วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jre
<p>วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จัดทำโดยคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้เกิดการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการของนักศึกษา อาจารย์ นักวิจัย ตลอดจนนักวิชาการทั่วไป และเป็นแหล่งกลางในการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการในระดับชาติและพัฒนาไปสู่มาตรฐานในระดับสากลต่อไป</p> <p><strong>กำหนดเผยแพร่วารสาร</strong> ปีละ 2 ฉบับ (ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม)</p> <p><strong>วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ</strong> เป็นวารสารที่ผ่านการรับรองคุณภาพของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย [Thai-Journal Citation Index (TCI) Centre] และอยู่ใน <strong>วารสารกลุ่มที่ 2</strong> (จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567)<br /><br /><strong>กองบรรณาธิการวารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ</strong> มีนโยบายเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ (Processing fees and/or Article Page) จากผู้นิพนธ์บทความ จำนวน 3,500 บาท / บทความ </p> <p>การพิจารณาบทความ จะผ่านการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน / บทความ </p> <p> </p>
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
en-US
วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2774-0781
-
ผลการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีต่อทักษะการเรียนรู้ร่วมกันสำหรับนักศึกษา หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jre/article/view/16168
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบทักษะการเรียนรู้ร่วมกันของนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน 2) ศึกษาความพึงพอใจของนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาไทย ชั้นปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 28 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบ 3) แบบประเมินความพึงพอใจ ได้ค่าความเชื่อมั่น 0.854 วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบที ผลการวิจัยพบว่า 1) ทักษะการเรียนรู้ร่วมกันของนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2) ความพึงพอใจของนักศึกษาหลักสูตรครุศาสตรบัณฑิตเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ แบบร่วมมือ โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก</p>
ณฐกร ดวงพระเกษ
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2024-12-18
2024-12-18
19 2
1
13
-
การเยียวยาความโดดเดี่ยวในผู้สูงอายุด้วยการปรึกษาเชิงบูรณาการ โดยมีทฤษฎีภวนิยมเป็นฐาน
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jre/article/view/16022
<p>การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาการเยียวยาความโดดเดี่ยวของผู้สูงอายุด้วยการปรึกษาเชิงบูรณาการ โดยมีทฤษฎีภวนิยมเป็นฐาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ ผู้สูงอายุที่อยู่ในชุมชนวัดปากบ่อ กรุงเทพมหานคร ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีความสมัครใจในการเข้าร่วมการทดลอง ทำแบบประเมินความโดดเดี่ยวและได้คะแนนระดับปานกลางที่อยู่ในช่วง 41 – 60 คะแนน โดยคัดเลือกจากคะแนนสูงสุดลงมา จำนวน 20 คน ผู้วิจัยใช้วิธีการจับคู่เพื่อแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 10 คน และกลุ่มควบคุม 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองประกอบด้วย แบบวัดความโดดเดี่ยวและการปรึกษาเชิงบูรณาการ โดยมีทฤษฎีภวนิยมเป็นฐาน โดยมีการให้การปรึกษาทั้งหมด 10 ครั้ง สัปดาห์ละ 2 ครั้งและใช้เวลาในการให้การปรึกษาแต่ละครั้ง 90 นาที มีการเก็บข้อมูลและดำเนินการในระยะก่อนการทดลอง ระยะหลังการทดลองและระยะติดตามผล จากนั้นนำคะแนนความโดดเดี่ยวมาวิเคราะห์ ด้วยวิธีการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซํ้าประเภทหนึ่งตัวแปรระหว่างกลุ่มและหนึ่งตัวแปรภายในกลุ่ม และใช้วิธีทดสอบรายคู่แบบบอนเฟอโรนี ผลการศึกษาพบว่ามีปฏิสัมพันธ์ระหว่างวิธีการทดลองกับระยะเวลาการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ทั้งนี้ ผู้สูงอายุที่ได้รับการปรึกษาเชิงบูรณาการโดยมีทฤษฎี ภวนิยมเป็นฐานมีคะแนนความโดดเดี่ยวตํ่ากว่ากลุ่มควบคุม ทั้งในระยะหลังการทดลองและระยะติตตามผลอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผู้สูงอายุในกลุ่มทดลองที่ได้รับการปรึกษาเชิงบูรณาการโดยมีทฤษฎีภวนิยมเป็นฐาน มีคะแนนความโดดเดี่ยวในระยะหลังการทดลองและระยะติดตามผลตํ่ากว่าระยะก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
วรรณพร ปั้นมณี
เพ็ญนภา กุลนภาดล
สรพงษ์ เจริญกฤตยาวุฒิ
