหว่าง 37 - 60 อยู่ในระดับปานกลาง พบความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจและการเจริญเติบโตหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (r = 0.245, P-value &lt; 0.01) การเจริญเติบโตหลังเหตุการณ์สะเทือนใจและการรับรู้การสนับสนุนทางสังคม (r = 0.173, P-value &lt; 0.05) แต่ความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจและการรับรู้การสนับสนุนทางสังคมไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ (r = 0.052, P-value &gt; 0.05) <strong>สรุป:</strong> ความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจสูงทำให้การเจริญเติบโตหลังเหตุการณ์สะเทือนใจเพิ่มขึ้นด้วย แต่ความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจไม่สัมพันธ์กับการสนับสนุนทางสังคมในสตรีที่สูญเสียปริกำเนิดกลุ่มนี้</p> <p><strong>คำสำคัญ:</strong> ทารกตายปริกำเนิด; ความเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ; การเติบโตหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ; การสนับสนุนทางสังคม; ชาวจีน</p> <p><strong>Abstract</strong></p> <p><strong>Objective:</strong> To determine post-traumatic stress disorder (PTSD), post-traumatic growth (PTG), and social support (SS) and examine their relationships in Chinese women after perinatal loss. <strong>Method:</strong> A convenience sampling method was used to recruit 131 women within 6 months after perinatal loss at the Maternal and Child Health Hospital, Xia Pu County, China. It was conducted from September 2021 to June 2022. Four instruments used for data collection included 1-demographic record form, 2-PTSD Checklist - Civilian Version, 3-Chinese Version of Post Traumatic Growth Inventory and 4-Perceived Social Support Scale. Scales numbers 2 – 4 yielded Cronbach’s alpha coefficients of 0.90, 0.85, and 0.93, respectively. <strong>Results:</strong> The incidence rate of positive PTSD was about 55.7%, which was relatively high. The average score of PTG was 36.98 ± 5.11 point which was lower than previous studies. SS’s average score was between 37 - 60 points, i.e., at the moderate level of perceived social support. There was a positive correlation between PTSD and PTG (r = 0.245, P-value &lt; 0.01), PTG and SS (r = 0.173, P-value &lt; 0.05). There was no significant correlation between PTSD and SS (r = 0.052, P-value &gt; 0.05). <strong>Conclusion:</strong> Heavier PTSD demonstrated stronger PTG among women experiencing perinatal loss. However, PTSD had no association with SS.</p> <p><strong>Keywords:</strong> perinatal loss; post-traumatic stress disorder; post-traumatic growth; social support; Chinese</p> YingXia Chen, Chintana Wacharasin Copyright (c) 2024 Thai Pharmaceutical and Health Science Journal - วารสารไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/16053 Sun, 29 Dec 2024 00:00:00 +0000 การใช้ยาปฏิชีวนะและยาปฏิชีวนะตกค้างในฟาร์มปลานิล: ข้อมูลเบื้องต้นในจังหวัดพะเยา ประเทศไทย Antibiotic Use and Antibiotic Residue in Nile Tilapia Farms: Preliminary Evidence in Phayao, Thailand https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/15939 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p><strong>วัตถุประสงค์</strong>: เพื่อสำรวจความรู้และพฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะของเกษตรกรผู้เลี้ยงปลานิล และวิเคราะห์สารตกค้างของยาปฏิชีวนะในเนื้อปลาเบื้องต้น<strong> วิธีการศึกษา</strong>: ผู้วิจัยสัมภาษณ์เกษตรกรผู้เลี้ยงปลานิล 28 คนในอำเภอเมือง จังหวัดพะเยา ด้วยแบบสอบถามที่ได้รับการตรวจคุณภาพในเรื่องความรู้และพฤติกรรมการใช้ยาปฏิชีวนะของเกษตรกรผู้เลี้ยงปลานิล พร้อมทั้งใช้ชุดตรวจวิเคราะห์การตกค้างของยาปฏิชีวนะในเนื้อปลาในปลานิลจำนวน 15 ตัวอย่าง<strong> ผลการศึกษา</strong><strong>:</strong> เกษตรกรมีความรู้เรื่องข้อบ่งใช้ในการใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อการรักษาโรคในปลา แต่มีเกษตรกรที่อ่านเลขทะเบียนยาได้เพียงร้อยละ 42.86 ทราบวันหมดอายุของยาเพียงร้อยละ 32.14 และเข้าใจวิธีใช้ตามคำแนะนำบนฉลากได้อย่างถูกต้องเพียงร้อยละ50.00 เกษตรกรจำนวนมากไม่ทราบเรื่องยาปฏิชีวนะตกค้างในสิ่งแวดล้อม การดื้อยาปฏิชีวนะ และการติดเชื้อดื้อยาปฏิชีวนะ เกษตรกรบางรายไม่ใช้ยาตามฉลากหรือคำแนะนำของเจ้าหน้าที่และสัตวแพทย์ ทิ้งภาชนะบรรจุและกากเคมีไม่ถูกวิธี ทั้งนี้ ไม่พบยาปฏิชีวนะตกค้างในตัวอย่างเนื้อปลาจากฟาร์มทั้ง 15 ตัวอย่าง<strong> สรุป</strong><strong>:</strong> เกษตรกรกลุ่มตัวอย่างในพื้นที่ ยังคงขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ยาและให้ข้อมูลพฤติกรรมการใช้ยาที่ไม่เหมาะสมในการเลี้ยงปลานิล เพื่อลดปัญหาการดื้อยาในอนาคต จำเป็นต้องส่งเสริมการดำเนินการเพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่เกษตรกรเกี่ยวกับการใช้ยาปฏิชีวนะ</p> <p><strong>คำสำคัญ</strong><strong>:</strong> การใช้ยาปฏิชีวนะ; การดื้อยาปฏิชีวนะ; ยาปฏิชีวนะตกค้าง; ปลานิล; ไทย</p> <p><strong>Abstract</strong></p> <p><strong>Objective: </strong>To determine knowledge and behavior of using antibiotics among tilapia farmers, in addition to a preliminary analysis of antibiotic residues in fish fillets. <strong>Methods: </strong>This study recruited 28 tilapia farmers in Muang district of Phayao Province, Thailand. The questionnaires on knowledge and self-reported practice were