วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu
<p>วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ 2565</p>
en-US
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
-
การประเมินความก้าวหน้าในการเรียนรู้ ในหมวดวิชาศึกษาทั่วไป
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/14696
<p>การประเมินความก้าวหน้าในการเรียนรู้ เป็นการประเมินเพื่อการเรียนรู้แบบหนึ่ง มีลักษณะเป็นกระบวนการเก็บรวบรวม ติดตาม ค้นหา และตรวจสอบพัฒนาการในการเรียนรู้ของผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีแนวทางพัฒนาผลงานหรือพฤติกรรมการเรียนรู้ให้เป็นไปตามผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวัง และช่วยให้ผู้สอนมีแนวทางการปรับวิธีการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด โดยวิธีการประเมินความก้าวหน้าในการเรียนรู้ เช่น การอภิปราย การมอบหมายงาน แฟ้มสะสมผลงาน การเปรียบเทียบผลงานกับเกณฑ์ประเมิน การสะท้อนคิดด้วยตนเอง การให้ข้อมูลป้อนกลับ เป็นต้น ส่วนการประเมินความก้าวหน้าในการเรียนรู้ ในหมวดวิชาศึกษาทั่วไป ประกอบด้วย 1) กลยุทธ์ก่อนการประเมิน ได้แก่ การเลือกแนวคิดการประเมิน การกำหนดประเด็นที่ต้องการประเมิน การเลือกรูปแบบการประเมิน การกำหนดและพัฒนาเครื่องมือประเมิน 2) กลยุทธ์ระหว่างการประเมิน ได้แก่ การเตรียมความพร้อมให้กับผู้เรียน การอธิบายแนวทางการประเมิน การตรวจสอบความพร้อมในการประเมิน การดำเนินกิจกรรมการประเมิน การพัฒนาการเรียนรู้ การสรุปประเด็นการเรียนรู้จากการประเมิน 3) กลยุทธ์หลังการประเมิน ได้แก่ การจัดการความรู้ การวิจัยเพื่อพัฒนา และเงื่อนไขสำคัญในการประเมินความก้าวหน้าในการเรียนรู้ ในหมวดวิชาศึกษาทั่วไป ได้แก่ ลักษณะของผู้เรียน ผู้สอน และเทคโนโลยีดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับการประเมิน</p>
เมทินี ทนงกิจ
สุนทรี สกุลพราหมณ์
Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
2023-01-16
2023-01-16
23 2
262
279
-
กองบรรณาธิการ
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/15148
<p>-</p>
กองบรรณาธิการ วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
Copyright (c) 2023
2023-03-04
2023-03-04
23 2
-
สารบัญ
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/15149
<p>-</p>
กองบรรณาธิการ วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
Copyright (c) 2023
2023-03-04
2023-03-04
23 2
-
กระบวนการพิจารณาบทความ
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/15150
<p>-</p>
กองบรรณาธิการ วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
Copyright (c) 2023
2023-03-04
2023-03-04
23 2
-
คู่มือสำหรับผู้เขียนบทความวารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/15151
<p>-</p>
กองบรรณาธิการ วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
Copyright (c) 2023
2023-03-04
2023-03-04
23 2
-
ความฉลาดทางอารมณ์ สัมพันธภาพในครอบครัว สัมพันธภาพกับเพื่อน และการเห็นคุณค่าในตนเอง ของนักเรียนมัธยมปลายชายล้วนในกรุงเทพมหานคร
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/14451
<p>การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์ในการศึกษาความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) และเพื่อตรวจสอบความสัมพันธ์ของสัมพันธภาพในครอบครัว สัมพันธภาพกับเพื่อน การเห็นคุณค่าในตนเองและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความฉลาดทางอารมณ์ ซึ่งเป็นการวิจัยเชิงพรรณนา ณ จุดเวลาใดเวลาหนึ่ง ในกลุ่มตัวอย่างนักเรียนมัธยมปลายชายล้วนในกรุงเทพมหานคร จำนวน 471 คน มีการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามประกอบไปด้วย 1) แบบสอบถามข้อมูลส่วนบุคคล 2) แบบประเมินความสัมพันธ์และหน้าที่ของครอบครัว 3) แบบสอบถามสัมพันธภาพกับเพื่อน 4) แบบวัดความรู้สึกมีคุณค่าในตนเองของ Rosenberg 5) แบบประเมินความฉลาดทางอารมณ์ การวิจัยนี้ใช้สถิติเชิงพรรณนา, t-test, ANOVA และ multiple linear regression ผลการวิจัยพบว่า จากการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ มีปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับ EQ ในภาพรวม คือ สัมพันธภาพในครอบครัว สัมพันธภาพกับเพื่อน และการเห็นคุณค่าในตนเอง ที่เพิ่มขึ้น จะมี EQ ในภาพรวมสูงขึ้น และปัจจัยที่สัมพันธ์กับ EQ ด้านดี คือ สัมพันธภาพในครอบครัว สัมพันธภาพกับเพื่อน และการเห็นคุณค่าในตนเองที่เพิ่มขึ้น จะมี EQ ด้านดีสูงขึ้น ในขณะที่ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับ EQ ด้านเก่ง ได้แก่ การมีพ่อเป็นผู้ดูแลใกล้ชิดมากที่สุด จะมี EQ ด้านเก่งสูงกว่าการมีคนอื่นเป็นผู้ดูแลใกล้ชิดมากที่สุด รวมถึงสัมพันธภาพกับเพื่อน กับการเห็นคุณค่าในตนเองที่เพิ่มขึ้น จะมี EQ ด้านเก่งสูงขึ้น นอกจากนี้ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับ EQ ด้านสุข คือ การเรียนศิลป์-คำนวณ มี EQ ด้านสุขสูงกว่าสายการเรียนอื่น อีกทั้งสัมพันธภาพในครอบครัว สัมพันธภาพกับเพื่อน กับการเห็นคุณค่าในตนเองที่เพิ่มขึ้น จะมี EQ ด้านสุขสูงขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 จึงสรุปได้ว่า ผู้ดูแลใกล้ชิดมากที่สุด สายการเรียน สัมพันธภาพในครอบครัว สัมพันธภาพกับเพื่อน การเห็นคุณค่าในตนเองสัมพันธ์เป็นปัจจัยทำนาย EQ ดังนั้น การสนับสนุนปัจจัยดังกล่าวข้างต้น เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นมีพัฒนาด้านอารมณ์ได้ดีขึ้น</p>