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2024-12-18
2024-12-18
19 2
14
28
-
การวิเคราะห์องค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jre/article/view/16052
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาและครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 345 คน โดยจำแนกเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 162 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง และครู จำนวน 183 คน ได้มาจากวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้นตามสัดส่วน ของครูในแต่ละกลุ่มอำเภอ ในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ โดยใช้การวิเคราะห์ด้วยวิธี สกัดองค์ประกอบหลักหลังหมุนแกนแบบมุมฉากด้วยวิธีแวริแมกซ์ ผลการศึกษาพบว่า องค์ประกอบภาวะผู้นำ เชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ ด้านการมีความยุติธรรมในการปฏิบัติงาน ด้านการบริหารจัดการสถานศึกษา ด้านการทำงาน กับผู้อื่นอย่างเป็นมิตร ด้านการประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดีกับผู้อื่น และด้านความซื่อสัตย์สุจริตต่อหน้าที่ สามารถอธิบายองค์ประกอบภาวะผู้นำเชิงจริยธรรมของผู้บริหารสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุโขทัย เขต 2 ได้ร้อยละ 56.85</p>
ศิริพร จอมสังข์
สถิรพร เชาวน์ชัย
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2024-12-18
2024-12-18
19 2
29
41
-
ผลของการใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบหลักการ CPA ที่มีต่อทักษะการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาทฤษฎีบทพีทาโกรัส ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jre/article/view/16064
<p>การแก้โจทย์ปัญหาวิชาคณิตศาสตร์มีการวิเคราะห์หลายขั้นตอนและเข้าใจได้ยาก ผู้วิจัยจึงใช้วิธีการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบหลักการ CPA ในการแก้โจทย์ปัญหาทฤษฎีบทพีทาโกรัส เริ่มจาก Concrete(C) เรียนรู้ผ่านสิ่งที่เป็นรูปธรรม สัมผัสได้เพื่อเป็นสัญลักษณ์มโนมติ Pictorial (P) เรียนรู้ผ่านภาพ เน้นให้สร้างภาพขององค์ความรู้ไปสู่ Abstract ได้ และ Abstract(A) เรียนรู้ผ่านสัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ การเรียนคณิตศาสตร์ผ่านสิ่งที่เป็นรูปธรรม นักเรียนมองภาพรวมได้ง่ายทำให้คณิตศาสตร์เป็นเรื่องใกล้ตัวและมีมโนมติทางคณิตศาสตร์ถูกต้อง การวิจัยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาทฤษฎีบทพีทาโกรัส ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 2 ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบหลักการ CPA 2) เพื่อศึกษาผลการพัฒนาทักษะการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาทฤษฎีบทพีทาโกรัสของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบหลักการ CPA 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบหลักการ CPA ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แผนการจัดการเรียนรู้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและวัดทักษะการแก้โจทย์ปัญหา และแบบประเมินความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบหลักการ CPA นำไปใช้กับนักเรียนโรงเรียนมัธยมสาธิตวัดพระศรีมหาธาตุฯ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 47 คน ใช้สถิติทดสอบทีในการทดสอบสมมติฐานของการวิจัย ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง โจทย์ปัญหาทฤษฎีบทพีทาโกรัส ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบหลักการ CPA สูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้ เนื่องจากคะแนนก่อนเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 12.49 คะแนน และคะแนนหลังเรียนมีคะแนนเฉลี่ย 23.98 คะแนน 2)ทักษะการแก้โจทย์ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาทฤษฎีบทพีทาโกรัส ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 หลังได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบหลักการ CPA โดยนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 23.98 คิดเป็นร้อยละ 79.93 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการเรียนรู้แบบหลักการ CPA อยู่ในระดับมากที่สุด</p>
นลิตา สอนวารี
ปกรชัย เมืองโคตร
รุ่งโรจน์ ศรีจันทร์แก้ว
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2024-12-18
2024-12-18
19 2
42
55
-
ผลของการจัดการเรียนรู้ด้วยเกมกระดานการปฐมพยาบาลและช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน ตามหลักเกณฑ์การคัดแยกผู้ป่วย ณ จุดเกิดเหตุ ของนักศึกษาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jre/article/view/16132
