2024-03-29T11:53:29Z
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/index/oai
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4460
2014-08-27T13:56:47Z
swudentj:Original+articles
รอยโรคอาร์เทอริโอวีนัสมัลฟอร์เมชัน ที่กระดูกขากรรไกรล่างภายหลังการผ่าต้ดฟันคุด
ศิริวัฒน์, กิติ
ชมะนันทน์, ภูริศร์
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-08-27
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4460
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 1 No. 1 (2005): Srinakharinwirot University Dental Journal; 1-12
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4460/4296
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4461
2014-08-27T13:56:47Z
swudentj:Original+articles
เอ็กซ์ตราโนดอลนอนฮอดจ์กินลิมโฟมา(ฮิสทิโอโซติกลิมโฟมา)
รังสิยานนท์, สรสัณห์
ศิริวัฒน์, กิติ
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-08-27
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4461
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 1 No. 1 (2005): Srinakharinwirot University Dental Journal; 13-21
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4461/4297
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4462
2014-08-27T13:56:47Z
swudentj:Original+articles
การแสดงออกของพี 53 ในถุงน้ำชนิดที่มีต้นกำเนิดเกี่ยวข้องกับฟันและในเนื้องอกอะมีโลบลาสโทมา
ดนุไทย, กิตติพงษ์
รังสิยานนท์, สรสัณห์
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-08-27
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4462
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 1 No. 1 (2005): Srinakharinwirot University Dental Journal; 23-31
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4462/4298
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4464
2014-08-27T13:56:47Z
swudentj:Original+articles
การศึกษาความชุกของการเกิดฟันรูปหมุดในฟันตัดซี่ข้างแท้ในนักเรียนของโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพมหานครฯ
ส่งวัฒนา, ศิริวรรณ
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-08-27
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4464
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 1 No. 1 (2005): Srinakharinwirot University Dental Journal; 43-50
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4464/4299
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4466
2014-08-27T13:56:47Z
swudentj:Original+articles
การศึกษาการเปลี่ยนแปลงของอัตราการไหลของกระแสโลหิตในโพรงรากฟันเขี้ยวแท้ของมนุษย์ที่ถูกแรงดึงในระหว่างการรักษาทางทันตกรรมจัดฟัน
วรชาติ, พลพิทยา
จรรยาประเสริฐ, กมลภัทร
ชุณหชีวาโฉลก, เอกชัย
อินทรนุกุล, อรพินท์
ชิดช่วงชัย, วรางคณา
วงษ์สวรรค์, นพคุณ
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-08-27
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4466
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 1 No. 1 (2005): Srinakharinwirot University Dental Journal; 51-58
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4466/4301
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4467
2014-08-27T13:56:47Z
swudentj:Review+articles
การยึดติดของสารยึดติดระบบเซลฟ์ เอทช์ ไพร์เมอร์ บนเคลือบฟัน และเนื้อฟันปกติ
วีระประวัติ, วีระพร
พูลทอง, สุชิต
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-08-27
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4467
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 1 No. 1 (2005): Srinakharinwirot University Dental Journal; 59-71
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4467/4302
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4468
2014-08-27T13:56:47Z
swudentj:Miscellanies
PIERRE FAUCHARD Ancien Maitre Chirurgien-Dentiste, Seigneur du Grand-Menil
ธีรวรางกูร, ไพรัช
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-08-27
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4468
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 1 No. 1 (2005): Srinakharinwirot University Dental Journal; 73-77
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4468/4303
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4471
2015-03-27T15:23:07Z
swudentj:Original+articles
ผลของการเตรียมพื้นผิวต่อความแข็งแรงของการยึดติดของนาโนคอมโพสิต
ปฎิพัทธ์วุฒิกุล ดิดรอน, ภาวิณีย์
บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาความแข็งแรงของการยึดติดระหว่างคอมโพสิตใหม่และคอมโพสิตที่ผ่านการจำลองการใช้งาน และเพื่อศึกษาผลของการเตรียมพื้นผิวแบบต่างๆ ต่อความแข็งแรงของการยึดติดของคอมโพสิต ชิ้นทดสอบคอมโพสิตทรงกระบอก(ø 5 มม X 4 มม) จำนวน 90 ชิ้น ถูกเตรียมและเก็บในน้ำปราศจากประจุที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 180 วัน และแบ่งออกเป็น 9 กลุ่ม (กลุ่มละ 10 ชิ้น) ซึ่งได้รับการเตรียมพื้นผิวด้วยวิธีการต่างๆ กันก่อนทำการยึดติดกับคอมโพสิตใหม่ดังนี้ กลุ่มที่ 1: ทำผิวให้ขรุขระด้วยหัวกรอเพชรความหยาบปานกลาง, กลุ่มที่ 2: ทำผิวให้ขรุขระด้วยผงอะลูมินัมออกไซด์, กลุ่มที่ 3: ทำผิวให้ขรุขระด้วยหัวกรอเพชรและทาสารยึดติดแอดเปอร์สกอตช์บอนด์เอสอี, กลุ่มที่ 4: ทำผิวให้ขรุขระด้วยผงอะลูมินัมออกไซด์และทาสารยึดติดแอดเปอร์สกอตช์บอนด์เอสอี, กลุ่มที่ 5: ทาสารยึดติดแอดเปอร์สกอตช์บอนด์เอสอี, กลุ่มที่ 6: ทำผิวให้ขรุขระด้วยหัวกรอเพชรและทาสารยึดติดแอดเปอร์สกอตช์บอนด์มัลติเพอร์เพอร์ส, กลุ่มที่ 7: ทำผิวให้ขรุขระด้วยผงอะลูมินัมออกไซด์และทาสารยึดติดแอดเปอร์สกอตช์บอนด์มัลติเพอร์เพอร์ส, กลุ่มที่ 8: ทาสารยึดติดแอดเปอร์สกอตช์บอนด์มัลติเพอร์เพอร์ส, กลุ่มที่ 9: ไม่ทำการเตรียมผิวคอมโพสิต และกลุ่มที่ 10: เป็นกลุ่มควบคุมโดยเตรียมชิ้นทดสอบจากคอมโพสิตเป็นทรงกระบอก (ø 5 มม X 8 มม) ชิ้นทดสอบทั้งหมดถูกเก็บไว้ในน้ำปราศจากประจุเป็นเวลา 24 ชม. ก่อนนำไปทดสอบหาความแข็งแรงเฉือนของการยึดติดในเครื่องทดสอบสากล ผลการทดลองได้รับการวิเคราะห์ทางสถิติด้วยการทดสอบความแปรปรวนแบบทางเดียว และการทดสอบเชฟเฟ่ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% การเตรียมพื้นผิวให้ค่าความแข็งของการยึดติดเรียงตามลำดับจากมากไปน้อยดังนี้ กลุ่มที่ 3 > กลุ่มที่ 4 > กลุ่มที่ 6 > กลุ่มที่ 7 > กลุ่มที่ 5 > กลุ่มที่ 8 โดยกลุ่มที่ 1, 2, และ 9 ไม่เกิดการยึดติดระหว่างคอมโพสิตเก่าและใหม่ ผลจากการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่าควรต้องทำการเตรียมพื้นผิวของคอมโพสิตเก่าและต้องทาสารยึดติดเสมอก่อนทำการยึดติดกับชั้นคอมโพสิตใหม่ ในการศึกษานี้การทำพื้นผิวให้ขรุขระด้วยหัวกรอเพชรและทาสารยึดติดแอดเปอร์สกอตช์บอนด์เอสอีให้ค่าความแข็งแรงเฉือนของการยึดติดสูงสุด และมีค่าใกล้เคียงกับค่าความแข็งแรงดั้งเดิมของวัสดุ คำสำคัญ: เรซินคอมโพสิต, การซ่อมแซม, ความแข็งแรงเฉือนของการยึดติด, สารยึดติด, การเตรียมพื้นผิว
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-03-27
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4471
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 6 No. 2 (2013): Srinakharinwirot University Dental Journal; 12-23
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4471/4305
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4473
2015-03-27T15:23:07Z
swudentj:Original+articles
ความชุกและปัจจัยทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคฟันผุในผู้ป่วยเด็กคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
แก้วสุทธา, ณัฐวุธ
บุญอินทร์, ธนานัฐ
เหลืองเรืองรอง, คงวุฒิ
มาไพศาลสิน, ชวรชต์
ฉายวิริยะ, จริญญา
บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเชิงพรรณนาแบบภาคตัดขวาง มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความชุกและศึกษาปัจจัยทางกายภาพที่เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคฟันผุในผู้ป่วยเด็กอายุ 5-7 ปี ที่เข้ารับการรักษาที่คลินิกทันตกรรมสำหรับเด็ก คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยเก็บข้อมูลจากแฟ้มประวัติผู้ป่วยเด็กระหว่างปี พ.ศ.2548–2554 จำนวน 300 คน โดยวิธีสุ่มอย่างง่าย วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติไค-สแควร์ และ การวิเคราะห์การถดถอยโลจิสติก ผลการศึกษาพบว่า ความชุกของโรคฟันผุเป็นร้อยละ 87.67 ค่าเฉลี่ยดัชนีผุ ถอน อุดเป็น 9.53 ซี่/คน จากการวิเคราะห์ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคฟันผุ พบว่า ปัจจัยด้านน้ำหนักและส่วนสูงมีความสัมพันธ์กับการเกิดฟันผุอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p-value = 0.001) ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% โดยเด็กที่มีน้ำหนักและส่วนสูงมากกว่าเกณฑ์นั้น มีโอกาสเกิดฟันผุได้มากกว่าผู้ป่วยที่มีน้ำหนักและส่วนสูงตามเกณฑ์ 4 เท่า (OR = 4.00, 95% CI = 1.3-9.18) แต่ไม่พบความสัมพันธ์ระหว่าง ปัจจัยด้านเพศ ปัจจัยด้านพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ และปัจจัยด้านลักษณะการสบฟัน กับการเกิดฟันผุในเด็ก อย่างไรก็ตาม โรคฟันผุเป็นโรคที่เกิดจากพหุปัจจัย จึงควรมีการศึกษาลักษณะอื่นๆ เช่น การศึกษาสหสัมพันธ์เปรียบเทียบ และการศึกษาเชิงทดลองเพื่อให้สามารถเห็นความสัมพันธ์ที่มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น คำสำคัญ: ความชุก ปัจจัยทางกายภาพ ฟันผุ ผู้ป่วยเด็ก
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-03-27
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4473
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 6 No. 2 (2013): Srinakharinwirot University Dental Journal; 35-47
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4473/4306
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4474
2015-03-27T15:23:07Z
swudentj:Original+articles
ผลของเทคนิคการพิมพ์แบบต่อความสามารถในการไหลแทรกของซิลิโคนชนิดเติม
เอี่ยมจิรกุล, ณปภา
มณีไพโรจน์, วันรวี
ศรีเศรษฐนิล, สิรินทิพย์