ธนพล อุควงศ์เสรี
ชัยชนะ นิ่มนวล
Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
2023-01-16
2023-01-16
23 2
1
19
-
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการคิดวิเคราะห์ โดยการจัดการเรียนรู้ ตามแนวทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญา (CONSTRUCTIONISM) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/14422
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ เรื่อง สมดุลกล และการคิดวิเคราะห์ก่อนเรียนเทียบกับหลังเรียนและหลังเรียนเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 70 โดยการจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญา (Constructionism) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 30 คน โรงเรียนเบญจมานุสรณ์ จังหวัดจันทบุรี ได้จากการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญา เรื่อง สมดุลกล จำนวน 5 แผน ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพโดยมีค่าความเหมาะสมระหว่าง 4.2 – 4.4 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.90 และแบบวัดการคิดวิเคราะห์ที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.78 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การทดสอบ <em>t-test</em> แบบ dependent sample และ การทดสอบ <em>t-test</em> แบบ one samples ผลการวิจัยพบว่านักเรียนมีคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 80.86 และสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และผลของการคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 75.43 และสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงให้เห็นว่ามีพัฒนาการของคะแนน ผลการวิจัยครั้งนี้มีประโยชน์กับผู้สอนที่ต้องการใช้การจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญามาใช้ในการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการคิดวิเคราะห์</p>
สุรัญชนา คำรอด
สมศิริ สิงห์ลพ
เชษฐ์ ศิริสวัสดิ์
Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
2023-01-16
2023-01-16
23 2
20
39
-
ผลการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบเปิดที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/14450
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบเปิด กับเกณฑ์ร้อยละ 70 และ 2) เปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบเปิด กับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มเป้าหมายในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ของโรงเรียนบ้านหน้าค่าย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 1 ห้องเรียน รวม 25 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์โดยใช้วิธีการแบบเปิด เรื่อง รูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก แบบทดสอบวัดความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 2) ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง รูปสี่เหลี่ยมมุมฉาก ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70</p>
นิลดา ชูพันธ์
รักพร ดอกจันทร์
Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
2023-01-16
2023-01-16
23 2
40
56
-
การพัฒนาความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษด้วยเทคนิคการโค้ช เพื่อเตรียมความพร้อมเข้ารับการคัดเลือกเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/14664
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการโค้ชในการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าการคัดเลือกเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน 2) ศึกษาความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าการคัดเลือกเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการโค้ช กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ ผู้ที่ผ่านการคัดกรองคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จำนวน 40 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Selection) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการโค้ช ซึ่งมีความเหมาะสมในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุดโดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.80 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.25 และ 2) แบบประเมินความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งมีผลดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.67-1.00 ถือว่าแบบประเมินนำไปใช้ได้ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบ t-test dependent ผลการศึกษา พบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยเทคนิคการโค้ชในการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร เพื่อเตรียมความพร้อมเข้าการคัดเลือกเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน จำนวน 6 แผน ได้แก่ แผนที่ 1 Introduce yourself แผนที่ 2 Airline vocabulary แผนที่ 3 Cabin crew qualifications แผนที่ 4 Cabin services แผนที่ 5 In-flight emergencies แผนที่ 6 Health & medical onboard มีขั้นตอนในการจัดการเรียนรู้ 4 ขั้นตอน ดังนี้ 1. ขั้นเตรียมเข้าสู่บทเรียน และวางแผนการเรียนรู้ 2. ขั้นฝึกปฏิบัติ 3. ขั้นประเมินผู้เรียน 4. ขั้นสรุปและสะท้อนคิด มีความเหมาะสมในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด 2) ผลการศึกษาความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร เพื่อเตรียมความพร้อมเข้ารับการคัดเลือกเป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังเรียน (= 11.02 , S.D.=1.86) สูงกว่าก่อนเรียน ( = 6.5 , S.D.=1.13) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p>
วิจิตรา โพธิ์ทองนาค
สิรินธร สินจินดาวงศ์
Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
2023-01-16
2023-01-16
23 2
57
72
-
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 (แผนการเรียน คณิตศาสตร์-วิทยาศาสตร์) โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน ต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการจดบันทึกคอร์เนลล์
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/14697
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการจดบันทึกคอร์เนลล์ ในรายวิชาชีววิทยา1 2)ความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการจดบันทึกคอร์เนลล์ ในรายวิชาชีววิทยา 1 ประชากรที่ศึกษาคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปืที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน จำนวน 153 คน ตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ห้อง 144 จำนวน 38 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกอย่างเจาะจง (Purposive Sampling) ระยะเวลาที่ใช้ในการทดลองจำนวน 26 คาบ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ แผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาชีววิทยา 1 ที่มีการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการจดบันทึกคอร์เนลล์ โดยมีผลการประเมินอยู่ในระดับดี ( = 4.81, S.D. = 0.28) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาชีววิทยา 1 มีค่าความยากง่ายตั้งแต่ 0.483 ถึง 0.793 ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.276 ถึง 0.931 และค่าความเชื่อมั่นเป็น 0.802 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมแบบบันทึกคอร์เนลล์ ซึ่งมีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.452-0.890 ค่าความเชื่อมั่นรวมทั้งฉบับมีค่าเป็น 0.866 ผลการวิจัยพบว่า (1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาชีววิทยา 1 ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 หลังจากการใช้กิจกรรมการจดบันทึกคอร์เนลล์ ( = 9.75, S.D. = 2.82) สูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05 (t=13.582 p = 0.000) (2) ผลการศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมการจดบันทึกคอร์เนลล์ รายวิชาชีววิทยา 1 ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4 ซึ่งเมื่อพิจารณาในภาพรวมพบว่านักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับปานกลาง (= 3.40, S.D. = 0.93) เมื่อเทียบกับเกณฑ์ร้อยละ 60 พบว่านักเรียนมีระดับความพึงพอใจสูงกว่าเกณฑ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 (t = 2.68, df = 37, p-value = .01)</p>
นันทวรรณ ชื่นชมคุณาธร
Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
2023-01-16
2023-01-16
23 2
73
89
-
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ และความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้วิธีการแบบเปิดร่วมกับการใช้คำถามระดับสูง
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/14698