<p>การวิจัยนี้เป็นการศึกษาแบบกึ่งทดลอง (Quasi experimental research) ศึกษากลุ่มเดียวและมีการทดสอบความรู้ก่อนและหลังทดลอง (One group pretest - posttest design) โดยจัดการเรียนการสอนด้วยเกมกระดานที่พัฒนาขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาเกมการปฐมพยาบาลและช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานตามหลักเกณฑ์การคัดแยกผู้ป่วย ณ จุดเกิดเหตุ 2) ศึกษาผลของการเรียนรู้ด้วยเกมกระดานการปฐมพยาบาลและช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานตามหลักเกณฑ์การคัดแยกผู้ป่วย ณ จุดเกิดเหตุของนักศึกษาสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษาสาขาวิชาสาธารณสุขศาสตร์ คณะวิทยาลัยมวยไทยศึกษาและการแพทย์แผนไทย ที่ลงทะเบียนในรายวิชาการปฐมพยาบาล คำนวนขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้โปรแกรม G*power กําหนดค่าอิทธิพลขนาดกลาง (Effect size)=0.5 ค่าความคลาดเคลื่อน (Type I error: α) =0.05 และ ค่า Power = 0.80 ได้จำนวน 34 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ 1) เกมกระดานที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3) แบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ จำนวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติ Paired sample t – test เพื่อเปรียบเทียบคะแนนก่อน-หลัง ผลการวิจัยพบว่า 1) นวัตกรรมการเรียนรู้คือ เกมกระดานการปฐมพยาบาลและช่วยชีวิตขั้นพื้นฐานตามหลักเกณฑ์การคัดแยกผู้ป่วย ณ จุดเกิดเหตุ ประกอบด้วย กระดานเกม ลูกเต๋า คู่มือการเล่น การ์ดคำถาม ตัวเดิน ใช้เวลา 4 สัปดาห์ 2) นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภายหลังจัดการเรียนการสอนด้วยเกมกระดานสูงกว่าก่อนใช้เกมกระดาน (X<em>=</em>15.50,SD=3.02/ X<em>=</em>9.71,SD=4.05) ซึ่งคะแนนเฉลี่ยสูงกว่าก่อนเรียนเพิ่มขึ้น 5.79 คะแนนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value<0.01) 3) นักศึกษามีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( X<em>=</em>4.38,SD=0.86) ทั้งนี้ผู้สอนควรเพิ่มโอกาสในการเรียนรู้โดยการนำเกมการศึกษามาใช้สนับสนุนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งในและนอกเวลาเรียน เพราะเกมเป็นกิจกรรมที่จัดสภาพแวดล้อมของผู้เรียนให้เกิดการแข่งขันอย่างมีกฎเกณฑ์ และเป็นกิจกรรมเพื่อความสนุกสนานซึ่งทำให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นที่จะเรียน ส่งเสริมการพัฒนาทักษะกระบวนการคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหา อีกทั้งเกมการศึกษานี้ยังมีความต่อเนื่องส่งเสริมให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ไปพร้อมกับการเล่นเกม สามารถพัฒนาทักษะการแสวงหาความรู้และการนำความรู้มาประยุกต์ใช้เพื่อการพัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่</p>
รัชดาพร ฐานมั่น
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2024-12-18
2024-12-18
19 2
55
66
-
การพัฒนาหลักสูตรคณิตศาสตร์ออนไลน์โดยประยุกต์ใช้ The 3T Framework ร่วมกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก สำหรับนักเรียนระดับประถมศึกษาโรงเรียนขนาดเล็ก สังกัดกรุงเทพมหานคร
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jre/article/view/16141
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาบริบท สภาพปัญหาและความต้องการใช้หลักสูตรคณิตศาสตร์ออนไลน์ของโรงเรียนขนาดเล็กในสังกัดกรุงเทพมหานคร 2) พัฒนาหลักสูตรคณิศาสตร์ออนไลน์ กลุ่มเป้าหมายในการศึกษาบริบทและความต้องการของโรงเรียน ได้แก่ ผู้บริหารและครูจำนวน 10 คน อาจารย์จำนวน 3 คน และ นักศึกษา จำนวน 5 คน ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1)แบบสำรวจสภาพปัญหาและความต้องการ 2) แบบประเมินประสิทธิภาพของหลักสูตรฯ สำหรับผู้เชี่ยวชาญ ผลวิจัย 1) บริบทของโรงเรียนมีความขาดแคลนด้านบุคลากรโดยเฉพาะครูผู้สอนในรายวิชาคณิตศาสตร์ แต่โรงเรียนมีความพร้อมในด้านระบบโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยี สารสนเทศและครูสามารถใช้สื่อการสอนและหลักสูตรออนไลน์ได้ โดยพบปัญหาว่านักเรียนขาดแคลนอุปกรณ์ในการเรียนออนไลน์ รวมถึงนักเรียนขาดความสนใจในการเรียนและต้องการหลักสูตรออนไลน์ที่มีคุณภาพและสอดคล้องตามบริบท โดยมีลักษณะเป็นหลักสูตรแบบผสมผสาน 2) หลักสูตรคณิตศาสตร์ออนไลน์มีการจัดกิจกรรมโดยประยุกต์ใช้ The 3T Framework ร่วมกับการจัดการเรียนรู้เชิงรุก ระยะเวลาดำเนินการของหลักสูตร 30 ชั่วโมง ประกอบด้วยรูปแบบการเรียนการสอนแบบประสานเวลา (Synchronous) มีครูเป็นผู้นำในการดำเนินกิจกรรม จำนวน 12 ชั่วโมง และ รูปแบบไม่ประสานเวลา (Asynchronous) นักเรียนเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์และแพลตฟอร์มออนไลน์ จำนวน 18 ชั่วโมง เนื้อหาเรื่องอัตราส่วน สื่อการเรียนรู้ ประกอบด้วย เว็บไซต์ วิดีโอ มัลติมีเดียปฏิสัมพันธ์ เกมการศึกษา และแบบฝึกหัด ที่พัฒนาโดยใช้ Canva Zoom YouTube และ Scratch ผลการประเมินประสิทธิภาพของหลักสูตรฯ พบว่ามีความสอดคล้องทั้งในด้านเนื้อหา และด้านเทคโนโลยี ผลการประเมินหลักสูตรฯในภาพรวมมีความเหมาะสมอยู่ระดับมากที่สุด</p>
