https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/issue/feed วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ 2024-06-03T13:59:26+00:00 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุมาลี เชื้อชัย sumaleech@g.swu.ac.th Open Journal Systems <p>วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ จัดทำโดยคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ผลงานทางวิชาการ ทั้งในลักษณะที่เป็นบทความวิชาการ และบทความวิจัย ซึ่งแสดงให้เห็นสาระความรู้ใหม่จากการทบทวนวรรณกรรม ระเบียบวิธีวิจัยผลการวิจัย การสรุปอภิปราย และหรือการนำไปใช้เพื่อความน่าเชื่อถือและประโยชน์เชิงวิชาการ ในศาสตร์ของศึกษาศาสตร์และสังคมศาสตร์ </p> <p><strong>กำหนดเผยแพร่วารสาร</strong> ปีละ 2 ฉบับ (ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน และ ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม)</p> <p><strong>วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ </strong>เป็นวารสารที่ผ่านการรับรองคุณภาพของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย [Thai-Journal Citation Index (TCI) Centre] และอยู่ใน <strong>วารสารกลุ่มที่ 2</strong> (จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2567)<br /><br /><strong>กองบรรณาธิการวารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ</strong> มีนโยบายเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการตีพิมพ์บทความ (Processing fees and/or Article Page) จากผู้นิพนธ์บทความ จำนวน 3,500 บาท / บทความ </p> <p>การพิจารณาบทความ จะผ่านการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 3 ท่าน / บทความ </p> https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/16198 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ ปีที่ 25 ฉบับที่ 1 2024-06-03T13:59:26+00:00 กองบรรณาธิการ วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ planqa.edu@gmail.com 2024-06-03T00:00:00+00:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/16197 สารบัญ 2024-06-03T13:41:23+00:00 กองบรรณาธิการ วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ planqa.edu@gmail.com 2024-06-03T00:00:00+00:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/15921 กลยุทธ์การบริหารจัดการอารมณ์ของครูประถมศึกษา 2024-02-09T08:01:28+00:00 ธิดารัตน์ เต๊ะซ่วน 6582006627@student.chula.ac.th นภัสสร จันทเลิศ journal.edswu@gmail.com ภาวิณี โสธายะเพ็ชร journal.edswu@gmail.com กีรติ คุวสานนท์ journal.edswu@gmail.com <p>การบริหารจัดการอารมณ์ของครูประถมศึกษาถือว่าเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งที่ครูควรจะหมั่นฝึกฝนและบริหารอารมณ์ให้เป็น เนื่องจากครูจะต้องทำงานใกล้ชิดกับผู้เรียนวัยประถมศึกษา ซึ่งเป็นวัยที่เริ่มมีพัฒนาการในการเรียนรู้ด้านต่าง ๆ อยากรู้ อยากลองทำสิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ จึงอาจทำให้บางครั้งมีการแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมออกมา ส่งผลให้ครูเกิดอามรมณ์เชิงลบได้ง่าย อีกทั้งอาชีพครูยังเป็นอาชีพที่ต้องทำงานกับบุคคลหลากหลายฝ่าย ทั้งเพื่อนร่วมงาน ผู้บริหาร และผู้ปกครอง ซึ่งพฤติกรรมของบุคคลเหล่านี้ก็สามารถส่งผลต่ออารมณ์ของครู รวมไปถึงปัญหาส่วนตัวของครู ก็สามารถส่งผลไปยังการแสดงออกทางอารมณ์ของครูเองเช่นกัน ครูจึงต้องมีกลยุทธ์ในการบริหารจัดการอารมณ์ของตนเอง เพื่อให้สามารถควบคุมการแสดงออกของอารมณ์เชิงลบได้อย่างดี การเรียนรู้กลยุทธ์การบริหารจัดการอารมณ์ของครูทั้ง 5 กลยุทธ์ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นเพราะหากครูสามารถนำกลยุทธ์เหล่านี้ไปใช้ปฏิบัติจริงในชีวิตประจำวันได้ก็จะส่งผลดีทั้งต่อตัวครูเอง ต่อนักเรียน ต่อการจัดการเรียนการสอน และต่อความสัมพันธ์กับผู้ที่เกี่ยวข้อง</p> 2024-06-03T00:00:00+00:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/16196 กระบวนการพิจารณาบทความ 2024-06-03T13:23:46+00:00 กองบรรณาธิการ วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ planqa.edu@gmail.com 2024-06-03T00:00:00+00:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/16195 คู่มือสำหรับผู้เขียนบทความวารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ 2024-06-03T13:22:16+00:00 กองบรรณาธิการ วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ planqa.edu@gmail.com 2024-06-03T00:00:00+00:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/16193 กองบรรณาธิการ 2024-06-03T13:17:15+00:00 กองบรรณาธิการ วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ planqa.edu@gmail.com 2024-06-03T00:00:00+00:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/15725 การพัฒนาแชทบอทผ่านเอ็มเลิร์นนิงสำหรับจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทย เรื่อง มหาเวสสันดรชาดกของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2023-12-01T02:43:59+00:00 พิริยกานด์ เพชรทอง piriyakarn.pe@ku.th บุญรัตน์ แผลงศร boonrat.p@ku.th <p>การศึกษาวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแชทบอทผ่านเอ็มเลิร์นนิงสำหรับจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทย เรื่อง มหาเวสสันดรชาดกของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เพื่อศึกษาผลการใช้แชทบอทผ่านเอ็มเลิร์นนิงสำหรับจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทย เรื่อง มหาเวสสันดรชาดกของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการเรียนการสอนวรรณคดีไทย เรื่อง มหาเวสสันดรชาดก ด้วยแชทบอทผ่านเอ็มเลิร์นนิง โดยใช้เครื่องมือการวิจัย ได้แก่ 1) แชทบอทผ่านเอ็มเลิร์นนิงสำหรับจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทย เรื่อง มหาเวสสันดรชาดกของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนการสอนวรรณคดีไทย เรื่อง มหาเวสสันดรชาดก โดยใช้ระบบแชทบอทผ่านเอ็มเลิร์นนิงของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4 3) แบบสอบ ถามความพึงพอใจที่มีต่อแชทบอทผ่านเอ็มเลิร์นนิงสำหรับจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทย เรื่อง มหาเวสสันดรชาดกของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 1 ห้อง รวมทั้งสิ้น 30 คน โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาได้แก่ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าคะแนนเฉลี่ย (M) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (SD) และจะใช้สถิติเชิงอนุมานคือ การทดสอบ ค่าที (T-Test dependent) ผลการวิจัย พบว่า ผลการใช้แชทบอทผ่านเอ็มเลิร์นนิงสำหรับจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทย เรื่อง มหาเวสสันดรชาดกของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่า หลังเรียนด้วยระบบแชทบอทผ่านเอ็มเลิร์นนิง จะมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าก่อนเรียนด้วยระบบแชทบอท ผ่านเอ็มเลิร์นนิงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ส่วนความพึงพอใจ พบว่า นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่ได้เรียนรู้ด้วยแชทบอทผ่านเอ็มเลิร์นนิงสำหรับจัดการเรียนการสอนวรรณคดีไทย เรื่อง มหาเวสสันดรชาดกของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีความพึงพอใจในภาพรวมระดับมากที่สุด</p> 2024-04-17T00:00:00+00:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/15784 ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำแบบใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจ ในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 2023-12-26T07:42:17+00:00 นาถฤดี เดชรักษา natrudee04@gmail.com สุนทรี วรรณไพเราะ journal.edswu@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาภาวะผู้นำแบบใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 2) ศึกษาแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 และ 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำแบบใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ครู สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตรัง เขต 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 291 คน กำหนดขนาดของกลุ่มตัวอย่างโดยเทียบจากตารางสำเร็จรูปของ Krejcie and Morgan และสุ่มแบบแบ่งชั้นตามขนาดของสถานศึกษา จากนั้นสุ่มอย่างง่ายโดยวิธีการจับสลาก เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเกี่ยวกับภาวะผู้นำแบบใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา มีค่าเท่ากับ .983 ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามเกี่ยวกับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู มีค่าเท่ากับ .933 สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1) ภาวะผู้นำแบบใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษา โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก 2) แรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู โดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก และ 3) ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำแบบใฝ่บริการของผู้บริหารสถานศึกษากับแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู โดยรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกในระดับสูง <br />(r=.705**) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01</p> 2024-04-17T00:00:00+00:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/15974 การเยียวยาภาวะซึมเศร้าของเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากการสูญเสียพ่อหรือแม่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ด้วยการให้การปรึกษาทฤษฎีพฤติกรรมปัญญานิยมออนไลน์ 2024-02-21T08:19:15+00:00 ธิติยา กองแก้ว Titiya.Kongkaew@swu.ac.th เพ็ญนภา กุลนภาดล journal.edswu@gmail.com ชนัดดา แนบเกษร journal.edswu@gmail.com <p>การวิจัยนี้เป็นงานวิจัยกึ่งทดลอง (Quasi-experimental research) โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลของ การให้การปรึกษาทฤษฎีพฤติกรรมปัญญานิยมออนไลน์เพื่อเยียวยาภาวะซึมเศร้าของเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจาก การสูญเสียพ่อหรือแม่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ในระยะก่อนการทดลอง ระยะหลัง การทดลองและระยะติดตามผล 2) เพื่อเปรียบเทียบผลของการให้การปรึกษาทฤษฎีพฤติกรรมปัญญานิยมออนไลน์ เพื่อเยียวยาภาวะซึมเศร้าของเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากการสูญเสียพ่อหรือแม่จากสถานการณ์ การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ระหว่างกลุ่มทดลองกับกลุ่มควบคุม เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยประกอบด้วยแบบประเมินโรคซึมเศร้า 9 คาถาม (9Q) จากกรมสุขภาพจิต แบบประเมินภาวะซึมเศร้าหลังการสูญเสียพ่อหรือแม่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 จานวน 32 ข้อ ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.93 และโปรแกรมการปรึกษารายบุคคลทฤษฎีพฤติกรรมปัญญานิยมออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ เยาวชนที่มีอายุระหว่าง 15-18 ปี ที่สูญเสียพ่อหรือแม่ จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่มีคะแนนจากการทาแบบแบบประเมินโรคซึมเศร้า 9 คำถาม (9Q) อยู่ในระดับปานกลาง จานวน 20 คน โดยผู้วิจัยแบ่งกลุ่มตัวอย่างเข้ากลุ่มทดลอง ได้รับโปรแกรมการปรึกษารายบุคคลทฤษฎีพฤติกรรมปัญญานิยมออนไลน์ จานวน 10 ครั้ง ครั้งละ 60 นาที และกลุ่มควบคุม ไม่ได้ได้รับโปรแกรมการปรึกษารายบุคคลทฤษฎีพฤติกรรมปัญญานิยมออนไลน์ กลุ่มละ 10 คน โดยการจับคู่คะแนน (Matching pair) และวิเคราะห์โดยใช้วิธีวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้ำ ประเภทหนึ่งตัวแปรระหว่างกลุ่มและหนึ่งตัวแปรภายในกลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า คะแนน ภาวะซึมเศร้าของเยาวชนที่ได้รับโปรแกรมการปรึกษารายบุคคลทฤษฎีพฤติกรรมปัญญานิยมออนไลน์ระยะหลังทดลองและระยะติดตามผลต่ากว่าก่อนทดลอง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และกลุ่มทดลองมีคะแนนภาวะซึมเศร้าต่ำกว่าเยาวชนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สรุปได้ว่าโปรแกรมการให้การปรึกษาทฤษฎีพฤติกรรมปัญญานิยมออนไลน์ สามารถทำให้ภาวะซึมเศร้าในเยาวชนที่ได้รับผลกระทบจากการสูญเสียพ่อหรือแม่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 มีอาการดีขึ้น</p> 2024-04-17T00:00:00+00:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/15976 การเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อการเลี้ยงดูบุตรของมารดาวัยรุ่นด้วยการปรึกษาทฤษฎีพฤติกรรมนิยมออนไลน์ 2024-02-21T08:23:02+00:00 รวีวรรณ โกศลานันท์ ppinn9@gmail.com เพ็ญนภา กุลนภาดล journal.edswu@gmail.com <p style="font-weight: 400;">การวิจัยกึ่งทดลองนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบความรับผิดชอบต่อการเลี้ยงดูบุตรของมารดาวัยรุ่นระหว่างกลุ่มที่ได้รับการให้การปรึกษาทฤษฎีพฤติกรรมนิยมออนไลน์และกลุ่มควบคุม 