<p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ และเปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง หลักการนับเบื้องต้นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนรู้โดยใช้วิธีการแบบเปิดร่วมกับการใช้คําถามระดับสูง กับเกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนห้อง ม.5/13 โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา จำนวน 29 คน ที่ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม เครื่องมือวิจัย ได้แก่ (1) แผนการจัดการเรียนรู้ มีความเหมาะสมตั้งแต่ 4.84 – 5.00 (2) แบบทดสอบความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ มีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.67-1.00 ค่าความยากตั้งแต่ 0.44 – 0.60 ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.35 – 0.49 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.83 (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มีค่าดัชนีความสอดคล้องตั้งแต่ 0.67-1.00 ค่าความยากตั้งแต่ 0.30 – 0.70 ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.20 – 0.80 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.83 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้ t-test for One Sample ผลการวิจัยพบว่า ความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง หลักการนับเบื้องต้น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์โดยใช้วิธีการแบบเปิดร่วมกับการใช้คำถามระดับสูง คิดเป็นร้อยละ 78.62 และ 79.66 ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 </p>
อันนา วงศ์พัฒนกิจ
สมคิด อินเทพ
Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
2023-01-16
2023-01-16
23 2
90
105
-
การพัฒนาแบบสอบวินิจฉัยมโมทัศน์ที่คลาดเคลื่อนสามระดับ เรื่องสมดุลเคมี
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/14453
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อสำรวจมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเรื่อง สมดุลเคมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 2) เพื่อพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพด้านความตรงและความเที่ยงแบบสอบวินิจฉัยมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนสามระดับเรื่อง สมดุลเคมี และ 3) เพื่อเปรียบเทียบความสอดคล้องของผลการวินิจฉัยจากแบบสอบวินิจฉัยมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนสามระดับเรื่อง สมดุลเคมีด้วยวิธีการสอบซ้ำ กลุ่มตัวอย่างวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 60 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบวินิจฉัยสามระดับ การวิเคราะห์ข้อมูลแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ 1) คุณสมบัติทางจิตมิติ ด้านความตรงและความเที่ยง และ 2) คุณภาพของการวินิจฉัย โดยพิจารณาจากความสอดคล้องของผลการวินิจฉัยด้วยวิธีการสอบซ้ำ ผลการวิจัยสรุปได้ ดังนี้ 1) ผลการสำรวจมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อนเรื่อง สมดุลเคมี พบว่ามโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อน ประกอบด้วยมโนทัศน์หลัก 3 มโนทัศน์ ได้แก่ 1) สภาวะสมดุล 2) ค่าคงที่สมดุล และ 3) ปัจจัยที่มีผลต่อสมดุล 2) ผลการพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพด้านความตรงและความเที่ยงแบบสอบวินิจฉัย พบว่า แบบสอบทุกข้อมีค่า IOC ตั้งแต่ 0.60-1.00 และความเที่ยงแบบสอดคล้องภายในโดยใช้วิธีสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาคเท่ากับของการทดสอบครั้งที่ 1 เท่ากับ .559 และครั้งที่ 2 เท่ากับ .356 และความเที่ยงแบบสอบซ้ำเท่ากับ .997 3) ผลการเปรียบเทียบความสอดคล้องของผลการวินิจฉัยจากแบบสอบด้วยวิธีการสอบซ้ำ โดยใช้สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์วีของคราเมอร์พบว่า สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์วีของคราเมอร์มีค่าเท่ากับ 1.00 แสดงว่าผลการวินิจฉัยครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
ขวัญกมล ใต้สำโรง
ณัฏฐภรณ์ หลาวทอง
Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
2023-01-16
2023-01-16
23 2
106
122
-
การพัฒนาการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาโดยใช้บอร์ดเกม SOC civilization เพื่อเสริมสร้างความเป็นพลเมืองและความสามารถในการทำงานเป็นทีม ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/14582
<p>ความมุ่งหมายการวิจัยครั้งนี้ 1) เพื่อพัฒนาบอร์ดเกม SOC civilization นำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาเพื่อเสริมสร้างความเป็นพลเมืองและความสามารถในการทำงานเป็นทีมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2) เพื่อเปรียบเทียบความเป็นพลเมืองของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้บอร์ดเกม SOC civilization 3) เพื่อศึกษาความสามารถในการทำงานเป็นทีมของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หลังการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา การดำเนินการวิจัย 1)การออกพัฒนาบอร์ดเกม SOC civilization โดยใช้หลักของ ADDIE Model 2) การสร้างและพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ประกอบไปด้วย แผนการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาโดยใช้บอร์ดเกม SOC civilization แบบวัดความเป็นพลเมืองและแบบวัดความสามารถในการทำงานเป็นทีม 3) ทดลอง เก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล กลุ่มตัวอย่างได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร(ฝ่ายประถม) กรุงเทพมหานคร ภาคการเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 25 คน ซึ่งได้มาโดยความสมัครใจ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และใช้วิธีการทางสถิติ t-test for dependent sample ผลการวิจัยพบว่า บอร์ดเกม SOC civilization มีระดับคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ความเป็นพลเมืองของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้บอร์ดเกม SOC civilization ในการจัดการเรียนรู้หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และความสามารถในการทำงานเป็นทีมโดยรวมอยู่ในระดับมาก</p>
ธนวุฒิ ปัญญาพูนผล
เกศินี ครุณาสวัสดิ์
กิตติศักดิ์ ลักษณา
Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
2023-01-16
2023-01-16
23 2
123
136
-
การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการชี้นำตนเองในการพัฒนาทักษะปฏิบัติท่ารำ สำหรับนักเรียนนาฏศิลป์ระดับอาชีวศึกษา
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/14663
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการชี้นำตนเอง ในการพัฒนาทักษะปฏิบัติท่ารำ สำหรับนักเรียนนาฏศิลป์ระดับอาชีวศึกษา 2) เพื่อเปรียบเทียบผลการปฏิบัติท่ารำหลังการใช้กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการชี้นำตนเอง สำหรับนักเรียนนาฏศิลป์ระดับอาชีวศึกษากับเกณฑ์ร้อยละ 80 ขึ้นไป เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบสอบถามคุณลักษณะความพร้อมของการเรียนรู้ด้วยการชี้นำตนเอง 2) แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการชี้นำตนเอง 3) แบบประเมินทักษะปฏิบัติท่ารำ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย กลุ่มที่ 1 นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 3 สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ จำนวน 369 คน ได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ กลุ่มที่ 2 นักเรียนชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพปีที่ 3 สาขาวิชานาฏศิลป์ไทย วิทยาลัยนาฏศิลปลพบุรี จำนวน 46 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบกลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที ผลการวิจัย พบว่า 1) การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการชี้นำตนเอง สำหรับนักเรียนนาฏศิลป์ระดับอาชีวศึกษา ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ 1. ขั้นเชื่อมโยงความรู้เก่าและสร้างเป้าหมายใหม่ 2. ขั้นสาธิต 3. ขั้นลงมือปฏิบัติ 4. ขั้นแลกเปลี่ยนเรียนรู้ 5. ขั้นนำเสนอการปฏิบัติที่ดี มีประสิทธิภาพ 83.44/86.20 2) ผลการเปรียบเทียบคะแนนทักษะปฏิบัติท่ารำของนักเรียนนาฏศิลป์ระดับอาชีวศึกษา หลังใช้กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการชี้นำตนเอง มีค่าเฉลี่ย 17.24 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 1.14 อยู่ในระดับคุณภาพดีมาก (t= 7.38, P=.00) คิดเป็นร้อยละ 86.20 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงว่าการเรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยกระบวนการชี้นำตนเอง ทำให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะปฏิบัติท่ารำตามเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด</p>
ชานนท์ อนันต์สลุง
ผุสดี กลิ่นเกษร
Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
2023-01-16
2023-01-16
23 2
137
152
-
การพัฒนาทักษะการอ่านออกเสียงและทักษะการเขียนสะกดคำในภาษาฝรั่งเศส ด้วยชุดฝึกประสมคำด้วยเสียงพยัญชนะโดยวิธีการโฟนิกส์ (Phonics) ผ่านการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/14666
<p>ในการจัดการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ สิ่งสำคัญคือการพัฒนาทักษะการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารของผู้เรียนในทุกๆ ด้าน เช่น ทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน อย่างไรก็ตาม ทักษะหนึ่งที่นักเรียนมีปัญหาในด้านการพัฒนาคือทักษะการอ่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการอ่านออกเสียงและการสะกดคำ และเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ทำให้สถานศึกษาทุกแห่งไม่สามารถจัดการเรียนรู้ในห้องเรียนได้อย่างปกติ ส่งผลให้ต้องใช้เทคโนโลยีมาเป็นตัวช่วยในการจัดการเรียนรู้ การวิจัยครั้งนี้จึงมีความมุ่งหมาย เพื่อพัฒนาชุดฝึกประสมคำด้วยเสียงพยัญชนะโดยวิธีการโฟนิกส์ผ่านการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานและเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะการอ่านออกเสียงและทักษะการเขียนสะกดคำภาษาฝรั่งเศสของนักเรียน รวมถึงศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 แผนการเรียนภาษาฝรั่งเศส โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน จำนวน 14 คน ได้มาจากวิธีการเลือกแบบมีจุดมุ่งหมาย (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานด้วยชุดฝึกประสมคำด้วยเสียงพยัญชนะโดยวิธีการโฟนิกส์ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะการอ่านออกเสียงและด้านทักษะการเขียนสะกดคำภาษาฝรั่งเศส และแบบประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ ผลการศึกษาพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะการอ่านออกเสียงและด้านทักษะการเขียนสะกดคำภาษาฝรั่งเศสภายหลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และผลการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับมาก</p>
ปัทมา ดีสวัธน์ศรีเพชร
Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
2023-01-16
2023-01-16
23 2
153
174
-
การจัดการเรียนรู้ เรื่อง ลำดับและอนุกรมอนันต์ โดยใช้ห้องเรียนกลับด้าน ผ่าน Google Classroom ด้วยบทเรียนออนไลน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/14668
<p>งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ลำดับและอนุกรมอนันต์ โดยใช้ห้องเรียนกลับด้านผ่าน Google Classroom ด้วยบทเรียนออนไลน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และ 2) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ลำดับและอนุกรมอนันต์ โดยใช้ห้องเรียนกลับด้านผ่าน Google Classroom ด้วยบทเรียนออนไลน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ใช้แบบแผนการวิจัยแบบ One - Group Pretest-Posttest Design มีนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนดีบุกพังงาวิทยายน จังหวัดพังงา ปีการศึกษา 2565 จำนวน 36 คน เป็นกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่มโดยการจับสลากซึ่งเป็นการสุ่มแบบกลุ่มโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ลำดับและอนุกรมอนันต์ โดยใช้ห้องเรียนกลับด้านผ่าน Google Classroom ด้วยบทเรียนออนไลน์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 12 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และบทเรียนออนไลน์ ซึ่งได้มาจากโครงการสอนออนไลน์ Project 14 ของสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ และดัชนีประสิทธิผล โดยผลการวิจัยพบว่า 1) แผนการจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 72.94/76.25 และ 2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังจากได้รับการจัดการเรียนรู้ มีดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.69</p>
เทวินทร์ ถนอมสิน
สมคิด อินเทพ
อรรณพ แก้วขาว
Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
2023-01-16
2023-01-16
23 2
175
189
-
ผลการใช้เทคนิคการสอนบทบาทสมมติเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ในรายวิชาประวัติศาสตร์สำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/14675
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้เทคนิคการสอนบทบาทสมมติในนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 / 2 โรงเรียนบ้านเขากำแพง 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการใช้เทคนิคการสอนบทบาทสมมติในนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 / 2 โรงเรียนบ้านเขากำแพง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 / 2 โรงเรียนบ้านเขากำแพง จำนวน 20 คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือในการวิจัย คือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แผนการจัดการเรียนรู้ และแบบประเมินความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบว่า 1. ผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้เทคนิคการสอนบทบาทสมมติในนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 / 2 มีคะแนนก่อนเรียนเท่ากับ 3.9 คะแนนหลังเรียนเท่ากับ 24.35 ซึ่งคะแนนหลังเรียนสูงกว่าคะแนนก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2. ความพึงพอใจต่อการใช้เทคนิคการสอนบทบาทสมมติในนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 / 2 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.97, S.D. = 0.17)</p>
ดวงกมล อุ่นตาดี
กรวิภา สรรพกิจจำนง
Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
2023-01-16
2023-01-16
23 2
190
201
-
การเปรียบเทียบความมีวินัยของเด็กปฐมวัย ระหว่างการจัดประสบการณ์โดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ( E-BOOK) ชุด เด็กดีมีวินัย กับการจัดประสบการณ์แบบปกติ
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/14676