เอมมิกา วชิระวินท์
สินชัย จันทร์เสม
ประภาวรรณ สมุทรเผ่าจินดา
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2024-12-18
2024-12-18
19 2
67
83
-
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jre/article/view/16150
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ (1) เพื่อหาคุณภาพของเครื่องมือในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 (2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD (3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสุเหร่าศาลาแดง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 22 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ (1) แบบฝึกทักษะ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน (2) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะที่ใช้ร่วมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบ dependent samples t-test พบว่า (1) คุณภาพของเครื่องมือในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะที่ใช้ร่วมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีคุณภาพดีมาก (2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะร่วมกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือด้วยเทคนิค STAD โดยภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด (X = 4.58, S.D. = 0.53)</p>
จุฑารัตน์ พิมสุด
ภาสุดา ภาคาผล
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2024-12-18
2024-12-18
19 2
84
95
-
รูปแบบการจัดการศึกษาหลักสูตรต่อเนื่องเชื่อมโยงระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดเชียงราย
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jre/article/view/16152
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพและแนวการจัดการศึกษาหลักสูตรต่อเนื่องเชื่อมโยงระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดเชียงราย 2) เพื่อสร้างรูปแบบการจัดการศึกษาหลักสูตรต่อเนื่องเชื่อมโยงระดับการศึกษา ขั้นพื้นฐาน จังหวัดเชียงราย งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบผสมผสานวิธี ทำการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่าง ผู้อำนวยการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 418 คน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่าง แบบชั้นภูมิ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 3 ชนิด ได้แก่ 1) แบบสอบถาม 2) แบบวิเคราะห์เอกสารการศึกษาพหุกรณี และ 3) แบบสัมภาษณ์ชนิดกึ่งโครงสร้างวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยเชิงปริมาณโดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงแบนมาตรฐาน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพใช้การวิเคราะห์เนื้อหาแล้วเขียนบรรยายเชิงพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า 1. สภาพการจัดการศึกษาหลักสูตรต่อเนื่องเชื่อมโยงระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดเชียงราย ในภาพรวมมีระดับการดำเนินการ ระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน เรียงลำดับจากมากไปน้อย พบว่า ด้านการใช้หลักสูตร ด้านการประเมินหลักสูตร และด้านการสร้างหลักสูตร ตามลำดับ สำหรับแนวทางการจัดการศึกษาหลักสูตรต่อเนื่องเชื่อมโยงระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า ประกอบด้วย การเตรียมความพร้อม การจัดทำหลักสูตร การใช้และการบริหารหลักสูตร และการนิเทศกำกับติดตามและประเมินหลักสูตร 2. รูปแบบการจัดการศึกษาหลักสูตรต่อเนื่องเชื่อมโยงระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน จังหวัดเชียงราย ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการ ประกอบด้วย พระราชบัญญัติกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.2561 และหลักความร่วมมือ (Cooperation) 2) วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาผู้เรียนด้านทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต และสร้างทางเลือกในการประกอบอาชีพที่หลากหลาย 3) ปัจจัยนำเข้า ประกอบด้วย 3.1) ผู้บริหารสถานศึกษา และบุคลากร 3.2) หน่วยงานทางการศึกษาขั้นพื้นฐานอาชีวศึกษา และอุดมศึกษา 3.3) งบประมาณ 3.4) หลักสูตรต่อเนื่องเชื่อมโยง 4) กระบวนการ ประกอบด้วย 4 ขั้น ได้แก่ ขั้นเตรียมความพร้อม ขั้นการจัดทำหลักสูตร ขั้นการใช้และบริหารหลักสูตร และขั้นนิเทศ กำกับ ติดตาม และประเมินหลักสูตร 5) ผลลัพธ์ การจัดการศึกษาที่สนองต่อผู้เรียนด้านทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต มีทางเลือก และโอกาสการประกอบอาชีพที่หลากหลาย 6) ผลกระทบ ประกอบด้วย 