2) เพื่อเปรียบเทียบความรับผิดชอบต่อการเลี้ยงดูบุตรของมารดาวัยรุ่น ที่ได้รับการให้การปรึกษาทฤษฎีพฤติกรรมนิยมออนไลน์ระหว่างระยะก่อนการทดลอง ระยะหลังการทดลองและระยะติดตามผล เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แบบวัดความรับผิดชอบต่อการเลี้ยงดูบุตรของมารดาวัยรุ่น 2)โปรแกรมการปรึกษาทฤษฎีพฤติกรรมนิยมออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้คือ มารดาวัยรุ่นอายุ 15-19 ปี ที่มีสัญชาติไทย มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดชลบุรีและเลี้ยงดูบุตรด้วยตนเอง มีความสมัครใจที่จะเข้าร่วมโครงการวิจัย และมีความรับผิดชอบต่อการเลี้ยงดูบุตรด้วยแบบวัดความรับผิดชอบต่อการเลี้ยงดูบุตรของมารดาวัยรุ่นที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นอยู่ในระดับปานกลางถึงต่ำ (1-90) จำนวน 20 คน ผู้วิจัยแบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มทดลอง 10 คน และกลุ่มควบคุม 10 คน กลุ่มทดลองจะได้รับโปรแกรมการปรึกษาทฤษฎีพฤติกรรมนิยมออนไลน์ จำนวน 10 ครั้ง ครั้งละ 60 นาที และกลุ่มควบคุมจะไม่ได้รับโปรแกรมการปรึกษาทฤษฎีพฤติกรรมนิยมออนไลน์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าร้อยละ และค่า F-test ด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทางที่มีการวัดซ้ำ (Two-way ANOVA repeated measurement) ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยความรับผิดชอบต่อการเลี้ยงดูบุตรของมารดาวัยรุ่นที่ได้รับโปรแกรมการปรึกษาทฤษฎีพฤติกรรมนิยมออนไลน์ในระยะหลังการทดลอง และระยะติดตามผลสูงกว่าระยะก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และค่าเฉลี่ยความรับผิดชอบต่อการเลี้ยงดูบุตรของมารดาวัยรุ่นที่ได้รับโปรแกรมการปรึกษาทฤษฎีพฤติกรรมนิยมออนไลน์ในระยะหลังการทดลอง และระยะติดตามผลมีค่าเป็น 122.20 และ 125.60 สูงกว่ามารดาวัยรุ่นที่ไม่ได้รับโปรแกรมการปรึกษาทฤษฎีพฤติกรรมนิยมออนไลน์ที่มีค่าเฉลี่ยคะแนนแบบวัดความรับผิดชอบต่อการเลี้ยงดูบุตรในระยะหลังการทดลอง และระยะติดตามผลมีค่าเป็น 109.60 และ 113.40 สรุปได้ว่าโปรแกรมการปรึกษาทฤษฎีพฤติกรรมนิยมออนไลน์สามารถเสริมสร้างความรับผิดชอบต่อการเลี้ยงดูบุตรของมารดาวัยรุ่นให้เพิ่มขึ้นได้</p> 2024-04-17T00:00:00+00:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/15872 แนวทางพัฒนาการประกันคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานตามแนวคิดการบริหารสถานศึกษาสู่การเป็นองค์การสมรรถนะสูงที่เสริมสร้างสมรรถนะผู้เรียนในโลกพลิกผัน 2024-01-26T12:05:49+00:00 จุฬาลักษณ์ โสระพันธ์ chulalak.edustou@gmail.com <p> งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบแนวทางพัฒนาการประกันคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานตามแนวคิดการบริหารสถานศึกษาสู่การเป็นองค์การสมรรถนะสูงที่เสริมสร้างสมรรถนะผู้เรียนในโลกพลิกผัน กลุ่มตัวอย่าง คือ สถานศึกษาสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 380 โรงเรียน ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถาม คือ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 1 คน และครู จำนวน 1 คน ในแต่ละโรงเรียน รวมทั้งสิ้น 760 คน และผู้ให้ข้อมูลในการสนทนากลุ่ม คือ ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม แบบประเมินความเป็นไปได้และความเหมาะสม และแบบบันทึกการสนทนากลุ่ม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การจัดลำดับความต้องการจำเป็นด้วยเทคนิค Modified Priority Needs Index (PNI<sub>Modified</sub>) และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า แนวทางพัฒนาการประกันคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานตามแนวคิดการบริหารสถานศึกษาสู่การเป็นองค์การสมรรถนะสูงที่เสริมสร้างสมรรถนะผู้เรียนในโลกพลิกผัน ประกอบด้วย (1) การพัฒนาศักยภาพในการกำหนดมาตรฐานการศึกษาเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะผู้เรียน (2) การเสริมสร้างประสิทธิภาพการจัดทำแผนพัฒนาการจัดการศึกษาที่มุ่งพัฒนาสมรรถนะผู้เรียน (3) การสร้างความเข้มแข็งในการดำเนินงานตามแผนพัฒนาการจัดการศึกษาเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะผู้เรียน (4) การพัฒนาคุณภาพการประเมินผลและตรวจสอบคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาเพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้เรียน (5) การเพิ่มขีดความสามารถในการติดตามผลการดำเนินงานเพื่อพัฒนาสถานศึกษาให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษาที่มุ่งเน้นการพัฒนาสมรรถนะผู้เรียน และ (6) การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดทำรายงานผลการประเมินตนเองเพื่อเสริมสร้างสมรรถนะผู้เรียน และผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของแนวทางพัฒนาการประกันคุณภาพการศึกษาขั้นพื้นฐานตามแนวคิดการบริหารสถานศึกษาสู่การเป็นองค์การสมรรถนะสูงที่เสริมสร้างสมรรถนะผู้เรียนในโลกพลิกผัน พบว่า ทุกข้อมีผลการประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้อยู่ในระดับมาก</p> 2024-04-17T00:00:00+00:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/16033 การพัฒนาความสามารถด้านการรู้เรื่องการอ่าน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้เทคนิคชี้นำการอ่าน SQRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะตามแนวทางการทดสอบ PISA 2024-03-19T02:11:29+00:00 เกศศินี ทาระเนตร์ kesineebeam@gmail.com น้ำทิพย์ องอาจวาณิชย์ namthipo@nu.ac.th <p>การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อหาประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะตามแนวทางการทดสอบ PISA ในการพัฒนาความสามารถด้านการรู้เรื่องการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการรู้เรื่องการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคชี้นำการอ่าน SQRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะตามแนวทางการทดสอบ PISA และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาความสามารถด้านการรู้เรื่องการอ่าน โดยใช้เทคนิคชี้นำการอ่าน SQRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะตามแนวทางการทดสอบ PISA กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/4 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนวัดเมธังกราวาส (เทศรัฐราษฎร์นุกูล) จังหวัดแพร่ จำนวน 39 คน ได้มาด้วยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) โดยมีห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม ใช้เวลาทดลอง 15 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบฝึกทักษะตามแนวทางการทดสอบ PISA แบบทดสอบวัดความสามารถด้านการรู้เรื่องการอ่าน และแบบวัดความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าเฉลี่ย (X) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน (t–test Dependent Samples) ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะตามแนวทางการทดสอบ PISA มีค่าประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/ E<sub>2</sub> เท่ากับ 82.17/81.03 เป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ความสามารถด้านการรู้เรื่องการอ่านของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้เทคนิคชี้นำการอ่าน SQRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะตามแนวทางการทดสอบ PISA สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนาความสามารถด้านการรู้เรื่องการอ่าน โดยใช้เทคนิคชี้นำการอ่าน SQRC ร่วมกับแบบฝึกทักษะตามแนวทางการทดสอบ PISA ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X=4.41, S.D.=0.61)</p> 2024-04-24T00:00:00+00:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/15829 ผลการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานโดย Learn Education ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2024-01-09T07:44:20+00:00 วนัชพร ถาวรสมสุข wanatchaporn.tha@ondemand.in.th วันนิภา วันนิวาส wannipha.wan@ondemand.in.th งามพร้อม อ่อนบัวขาว ngamprom.onb@ondemand.in.th <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) เพื่อศึกษาพัฒนาการและเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ก่อนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานโดย Learn Education และ (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ระหว่างนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานโดย Learn Education และ แบบปกติ โดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (purposive sampling) แบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานโดย Learn Education จำนวน 136 คน และกลุ่มที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติจำนวน 121 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ก่อนและหลังเรียน