บทคัดย่อ วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาผลของเทคนิคการพิมพ์แบบต่อความสามารถในการไหลแทรกของซิลิโคนชนิดเติมสู่ร่องเหงือกจำลอง วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ จำลองร่องเหงือกของมนุษย์และสภาพเหงือกในคลินิกด้วยร่องเหงือกจำลองที่ทำจากชิ้นทองเหลืองและวุ้นให้มีความลึก 3 มิลลิเมตรกว้าง 0.05 0.1 และ 0.2 มิลลิเมตรตามลำดับ ทำการพิมพ์ร่องเหงือกจำลองแต่ละความกว้างด้วยวัสดุพิมพ์ซิลิโคนชนิดเติมด้วยเทคนิคการพิมพ์แบบครั้งเดียว เทคนิคการพิมพ์พัตตี้และชนิดหนืดน้อย 1 ขั้นตอน และเทคนิคการพิมพ์พัตตี้และชนิดหนืดน้อย 2 ขั้นตอน เทคนิคละ6 ชิ้น รวมรอยพิมพ์ทั้งสิ้น 54 ชิ้น วัดระยะไหลแทรกของวัสดุพิมพ์ด้วยเครื่องวัดระยะทางอย่างละเอียด แล้วนำไปวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทาง และเปรียบเทียบเชิงซ้อนทีละคู่ด้วยสถิติแอลเอสดีโพสฮอค ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 ผลการทดลอง พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของความสามารถในการไหลแทรกของวัสดุพิมพ์แบบในความกว้างของร่องเหงือกและเทคนิคการพิมพ์แบบ (p < 0.05) และไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างเทคนิคการพิมพ์แบบและความกว้างของร่องเหงือก (p > 0.05) ในความกว้างของร่องเหงือก 0.5 มิลลิเมตร เทคนิคการพิมพ์พัตตี้และชนิดหนืดน้อย 2 ขั้นตอน วัสดุพิมพ์มีความสามารถในการแทรกมากกว่าเทคนิคการพิมพ์พัตตี้และชนิดหนืดน้อย 1 ขั้นตอนและเทคนิคการพิมพ์ครั้งเดียว (p < 0.05) อย่างไรก็ตาม ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของเทคนิคการพิมพ์พัตตี้และชนิดหนืดน้อย 1 และ 2 ขั้นตอนในความกว้างของร่องเหงือก 0.1 และ 0.2 มิลลิเมตร สรุปผลการทดลอง วัสดุพิมพ์แบบสามารถแทรกลงในร่องเหงือกได้มากขึ้นเมื่อความกว้างของร่องเหงือกเพิ่มมากขึ้น เทคนิคการพิมพ์พัตตี้และชนิดหนืดน้อย 2 ขั้นตอนสามารถแทรกลงไปได้ดีที่สุดในร่องเหงือกที่แคบที่สุด คำสำคัญ: เทคนิคการพิมพ์ปาก ความสามารถในการแทรก ซิลิโคนชนิดเติม
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-03-27
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4474
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 6 No. 2 (2013): Srinakharinwirot University Dental Journal; 24-34
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4474/4307
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4475
2015-03-27T15:23:07Z
swudentj:Original+articles
ผลการเกลารากฟันซ้ำด้วยเครื่องขูดพีโซอิเล็คทริก อัลตราโซนิกในรอยโรคที่หลงเหลือหลังจากการรักษาระยะที่ 1
อุมะนันทน์, ดลหทัย
ทองศิริ, ชื่นชีวิต
เสมา, จามรี
เหล่าศรีสิน, ณรงค์ศักดิ์
บทคัดย่อ ภายหลังเมื่อทำการเกลารากฟันเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคปริทันต์อักเสบในขั้นตอนการรักษาระยะที่ 1 ของการรักษาโรคปริทันต์เสร็จสิ้นแล้ว มักพบเสมอว่าจะยังคงมีร่องลึกปริทันต์ปรากฎหลงเหลืออยู่ จึงทำให้ต้องมีการเกลารากฟันซ้ำหรือเลือกทำศัลยปริทันต์เป็นขั้นตอนต่อไป อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา ได้เคยมีการศึกษาถึงผลดีของการใช้เครื่องขูดพีโซอิเล็คทริก อัลตร้าโซนิก แทนการเกลารากฟันด้วยคิวเรตต์มาแล้วในขั้นตอนของการรักษาขั้นต้นนั้นด้วย การวิจัยนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงสภาวะปริทันต์และปริมาณเชื้อพอร์ไฟโรโมแนส จิงจิวาลิส เมื่อทำการเกลารากฟันซ้ำด้วยเครื่องขูดพีโซอิเล็คทริก อัลตร้าโซนิกเปรียบเทียบกับการใช้คิวเรตต์ ทำการคัดเลือกฟันที่มีร่องลึกปริทันต์ หลงเหลืออยู่ตั้งแต่ 4 มิลลิเมตรขึ้นไป จำนวน 35 คู่จากอาสาสมัคร 19 คน ที่ได้รับการรักษาขั้นต้นแล้ว จากคลินิกคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ โดยเป็นฟันประเภทเดียวกันแต่อยู่คนละด้านของขากรรไกร ทำการเกลารากฟันซ้ำด้วยเครื่องขูดพีโซอิเล็คทริก อัลตร้าโซนิกในฟันกลุ่มทดลอง และด้วยคิวเรตต์ในฟันกลุ่มควบคุมโดยวิธีเลือกแบบสุ่ม ทำการวัดค่าทางคลินิกได้แก่ ความลึกของร่องลึกปริทันต์ ระดับการยึดเกาะอวัยวะปริทันต์ ระดับเหงือกร่น และดัชนีการมีเลือดออกของเหงือก ร่วมกับการเก็บเชื้อเพื่อตรวจหาปริมาณเชื้อพอร์ไฟโรโมแนส จิงจิวาลิสโดยวิธีควอนทิเททีฟ เรียลไทม์ พีซีอาร์ ณ เวลาก่อนการรักษาและหลังการรักษา 6 และ 12 สัปดาห์ ผลการศึกษาทางคลินิกพบมีการลดลงของร่องลึกปริทันต์ และเพิ่มขึ้นของระดับการยึดเกาะของอวัยวะปริทันต์ อย่างมีนัยสำคัญางสถิติ ในทั้งสองกลุ่มการรักษา ภายหลังสัปดาห์ที่ 6 และ 12 แต่ไม่พบความแตกต่างระหว่างกลุ่ม นอกจากนี้ พบมีจำนวนผู้ป่วยและจำนวนตำแหน่งฟันที่ตรวจไม่พบเชื้อพอร์ไฟโรโมแนส จิงจิวาลิสเพิ่มขึ้น รวมถึงมีการลดลงของปริมาณเชื้อพอร์ไฟโรโมแนส จิงจิวาลิส ในตำแหน่งที่ตรวจพบด้วยในทั้งสองกลุ่มการรักษา แต่ไม่พบความแตกต่างระหว่างกลุ่ม จึงสรุปได้ว่า การใช้ครื่องขูดพีโซอิเล็กทริก อัลตราโซนิกในการขูดร่องลึกปริทันต์ซ้ำในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาขั้นต้นแล้ว เป็นอีกทางเลือกที่สามารถให้ผลการรักษาที่ดีไม่แตกต่างจากการใช้คิวเรตต์ คำสำคัญ: การเกลารากฟัน เชื้อพอร์ไฟโรโมแนสจิงจิวาลิส ปฏิกิริยาเรียลไทม์พีซีอาร์ การรักษาโรคปริทันต์ระยะประคับประคอง เครื่องขูดหินน้ำลายพีโซอิเล็กทริกอัลตราโซนิก
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-03-27
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4475
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 6 No. 2 (2013): Srinakharinwirot University Dental Journal; 65-77
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4475/4308
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4476
2015-03-27T15:23:07Z
swudentj:Review+articles
ระบบการขนส่งยาฆ่าเชื้อสำหรับเสริมในการรักษาโรคปริทันต์แบบเฉพาะที่โดยการใช้ตัวเก็บกักยาชนิดไฟเบอร์และฟิล์ม
จิ๋วพัฒนกุล, ปรมาภรณ์
บทคัดย่อโรคปริทันต์เป็นโรคหนึ่งที่มีความสำคัญมากในด้านทันตกรรม วิธีการในการรักษาโรคปริทันต์ได้แก่ การรักษาด้วยวิธีการขูดหินน้ำลายและเกลารากฟัน รวมไปถึงการทำศัลยกรรมปริทันต์ และให้การรักษาร่วมกับการแนะนำการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้ป่วย โดยกลยุทธ์สำคัญในการรักษาคือการกำจัดเชื้อโรคที่อยู่ในบริเวณอวัยวะปริทันต์ ดังนั้นในบริเวณร่องลึกปริทันต์ที่ยากต่อการเข้าถึงยาฆ่าเชื้อจึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยส่งเสริมให้การรักษามีประสิทธิภาพดีมากยิ่งขึ้น แต่ปัจจุบันยาปฏิชีวนะที่ให้ทางระบบนั้นยังพบปัญหาการดื้อยาและผลข้างเคียงอยู่มาก การใช้ระบบการขนส่งยาฆ่าเชื้อแบบเฉพาะที่จึงมีบทบาทเป็นอย่างมากในการรักษาโรคปริทันต์ในปัจจุบัน ตัวเก็บกักยาชนิดไฟเบอร์และฟิล์มเป็นตัวอย่างของตัวเก็บกักยาที่ใช้ในการขนส่งยาที่มีความสำคัญ บทความนี้จึงได้ทำการทบทวนถึงการพัฒนาขององค์ประกอบตัวเก็บกักยาทั้งสองระบบนี้ รวมถึงวิธีการใช้งาน ข้อดีและข้อเสียของการใช้ตัวเก็บกักยาทั้งสองระบบ และการใช้งานที่มีอยู่ในปัจจุบันอีกด้วย คำสำคัญ: ตัวเก็บกักยาชนิดฟิล์ม ตัวเก็บกักยาชนิดไฟเบอร์ ยาปฏิชีวนะ ระบบการขนส่งยาแบบเฉพาะที่ โรคปริทันต์อักเสบ
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-03-27
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4476
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 6 No. 2 (2013): Srinakharinwirot University Dental Journal; 78-89
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4476/4309
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4477
2015-03-27T15:23:07Z
swudentj:Review+articles
การแยกเหงือก(gingival displacement)
พลานุเวช, มะลิ
บทคัดย่อ ในงานทันตกรรมบูรณะชนิดอาศัยห้องปฏิบัติการนอกช่องปากนั้น การแยกเหงือกให้ร่องเหงือกกว้าง 0.2 มิลลิเมตร ช่วยให้ได้แบบพิมพ์ฟันที่มีคุณภาพ การแยกเหงือกสามารถทำได้ง่ายและเห็นขอบฟันที่จะบูรณะชัดเจนนั้นอวัยวะปริทันต์ต้องแข็งแรงและขอบฟันที่จะบูรณะอยู่ใต้ขอบเหงือกในตำแหน่งที่เหมาะสม การแยกเหงือกด้วยวิธีการทางกลร่วมกับทางเคมีโดยใช้ด้ายแยกเหงือกชุบน้ำยาเคมีชนิดต่างๆ ได้รับความนิยมมาก อีพิเนฟฟรินเป็นสารเคมีที่ควรหลีกเลี่ยงเพราะมีผลเสียต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด เลเซอร์ได้ถูกนำมาใช้ตัดแต่งเหงือกส่วนเกินที่ปิดขอบฟันที่จะบูรณะโดยใช้ร่วมกับด้ายแยกเหงือกและสารเคมี จากรายงานต่างๆ พบว่าการแยกเหงือกด้วยวิธีต่างๆ มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ แต่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันความเหนือกว่าของเทคนิกแยกเหงือกเทคนิกใดโดยเฉพาะ การเลือกใช้ขึ้นกับความชอบส่วนบุคคลและลักษณะความสมบูรณ์ของอวัยวะปริทันต์รอบขอบฟันที่จะบูรณะ คำสำคัญ : การแยกเหงือก ด้ายแยกเหงือก ขอบฟัน ร่องเหงือก
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-03-27
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4477
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 6 No. 2 (2013): Srinakharinwirot University Dental Journal; 90-102
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4477/4310
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4478
2015-03-27T15:23:07Z
swudentj:Editorial+Board
กองบรรณาธิการ (Editorial Board) ว.ทันต.มศว ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2556
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-03-27
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4478
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 6 No. 2 (2013): Srinakharinwirot University Dental Journal; 1-11
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4478/4311
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4479
2014-08-27T23:29:11Z
swudentj:Editorial+Board
กองบรรณาธิการ (Editorial Board) ว.ทันต.มศว ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2548
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-08-27
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4479
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 1 No. 1 (2005): Srinakharinwirot University Dental Journal; I-V
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4479/4312
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4480
2014-08-27T23:29:11Z
swudentj:Original+articles
ผลของสารคอลชิซีนและไซคลอฟอสฟามายด์ในการเกิดไมโครนิวเคลียสต่อเซลล์เพาะเลี้ยง KB
ส่งวัฒนา, ศิริวรรณ
ธเนศวร, นิรดา
อรุณฤกษ์, นันทนา
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-08-27
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4480
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 1 No. 1 (2005): Srinakharinwirot University Dental Journal; 33-41
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4480/4313
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4492
2014-09-18T04:21:37Z
swudentj:Editorial+Board
กองบรรณาธิการ (Editorial Board) ว.ทันต.มศว ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2550
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4492
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 2 No. 1 (2007): Srinakharinwirot University Dental Journal; 1 - 3
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4492/4314