6.1) ผู้เรียนมีทักษะอาชีพ ทักษะชีวิต มีทางเลือกและมีโอกาสประกอบอาชีพที่หลากหลาย 6.2) ครูได้รับการพัฒนา การจัดการเรียนรู้ด้านทักษะอาชีพให้แก่ผู้เรียน 6.3) สถานศึกษา และสถานประกอบการ มีเครือข่ายความร่วมมือในการพัฒนาผู้เรียนให้มีทักษะอาชีพที่ตรงกับความต้องการของตลาดแรงงาน และ 7) ปัจจัยแห่งความสำเร็จ ประกอบด้วย การได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีผู้ทรงคุณวุฒิประเมินความเหมาะสมอยู่ในระดับมากที่สุด ข้อค้นพบจากการวิจัยนี้ ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถนำผลการวิจัยไปปรับใช้ในการจัดหลักสูตรต่อเนื่องเชื่อมโยง สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สามารถนำผลการวิจัยนี้ไปกำหนดนโยบายเพื่อจัดการศึกษาหลักสูตรต่อเนื่องเชื่อมโยงการศึกษาขั้นพื้นฐานของสถานศึกษาในสังกัด</p>
ธิดาวัลย์ อุ่นกอง
ราเชนทร์ ติ๊บแก้ว
พรรณรพี ธนรพิพรรณ
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2024-12-18
2024-12-18
19 2
96
110
-
การเสริมสร้างสมรรถนะทางอารมณ์ของเด็กปฐมวัยโดยการใช้กิจกรรมกลุ่มบนฐานวิธีการเชิงสร้างสรรค์
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jre/article/view/16283
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสมรรถนะทางอารมณ์ของเด็กปฐมวัย และ 2) เปรียบเทียบสมรรถนะทางอารมณ์ของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังการใช้กิจกรรมกลุ่มบนฐานวิธีการเชิงสร้างสรรค์ ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็นเด็กปฐมวัยที่มีอายุ 3 - 5 ปี ชั้นอนุบาล 1 - 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 90 คน ของศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียนแห่งหนึ่ง โดยการศึกษาสมรรถนะทางอารมณ์ ผู้วิจัยเก็บข้อมูลกับกลุ่มประชากรทั้งหมดและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการเสริมสร้างสมมรรถนะทางอารมณ์จากการเลือกแบบเจาะจง โดยคัดเลือกนักเรียนที่มีคะแนนสมรรถนะทางอารมณ์ตั้งแต่เปอร์เซ็นไทล์ที่ 50 ลงมา มีความสมัครใจในการเข้าร่วมการทดลองและได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง ได้จำนวนทั้งสิ้น 12 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบวัดสมรรถนะทางอารมณ์ของเด็กปฐมวัย ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.992 2) กิจกรรมกลุ่มบนฐานวิธีการเชิงสร้างสรรค์ ค่าความเที่ยงตรงเท่ากับ 0.933 โดยใช้เทคนิคการอ่านนิทาน การใช้จินตนาการมรการดูภาพและเล่าเรื่อง เทคนิคเชิงสร้างสรรค์โดยใช้กิจกรรมกลุ่ม การวาดรูประบายสี การเล่นผ่านการรับรู้ทางประสาทสัมผัส บอร์ดเกมและการเล่นบทบาทสมมติ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบไม่เป็นอิสระต่อกัน ผลการวิจัยพบว่า 1) เด็กปฐมวัยมีคะแนนเฉลี่ยของสมรรถนะทางอารมณ์โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับสูง 2) เด็กปฐมวัยที่เข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มบนฐานวิธีการเชิงสร้างสรรค์มีสมรรถนะทางอารมณ์หลังการทดลองเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
ภัทราวดี ภูมี
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2024-12-18
2024-12-18
19 2
111
121
-
การวิเคราะห์องค์ประกอบแบบวัดการมองโลกในแง่ดีสำหรับนักศึกษา
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jre/article/view/16267
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบแบบวัดการมองโลกในแง่ดีสำหรับนักศึกษา โดยการวิเคราะห์องค์ประกอบ เชิงสำรวจและการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน กลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จ เจ้าพระยา จำนวน 320 คน เครื่องมื อในการเก็ บรวบรวมข้อมู ลคื อ แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคลและแบบวัด การมองโลกในแง่ดีสำหรับนักศึกษา ค่าความเชื่อมั่น ทั้งฉบับเท่ากับ .736 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ การวิเคราะห์คู่ขนาน การทดสอบแมพ และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ผลการวิจัย พบว่า 1) แบบวัดการมองโลกในแง่ดี มีจำนวน 2 องค์ประกอบ คือการมองโลกในแง่ดีและการมองโลกในแง่ร้าย และ 2) ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน พบว่า โมเดลการวัดของแบบวัดการมองโลกในแง่ดีสำหรับนักศึกษามีความตรงเชิงโครงสร้าง (χ2 = 13.98, df = 8, p-value = 0.08, CFI = 0.99, AGFI = 0.94, RMSEA = 0.06, SRMR = 0.03)</p>
ภาวศุทธิ อุ่นใจ
อัครเดช เกตุฉ่ำ
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2024-12-18
2024-12-18
19 2
122
136
-
ผลของโปรแกรมเชิงจิตวิทยาเพื่อเสริมสร้างการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนวัยรุ่น
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jre/article/view/16259