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ ( E-book) ชุด เด็กดีมีวินัย ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมการมีวินัยของนักเรียนระดับชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 2 ระหว่างการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ชุด เด็กดีมีวินัย กับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบปกติ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนระดับชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาลวัดทรงธรรม สังกัดเทศบาลเมืองพระประแดง ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 จำนวน 2 ห้อง เป็นนักเรียนทั้งสิ้น 60 คน โดยใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง ด้วยวิธีการให้นักเรียนระดับชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 2/1 จำนวน 15 คน ที่มาเรียนแบบ On site เป็นกลุ่มทดลอง จัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-book) ชุด เด็กดีมีวินัย และนักเรียนระดับชั้นอนุบาลศึกษาปีที่ 2/2 จำนวน 15 คน จัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบปกติ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1) แบบประเมินคุณภาพนวัตกรรมหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ชุด เด็กดีมีวินัย 2) แบบตรวจสอบความสอดคล้องของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ชุด เด็กดีมีวินัย 3) แบบตรวจสอบความสอดคล้องระหว่างองค์ประกอบภายในของแผนการจัดการเรียนรู้ 4) แบบประเมินคุณภาพนวัตกรรมหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ชุด เด็กดีมีวินัย 5) แบบทดสอบวัดพฤติกรรมการมีวินัยเองของนักเรียนระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์(E-book) ชุด เด็กดีมีวินัย ที่มีความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับ เท่ากับ 0.608 โดยใช้แบบแผนการทดลองแบบ Randomized Group, Pretest-Posttest Design วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีแบบกลุ่มตัวอย่างที่เป็นอิสระต่อกัน(t-test independent) ผลการวิจัยพบว่า 1. หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ชุด เด็กดีมีวินัย มีประสิทธิภาพ 80.10/80.44 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ 80/80 2. นักเรียนระดับชั้นอนุบาลปีที่ 2 มีคะแนนความมีวินัยของกลุ่มทดลองก่อนเรียนเท่ากับ 19.73 คะแนน หลังเรียนเท่ากับ 26.33 โดยใช้หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ชุด เด็กดีมีวินัย สูงกว่าคะแนนก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p>
ยุวดี สีมะโน
กรวิภา สรรพกิจจำนงค์
Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
2023-01-16
2023-01-16
23 2
202
215
-
การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่องเส้นขนาน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ เพื่อส่งเสริมผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/14736
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่องเส้นขนาน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่องเส้นขนาน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่องเส้นขนาน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ โดยเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster sampling) ได้กลุ่มทดลอง 1 ห้อง เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2/4 จำนวน 38 คน ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 โรงเรียนนวมินทราชูทิศ กรุงเทพมหานคร เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่องเส้นขนาน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่องเส้นขนาน 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบประสิทธิภาพ และการทดสอบค่าความแตกต่างด้วย t-test dependent sample ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่องเส้นขนาน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพของนวัตกรรมค่า E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub> เท่ากับ 79.93/78.83 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 75/75 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่องเส้นขนาน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่องเส้นขนาน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบอุปนัยร่วมกับสื่อวีดิทัศน์ มีค่าเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 4.18 อยู่ในระดับมาก และค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.63</p>
รัตติกาล แก้วพวง
อัมพร วัจนะ
Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
2023-01-16
2023-01-16
23 2
216
229
-
การพัฒนารูปแบบการพัฒนาครูเพื่อส่งเสริมการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน: กรณีศึกษาโรงเรียนพุทธจักรวิทยา