ผลการตรวจสอบคุณภาพพบว่า ด้านความตรงเชิงเนื้อหา มีค่าดัชนี IOC อยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00 ด้านความเที่ยงมีค่าความเที่ยงอยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ (α &gt; 0.7) และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน คะแนนพัฒนาการสัมพัทธ์ (Gain Score) และทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยคะแนนด้วยค่าที ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนกลุ่มทดลองที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานโดย Learn Education จากทั้งหมด 136 คน มีพัฒนาการระดับต้นจำนวน 39 คน ระดับกลางจำนวน 39 คน ระดับสูงจำนวน 36 คน และ ไม่มีพัฒนาการจำนวน 22 คน และมีค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานโดย Learn Education หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2) ค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบผสมผสานโดย Learn Education สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2024-04-29T00:00:00+00:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/16031 ความพึงพอใจต่อการจัดการแข่งขันกีฬาคอร์ฟบอลชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 5 2024-03-15T06:22:15+00:00 สุปราณี ขวัญบุญจันทร์ supraneek2504@gmail.com ศกลวรรณ เปลี่ยนขำ journal.edswu@gmail.com พรณิชา ชาตะพันธุ์ journal.edswu@gmail.com ภาคภูมิ รัตนโรจนากุล journal.edswu@gmail.com อัจฉราลักษณ์ วิเศษ journal.edswu@gmail.com สุมาลี งามสง่า journal.edswu@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการแข่งขันกีฬาคอร์ฟบอลชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 5 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา จำนวน 59 คน คือ ผู้จัดการทีม ผู้ฝึกสอน และผู้ช่วยผู้ฝึกสอน โดยได้จากการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีความเที่ยงตรงเชิงเนื้อเท่ากับ 1.0 ค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.88 วิเคราะห์ข้อมูลตามหลักสถิติโดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า ความพึงพอใจต่อการจัดการแข่งขันกีฬาคอร์ฟบอลชิงชนะเลิศแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 5 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X = 3.94, S.D.= 0.75) เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ความพึงพอใจด้านสถานที่และสิ่งอำนวยความสะดวก อยู่ในระดับมาก (X = 4.28, S.D.= 0.43) ด้านสื่อวิดิทัศน์และการประชาสัมพันธ์ อยู่ในระดับมาก (X = 4.19, S.D.= 0.56) ด้านการจัดการแข่งขัน อยู่ในระดับมาก (X = 3.82, S.D.= 0.40) และด้านกรรมการผู้ตัดสิน อยู่ในระดับปานกลาง (X = 3.49, S.D.= 0.56)</p> 2024-05-13T00:00:00+00:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/15755 การพัฒนาการเรียนรู้คำศัพท์โดยใช้เกมคำศัพท์ภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 2024-01-16T09:21:12+00:00 ศิริพร กุนแก้ว mysiriphon1996@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถก่อนและหลังการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนบ้านดอนเคี่ยม โดยใช้เกมคำศัพท์ภาษาอังกฤษในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 2) เพื่อศึกษาการใช้เกมคำศัพท์ภาษาอังกฤษ​ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 15 คน โรงเรียนบ้านดอนเคี่ยม อำเภอท่าแซะ จังหวัดชุมพร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ซึ่งได้มาจากวิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายโดยใช้วิธีการจับสลาก ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย จำนวน 8 ชั่วโมง แบบแผนการวิจัย เป็นแบบกลุ่มเดี่ยว สอบก่อนเรียนและหลังเรียน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ คือ 1) แผนการการจัดการเรียนรู้โดยใช้เกมคำศัพท์ภาษาอังกฤษ 2) แบบทดสอบคำศัพท์ภาษาอังกฤษแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่า <em>t</em>-test แบบ dependent และการตรวจสอบเชิงเนื้อหา การศึกษาวิจัยพบว่า1) คะแนนของนักเรียนหลังจากใช้เกมคำศัพท์ภาษาอังกฤษสูงกว่าก่อนใช้เกมคำศัพท์ภาษาอังกฤษอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05</p> 2024-05-27T00:00:00+00:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/16040 การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา 2024-03-27T08:35:16+00:00 ศิริวรรณ ฉัตรมณีรุ่งเจริญ drsiriwankief@pkru.ac.th ฮานิสา วาฮะ journal.edswu@gmail.com <p style="font-weight: 400;">การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง แหล่งน้ำเพื่อชีวิต ก่อน ระหว่าง และหลังการเรียนรู้แบบสะเต็ม 2) เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้สะเต็ม โดยใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และวิธีการตรวจน้ำของ GLOBE ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง แหล่งน้ำเพื่อชีวิต และ 3)เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มกับการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง แหล่งน้ำเพื่อชีวิต ครูทำหน้าที่เป็นนักวิจัย โดยมีกลุ่มวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 35 คน ที่ได้จากการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง การศึกษาครั้งนี้ดำเนินการตามกรอบระเบียบวิธีวิจัยการวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน&nbsp; ข้อมูลวิจัยได้มีการจัดเก็บระหว่างการดำเนินการพัฒนาโดยใช้เครื่องมือวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้สะเต็ม แบบวัดทักษะกระบวนการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการ อนุทินการเรียนรู้ของนักเรียน การประชุมกลุ่มย่อย และบันทึกหลังการสอนของครู ผลการวิจัย พบว่าการเปรียบเทียบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการของนักเรียนก่อนเรียนและหลังการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา จากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนพบว่า คะแนนทดสอบหลังใช้แบบวัดทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญที่ .01 การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการหลังการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มมีค่าเฉลี่ยในระดับดีทุกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นบูรณาการ&nbsp;</p> 2024-05-27T00:00:00+00:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/16056 การพัฒนาชุดฝึกทักษะการใช้ภาษาอังกฤษสำหรับงานบริการอาหาร 2024-04-11T02:22:00+00:00 วีรชัย อำพรไพบูลย์ worldmedia.tui@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มุ่งเน้นให้เกิดการพัฒนาชุดฝึกทักษะในการสื่อสารภาษาอังกฤษสำหรับงานบริการอาหาร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาชุดฝึกทักษะการใช้ภาษาอังกฤษสำหรับงานบริการอาหารให้บรรลุประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนก่อนและหลังเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่ผ่านการเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี กรุงเทพฯ จำนวน 39 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) ชุดฝึกทักษะการใช้ภาษาอังกฤษสำหรับงานบริการอาหาร 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 3) แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าประสิทธิภาพ E<sub>1</sub>/E<sub>2</sub> การทดสอบค่าที ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยพบว่า 1) ชุดฝึกทักษะการใช้ภาษาอังกฤษสำหรับงานบริการอาหาร ประกอบด้วย 4 หน่วยการเรียน ได้แก่ การต้อนรับ การรับคำสั่งอาหารและเครื่องดื่ม การเสิร์ฟและการให้บริการ และการเรียกชำระเงิน โดยได้ค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 69.69/70.42 ซึ่งสามารถยอมรับได้ว่าเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ 70/70 2) ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) ผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้ชุดฝึกทักษะในระดับ มาก (<em>M</em> = 4.50 และ <em>SD</em> = 0.64)</p> 2024-05-27T00:00:00+00:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/16032 สภาพและแนวทางพัฒนากระบวนการนิเทศหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 2024-03-15T06:34:30+00:00 ดาราวรรณ จันทร์หอม darawan.pm1983@gmail.com ทัศนะ ศรีปัตตา journal.edswu@gmail.com <p>การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาสภาพกระบวนการนิเทศหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 และ 2) ศึกษาแนวทางพัฒนากระบวนการนิเทศหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 โดยการดำเนินการวิจัย แบ่งออกเป็น 