<p>การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาผลของโปรแกรมเชิงจิตวิทยาเพื่อเสริมสร้างการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนวัยรุ่น กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดระยองที่สมัครใจเข้าร่วมการวิจัย จำนวน 60 คน สุ่มจำแนกเข้ากลุ่ม เป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 30 คน โดยใช้ระยะเวลาในการทดลอง 4 สัปดาห์ ๆ ละ 2 ครั้ง รวม 8 ครั้ง ครั้งละ 50 นาที เก็บรวบรวมข้อมูลเป็น 3 ระยะ คือ ระยะก่อนการทดลอง ระยะหลังการทดลองและระยะติดตามผลหลังการทดลอง 3 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) โปรแกรมเสริมสร้างการคิดแก้ปัญหา 2)แบบวัดการคิดแก้ปัญหาทางสังคมฉบับปรับปรุงแบบสั้น (SPSI-R short from) และ 3) แบบทดสอบวิสคอนซินการ์ดซอร์ติ้งเวอร์ชัน 128 การ์ด (WCST-128) วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซํ้าประเภทหนึ่งตัวแปรระหว่างกลุ่มและหนึ่งตัวแปรภายในกลุ่ม ผลการวิจัยพบว่ากลุ่มทดลองมีคะแนนการคิดแก้ปัญหาในระยะหลังทดลองและติดตามผลสูงกว่าก่อนการทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และกลุ่มทดลองมีคะแนนการคิดแก้ปัญหาในระยะหลังการทดลองและติดตามผลสูงกว่ากลุ่มควบคุม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
สุภัทรา พานิชนาวา
วรากร ทรัพย์วิระปกรณ์
จุฑามาศ แหนจอน
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2024-12-18
2024-12-18
19 2
137
152
-
ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ของสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุทัยธานี เขต 2
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jre/article/view/16239
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาประสิทธิผลของงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของสถานศึกษา 2) ศึกษาระดับปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของสถานศึกษา 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของงาน กับงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของสถานศึกษา 4) สร้างสมการพยากรณ์ประสิทธิผลของงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของสถานศึกษา และ 5) หาแนวทางการพัฒนาปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของสถานศึกษา กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหาร ครู และบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 302 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างตามตารางของเครจซี่และมอร์แกน สุ่มแบบหลายขั้นตอน และผู้เชี่ยวชาญ 17 ท่าน จากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามและแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ Stepwise และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิผลของงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของสถานศึกษาในภาพรวม อยู่ในระดับมาก ปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของสถานศึกษา อยู่ในระดับมาก ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของงาน กับความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของสถานศึกษา ทุกตัวแปรมีความสัมพันธ์ทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 โดยปัจจัยที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของสถานศึกษา สามารถทำนายประสิทธิผลของงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของสถานศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แนวทางการพัฒนาปัจจัยส่งผลต่อประสิทธิผลของงานด้านความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนกับชุมชนของสถานศึกษา คือ ผู้บริหารควรเผยแพร่ผลงานด้านวิชาการ การเป็นแบบอย่างที่ดีของครูและบุคลากร และสร้างความตระหนักในการผลิตผลงาน และการเผยแพร่ผลงานที่เป็นเชิงประจักษ์</p>
นิพนธ์ ฉัตรอักษรานนท์
จารุนันท์ ขวัญแน่น
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2024-12-18
2024-12-18
19 2
153
168
-
การศึกษาผลสัมฤทธิ์การเคลื่อนไหวท่าทางประกอบเพลงให้สอดคล้องกับจังหวะ และจินตนาการ โดยจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดดาลโครซ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดลานบุญ
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jre/article/view/16250