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4493
2014-09-18T04:21:37Z
swudentj:Original+articles
อุบัติการณ์ของการเกิดปุ่มกระดูกงอกที่เพดานแข็งและกระดูกขากรรไกรล่างด้านในของกลุ่มเด็กนักเรียนมัธยมในกรุงเทพมหานคร
รังสิยานนท์, สรสัณห์
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4493
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 2 No. 1 (2007): Srinakharinwirot University Dental Journal; 5 - 11
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4493/4315
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4494
2014-09-18T04:21:37Z
swudentj:Original+articles
การทดสอบมาตรฐานของขี้ผึ้งแผ่นที่ใช้ทางทันตกรรมในประเทศไทย
ทองธรรมชาติ-ถาวรธนสาร, สุดสุข
อรุณประดิษฐ์กุล, ศิริพร
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4494
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 2 No. 1 (2007): Srinakharinwirot University Dental Journal; 13 - 23
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4494/4316
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4495
2014-09-18T04:21:37Z
swudentj:Case+reports+or+Case
การรักษาผู้ป่วยที่มีเส้นกึ่งกลางฟันบนและล่างไม่ตรงกันโดยใช้ทรานส์พาลาทัลบาร์ร่วมกับการจัดฟันแบบติดแน่น
วรชาติ, พลพิทยา
จรรยาประเสริฐ, กมลภัทร
ชุณหชีวาโฉลก, เอกชัย
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4495
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 2 No. 1 (2007): Srinakharinwirot University Dental Journal; 25 - 34
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4495/4317
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4496
2014-09-18T04:21:37Z
swudentj:Review+articles
ฟันปลอมถอดได้โครงโลหะสำหรับผู้ป่วยปริทันต์
อรุณประดิษฐ์กุล, ศิริพร
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4496
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 2 No. 1 (2007): Srinakharinwirot University Dental Journal; 35 - 44
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4496/4318
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4497
2014-09-18T04:21:37Z
swudentj:Review+articles
การเปลี่ยนแปลงและบทวิเคราะห์การจำแนกกลุ่มเนื้องอกบริเวณศรีษะและลำคอตามองค์การอนามัยโลก ฉบับปี 2005
ทรัพยะโตษก, ไกรสร
รังสิยานนท์, สรสัณห์
ขวัญคง, ศรีสุข
ดนุไทย, กิตติพงษ์
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4497
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 2 No. 1 (2007): Srinakharinwirot University Dental Journal; 45 - 59
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4497/4319
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4512
2014-09-18T16:30:40Z
swudentj:Editorial+Board
กองบรรณาธิการ (Editorial Board) ว.ทันต.มศว ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2553
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4512
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 3 No. 1 (2010): Srinakharinwirot University Dental Journal
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4512/4334
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4513
2014-09-18T16:30:40Z
swudentj:Original+articles
The Survey of Prevalence of Aphthous Oral Ulceration by Patient's Self Report in 12- to 18-Years Old Thai Students in Srinakharinwirot Prasarnmitr Demonstration School
รังสิยานนท์, สรสัณห์
วัชโรทยางกูร, เปี่ยมกมล
ตลึงจิตร, สินีภัทร์
การสำรวจความชุกของแผลแอพทัสในช่องปากโดยการรายงานจากผู้ป่วยเด็กไทย อายุ 12-18 ปี ณ โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตรAphthous ulceration is one of the most common oral lesions affecting the non-keratinized epithelium of the oral cavity. There are three forms of aphthous ulceration; minor, major, and herpetic forms. The etiologies of this lesion are still unknown but it can be categorized in the group of the autoimmune diseases. The objective of the present study was to investigate the individual awareness of aphthous ulceration among Srinaharinwirot Prasnrnmitr Demonstration School students who have age rang form 12-18 years old. Three hundred and seventy two students of the school form Mattayom 1 to 6 were included in the survey. Each subject was individually interviewed during the annual oral examination supported by the Faculty of Dentistry, Srinakharinwirot University. Data related to the occurrence of aphtous ulceration, frequency, and location of the lesion were obtained and analyzed. There were 156 males (41.9%) and 216 females (58.1%), age ranged from 12-18 years (average age = 14.5 years) in the current investigation. Ninety one percent of the subjects reported about experience of aphthous ulceration in the oral cavity. The most frequency of the incidence of the lesion was 3 times per year (16.2%) The lesions mostly occurred solitarily with the major attacked site at left and right sides of lower labial and vestibular mucosa (16.7%). From Yate’s correction Chi-square analysis, there was no relationship between gender factor and the occurrence of aphthous ulceration (p = 0.176). The present study showed that the survey of prevalence of aphthous oral ulceration by patient self report is practical and less time consuming for large population. However, quality of analysis may not be all valid. The current result can be used as the preliminary data for further study of aphthous ulceration in adolescence. Keywords: Awareness, Aphthous ulceration, Thai children, Adolescent, Survey, Prevalence
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4513
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 3 No. 1 (2010): Srinakharinwirot University Dental Journal; 7 - 14
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4513/4335
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4515
2014-09-18T16:30:40Z
swudentj:Case+reports+or+Case
การรักษาทางทันตกรรมจัดฟันในผู้ป่วยที่มีฟันตัดล่างซ้อนเกด้วยเครื่องมือจัดฟันแบบถอดได้ชนิดใส
วรชาติ, พลพิทยา
จรรยาประเสริฐ, กมลภัทร
รายงานผู้ป่วยฉบับนี้นำเสนอการรักษาผู้ป่วยทางทันตกรรมจัดฟันจำนวน 3 รายที่มีลักษณะการสบฟันแบบแองเกิลประเภทที่หนึ่งซึ่งมีฟันตัดล่างซ้อนเก วางแผนการรักษาโดยการจัดฟันด้วยเครื่องมือจัดฟันแบบถอดได้ชนิดใสเพื่อแก้ไขการเรียงตัวที่ผิดปกติของฟัน โดยจะทำการพิมพ์ปาก และทำการเซตอัพ (setup) แบบจำลองฟันเพื่อแก้ไขตำแหน่งของฟันตัดล่างไปเป็นระยะๆ ตามลำดับเพื่อนำไปทำเครื่องมือจัดฟันแบบถอดได้ชนิดใส ในระหว่างการรักษานี้ได้ทำการขูดผิวเคลือบฟันของฟันตัดล่างออกไปบางส่วนเพื่อให้มีช่องว่างพอเพียงสำหรับการเรียงตัว การรักษาด้วยเครื่องมือจัดฟันแบบถอดได้ชนิดใสแบบเรียงเป็นชุดตามลำดับนี้จะใช้ระยะเวลาในการรักษาระหว่าง 1-1.5 ปี และได้ผลการรักษาที่ดีทำให้ผู้ป่วยสามารถทำความสะอาดได้ดีขึ้นและเกิดความสวยงาม คำสำคัญ : เครื่องมือจัดฟันแบบถอดได้ชนิดใส, ฟันซ้อน. การขูดผิดเคลือบฟัน
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4515
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 3 No. 1 (2010): Srinakharinwirot University Dental Journal; 15 - 24
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4515/4336
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4517
2014-09-18T16:30:40Z
swudentj:Review+articles
แหล่งกำเนิดแสงที่ใช้ในงานยึดติดทางทันตกรรมจัดฟัน
จรรยาประเสริฐ, กมลภัทร
ชุณหชีวาโฉลก, เอกชัย
การใช้แบร็กเก็ตยึดติดผิวเคลือบฟันเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการรักษาทางทันตกรรมจัดฟัน ความเข็งแรงของพันธะในระดับที่เพียงพอของสารยึดติดชนิดบ่มด้วยด้วยแสงมีบทบาทสำคัญต่อทันตแพทย์ที่ให้การรักษา เพื่อที่จะสามารถใส่แรงจัดฟันได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากหากแบร็กเก็ตไม่หลุดออกบ่อย การรักษาก็จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว การใช้สารยึดติดชนิดบ่มตัวด้วยแสงสำหรับการยึดติดแบร็กเก็ตกับฟันทุกซี่ในขากรรไกรจะใช้เวลาในคลินิกค่อนข้างนาน แต่ขบวนการพอลิเมอร์ไรเซชันของสารยึดติดนั้นจะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ ทำให้สามารถใส่ลวดมัดฟันได้ทันที ซึ่งเป็นข้อดีที่เด่นชัดของการใช้สารยึดติดชนิดบ่มตัวด้วยแสงเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้สารยึดติดชนิดบ่มเอง ดังนั้นเพื่อให้ได้ความแข็งแรงพันธะซึ่งเป็นที่ยอมรับได้ทางคลินิกจึงจำเป็นต้องใช้เครื่องฉายแสงซึ่งมีแหล่งกำเนิดแสงที่ดี แหล่งกำเนิดแสงของเครื่องฉายแสงที่มีในท้องตลาดแบ่งได้เป็นสี่ประเภท ได้แก่ ชนิดดั้งเดิมคือควอทซ-ทังสเตน-ฮาโลเจน, ชนิดพลาสมาอาร์ค, ชนิดไดโอดเปล่งแสง และชนิดอาร์กอนเลเซอร์ ลักษณะการกำเนิดแสงของแหล่งกำเนิดแสงแต่ละประเภทนั้นมีข้อดีและข้อด้อยอยู่ในตัวเอง แหล่งกำเนิดแสดงชนิดฮาโลเจนเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีไว้ในคลินิกทันกรรมทุกแห่งมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ และยังคงมีใช้กันอย่างแพร่หลายโดยมีการพัฒนาในเรื่องความเข้มของแสง แหล่งกำเนิดแสงชนิดพลาสมาอาร์คและอาร์กอนเลเซอร์มีข้อดีที่อาจช่วยลดระยะเวลาในการบ่มตัวของสารยึดติดได้ แต่ราคาที่แพงก็เป็นปัจจัยที่ต้องคำนึงถึง แหล่งกำเนิดแสงชนิดไดโอดเปล่งแสงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการปฏิบัติงานคลินิกในปัจจุบัน กล่าวโดยสรุปคือแหล่งกำเนิดแสงทั้งหมดสามารถใช้งานได้ดีกับสารยึดติดชนิดบ่มตัวด้วยแสง แต่การบำรุงรักษาตามกำหนดระยะเวลา รวมถึงการใช้เครื่องตรวจวัดความเข้มแสงที่เชื่อถือได้ ถือเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้มั่นใจถึงคุณภาพของแสงที่ยอมรับได้ ซึ่งไม่เพียงแต่จะช่วยลดระยะเวลาในการทำงานให้น้ยอลองเท่านั้นแต่ยังทำให้ได้ความแข็งแรงพันธะระหว่างแบร็กเก็ตและผิวเคลือบฟันที่คงทนถาวรอีกด้วย คำสำคัญ : แหล่งกำเนิดแสดง, สารยึดติด, ควอทซ-ทังสเตน-ฮาโลเจน, พลาสมาอาร์ค, ไดโอดเปล่งแสง, อาร์กอนเลเซอร์
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4517
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 3 No. 1 (2010): Srinakharinwirot University Dental Journal; 25 - 34
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4517/4337
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4525
2014-09-18T04:44:39Z