validated by experts. Antibiotic residues were quantified in 15 tilapia samples using a field test kit. <strong>Results: </strong>Farmers possessed general knowledge of the objectives of antibiotic applications. However, poor understanding existed. Only 42.86% and 32.14% of farmers could correctly identify drug registration numbers and expiration dates, respectively. Furthermore, 50% reported adhering to label instructions, suggesting a potential disconnect between knowledge and practice. A lack of awareness regarding environmental antibiotic residues, antibiotic resistance, and resistant infections was identified. Inappropriate drug use practices included the dose exceeding recommended dosages and improper disposal of medication containers and waste. No antibiotic residues were detected in the 15 samples of fish fillets. <strong>Conclusion: </strong>There was a knowledge deficit and potential misuse of antibiotics in tilapia farming practices. Interventions and educational initiatives promoting responsible antibiotic use and proper waste management are crucial to address knowledge gaps and ensure sustainable aquaculture practices.</p> <p><strong>Keywords:</strong> antibiotic use; antibiotic resistance; antibiotic residue; Tilapia; Thailand </p> Rujira Panya, Pitchayapa Prommeedech, Poungtong Wongwai, Hathaikan Chowwanapoonpohn, Adinat Umnuaypornlert Copyright (c) 2024 Thai Pharmaceutical and Health Science Journal - วารสารไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/15939 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0000 กรณีศึกษา: ภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากยา Ceftaroline ในผู้ป่วยวิกฤติ Case Report: Ceftaroline-Induced Thrombocytopenia in Critically Ill Patients https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/16379 <p><strong>บทคัดย่อ </strong></p> <p>ยา ceftaroline เป็นยาปฏิชีวนะกลุ่ม cephalosporin ที่ออกฤทธิ์กว้าง รักษาการติดเชื้อแบคทีเรียทั้งแกรมบวก แกรมลบ แบคที่เรียที่ใช้ออกซิเจน และไม่ใช้ออกซิเจน รวมถึงแบคทีเรียดื้อยา บทความนี้กล่าวถึงกรณีศึกษาผู้ป่วยที่รักษาภาวะติดเชื้อ Methicillin-resistant <em>Staphylococcus aureus</em> (MRSA) ในกระแสเลือดด้วยยา ceftaroline แล้วมีภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากการใช้ยา มีผลตรวจทางห้องปฎิบัติการคือ เกล็ดเลือด (platelet) ต่ำกว่าค่ามาตรฐานเดิมของผู้ป่วยหลังได้รับยา 1 วัน ผลการตรวจไขกระดูก (bone marrow biopsy) ตรวจเสมียร์เลือด (peripheral blood smear; PBS) และ Anti-PF4 antibody ไม่พบความผิดปกติที่เป็นสาเหตุทำให้เกล็ดเลือดต่ำ หลังจากหยุดยา 7 วัน พบว่าระดับเกล็ดเลือดสูงขึ้นจนถึงระดับปกติ ผู้ป่วยได้รับการวินิจฉัยว่าเกิดภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากยา ceftaroline และได้เพิ่มประวัติเตือนอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ceftaroline</p> <p><strong>คำสำคัญ :</strong> เซฟทาโรลีน; ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ; ภาวะเกล็ดเลือดต่ำจากยา</p> <p><strong>Abstract</strong></p> <p>Ceftaroline is a broad-spectrum cephalosporin with bactericidal activity against gram-positive, gram-negative, aerobic, anaerobic as well as drug-resistant bacteria. This article discusses a case of an elderly man given with ceftaroline for treating methicillin-resistant <em>Staphylococcus aureus</em> (MRSA) septicemia. After treatment with ceftaroline for 1 day, platelet (Plt) had declined form baseline. The result of bone marrow biopsy, peripheral blood smear, Anti-PF4 antibody showed no abnormalities. After discontinuing ceftaroline for 7 days, the patient's platelet counts improved. The patient was diagnosed with ceftaroline-induced thrombocytopenia, and it was added to his medical history.</p> <p><strong>Keywords:</strong> ceftaroline; thrombocytopenia; drug-induced thrombocytopenia</p> ์nawarat danwattana Copyright (c) 2024 Thai Pharmaceutical and Health Science Journal - วารสารไทยเภสัชศาสตร์และวิทยาการสุขภาพ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/16379 Tue, 31 Dec 2024 00:00:00 +0000 Editorial note, table of content and instructions for authors https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/16557 <p>In this <strong>last </strong>issue of volume 19, the <strong><em>Journal</em></strong> has been proudly presenting five studies. The disciplines and issues of these research papers were somewhat diverse from applied laboratory work, to clinical practice both for pharmacy and nursing.</p> <p>In this challenging endeavor of the <strong>Thai Pharmaceutical and Health Science Journal</strong>, we are hopeful to better the quality of the articles published. We urge more submissions from international research community, regional and global. We would like to thank in advance for any prospective submissions.</p> <p>&nbsp;</p> <p><strong><em>&nbsp;</em></strong><strong><em>&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp;&nbsp; Editor-in-Chief</em></strong></p> Charoen Treesak Copyright (c) 2024 https://ejournals.swu.ac.th/index.php/pharm/article/view/16557 Mon, 30 Dec 2024 00:00:00 +0000