<p>งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์การเคลื่อนไหวท่าทางประกอบเพลงให้สอดคล้องกับจังหวะและจินตนาการ โดยใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดดาลโครซ (Emile Jaques Dalcroze) ของนักเรียนโรงเรียนวัดลานบุญ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนโรงเรียนวัดลานบุญที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดดาลโครซ โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชุมนุมดนตรีสากลชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 10 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แผนการจัดการเรียนรู้จำนวน 1 แผน / 8 คาบ คาบละ 60 นาที ใช้ระยะเวลา 2 ชั่วโมง/ครั้ง เป็นจำนวน 4 ครั้ง แบบสังเกตพฤติกรรมการเคลื่อนไหวท่าทางประกอบเพลง (ภาคปฏิบัติ) และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยร้อยละของคะแนนทั้งหมด และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์การเคลื่อนไหวท่าทางประกอบเพลงให้สอดคล้องกับจังหวะและจินตนาการโดยจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดดาลโครซ ผ่านเกณฑ์ที่ผู้วิจัยกำหนด คือ ร้อยละ 80 2) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดดาลโครซ ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย (M=2.84) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน SD=.070</p>
วาทิตยา กระแสร์นาค
สิชฌน์เศก ย่านเดิม
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2024-12-18
2024-12-18
19 2
169
181
-
สภาพและแนวทางการบริหารสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 4
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jre/article/view/16068
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการบริหารสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษา และศึกษาแนวทางการบริหาร สู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 4 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นผู้บริหารสถานศึกษาและครู จำนวน 252 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบสอบถามลักษณะมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ และแบบสัมภาษณ์ปลายเปิด ทำการสัมภาษณ์ผู้ให้ข้อมูลสำคัญโดยใช้วิธีการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 3 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา และการตรวจสอบแบบสามเส้า ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพการบริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 4 ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก 2) แนวทางการบริหารสถานศึกษาสู่ความเป็นเลิศของสถานศึกษาสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 4 มีทั้งหมด 3 แนวทาง ประกอบด้วย 1) จัดทำวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์สู่แผนปฏิบัติการโดยมุ่งเน้นการพัฒนาหลักสูตรท้องถิ่นที่มีการใช้สื่อ นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษาผ่านการเรียนรู้แบบ Active Learning ใช้รูบิคในการประเมินผลเพื่อปรับเปลี่ยน เสริมพฤติกรรมการเรียนรู้ที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน 2) สร้างความผูกพันกับผู้เรียนโดยการจัดการเรียนรู้ที่ส่งเสริมศักยภาพจากสภาพจริง และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการสร้างเครื่องมือการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ที่มีมาตรฐานและเชื่อถือได้ และ3) รวบรวมความรู้โดยใช้ข้อมูล Big Data เพื่อนำผลการดำเนินการที่โดดเด่นไปสู่การปรับปรุงหลักสูตรอันเดิมให้ได้ผลดียิ่งขึ้น</p>
ศิรินาถ คำอุปละ
กษิฎิฏฏ์ มีพรหม
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2024-12-18
2024-12-18
19 2
182
194
-
การพัฒนาชุดกิจกรรมตามแนวคิดสะเต็มศึกษา เรื่อง วัสดุหรรษาท้าวิศวกรน้อย เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jre/article/view/16406
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) สร้างและหาคุณภาพชุดกิจกรรมตามแนวคิดสะเต็มศึกษา เรื่อง วัสดุหรรษา ท้าวิศวกรน้อย เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2) เพื่อศึกษา ผลการทดลองใช้ชุดกิจกรรมตามแนวคิดสะเต็มศึกษา เรื่อง วัสดุหรรษาท้าวิศวกรน้อย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 5 ห้องเรียน จำนวน 144 คน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2567 จำนวน 1 ห้องเรียน มีนักเรียนจำนวน 31 คน ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster random sampling) โดยใช้ห้องเรียนที่มีการจัดชั้นเรียนแบบคละความสามารถเป็นหน่วยการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ 1)ชุดกิจกรรมตามแนวคิดสะเต็มศึกษา เรื่อง วัสดุหรรษาท้าวิศวกรน้อย 2)แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา เรื่อง วัสดุหรรษาท้าวิศวกรน้อย และ 3)แบบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาวิทยาศาสตร์ จำนวน 20 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าทีเพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาวิทยาศาสตร์กรณีกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน (t-test for Dependent Samples) วิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมตามแนวคิดสะเต็มศึกษา เรื่อง วัสดุหรรษาท้าวิศวกรน้อย เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยภาพรวมมีคุณภาพความเหมาะสมในระดับมากที่สุด (X=4.86, S.D.= 0.23) 2) ผลการทดลองใช้ชุดกิจกรรมตามแนวคิดสะเต็มศึกษา เรื่อง วัสดุหรรษาท้าวิศวกรน้อย มีค่าเฉลี่ยคะแนนความสามารถในการแก้ปัญหาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 21.334, p-value = .000)</p>