swudentj:Original+articles
Prevalence of Work-related Musculoskeletal Disorders in SWU Dental Students
Thanathornwong, Bhornsawan
Objectives: To assess the prevalence of work-related musculoskeletal disorders in 6th year dental students at Srinakarinwirot University (SWU) in comparison with dental students at Thammasat University (TU) and medical students. Methodology: Twenty-eight 6th year dental students from SWU were surveyed by a questionnaire about the presence of several upper body musculoskeletal disorders symptoms. Their responses were compared with those of 2 different populations: 27 medical students from SWU, and 38 dental students from TU. Result: The comparison between SWU dental students and TU dental students showed that the prevalence of all symptoms was significantly different except more for wrist pain (p > 0.05). When compared SWU dental students and medical students, only more left wrist pain showed no difference in prevalence (p > 0.05). Conclusions: Conventional concept of dental studies and dental training often involve time spent in static, uncomfortable positions, which leads to more prevalence of musculoskeletal symptoms.Key Words: WMSD/epidemiology; proprioceptive derivation; occupational diseases/epidemiology
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4525
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 4 No. 1 (2011): Srinakharinwirot University Dental Journal; 12 - 19
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4525/4345
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4526
2014-09-18T04:44:39Z
swudentj:Original+articles
ผลการเคี้ยวผลไม้ต่อการลดปริมาณคราบจุลินทรีย์
เสมา, จามรี
ฉันทนสุขศิลป์, อาณาจักร์
เหล่าศรีสิน, ณรงค์ศักดิ์
เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลการเคี้ยวผลไม้ที่มีอยู่ในประเทศไทย 4 ชนิด ได้แก่ ฝรั่ง แคนตาลูป ส้มและแอปเปิล ต่อการลดปริมาณคราบจุลินทรีย์ โดยอาสาสมัครจำนวน 20 คน (ชาย 4 คน หญิง 16 คน)อายุระหว่าง 18–30 ปี ซึ่งมีอวัยวะปริทันต์ปกติหรือเป็นโรคเหงือกอักเสบระดับเล็กน้อยถึงปานกลาง และไม่มีประวัติการเป็นโรคปริทันต์อักเสบ ให้อาสาสมัครแต่ละคนเคี้ยวผลไม้ทั้ง 4 ชนิด ปริมาณ 100 กรัมจำนวน 220 ครั้งในแต่ละชนิด โดยทิ้งระยะห่างทุก 1 สัปดาห์ เปรียบเทียบค่าดัชนีคราบจุลินทรีย์ก่อนและหลังเคี้ยวผลไม้แต่ละชนิด ผลการศึกษาพบว่าค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลต่างของระดับคราบจุลินทรีย์ก่อนและหลังการเคี้ยวฝรั่ง แคนตาลูป ส้ม และแอปเปิลมีค่า 0.71±0.34, 0.35±0.21,0.27±0.15 และ 0.42±0.21 ตามลำดับ ผลการเคี้ยวฝรั่งมีค่าเฉลี่ยของผลต่างของคราบจุลินทรีย์ก่อนและหลังการเคี้ยวมากกว่าการเคี้ยวผลไม้อีก 3 ชนิดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ นอกจากนี้ยังพบว่าผลต่างของระดับคราบจุลินทรีย์ก่อนและหลังการเคี้ยว แคนตาลูป และส้ม ในฟันหน้ามีความแตกต่างกับในฟันหลังอย่างไม่มีนัยสำคัญ ในขณะที่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในการเคี้ยวฝรั่งและแอปเปิล (p<0.05) เมื่อพิจารณาผลความแตกต่างของคราบจุลินทรีย์ก่อนและหลังการเคี้ยวที่บริเวณด้านใกล้แก้มเทียบกับที่บริเวณด้านใกล้ลิ้นกลับไม่พบความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในการเคี้ยวผลไม้ชนิดใดเลย ผลการศึกษาครั้งนี้สรุปได้ว่า ฝรั่ง แอปเปิล แคนตาลูป และส้ม ต่างมีผลต่อการลดปริมาณคราบจุลินทรีย์หลังจากรับประทานได้อย่างมีนัยสำคัญ แต่การเคี้ยวฝรั่งจะให้ค่าเฉลี่ยของผลต่างของระดับคราบจุลินทรีย์ก่อนและหลังการรับประทานมากกว่าผลไม้ชนิดอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) คำสำคัญ: การเคี้ยวผลไม้ การลดคราบจุลินทรีย์
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4526
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 4 No. 1 (2011): Srinakharinwirot University Dental Journal; 20 - 27
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4526/4346
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4527
2014-09-18T04:44:39Z
swudentj:Original+articles
ผลต่อการดูดซับฟลูออไรด์ในผิวเคลือบฟันปกติและผิวฟันที่จำลองสภาวะฟันผุภายหลังจากการใช้โซเดียมฟลูออไรด์เจลของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
แก้วสุทธา, ณัฐวุธ
นิ่มกุลรัตน์, สถาพร
วัตถุประสงค์ของการวิจัยนี้ เพื่อเปรียบเทียบความแตกต่างในการถูกดูดซับฟลูออไรด์ในผิวเคลือบฟัน ภายหลังจากการใช้โซเดียมฟลูออไรด์เจลที่ผลิตจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒที่ความเข้มข้นร้อยละ 1.1และร้อยละ 2.0 ในผิวเคลือบฟันปกติ และผิวเคลือบฟันที่จำลองสภาวะฟันผุ โดยเป็นการศึกษาในห้องปฏิบัติการโดยคัดเลือกฟันกรามแท้ของมนุษย์ที่ไม่มีรอยผุจำนวน 20 ซี่ มาเป็นตัวอย่างในการทดสอบ แบ่งฟันเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 10 ซี่ โดยวิธีสุ่มอย่างง่าย คือ กลุ่มที่บริเวณผิวเคลือบฟันปกติ และกลุ่มผิวเคลือบฟันมีการจำลองสภาวะฟันผุ ฟันในแต่ละกลุ่มจะถูกทดสอบด้วยโซเดียมฟลูออไรด์เจล ความเข้มข้นร้อยละ 1.1 และร้อยละ 2.0 เป็นเวลา 4 นาที จากนั้นจะนำฟันตัวอย่างมาทดสอบการดูดซับฟลูออไรด์ด้วยวิธีเอซิดเอ็ซ-ไบออฟซี ทำการวัดปริมาณความเข้มข้นของฟลูออไรด์และมวลแคลเซียมด้วยเครื่องวิเคราะห์อิออนในสารละลาย และเครื่องสเปคโทรโฟโตมิเตอร์ชนิดวัดการดูดซับอะตอม บันทึกค่าความเข้มข้นของฟลูออไรด์และการดูดซับฟลูออไรด์ที่ผิวเคลือบฟัน วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การทดสอบความแปรปรวนสองทางแบบวัดซ้ำ และเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างกลุ่มด้วยการทดสอบแบบทูกีย์ (Tukey HSD) และการทดสอบที (t-test) ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 ผลการศึกษาพบว่า ค่าความเข้มข้นของฟลูออไรด์ในผิวเคลือบฟัน หลังการทดสอบด้วยโซเดียมฟลูออไรด์ทั้งความเข้มข้นร้อยละ 1.1 และ ร้อยละ 2.0 ทั้งในผิวเคลือบฟันปกติและผิวฟันที่จำลองสภาวะฟันผุ มีค่าสูงขึ้นและแตกต่างจากความเข้มข้นของฟลูออไรด์เบื้องต้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) นอกจากนี้ พบว่า การใช้โซเดียมฟลูออไรด์เจลที่มีความเข้มข้นร้อยละ 2 นั้น ทำให้เกิดการดูดซับฟลูออไรด์ในผิวเคลือบฟันสูงกว่า โซเดียมฟลูออไรด์เจลความเข้มข้นร้อยละ 1.1 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) และการดูดซับฟลูออไรด์ในผิวเคลือบฟันที่มีการจำลองสภาวะฟันผุมีค่าสูงกว่าผิวฟันปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ(p<0.001) คำสำคัญ:โซเดียมฟลูออไรด์, การดูดซับฟลูออไรด์, การทดสอบเอซิดเอ็ช-ไบออฟซี
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4527
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 4 No. 1 (2011): Srinakharinwirot University Dental Journal; 28 - 39
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4527/4347
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4528
2014-09-18T04:44:39Z
swudentj:Original+articles
ผลของเอชเอ็มจีบี1และไลโปโพลีแซคคาไรด์ของพอร์ไฟโรโมแนส จินจิวาลิสต่อการหลั่งเอ็มเอ็มพี-1 ในเซลล์สร้างเส้นใยเหงือกและเอ็นยึดปริทันต์มนุษย์
ประเดิมดุษฎีพร, ประพัฒน์
ศรีสุภาพ, ดวงพร
ธเนศวร, นิรดา
เหล่าศรีสิน, ณรงค์ศักดิ์
เอชเอ็มจีบี1 ถูกพบครั้งแรกเป็นโปรตีนในนิวเคลียส ทำหน้าที่เกี่ยวกับการควบคุมการแสดงออกของแมสเซนเจอร์อาร์เอ็นเอเอชเอ็มจีบี1 เมื่อถูกหลั่งออกภายนอกเซลล์จะทำหน้าที่เสมือนไซโตไคน์ ถูกพบในน้ำเหลืองเหงือกและเนื้อเยื่อปริทันต์ของผู้ป่วยโรคปริทันต์อักเสบ มีการแสดงออกของยีนและการหลั่งเอชเอ็มจีบี1 หลังกระตุ้นเซลล์สร้างเส้นใยเหงือกและเอ็นยึดปริทันต์ด้วยไลโปโพลีแซคคาไรด์ของพอร์ไฟโรโมแนส จินจิวาลิส การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาบทบาทของเอชเอ็มจีบี1 ต่อการเกิดพยาธิสภาพของโรคปริทันต์ โดยศึกษาผลการกระตุ้นเซลล์สร้างเส้นใยเหงือกและเอ็นยึดปริทันต์ในการหลั่งเอ็มเอ็มพี-1 ด้วยเอชเอ็มจีบี1 ร่วมกับไลโปโพลีแซคคาไรด์ของพอร์ไฟโรโมแนส จินจิวาลิส เปรียบเทียบกับกระตุ้นด้วย เอชเอ็มจีบี1 หรือไลโปโพลีแซคคาไรด์ของพอร์ไฟโรโมแนส จินจิวาลิสเพียงอย่างเดียว โดยเพาะเลี้ยงเซลล์ทั้งสองชนิดจากเนื้อเยื่อของฟันที่ไม่แสดงรอยโรคของการอักเสบจากผู้ป่วย 2 ราย กระตุ้นเซลล์ทั้งสองชนิดด้วยเอชเอ็มจีบี1 ร่วมกับไลโปโพลีแซคคาไรด์ของพอร์ไฟโรโมแนส จินจิวาลิส หรือเอชเอ็มจีบี1 หรือไลโปโพลีแซคคาไรด์ของพอร์ไฟโรโมแนส จินจิวาลิส โดยมีสภาวะไม่ได้กระตุ้นเป็นกลุ่มควบคุมลบ ภายหลังการกระตุ้น 48 ชั่วโมงนำอาหารเลี้ยงเชื้อมาตรวจหาปริมาณเอ็มเอ็มพี-1 ด้วยวิธีอีไลซา และตรวจสอบการแสดงออกของแมสเซนเจอร์อาร์เอ็นเอ ด้วยวิธีเรียลไทม์ รีเวอร์สทรานสคริปเทส-พีซีอาร์ที่ 4 ชั่วโมง วิเคราะห์ความแตกต่างทางสถิติของความเข้มข้นเอ็มเอ็มพี-1 ด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบทางเดียวและเปรียบเทียบรายคู่ด้วยสถิติแบบทีและวิเคราะห์การแสดงออกของแมสเซนเจอร์อาร์เอ็นเอด้วยสถิติเชิงพรรณา จากการทดลองพบว่าเซลล์ทั้งสองชนิดมีการหลั่งเอ็มเอ็มพี-1 ในกลุ่มที่ได้รับการกระตุ้นด้วยสารทั้งสองชนิดร่วมกันมากกว่ากลุ่มอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ (p<0.01) และเซลล์สร้างเส้นใยเอ็นยึดปริทันต์มีการแสดงออกของแมสเซนเจอร์อาร์เอ็นเอเมื่อได้รับการกระตุ้นด้วยเอชเอ็มจีบี1 ร่วมกับไลโปโพลีแซคคาไรด์ของพอร์ไฟโรโมแนส จินจิวาลิสหรือกระตุ้นด้วยสารอย่างใดอย่างหนึ่งมากกว่ากลุ่มควบคุม การศึกษาครั้งนี้สรุปได้ว่าการกระตุ้นเซลล์สร้างเส้นใยเหงือกและเอ็นยึดปริทันต์ด้วยเอชเอ็มจีบี1 ร่วมกับไลโปโพลีแซคคาไรด์ของพอร์ไฟโรโมแนส จินจิวาลิสสามารถเพิ่มการหลั่งเอ็มเอ็มพี-1 มากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ 48 ชั่วโมงหลังการกระตุ้น คำสำคัญ : เอชเอ็มจีบี1 โรคปริทันต์อักเสบ เซลล์สร้างเส้นใยของเหงือกมนุษย์ เซลล์สร้างเส้นใยของเอ็นยึดปริทันต์มนุษย์ เอ็มเอ็มพี-1
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4528
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 4 No. 1 (2011): Srinakharinwirot University Dental Journal; 40 - 51
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4528/4348
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4529
2014-09-18T04:44:39Z
swudentj:Review+articles
วัสดุพิมพ์แบบที่ใช้ในงานทันตกรรมประดิษฐ์ติดแน่น
เอี่ยมจิรกุล, ณปภา