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/14835
<p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษากรอบแนวคิดการพัฒนาครูเพื่อส่งเสริมการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน 2) ศึกษาระดับการปฏิบัติงานของครูในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนพุทธจักรวิทยา สพม.กท 2 และ 3) ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการพัฒนาครูเพื่อส่งเสริมการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ ครูผู้ปฏิบัติหน้าที่รองผู้อำนวยการสถานศึกษา จำนวน 4 คน ครู จำนวน 20 คน นักเรียน จำนวน 214 คน ผู้ปกครองนักเรียน จำนวน 214 คน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 9 คน โรงเรียนพุทธจักรวิทยา สพม.กท 2 ปีการศึกษา 2563 รวมทั้งสิ้นจำนวน 461 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมีจำนวน 8 รายการ ได้แก่ 1) แบบประเมินกรอบแนวคิด 2) แบบสอบถามระดับการปฏิบัติงานของครู 3) แบบประเมิน (ร่าง) รูปแบบการพัฒนาครู 4) รูปแบบการพัฒนาครู 5) คู่มือการใช้รูปแบบการพัฒนาครู 6) แบบสัมภาษณ์ 7) แบบสังเกตพฤติกรรม และ 8) แบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยการใช้สถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. <span style="font-size: 0.875rem;">กรอบแนวคิดการพัฒนาครูเพื่อส่งเสริมการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน แบ่งออกเป็น 2 องค์ประกอบ คือ 1) แนวทางในการพัฒนาครูเพื่อส่งเสริมการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ได้แก่ การประชุม การฝึกอบรม การศึกษาดูงาน และการดำเนินงานตามแนวคิดโรงเรียนเป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ (SLC) 2) แนวทางการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล การคัดกรองนักเรียน การส่งเสริมและพัฒนานักเรียนการป้องกันและแก้ไขปัญหา และการส่งต่อ 2. </span><span style="font-size: 0.875rem;">ระดับการปฏิบัติงานของครูในระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนพุทธจักรวิทยา สพม.กท 2 พบว่า ครูมีระดับการปฏิบัติอยู่ในระดับปานกลางทั้ง 3 ขั้นตอน คือ ขั้นการวางแผน ขั้นการนำแผนไปสู่การปฏิบัติ และขั้นการประเมินผล โดยมีคะแนนเฉลี่ย (
ธีรวัฒน์ เลื่อนฤทธิ์
Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
2023-01-16
2023-01-16
23 2
230
248
-
การพัฒนาชุดการสอนทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติกก่อนวัยเรียน
https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/14875
<p>การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ตั้งความมุ่งหมายหลัก คือ เพื่อพัฒนาชุดการสอนทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติกก่อนวัยเรียน และได้ตั้งความมุ่งหมายย่อย ไว้ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและปัญหาของการสอนทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติกก่อนวัยเรียน 2) เพื่อสร้างชุดการสอนทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติกก่อนวัยเรียน 3) เพื่อทดลองใช้และประเมินชุดการสอนทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติกก่อนวัยเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ระยะที่ 1 ได้แก่ ครูผู้สอน จำนวน 5 คน และผู้ปกครอง จำนวน 5 คน ระยะที่ 2 ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 6 คน ระยะที่ 3 ได้แก่ เด็กออทิสติกก่อนวัยเรียน จำนวน 5 คน ครูผู้สอน จำนวน 3 คน และ ผู้ปกครอง จำนวน 3 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันการสอนเด็กออทิสติกก่อนวัยเรียนในเรื่องที่เกี่ยวกับการรับรู้อารมณ์ของผู้อื่น เป็นสิ่งสำคัญที่เด็กจะต้องเรียนรู้เป็นอย่างมากในโรงเรียน 2) ผู้วิจัยได้สร้างชุดการสอนทักษะทางสังคมด้านการรับรู้ทางอารมณ์ของผู้อื่นสำหรับเด็กออทิสติกก่อนวัยเรียน ประกอบด้วย 2.1) หนังสือนิทานสอนทักษะทางสังคมด้านการรับรู้ทางอารมณ์ดีใจ อารมณ์เสียใจ และอารมณ์ตกใจ/กลัว 2.2) คู่มือการสอนทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติกก่อนวัยเรียนของครูและผู้ปกครอง 3) ชุดการสอนทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติกก่อนวัยเรียน สามารถทำให้เด็กออทิสติกก่อนวัยเรียนรับรู้ทางอารมณ์ ในระดับคะแนนร้อยละ 60 ขึ้นไป 4) ผลการประเมินชุดการสอนทักษะทางสังคมด้านการรับรู้ทางอารมณ์ของผู้อื่นสำหรับเด็กออทิสติกก่อนวัยเรียน โดยครูผู้สอนและผู้ปกครอง พบว่า ครูผู้สอนและผู้ปกครองส่วนใหญ่มีความคิดเห็นว่า ชุดการสอนทักษะทางสังคมด้านการรับรู้ทางอารมณ์ของผู้อื่นสำหรับเด็กออทิสติกก่อนวัยเรียน นั้น สามารถพัฒนาทักษะทางสังคมด้านการรับรู้ทางอารมณ์ของผู้อื่นได้ดี และครู ผู้ปกครอง สามารถนำไปปฎิบัติใช้ได้จริง</p>
จีรพัฒน์ ศิริรักษ์
Copyright (c) 2023 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ
2023-01-16
2023-01-16
23 2
249
261