2 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาสภาพกระบวนการนิเทศหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา และครูหัวหน้าฝ่ายบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 73 คน แบ่งเป็นผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 38 คน และเป็นครูหัวหน้าฝ่ายบริหารงานวิชาการ จำนวน 35 คน และเลือกกลุ่มตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratied Random Sampling) ตามสัดส่วนของผู้บริหารและครูหัวหน้าฝ่ายบริหารงานวิชาการของโรงเรียนขยายโอกาสในแต่ละอำเภอในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยและค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 2 การศึกษาแนวทางพัฒนากระบวนการนิเทศหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์ในการนิเทศหลักสูตรสถานศึกษา จำนวน 4 คน เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยแบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการศึกษาสภาพกระบวนการนิเทศหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 ทั้ง 4 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนการศึกษาสภาพและความต้องการในการนิเทศ ขั้นตอนการดำเนินการนิเทศ ขั้นตอนการวางแผนการนิเทศ และขั้นตอนการประเมินผลและรายงานผล ในภาพรวมมีการปฏิบัติอยู่ในระดับมาก โดยขั้นตอนที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ ขั้นการดำเนินการนิเทศ อยู่ในระดับมาก รองลงมา คือ ขั้นตอนการวางแผนการนิเทศ ขั้นตอนการประเมินผลและรายงานผล และขั้นตอนที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ขั้นตอนการศึกษาสภาพและความต้องการในการนิเทศ อยู่ในระดับปานกลาง 2) ผลการศึกษาแนวทางการพัฒนากระบวนการนิเทศหลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพิจิตร เขต 2 พบว่า ต้นสังกัดควรจัดอบรม สร้างความรู้ ความเข้าใจ ถึงความสำคัญของกระบวนการนิเทศหลักสูตรสถานศึกษาแก่ผู้บริหารสถานศึกษาและบุคลากรในสถานศึกษา ศึกษาสภาพปัญหา ศึกษาข้อมูลสารสนเทศ เพื่อนำมาวางแผน ดำเนินการและพัฒนาการนิเทศ ร่วมกันสรุปผล วิเคราะห์ปัญหาและหาแนวทางแก้ไข จัดทำรายงานผลการประเมินการดำเนินการนิเทศหลักสูตรสถานศึกษาต่อต้นสังกัดและประชาสัมพันธ์ให้แก่สาธารณชนรับทราบ</p> 2024-05-29T00:00:00+00:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ https://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/16006 การประเมินกรอบสมรรถนะครูเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซี-ทีซีเอฟ) 2024-03-14T03:35:45+00:00 ธีรศักดิ์ อุปไมยอธิชัย thirasaku@nu.ac.th พิทยา แสงสว่าง journal.edswu@gmail.com น้ำทิพย์ องอาจวาณิชย์ journal.edswu@gmail.com <p>การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ประเมินกรอบสมรรถนะครูเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซี-ทีซีเอฟ) ของสำนักงานเลขาธิการคุรุสภา 2) เสนอนโยบายการพัฒนากรอบสมรรถนะครูเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซี-ทีซีเอฟ) ภายใต้บริบทประเทศไทย ประชากร ได้แก่ ข้าราชการครู สังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 325 คน และผู้ให้ข้อมูลจากผู้ทรงคุณวุฒิได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง จำนวน 7 คน เครื่องมือการวิจัยเป็นแบบสอบถามประมาณค่า 5 ระดับ ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามทั้งฉบับ มีค่าเท่ากับ 0.97 และแบบสัมภาษณ์แบบกึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดย ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการประเมินกรอบสมรรถนะครูเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซี-ทีซีเอฟ) โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (X=4.21) เมื่อพิจาราณารายด้านพบว่าด้านที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือ ด้านให้ชุมชนมีส่วนร่วม (X=4.45) รองลงมาคือ ด้านเป็นครูที่ดีขึ้นในทุกๆ วัน (X=4.39) ด้านช่วยให้นักเรียนของฉันได้เรียนรู้ (X=4.16) และด้านที่มีค่าเฉลี่ยต่ำสุด คือ ด้านรู้และเข้าใจในสิ่งที่ตนเองสอน (X=4.06) 2) ผลการเสนอนโยบายการพัฒนากรอบสมรรถนะครูเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซี-ทีซีเอฟ) ภายใต้บริบทประเทศไทย ประกอบด้วย 4 นโยบาย 7 ประเด็นย่อย</p> 2024-06-03T00:00:00+00:00 Copyright (c) 2024 วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