การพิมพ์แบบเป็นขั้นตอนสำคัญในกระบวนการสร้างชิ้นงานบูรณะชนิดติดแน่นให้สำเร็จและวัสดุพิมพ์แบบเป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จทางคลินิก วัตถุประสงค์ของบทความนี้คือ เพื่อทบทวนวัสดุพิมพ์แบบที่ใช้ในงานทันตกรรมประดิษฐ์ติดแน่น บทความนี้จะกล่าวถึงความรู้พื้นฐานของคุณสมบัติของวัสดุพิมพ์แบบได้แก่ ความแม่นยำ การคืนรูปแบบยืดหยุ่น เสถียรภาพเชิงมิติ คุณสมบัติความชอบน้ำ คุณสมบัติการไหลแผ่ ความสามารถในการคืนตัว ความหนืด การผิดรูป ความทนต่อการฉีกขาด รวมทั้งข้อดีและข้อเสียของวัสดุพิมพ์แบบชนิดอีลาสโทเมอร์ คำสำคัญ: วัสดุพิมพ์แบบชนิดอีลาสโทเมอร์, ทันตกรรมประดิษฐ์ติดแน่น, คุณสมบัติของวัสดุพิมพ์
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4529
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 4 No. 1 (2011): Srinakharinwirot University Dental Journal; 52 - 65
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4529/4349
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4530
2014-09-18T04:44:39Z
swudentj:Editorial+Board
กองบรรณาธิการ (Editorial Board) ว.ทันต.มศว ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2554
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4530
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 4 No. 1 (2011): Srinakharinwirot University Dental Journal
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4530/4350
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4532
2014-09-18T17:24:36Z
swudentj:Editorial+Board
กองบรรณาธิการ (Editorial Board) ว.ทันต.มศว ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2555
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4532
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 5 No. 1 (2012): Srinakharinwirot University Dental Journal
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4532/4352
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4533
2014-09-18T17:24:36Z
swudentj:Original+articles
การศึกษาทางคลินิกของการกำจัดคราบจุลินทรีย์และแผลเหงือกถลอกของขนแปรงสีฟันปลายเรียวเล็กทั้ง 2 ข้าง
เกาศัลย์, ตามเสด็จ
ทีฆอริยภาคย์, พัชรพล
คูผาสุข, ยสวิมล
เกิดวงศ์บัณฑิต, วรุณี
การศึกษาทางคลินิกเพื่อประเมินประสิทธิภาพของการกำจัดคราบจุลินทรีย์ และการเกิดแผลเหงือกถลอกของแปรงสีฟันขนแปรงปลายเรียวเล็กทั้ง 2 ข้าง ซึ่งมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของขนแปรงต่างกัน (0.013 มม.สำหรับแปรงสีฟันทดสอบและ 0.015 มม.สำหรับแปรงสีฟันควบคุม) ศึกษาในอาสาสมัครจำนวน 19 คนอายุเฉลี่ย 20.12 ปี โดยแบ่งการศึกษาเป็นสองรอบ แบ่งกลุ่มอาสาสมัครออกเป็นสองกลุ่มโดยการสุ่มเพื่อให้แปรงสีฟันทดสอบหรือควบคุม ก่อนการศึกษาในแต่ละรอบให้ขูดหินน้ำลายและขัดฟันจนสะอาด ให้อาสาสมัครงดการทำความสะอาดในช่องปากทุกชนิด รวมถึงการแปรงฟัน การใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดช่องปากอื่นๆ และน้ำยาบ้วนปากเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ก่อนการศึกษา ย้อมฟันและเหงือกด้วยสีย้อมมิรา-ทู-ทัน บันทึกค่าดัชนีคราบจุลินทรีย์และการเกิดแผลเหงือกถลอกก่อนและหลังการแปรงฟัน ด้วยแปรงสีฟันที่สุ่มให้และวิธีโมดิฟายด์บาสนาน 2 นาที เว้นระยะ 2 สัปดาห์ ทำเช่นเดียวกันนี้โดยใช้แปรงสีฟันคนละชนิดกับที่ได้รับครั้งแรก ผลการศึกษาด้วยดับเบิ้ลบลายด์แรนดอมไมซ์แบบไขว้กัน พบค่าดัชนีคราบจุลินทรีย์เมื่อเปรียบเทียบระหว่างก่อนและหลังแปรงฟันของแปรงสีฟันทั้ง 2 ชนิด มีค่าลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างแปรงสีฟันทดสอบและแปรงสีฟันควบคุม เมื่อศึกษาเฉพาะบริเวณพบว่าแปรงสีฟันทดสอบขนปลายเรียวเล็กทั้ง 2 ข้างขนาด 0.013 มม. มีประสิทธิภาพในการกำจัดคราบจุลินทรีย์น้อยกว่าแปรงสีฟันควบคุมขนปลายเรียวเล็กทั้ง 2 ข้างขนาด 0.015 มม. อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และไม่พบการเกิดแผลเหงือกถลอกจากการใช้แปรงสีฟันทั้ง 2 ชนิด เส้นผ่านศูนย์กลางของขนแปรงสีฟันปลายเรียวเล็กทั้ง 2 ข้างที่ลดลงจาก 0.015 มม. เป็น 0.013 มม. ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพในการกำจัดคราบจุลินทรีย์และไม่ก่อให้เกิดแผลเหงือกถลอก แปรงสีฟันทั้ง 2 ชนิด มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพในการกำจัดคราบจุลินทรีย์เหนือเหงือก คำสำคัญ: คราบจุลินทรีย์, แผลเหงือกถลอก, สุขอนามัยในช่องปาก, การแปรงฟัน, แปรงสีฟัน
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4533
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 5 No. 1 (2012): Srinakharinwirot University Dental Journal; 12 - 23
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4533/4353
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4534
2014-09-18T17:24:36Z
swudentj:Original+articles
ผลของยาสีฟันต่อการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรียของแปรงสีฟัน
ปฎิพัทธ์วุฒิกุล, ภาวิณีย์
เหล่าศรีสิน, ณรงค์ศักดิ์
แปรงสีฟันที่ใช้เป็นเวลานานมักจะพบการสะสมของจุลินทรีย์บนแปรงสีฟันเนื่องจากการทำความสะอาดที่ไม่เพียงพอและการปล่อยให้แปรงสีฟันมีความชื้นอยู่ตลอดเวลา การใช้ยาสีฟันที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้ออาจช่วยทำให้ปริมาณจุลินทรีย์ในแปรงลดลงได้ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบปริมาณเชื้อแบคทีเรียในแปรงสีฟันที่ผ่านการแปรงด้วยยาสีฟันต่างชนิดกัน โดยให้นิสิตทันตแพทย์จำนวน 40 คน แบ่งเป็นกลุ่มละ 10 คน จำนวน 4 กลุ่ม ทำการแปรงฟันโดยใช้แปรงสีฟันใหม่ร่วมกับยาสีฟันที่แตกต่างกัน 4 ชนิด คือ ยาสีฟันดอกบัวคู่และยาสีฟันพาโรดอนแทกซ์ที่เป็นยาสีฟันสมุนไพร ยาสีฟันคอลเกตและยาสีฟันซิสเทมมาที่เป็นยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์และไตรโคลซาน เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ จากนั้นเก็บแปรงสีฟันจากกลุ่มตัวอย่างมาทำการเพาะเลี้ยงเชื้อในอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดเหลวทริปติกซอย ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 4 ชั่วโมง จากนั้นนำอาหารเลี้ยงเชื้อนั้นไปเขี่ยเชื้อบนจานอาหารเลี้ยงเชื้อชนิดวุ้นไมติสซาลิวาเรียส เพาะเชื้อที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสเป็นเวลา 2 วัน และนับจำนวนโคโลนีของเชื้อแบคทีเรียจากแต่ละกลุ่มทดลองเพื่อเปรียบเทียบ ผลการทดลองพบว่าแปรงสีฟันที่แปรงด้วยยาสีฟันดอกบัวคู่มีปริมาณเชื้อสเตรปโตคอคคัส มิวแทนส์ ตกค้างบนแปรงสีฟันน้อยที่สุด ส่วนยาสีฟันคอลเกตและยาสีฟันซิสเทมมานั้นมีปริมาณเชื้อสเตรปโตคอคคัส ซาลิวาเรียส และเอนเทอโรคอคคัสน้อยกว่ายาสีฟันดอกบัวคู่และยาสีฟันพาโรดอนแทกซ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) คำสำคัญ : ยาสีฟันสมุนไพร ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ยาสีฟันผสมไตรโคลซาน สเตรปโตคอคคัส มิวแทนส์ สเตรปโตคอคคัส ซาลิวาเรียส เอนเทอโรคอคคัส
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4534
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 5 No. 1 (2012): Srinakharinwirot University Dental Journal; 24 - 33
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4534/4354
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4535
2014-09-18T17:24:36Z
swudentj:Original+articles
ฤทธิ์ต้านจุลชีพของสารสกัดหยาบจากใบพญาวานรต่อเชื้อก่อโรคทางทันตกรรม
จิ๋วพัฒนกุล, ปรมาภรณ์
กวีวงศ์ประเสริฐ, พีรพัฒน์
ไพศาลก อบฤทธิ์, วิบุลย์
วงศ์สุรสิทธิ์, ทิพาพร
โรคฟันผุและโรคปริทันต์อักเสบยังคงเป็นโรคมีความชุกสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับโรคทางทันตกรรมอื่นๆ เชื้อที่มีบทบาทสำคัญต่อการก่อโรค ได้แก่ สเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์ (Streptococcus mutans) แลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus species) ซึ่งเป็นเชื้อก่อโรคฟันผุและ แอกกริเกทิแบกเทอร์ แอกทิโนไมซีเทมคอมิแทนส์ (Aggregatibacter actinomycetemcomitans) ซึ่งเป็นหนึ่งในเชื้อก่อโรคปริทันต์อักเสบ วิธีการหนึ่งที่ใช้สำหรับการรักษาโรคทั้งสองดังกล่าวคือการลดจำนวนเชื้อก่อโรคโดยการใช้สารเคมีหรือยา อย่างไรก็ดีเนื่องจากสารเคมีหรือยานั้นมีความเป็นพิษต่อเซลล์สูงกว่าเมื่อเทียบกับการใช้สารชีวภาพ เช่น สมุนไพร ดังนั้นในการศึกษาครั้งนี้จึงสนใจที่จะทดสอบฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อก่อโรคในช่องปากของสารสกัดหยาบจากสมุนไพรใบพญาวานร โดยใช้วิธีดิสดิฟฟิวชั่น (disc diffusion method) ซึ่งจากการทดลองแสดงผลการยับยั้งเชื้อ สเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์ เมื่อทดสอบด้วยสารสกัดหยาบที่ความเข้มข้น 1:1 และเชื้อแลคโตบาซิลลัส ที่ความเข้มข้น 1:1, 1:10, 1:100, 1:1,000 และไม่พบผลของการยับยั้งเชื้อ แอกกริเกทิแบกเทอร์ แอกทิโน ไมซีเทมคอมิแทนส์ จากการศึกษาครั้งนี้จึงสรุปได้ว่า สารสกัดหยาบจากใบพญาวานรมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์ และเชื้อแลคโตบาซิลัส แต่ไม่พบผลในการยับยั้งเชื้อแอกกริเกทิแบกเทอร์ แอกทิโน ไมซีเทมคอมิแทนส์ คำสำคัญ: แอกกริเกทิแบกเทอร์ แอกทิโนไมซีเทมคอมิแทนส์, แลคโตบาซิลัส, พญาวานร, สเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4535
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 5 No. 1 (2012): Srinakharinwirot University Dental Journal; 34 - 41
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4535/4355
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4536
2014-09-18T17:24:36Z
swudentj:Original+articles
ความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางคลินิกและลักษณะทางจุลพยาธิวิทยาของเนื้อเยื่อรอบ ฟันกรามล่างซี่ที่สามคุด
ส่งวัฒนา, ศิริวรรณ
รังสิยานนท์, สรสัณห์
กิตติ์เรืองพัชร, กิตติ์วัตร