จุฑามาศ มงคลสุภา
สุธาวัลย์ หาญขจรสุข
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2024-12-18
2024-12-18
19 2
195
210
-
การถอดบทเรียนการเป็นแหล่งฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jre/article/view/16437
<p>การวิจัยเรื่อง การถอดบทเรียนการเป็นแหล่งฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน วัตถุประสงค์เพื่อ 1) ถอดบทเรียนการเป็นแหล่งฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน 2) สะท้อนบทเรียนจากประสบการณ์การเป็นครูพี่เลี้ยงของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน 3) นำเสนอแนวทางในการกำหนดนโยบายวางแผนการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ การดำเนินงานแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การถอดบทเรียนการเป็นแหล่งฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน กลุ่มเป้าหมายคือ คณะกรรมการบริหารโรงเรียนที่มีประสบการณ์การทำงาน 15 ปีขึ้นไป มีความรู้ความเข้าใจในบริบทของโรงเรียน และเป็นครูพี่เลี้ยงของนิสิตฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู คัดเลือกแบบเจาะจง จำนวน 22 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ เอกสารที่เกี่ยวข้องและแบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง ระยะที่ 2 การสะท้อนบทเรียนจากประสบการณ์การเป็นครูพี่เลี้ยงของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน กลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้แทนที่คัดเลือกจากกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่มีประสบการณ์การทำงาน 3 ปีขึ้นไป และเคยผ่านการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครู คัดเลือกแบบเจาะจง จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ แนวทางการสนทนากลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า 1) บทบาทครูพี่เลี้ยง คือ การทำหน้าที่เป็นแบบอย่างให้นิสิต ถ่ายทอดเทคนิคการสอน การจัดการเรียนรู้ การเขียนแผนพร้อมตรวจสอบเนื้อหา การปกครองชั้นเรียน การสร้างศรัทธา เจตคติ จรรยาบรรณในวิชาชีพครู เพื่อให้ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ความเป็นครู มอบความรักความใส่ใจเป็นกันเอง สร้างปฏิสัมพันธ์กับนิสิต มีความยืดหยุ่น ส่งเสริมสนับสนุนให้ความช่วยเหลือและให้โอกาส มีเวลาให้กับนิสิตในการให้คำปรึกษา คำแนะนำ แก้ไขปัญหาการประพฤติปฏิบัติของนิสิตทั้งการสอนและเรื่องส่วนตัว 2) ระบบการนิเทศ มีกระบวนการการนิเทศที่หลากหลาย โดยครูพี่เลี้ยงที่มีทักษะประสบการณ์การสอน ถ่ายทอดความรู้ เทคนิคการเขียนแผนและการสอนเป็นต้นแบบ ใช้รูปแบบการชี้แนะและให้คำปรึกษา มีการพูดคุยกับนิสิตถึงสภาพปัญหาและร่วมกันแก้ไข<br />3) การพัฒนานิสิต ประกอบด้วย การพัฒนาสมรรถนะการจัดการสอนก่อนการฝึกและระหว่างฝึกเพื่อให้นิสิตมี ความพร้อมสามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีคุณภาพ โดยมีครูพี่เลี้ยงคอยกำกับดูแลการจัดการเรียนการสอนอย่างใกล้ชิด คุณลักษณะที่นิสิตพึงมีคือ ความรู้ในเนื้อหาสาระวิชาที่แม่นยำ มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ การปฏิบัติงานต้องรู้บทบาทหน้าที่และอยู่ในกฎระเบียบข้อบังคับ รวมถึงมีจรรยาบรรณวิชาชีพ มีจิตสำนึกของความเป็นครูและสามารถยืดหยุ่นได้ตามยุคสมัย 4) การดำเนินงานของศูนย์ฝึกฯ กระบวนการรับนิสิตมีการมอบหมายแบ่งหน้าที่ตามสายงาน มีการประสานงานติดตามระหว่างฝึก การทำข้อตกลงเกี่ยวกับเกณฑ์การให้คะแนนที่ชัดเจน มีชุมชนการเรียนรู้ทางวิชาชีพ (PLC) ระหว่างกลุ่มสาระฯและต่างกลุ่มสาระฯ 5) แนวทางการกำหนดนโยบายวางแผนการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูของคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประกอบด้วย ผลิตและพัฒนาครู พัฒนาหลักสูตร งานวิจัย นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา บริการวิชาการ ส่งเสริมอนุรักษ์ภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรมไทย วางแผนกลยุทธ์ แผนปฏิบัติการ ระบบบริหารจัดการที่มีคุณภาพ มีธรรมาภิบาล</p>
ชีวัน เขียววิจิตร
เกดิษฐ์ จันทร์ขจร
ประภารัตน์ ธิติศุภกุล
คณาภรณ์ รัศมีมารีย์
นันทวรรณ ชื่นชมคุณาธร
อภิณห์พร ฤกษ์อนันต์
อัญชฏา พัวไพบูลย์
สุนทร ภูรีปรีชาเลิศ
Copyright (c) 2024 วารสารวิจัยทางการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2024-12-18
2024-12-18
19 2
211
228