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทางคลินิกที่เกี่ยวข้องกับฟันกรามล่างซี่ที่สามคุดและการเกิดพยาธิสภาพของเนื้อเยื่อรอบตัวฟันซี่ดังกล่าว วิธีการศึกษาคือนำเนื้อเยื่อรอบตัวฟันกรามล่างซี่ที่สามคุดภายหลังการผ่าตัดฟันฝังคุดออก มาศึกษาด้วยลักษณะทาง จุลพยาธิวิทยาโดยแบ่งเป็นกลุ่มที่พบการอักเสบอย่างเดียวและกลุ่มที่มีพบการอักเสบร่วมกับพยาธิสภาพอื่น ตัวอย่างเช่น การเกิดเป็นถุงน้ำ หรือ พบการเกิดเนื้องอกที่มีต้นกำเนิดเกี่ยวข้องฟัน เป็นต้น ร่วมกับเก็บข้อมูลทางคลินิกของผู้ป่วยที่พบเกี่ยวข้องกับการมีฟันกรามล่างซี่ที่สามคุด โดยแบ่งข้อมูลทางคลินิกดังกล่าวเป็นกลุ่มที่ไม่ปรากฏอาการทางคลินิก กลุ่มที่มีการอักเสบเล็กน้อย และกลุ่มที่มีฝาเหงือกรอบฟันคุดอักเสบ ผลการศึกษาพบว่าจากชิ้นเนื้อทั้งหมดที่นำมาศึกษาจำนวน 74 ชิ้น เป็นกลุ่มที่ไม่ปรากฏอาการทางคลินิก ทั้งหมด 41 (55%)ชิ้น พบลักษณะทางจุลพยาธิวิทยาเป็นแบบมีการอักเสบอย่างเดียว จำนวน 11 (26.83%) ชิ้น และเป็นแบบที่มีการอักเสบร่วมกับพยาธิสภาพอื่น จำนวน 30 (73.17%) ชิ้น ส่วนกลุ่มที่มีการอักเสบทางคลินิกเล็กน้อย มีทั้งหมด 30 (41%) ชิ้น พบลักษณะทางจุลพยาธิวิทยาเป็นแบบมีการอักเสบอย่างเดียว จำนวน 6 (20%) ชิ้น และเป็นแบบที่มีการอักเสบร่วมกับพยาธิสภาพอื่น จำนวน 24 (80%) ชิ้น ในกลุ่มที่มีฝาเหงือกรอบฟันคุดอักเสบ มีทั้งหมด 3(4%) ชิ้น พบลักษณะเป็นแบบที่มีการอักเสบร่วมกับพยาธิสภาพอื่นทุกชิ้น (100%) นอกจากนี้ยังพบแนวโน้มที่สูงขึ้นในของลักษณะที่มีการอักเสบร่วมกับพยาธิสภาพอื่นในกรณีที่ผู้ป่วยเคยมีประวัติอาการปวดและ/หรือบวมที่สัมพันธ์กับการมีฟันคุดมาก่อน จากข้อมูลพบว่าในกลุ่มที่ไม่ปรากฏอาการทางคลินิกและมีการอักเสบร่วมกับพยาธิสภาพอื่นทั้งหมดจำนวน 30 ชิ้น พบว่าเป็นผู้ป่วยที่เคยมีอาการปวด 8 (26.67%)ราย และเคยบวม 2 (6.67%) ราย ส่วนในกลุ่มที่มีการอักเสบทางคลินิกเล็กน้อยและมีลักษณะการอักเสบร่วมกับพยาธิสภาพอื่น จำนวน 24 ชิ้น จะเคยแสดงอาการปวด 15 (62.50%) รายและบวม 9 (37.50%) ราย สำหรับในกลุ่มที่มีฝาเหงือกรอบฟันคุดอักเสบพบว่าผู้ป่วยเคยมีอาการปวดมาก่อนทุกราย สรุปผลการศึกษาในครั้งนี้ได้ว่า ลักษณะจุลพยาธิวิทยาที่ผิดปกตินั้น สามารถพบได้ทั้งในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการหรือไม่มีอาการทางคลินิก แต่จะพบแนวโน้มความผิดปกติทางจุลพยาธิวิทยาที่สูงขึ้นในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวดและบวมที่มีสาเหตุจากฟันคุดมาก่อน โดยยังพบอีกว่าในกลุ่มผู้ป่วยที่มีเหงือกที่มีการอักเสบเล็กน้อยรวมกับอาการฝาเหงือกรอบฟันคุดอักเสบจะพบมีความสัมพันธ์อย่างสูงต่อการเกิดความผิดปกติทางจุลพยาธิวิทยา ดังนั้นการตรวจและซักประวัติทางคลินิกรวมทั้งการส่งตรวจชิ้นเนื้อเยื่อรอบฟันคุดเพื่อวิเคราะห์ด้วยลักษณะทางจุลพยาธิวิทยา จึงเป็นสิ่งที่ควรให้ความสนใจในการประเมินร่วมกับการรักษาฟันคุดให้กับผู้ป่วย คำสำคัญ : ลักษณะทางจุลพยาธิวิทยา อาการทางคลินิก ฟันกรามล่างซี่ที่สามคุด
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4536
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 5 No. 1 (2012): Srinakharinwirot University Dental Journal; 42 - 55
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4536/4356
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4538
2014-09-18T17:24:36Z
swudentj:Original+articles
การศึกษาเปรียบเทียบตำแหน่งของศีรษะขณะทำงานของทันตแพทย์ที่มีอาการปวดและไม่มีอาการปวดกล้ามเนื้อจากการทำงาน
ธนธรวงศ์, พรสวรรค์
ธีระอัตถเวช, เบญญาดา
วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาเปรียบเทียบตำแหน่งของศีรษะขณะทำงานของทันตแพทย์ที่มีอาการปวดและไม่มีอาการปวดกล้ามเนื้อจากการทำงานในกลุ่มทันตแพทย์ คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิธีการศึกษา: ประชากรเป้าหมายในการศึกษาเป็นทันตแพทย์ จำนวน 19 คน ออกแบบการศึกษาเป็น Cohort study ทันตแพทย์กลุ่มที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อจากการทำงาน จำนวน 9 คน กลุ่มที่ไม่มีอาการปวดกล้ามเนื้อจากการทำงาน จำนวน 10 คน บันทึกข้อมูลตำแหน่งของศีรษะทั้ง 2 แกนการเคลื่อนไหวคือแกนก้ม-เงย และแกนซ้าย-ขวา หน่วยเป็นองศา โดยเครื่องมือวัดเสมือนจริง (Virtual Instrument) ประกอบด้วย เซนเซอร์วัดความเอียง (Inclinometer sensor) การ์ดรับส่งสัญญาณผ่านคอมพิวเตอร์ (Data Acquisition) และโปรแกรม LabVIEW โดยติดเซนเซอร์อยู่ที่กึ่งกลางที่คาดผมที่คาดบนศีรษะของทันตแพทย์ผู้เข้าร่วมวิจัย ทางกลุ่มผู้วิจัยจัดหาอาสาสมัครที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเหงือกอักเสบ และมีความประสงค์จะรับการรักษาโรคเหงือกอักเสบโดยการขูดหินน้ำลาย ให้ทันตแพทย์ผู้เข้าร่วมงานวิจัยขูดหินน้ำลายทุกตำแหน่งในช่องปากของอาสาสมัคร โดยเครื่องขูดหินน้ำลายอัลตร้าโซนิก (ultrasonic scaler) บันทึกองศาการเคลื่อนไหวของตำแหน่งศีรษะตลอดการทำงาน จากนั้นนำข้อมูลมาประเมินผลและวิเคราะห์ผลทางสถิติ ผลการศึกษา: ค่าองศาการเคลื่อนไหวของการก้มศีรษะที่ควอไทด์ที่ 1, 2 และ 3 ของทันตแพทย์กลุ่มที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อจากการทำงาน เท่ากับ 51.3, 58.8 และ 61.6 องศาตามลำดับ ส่วนในกลุ่มที่ไม่มีอาการปวดกล้ามเนื้อจากการทำงาน เท่ากับ 49.9, 56.7 และ 60.6 องศา ค่าองศาการเคลื่อนไหวของการเอียงศีรษะที่ควอไทด์ที่ 1, 2 และ 3 ของกลุ่มทันตแพทย์ที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อจากการทำงาน เท่ากับ เอียงศีรษะทางซ้าย 3.1 ทางขวา 0.9 และ 5 องศาตามลำดับ ในกลุ่มที่ไม่มีอาการปวดกล้ามเนื้อจากการทำงานค่าองศาการเคลื่อนไหวของการเอียงศีรษะทางขวาเท่ากับ 3.9, 5.1 และ 12.6 องศาตามลำดับ เมื่อทดสอบทางสถิติด้วย Mann-Whitney U Test พบว่าค่าองศาการเคลื่อนไหวของศีรษะของมุมก้ม-เงยและเอียงศีรษะขณะทำงานของทันตแพทย์ทั้ง 2 กลุ่ม ไม่แตกต่างกัน (p < 0.05) สรุปผลการศึกษา: ค่าองศาที่ได้จากการก้มและเอียงศีรษะของกลุ่มที่ไม่มีอาการปวดและกลุ่มที่มีอาการปวดกล้ามเนื้อจากการทำงาน ทั้งสองกลุ่มมีค่าไม่แตกต่างกัน คำสำคัญ: Musculoskeletal disorders, Ergonomic, Inclinometer, Dentist
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4538
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 5 No. 1 (2012): Srinakharinwirot University Dental Journal; 65 - 76
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4538/4357
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4540
2014-09-18T17:24:36Z
swudentj:Original+articles
การศึกษาองศาการเคลื่อนไหวของคอและหลังส่วนบนขณะทำงานของผู้ช่วยทันตแพทย์
ธนธรวงศ์, พรสวรรค์
ฑีฆะพันธ์, จงคิด
ตันไชย, อรนงค์
ผู้ช่วยทันตแพทย์เป็นวิชาชีพหนึ่งที่ลักษณะท่าทางในการทำงาน วิธีการทำงานและสิ่งแวดล้อมในการทำงาน เป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อและกระดูก (Musculoskeletal disorders) วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาองศาการเคลื่อนไหวของคอและหลังส่วนบนขณะทำงานช่วยข้างเก้าอี้ของผู้ช่วยทันตแพทย์ วิธีการศึกษา: เป็นการศึกษาเชิงพรรณนา โดยประชากรเป้าหมายในการศึกษาเป็นผู้ช่วยทันตแพทย์หญิง จำนวน 9 คน เก็บข้อมูลองศาการเคลื่อนไหวของคอและหลังส่วนบนทั้ง 2 แกนการเคลื่อนไหวคือแกนก้ม-เงย และแกนซ้าย-ขวา โดยใช้เซนเซอร์วัดความเอียง (accelerometer sensor) ทำการติดตัวรับสัญญาณของเครื่องมือวัดความเอียง ชนิด 2 แกน โดยติดตัวรับสัญญาณที่บริเวณกึ่งกลางศีรษะ และที่บริเวณหลังส่วนบน ประมาณกระดูกสันหลังส่วนอกชิ้นที่ 4 ของผู้ช่วยทันตแพทย์ผู้เข้าร่วมงานวิจัยขณะช่วยทำงานข้างเก้าอี้ทันตแพทย์ที่ให้การรักษาผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเหงือกอักเสบ โดยการขูดหินน้ำลายทั้งปากโดยใช้เครื่องอัลตราโซนิค บันทึกองศาการเคลื่อนไหวบริเวณคอและหลังส่วนบนตลอดการรักษาผู้ป่วย นำข้อมูลที่ได้จากเซนเซอร์วัดความเอียง ซึ่งเป็นองศาของความเอียงเมื่อเทียบกับแกนโลกที่เก็บต่อเนื่องทุกวินาที มาประเมินผลในเครื่องคอมพิวเตอร์โดยใช้โปรแกรมควบคุมท่านั่งทำงาน และวิเคราะห์ผลทางสถิติ ผลการศึกษา: การทำงานช่วยข้างเก้าอี้ของผู้ช่วยทันตแพทย์ผู้เข้าร่วมการทดลอง มีการก้มคอโดยเฉลี่ยร้อยละ 29.65±16.83 ของระยะเวลาทำงานทั้งหมด มีการเอียงคอทางซ้ายโดยเฉลี่ยร้อยละ 88.88±7.77 ของระยะเวลาทำงานทั้งหมด มีการก้มหลังส่วนบนโดยเฉลี่ยร้อยละ 83.87±26.59 ของระยะเวลาทำงานทั้งหมด มีการเอียงลำตัวไปทางซ้ายโดยเฉลี่ยร้อยละ 50.44±37.31 และขวาร้อยละ 49.44± 37.35 ของระยะเวลาทำงานทั้งหมด ขณะทำงานช่วยตำแหน่งคอและหลังส่วนบนจะมีการเคลื่อนไหวสองแกนไปพร้อมๆกัน พบว่า โดยเฉลี่ยร้อยละ 90 ของระยะเวลาในการปฏิบัติงาน ที่ตำแหน่งคอจะก้ม 10.53±6.32 องศา และเอียงศีรษะไปทางซ้าย 28.83±9.89 องศา ขณะเดียวกันที่ตำแหน่งหลังส่วนบนจะก้ม 24.74±9.74 องศา และเอียงลำตัวไปทางซ้าย 10.55±9.36 องศา สรุป: การศึกษานี้พบว่าท่าทางในการทำงานของผู้ช่วยทันตแพทย์โดยเฉลี่ยร้อยละ 90 ของระยะเวลาในการปฏิบัติงาน เป็นการก้มคอและเอียงศีรษะไปทางด้านซ้าย พร้อมกับที่ตำแหน่งหลังส่วนบนจะก้มและเอียงลำตัวไปทางซ้าย ท่าดังกล่าวทำให้เกิดความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อ แนวกระดูกสันหลังจะไม่สามารถช่วยพยุงน้ำหนักของศีรษะและลำตัวได้อย่างเหมาะสม คำสำคัญ : ผู้ช่วยทันตแพทย์, ความผิดปกติของระบบกล้ามเนื้อและกระดูก, เครื่องมือวัดความเอียง
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4540
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 5 No. 1 (2012): Srinakharinwirot University Dental Journal; 86 - 93
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4540/4358
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4541
2014-09-18T17:24:36Z
swudentj:Review+articles
ปริทันต์บำบัดคราวเดียวเสร็จ
ทองศิริ, ชื่นชีวิต
เหล่าศรีสิน, ณรงค์ศักดิ์
ปัจจุบันการรักษาโรคปริทันต์อักเสบในระยะเริ่มต้นได้พัฒนาการรักษาในหลายรูปแบบ ทั้งนี้มีจุด ประสงค์เพื่อกำจัดเชื้อก่อโรค และลดการอักเสบของอวัยวะปริทันต์ให้ได้ดีที่สุด ทั้งนี้การรักษาปริทันต์บำบัดคราวเดียวเสร็จเป็นรูปแบบหนึ่งที่ให้ผลการรักษาที่น่าพอใจ บทความนี้ได้รวบรวมความรู้ของรูปแบบต่างๆ ของการรักษาโรคปริทันต์อักเสบ โดยไม่อาศัยการทำศัลยกรรมปริทันต์ โดยกล่าวถึงวิธีการรักษาในรูปแบบ ต่างๆ ที่มา และแนวคิด ในการรักษา รวมถึงการเปรียบเทียบระหว่างการรักษาในแต่ละรูปแบบว่าให้ผล การรักษาทั้งทางคลินิก และทางชีววิทยาที่แตกต่างกันอย่างไร คำสำคัญ : ปริทันต์บำบัดคราวเดียวเสร็จ, การรักษาโรคปริทันต์อักเสบในระยะเริ่มต้น, การรักษาปริทันต์อักเสบโดยไม่อาศัยการทำศัลยกรรมปริทันต์
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4541
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 5 No. 1 (2012): Srinakharinwirot University Dental Journal; 94 - 107
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4541/4359
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4556
2014-09-18T17:24:36Z
swudentj:Case+reports+or+Case
รายงานผู้ป่วย การใช้เออร์เบียมโครเมียมวายเอสจีจีเลเซอร์ในการแก้ไขเหงือกที่มีสีคล้ำเฉพาะที่
เอกวรพจน์, ปิยะนารถ
พนมยงค์, ดนุชิษณ์
เออร์เบียมโครเมียมวายเอสจีจีเลเซอร์ เป็นเลเซอร์ที่สามารถใช้งานทางทันตกรรมหลายด้าน ในการกรอแต่งผิวฟัน และ การตัดแต่งเนื้อเยื่ออ่อน และ การลอกหลุดของผิวเนื้อเยื่อเหงือก โดยการปรับระดับพลังงานเลเซอร์ที่เหมาะสมในการจัดการเนื้อเยื่อแต่ละประเภท จึงนำมาใช้ในการแก้ไขสีเหงือกดำคล้ำ ด้วยข้อดีที่แผลที่เกิดขึ้น มีความเจ็บปวดน้อยและไม่บอบช้ำ การใช้งานง่าย ใช้เวลาน้อย ไม่ต้องเย็บแผล บทวิทยาการคลินิกนี้เป็นการนำเสนอกรณีผู้ป่วย ที่มาด้วยปัญหาเหงือกมีสีดำคล้ำตรงบริเวณเหงือกยอดสามเหลี่ยมด้านใกล้กลางของพันตัดซี่ข้างด้านขวาบนด้วยเออร์เบียมโครเมี่ยมวายเอสจีจีเลเซอร์โดยไม่ต้องใช้การฉีดยาชาเฉพาะที่ ไม่ปวด ไม่พบผลข้างเคียงหลังการรักษา ติดตามผล 8 สัปดาห์ ผู้ป่วยมีความพึงพอใจในการรักษา คำสำคัญ: เออร์เบียมวายเอสจีจีเลเซอร์, เหงือกดำคล้ำเฉพาะจุด, เหงือกสีดำคล้ำ
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4556
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 5 No. 1 (2012): Srinakharinwirot University Dental Journal; 108 - 118
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4556/4370
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4557
2014-09-18T17:24:36Z
swudentj:Original+articles
ความชุกของเดนส์ อีแวจิเนตัสในฟันกรามน้อยในเด็กนักเรียนมัธยมไทยกลุ่มหนึ่ง
อยู่เจริญ, ขวัญชนก
สิรรัตน์ สกุลณะมรรคา, เสรีนา
วิสุทธิศักดิ์, วัลลภิษฐ์
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาความชุกของฟันเดนส์ อีแวจิเนตัส ในฟันกรามน้อย ในเด็กนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) จำนวนทั้งสิ้น 1,369 คน พบว่าความชุกของฟันเดนส์ อีแวจิเนตัสในฟันกรามน้อยของเด็กนักเรียนมัธยมศึกษาเท่ากับร้อยละ 2.35 อัตราส่วนเพศชายต่อเพศหญิงเท่ากับ 1.6:1 จากการวิเคราะห์ทางสถิติไม่พบความแตกต่างระหว่างเพศ นอกจากนี้ยังพบว่าร้อยละ 53.85 ของเด็กที่ตรวจมีฟันเดนส์ อีแวจิเนตัสมากกว่า 1 ซี่ และ พบฟันกรามน้อยที่มีเดนส์ อีแวจิเนตัส ทั้งสองข้าง 11 คน (คิดเป็นร้อยละ 42.3) พบในฟันกรามน้อยล่างมากกว่าฟันกรามน้อยบนในอัตราส่วน 2.9:1คำสำคัญ: ความชุก เดนส์ อีแวจิเนตัส เด็กนักเรียน ไทย
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4557
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 5 No. 1 (2012): Srinakharinwirot University Dental Journal; 56 - 64
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4557/4371
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4558
2014-09-18T17:24:36Z
swudentj:Original+articles
การศึกษาเปรียบเทียบภาพคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อของกล้ามเนื้อทราพีเซียสบน ขณะปฏิบัติงานทางทันตกรรม ระหว่างทันตแพทย์ที่มีอาการและไม่มีอาการปวดบริเวณกล้ามเนื้อหลังส่วนบน
เตชะธนะวัฒน์, สุธีรา
ตังตระกูลไพศาล, ธิดา
วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาเปรียบเทียบภาพคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อของกล้ามเนื้อทราพีเซียสบน ขณะปฏิบัติงานทางทันตกรรม ระหว่างทันตแพทย์ที่มีอาการและไม่มีอาการปวดบริเวณกล้ามเนื้อหลังส่วนบน วัสดุและวิธีการ: ทำการศึกษาในกลุ่มประชากรทันตแพทย์ในคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กลุ่มที่เคยมีอาการปวดกล้ามเนื้อหลังส่วนบน 6 คน และกลุ่มที่ไม่เคยมีอาการปวดกล้ามเนื้อหลังส่วนบนจำนวน 6 คน ทำการศึกษาโดยวัดภาพคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (EMG) ของกล้ามเนื้อทราพีเซียสบนด้านขวาขณะปฏิบัติงานขูดหินน้ำลาย แปลงข้อมูลเป็นค่าร้อยละการทำงานของกล้ามเนื้อ เมื่อเปรียบเทียบกับค่าการหดตัวสูงสุด (Percent of maximal voluntary contraction) ทำการเปรียบเทียบข้อมูล โดยดูความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 ผลการศึกษา: ภาพคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อของกล้ามเนื้อทราพีเซียสบนระหว่างทันตแพทย์ที่มีอาการและไม่มีอาการปวดบริเวณกล้ามเนื้อหลังส่วนบนขณะปฏิบัติงานทางทันตกรรมที่ตำแหน่งเปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ 10 50 และ 90 มีค่าไม่แตกต่างกัน สรุป: ภาพคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อของกล้ามเนื้อทราพีเซียสบนระหว่างทันตแพทย์ที่มีอาการและไม่มีอาการปวดบริเวณกล้ามเนื้อหลังส่วนบนขณะปฏิบัติงานทางทันตกรรมมีค่าไม่แตกต่างกันคำสำคัญ : กล้ามเนื้อทราพีเซียสบน, กลุ่มอาการความผิดปกติของระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อ, ภาพคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-18
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4558
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 5 No. 1 (2012): Srinakharinwirot University Dental Journal; 77 - 85
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4558/4372
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4559
2014-09-19T11:50:27Z
swudentj:Editorial+Board
กองบรรณาธิการ (Editorial Board) ว.ทันต.มศว ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2556
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4559
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 6 No. 1 (2013): Srinakharinwirot University Dental Journal; -
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4559/4373
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4560
2014-09-19T11:50:27Z
swudentj:Original+articles
ผลของการเติมซิลเวอร์ซีโอไลต์ต่อคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียของซีเมนต์กลาสไอโอโนเมอร์ชนิดดั้งเดิม
เอกวรพจน์, ปิยะนารถ
วัตถุประสงค์ เพื่อประเมินคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียของซีเมนต์กลาสไอโอโนเมอร์ที่ผสมซิลเวอร์ซีโอไลต์ที่ปริมาณต่าง ๆ กัน วัสดุและวิธีการทดลอง กลุ่มการทดลองประกอบด้วย 7 กลุ่ม ตามปริมาณซิลเวอร์ซีโอไลต์ที่ผสมในส่วนผลของซีเมนต์กลาสไอโอโนเมอร์ ที่ปริมาณร้อยละ 1- 7 โดยน้ำหนัก กลุ่มควบคุมได้แก่ส่วนผงของซิลเวอร์ซีโอไลต์และซีเมนต์ที่ไม่มีส่วนของซิลเวอร์ซีโอไลต์ เตรียมชิ้นงานเป็นแผ่นวงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5 มิลลิเมตร กลุ่มละ 3 ชิ้น วางบนจานอาหารเพาะเชื้อ เก็บที่อุณหภูมิ 37oC บริเวณที่เกิดการยับยั้งเชื้อประเมินจากความกว้างของวงแหวนใสที่เกิดขึ้นรอบชิ้นงาน ที่ 1 วัน และ 3 วัน การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยความกว้างของแต่ละกลุ่มการทดลองประเมินด้วยสถิติ 1-way ANOVA การเปรียบเทียบผลการยับยั้งเชื้อที่ระยะเวลา 1 วันและ 3 วันด้วยสถิติ pair T-test ผลการทดลอง ค่าเฉลี่ยระยะของการยับยั้งเชื้อของกลุ่มทดลองทุกความเข้มข้น อยู่ระหว่าง 6.16 – 9.16 มิลลิเมตร กลุ่มควบคุมกลาสไอโอโนเมอร์ ไม่เกิดวงแหวนใส ในขณะที่กลุ่มควบคุมซิลเวอร์ซีโอไลต์มีค่าอยู่ที่ 11.6 มิลลิเมตร เมื่อเพิ่มปริมาณซิลเวอร์ซีโอไลต์ พบว่า วงใสมีขนาดกว้างเพิ่มขึ้น แต่ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ การประเมินผลการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่ 1 และ 3 วัน ไม่พบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ สรุปผล กลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์ที่มีซิลเวอร์ซีโอไลต์ มีความสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียได้ แม้ว่าจะเติมที่ปริมาณเพียง 1% คำสำคัญ : คุณสมบัติต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย กลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์ อนุภาคนาโนเงิน บริเวณยับยั้งเชื้อ
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4560
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 6 No. 1 (2013): Srinakharinwirot University Dental Journal; 12 - 24
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4560/4374
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4561
2014-09-19T11:50:27Z
swudentj:Original+articles
ค่าความแข็งผิวแบบนูปของวัสดุครอบฟันและสะพานฟันชั่วคราวชนิดบ่มเองร่วมกับบ่มด้วยแสงภายใต้ความหนาของซิลิโคนชนิดใสที่ระดับต่างๆ
ลิมป์ลาวัณย์, ธีรชัย
พลานุเวช, มะลิ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาค่าความแข็งผิวแบบนูปของวัสดุครอบฟันและสะพานฟันชั่วคราวชนิดบ่มเองร่วมกับบ่มด้วยแสงภายใต้ความหนาของซิลิโคนชนิดใสที่ระดับต่างๆ โดยศึกษาในวัสดุครอบฟันและสะพานฟันชั่วคราวชนิดบ่มเองร่วมกับบ่มด้วยแสงคือ เทมสแปน และ ลักซาเทมโซล่า ซึ่งวัสดุแต่ละชนิดจะแบ่งกลุ่มทดลองออกเป็น 4 กลุ่ม ในกลุ่มเทมสแปนกำหนดให้ S0 เป็นกลุ่มที่ไม่ใช้ซิลิโคนชนิดใส กลุ่ม S2 S4 และ S6 เป็นกลุ่มที่ใช้ซิลิโคนชนิดใสที่มีความหนา 2.0 4.0 และ 6.0 มิลลิเมตร ตามลำดับ ในแต่ละกลุ่มทดลองแบ่งได้อีก 4 กลุ่มทดลองย่อยโดยขึ้นกับจุดที่ทำการวัดความแข็งผิวแบบนูป โดยจุดที่ทำการวัดความแข็งผิวแบบนูปจะเริ่มจากส่วนบนสุดของวัสดุทดสอบ 0.25 มิลลิเมตร (กลุ่ม D0) 2.0 มิลลิเมตร (กลุ่ม D2) 4.0 มิลลิเมตร (กลุ่ม D4) และ 6.0 มิลลิเมตร (กลุ่ม D6) ในกลุ่มลักซาเทมโซล่า วิธีการเตรียมและกำหนดจุดทดสอบชิ้นงานจะเหมือนกันกลุ่มเทมสแปน โดยแต่ละกลุ่มย่อยจะทำการทดสอบความแข็งผิวแบบนูปจำนวน 12 ตัวอย่าง ค่าเฉลี่ยความแข็งผิวแบบนูปและร้อยละของค่าเฉลี่ยความแข็งผิวแบบนูปของวัสดุครอบฟันและสะพานฟันชั่วคราวชนิดบ่มเองร่วมกับบ่มด้วยแสงจะถูกบันทึกและวิเคราะห์ทางสถิติด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบ 2 ทาง และเปรียบเทียบเชิงซ้อนด้วยวิธีทูกีย์ ผลการทดลองพบว่าค่าเฉลี่ยความแข็งผิวแบบนูปและร้อยละของค่าเฉลี่ยความแข็งผิวแบบนูปทุกกลุ่มย่อยมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< .05) และไม่มีกลุ่มตัวอย่างใดที่มีร้อยละของค่าเฉลี่ยความแข็งผิวแบบนูปเกินร้อยละ 80 เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยความแข็งผิวแบบนูปที่ระดับ D0 ทำให้สรุปผลการทดลองได้ว่า เมื่อใช้แสงจากเครื่องฉายแสงชนิดฮาโลเจนเพียงอย่างเดียวในการบ่มวัสดุครอบฟันและสะพานฟันชั่วคราวชนิดบ่มเองร่วมกับบ่มด้วยแสงพบว่า ความหนาของของซิลิโคนชนิดใสมีผลต่อค่าความแข็งผิวแบบนูปของวัสดุครอบฟันและสะพานฟันชั่วคราวชนิดบ่มเองร่วมกับบ่มด้วยแสง ดังนั้นการใช้โครงแบบซิลิโคนชนิดใสผลิตวัสดุครอบฟันและสะพานฟันชั่วคราวจำเป็นต้องมีการฉายแสงเพิ่มเติมเพื่อให้วัสดุมีความแข็งแรงมากขึ้นก่อนให้ผู้ป่วยใช้งานจริง คำสำคัญ : ซิลิโคนชนิดใส ความแข็งผิวแบบนูป วัสดุครอบฟันและสะพานฟันชั่วคราว การบ่มเองร่วมกับบ่มด้วยแสง
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4561
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 6 No. 1 (2013): Srinakharinwirot University Dental Journal; 25 - 41
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4561/4375
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4562
2014-09-19T11:50:27Z
swudentj:Original+articles
การศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพของน้ำยาบ้วนปาก 2 ชนิดในการเก็บสิ่งส่งตรวจเพื่อวิเคราะห์เชื้อเอชพีวีจากช่องปากและลำคอในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชพีวี
รังสิยานนท์, สรสัณห์
วัชโรทยางกูร, เปี่ยมกมล
ปันคำ, ทิพวัลย์
ภานุภาค, นิตยา
เชื้อฮิวแมน แพปพิลโลมาไวรัส (เอชพีวี) จัดเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอันหนึ่งในการก่อโรคมะเร็งที่บริเวณช่องปากและลำคอ ในยุคที่มีการใช้ยาต้านเชื้อรีโทรไวรัสชนิดประสิทธิภาพสูง พบว่าในผู้ป่วยที่ติดเชื้อ ฮิวแมน อิมมูโนดิฟิเชียนซี ไวรัส (เอชไอวี) มีโอกาสเสี่ยงที่จะพบเชื้อเอชพีวีได้มากขึ้น แต่ความชุกและปัจจัยเสี่ยงของการพบเชื้อเอชพีวีในช่องปากในกลุ่มผู้ป่วยที่ติดเชื้อและไม่ติดเชื้อเอชไอวี ยังไม่มีการพิสูจน์อย่างชัดเจน วัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของน้ำยาบ้วนปาก 2 ชนิดในการเก็บสิ่งส่งตรวจและวิเคราะห์ชนิดของเชื้อเอชพีวีจากช่องปากและลำคอของผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชพีวี วิธีการศึกษา ทำการศึกษาที่คลีนิคนิรนาม สภากาชาดไทย ช่วงระหว่างปี พ.ศ.2553-2554 โดยกลุ่มศึกษาเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับยาต้านไวรัสเอชไอวีและยินยอมเข้าร่วมการวิจัย จำนวน 20 คน โดยแบ่งกลุ่มการทดลองออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มละ 10 คนเท่าๆกัน ให้ผู้ป่วยกลุ่มละ 10 คน กลั้วช่องปากและลำคอ ด้วยน้ำยาบ้วนปากอย่างใดอย่างหนึ่งจากน้ำยาบ้วนปาก 2 ชนิด ได้แก่ น้ำยายี่ห้อสโคป ซึ่งเป็นสินค้านำเข้าไม่มีจำหน่ายในประเทศไทย และน้ำยาบ้วนปากคอลเกต โททอล พลัคซ์ ซึ่งมีจำหน่ายในประเทศไทย จากนั้นนำสิ่งส่งตรวจไปวิเคราะห์หาความชุกของเชื้อเอชพีวีด้วยกระบวนการพีซีอาร์ แล้วนำไปจำแนกชนิดของเชื้อเอชพีวีจำนวน 37 สายพันธุ์ ด้วยการใช้ลิเนียร์อะเรย์ เอชพีวี จีโนไทปิ้งเทสท์ ของบริษัท โรช โมเลกุลาร์ ซิสเท็มส์ ผลการศึกษา จากผู้ป่วยจำนวน 20 คน เป็นผู้ป่วยเพศชาย 12 คนและหญิง 8 คนช่วงอายุ19-48 ปี (อายุเฉลี่ยเท่ากับ 36 ปี) พบว่าในกลุ่มที่ใช้น้ำยาบ้วนปากสโคป 10 คน มี 2 คนที่สามารถตรวจพบเชื้อไวรัสเอชพีวีคิดเป็นร้อยละ 20 โดยสามารถนำไปวิเคราะห์จำแนกชนิดเชื้อได้เป็นเชื้อเอชพีวีชนิด 16 และ 69 ตามลำดับ ส่วนในกลุ่มที่ใช้น้ำยาบ้วนปากคอลเกต โททอล พลัคซ์ สามารถตรวจพบเชื้อเอชพีวีได้ 2 คน คิดเป็นร้อยละ 20 เช่นกัน แต่ไม่สามารถจำแนกชนิดของไวรัสเอชพีวีได้ ซึ่งต่อมาได้ทำการทดลองเก็บตัวอย่างซ้ำในกลุ่มผู้ป่วยที่ในครั้งแรกใช้น้ำยาบ้วนปากคอลเกต โททอล พลัคซ์โดยในครั้งที่สองใช้น้ำยาบ้วนปาก สโคป แทน พบว่าสามารถตรวจพบเชื้อเอชพีวีได้ 2 คนเหมือนเดิม และสามารถวิเคราะห์แยกชนิดเชื้อได้เป็นเชื้อเอชพีวีชนิด 45 และ 55 ตามลำดับ สรุปผลการวิจัย น้ำยาบ้วนปากสโคปมีประสิทธิภาพในการเก็บสิ่งส่งตรวจจากบริเวณช่องปากและลำคอเพื่อการนำไปวิเคราะห์ชนิดของเชื้อเอชพีวีได้ดีกว่านำยาบ้วนปากคอลเกต โททอลพลัคซ์ คำสำคัญ : น้ำยาบ้วนปาก เชื้อเอชพีวี ชนิดของเชื้อเอชพีวี
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4562
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 6 No. 1 (2013): Srinakharinwirot University Dental Journal; 42 - 51
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4562/4376
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4563
2014-09-19T11:50:27Z
swudentj:Review+articles
การใช้ยาปฏิชีวนะในการรักษาการติดเชื้อในคลองรากฟัน
สุขอวยชัย, จรัสลักษณ์
ศักดิ์ดี, จารุมา
ยาปฏิชีวนะถูกนำมาใช้ในทางทันตกรรมเพื่อรักษาการติดเชื้อในช่องปากซึ่งรวมถึงการติดเชื้อในคลองรากฟันด้วย วัตถุประสงค์ของบทความนี้เพื่อทบทวนการใช้ยาปฏิชีวนะทางระบบและแบบเฉพาะที่ในการรักษาการติดเชื้อในคลองรากฟัน โดยบทความนี้ได้รวบรวมคุณสมบัติของยา ข้อบ่งใช้ วิธีบริหารยาทางระบบ การใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ และผลข้างเคียงของยาปฏิชีวนะ คำสำคัญ : ยาปฏิชีวนะ การติดเชื้อในคลองรากฟัน การติดเชื้อในช่องปาก
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4563
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 6 No. 1 (2013): Srinakharinwirot University Dental Journal; 52 - 65
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4563/4377
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4564
2014-09-19T11:50:27Z
swudentj:Review+articles
การบูรณะคลองรากฟันแบบผาย
อนุสรณ์สุวรรณ, ศศิธร
ลิมป์ลาวัณย, ธีรชัย
ในทางคลินิกฟันที่ผ่านการรักษาคลองรากฟันและมีผนังคลองรากฟันบางและ/หรือคลองรากฟันกว้างผิดปกติเกิดลักษณะคลองรากฟันแบบผาย ทำให้เกิดความซับซ้อนในการบูรณะฟัน และส่งผลต่อการพยากรณ์ความสำเร็จภายหลังการรักษา วัตถุประสงค์ของบทความนี้เพื่อเสนอวิธีการบูรณะฟันดังกล่าวด้วยวิธีโดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งการบูรณะโดยใช้เรซินคอมพอสิตร่วมกับเดือยฟันเส้นใยเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพเนื่องจากเพิ่มความต้านทานต่อการแตกหักของฟัน และลดการแตกหักที่ไม่สามารถบูรณะซ้ำใหม่ในฟันที่มีคลองรากฟันแบบผายได้ คำสำคัญ : คลองรากฟันแบบผาย เดือยฟันเส้นใย เรซินคอมพอสิต ฟันที่ผ่านการรักษาคลองรากฟัน
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4564
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 6 No. 1 (2013): Srinakharinwirot University Dental Journal; 66 - 76
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4564/4378
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4565
2014-09-19T11:50:27Z
swudentj:Review+articles
อนุภาคนาโนเงินในงานทันตกรรม
เอี่ยมจิรกุล, ณปภา
เอกวรพจน์, ปิยะนารถ
พูลนวม, ฐิติวัลคุ์
นาโนเทคโนโลยี ได้ถูกนำมาประยุกต์ใช้งานอย่างแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นในทางวิศวกรรม ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา รวมถึงการใช้งานในวงการแพทย์นับตั้งแต่ปี 1974 เป็นต้นมา ในวงการทันตกรรมวัสดุบูรณะฟันเรซินคอมโพสิตชนิดนาโนฟิลด์ หรือ นาโนไฮบริด จัดเป็นตัวแทนของนาโนวัสดุที่ใช้งานในทางทันตกรรม การใช้เทคโนโลยีนาโนในการสังเคราะห์อนุภาคของสารซิลเวอร์ไนเตรทให้เป็นอนุภาคนาโนเงินทำให้มีคุณสมบัติที่ฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดี มีรายงานการนำอนุภาคนาโนเงินมาประยุกต์ใช้งานกับวัสดุทางการแพทย์ เช่น ผ้าปิดแผล วัสดุฝังในร่างกาย ดังนั้นอนุภาคนาโนเงินจึงมีความน่าสนใจในการลดการสะสมเชื้อแบคทีเรียที่บริเวณพื้นผิวด้านสัมผัสเนื้อเยื่อของเครื่องมือทันตกรรมประดิษฐ์ เช่นฐานฟันเทียมชนิดอะคริลิกหรือไนลอน ทำให้ปากอักเสบเหตุฟันเทียมลดลงได้ บทความนี้กล่าวถึงการพัฒนาวัสดุทางทันตกรรมที่เน้นการเพิ่มคุณสมบัติต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะการนำอนุภาคนาโนเงินมาใส่ในฐานฟันเทียมอะคริลิก คำสำคัญ : อนุภาคนาโนเงิน คุณสมบัติต่อต้านเชื้อ ฐานฟันเทียมอะคริลิก
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4565
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 6 No. 1 (2013): Srinakharinwirot University Dental Journal; 77 - 86
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4565/4379
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4566
2014-09-19T11:50:27Z
swudentj:Miscellanies
บทวิจารณ์หนังสือเรื่อง “ Practical Research: Planning and Design ”
แก้วสุทธา, ณัฐวุธ
บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อแนะนำหนังสือเรื่อง “Practical Research: Planning and Design” โดยPaul D. Leedy และ Jeanne Ellis Ormrod ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ครั้งที่ 10 ในตำราชุดนี้ ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับแนวคิดในการวางแผนและออกแบบการวิจัยที่เป็นมืออาชีพและมีคุณภาพทางวิชาการ โดยเนื้อหาในหนังสือจะประกอบด้วย 5 ส่วน อธิบายไว้อย่างเป็นลำดับตามขั้นตอนของการทำการวิจัย โดยในส่วนแรกของหนังสือจะเป็นการนำเสนอหลักปรัชญาพื้นฐานของการวิจัยและเครื่องมือวิจัย ในส่วนที่สองจะเน้นไปที่กระบวนการวิจัย ซึ่งจะเน้นให้เห็นความสำคัญของการตั้งปัญหาการวิจัย การทบทวนวรรณกรรม รวมถึงการออกแบบวางแผนโครงการวิจัย ส่วนที่สามผู้เขียนได้แนะนำและทำความเข้าใจเบื้องต้นให้ผู้อ่านรู้จักชนิดและรูปแบบการวิจัยเชิงคุณภาพเบื้องต้น และในส่วนสุดท้ายของหนังสือผู้เขียนได้อธิบายอย่างละเอียดในขั้นตอนต่างๆของการวิจัยเชิงปริมาณ และการวิจัยแบบผสานวิธี รวมถึงแนะนำการเขียนรายงานวิจัย ซึ่งจุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ คือ มีแบบฝึกหัด ข้อแนะนำ หรือคู่มือปฏิบัติในขั้นตอนต่างๆ ที่สำคัญในงานวิจัยในทุกบทของหนังสือ ทำให้มีประโยชน์อย่างมากสำหรับนักวิจัยเริ่มต้นในการวิจัยทุกประเภท คำสำคัญ : วิธีการวิจัย การวิจัยเชิงปริมาณ การวิจัยเชิงคุณภาพ การวางแผนและการออกแบบ
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4566
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 6 No. 1 (2013): Srinakharinwirot University Dental Journal; 87 - 94
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4566/4380
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4599
2014-09-19T12:11:36Z
swudentj:Editorial+Board
กองบรรณาธิการ (Editorial Board) ว.ทันต.มศว ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2557
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4599
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 No. 1 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; -
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4599/4424
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4600
2014-09-19T12:11:36Z
swudentj:Original+articles
การเปรียบเทียบการบานของขนแปรงสีฟันเรียวและเกลียวหลังการใช้งาน 1 เดือน
ศิริจินดามัย, ดวงรัตน์
พูนภักดี, ธนัญญา
ตั้งพานิชดี, ธันย์ชนก
คูผาสุข, ยสวิมล
เกิดวงศ์บัณฑิต, วรุณี
บทคัดย่อ วัตถุประสงค์: ศึกษาการบานของแปรงสีฟัน 2 ชนิด ชนิดขนแปรงเรียวและเกลียว หลังการใช้งาน1 เดือนวัสดุอุปกรณ์และวิธีการ: อาสาสมัคร 30 คน ที่ได้รับการสอนการแปรงฟันด้วยวิธีโมดิฟายด์บาสจนสามารถแปรงได้ถูกวิธี ทุกคนจะได้รับการสุ่มให้แปรงสีฟันชนิดขนแปรงเรียวหรือเกลียว การวิจัยแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงละ 1 เดือน อาสาสมัครใช้ยาสีฟันชนิดเดียวกัน ร่วมกับการแปรงฟันด้วยวิธีโมดิฟายด์บาสทุกวัน วันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 3 นาที อาสาสมัครจะได้รับการขูดหินน้ำลายและขัดฟันก่อนการแปรงฟันในช่วงที่ 1 และ 2 เมื่อครบกำหนด 2 เดือน แปรงสีฟันทั้ง 2 แบบ จำนวน 60 ด้าม รวมทั้งแปรงควบคุมที่ไม่เคยใช้งานอีก 12 ด้าม จะถูกรวบรวมและนำไปศึกษาหาอันดับความบานและดัชนีความบานของ Rawls และคณะผลการศึกษา: อันดับความบานและดัชนีความบานของแปรงสีฟันชนิดขนแปรงเรียวหรือเกลียวที่ใช้แล้ว 1 เดือนไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยพบอันดับความบานของขนแปรงสีฟันทั้ง 2 ชนิด มีลักษณะ 2 เป็นส่วนใหญ่ ดัชนีความบานของขนแปรงสีฟันชนิดขนแปรงเรียวและเกลียวหลังการใช้งาน มีค่าเฉลี่ย 0.19 ± 0.08 ต่างจากแปรงที่ยังไม่ได้ใช้งานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติสรุป: การบานของแปรงสีฟันทั้งชนิดขนแปรงเรียวและเกลียวหลังการใช้งาน 1 เดือน ไม่แตกต่างกัน คำสำคัญ: ขนแปรงสีฟันชนิดเรียว แปรงสีฟัน การบานของแปรงสีฟัน ขนแปรงสีฟันชนิดเกลียว
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4600
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 No. 1 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 12-23
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4600/4425
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4601
2014-09-19T12:11:36Z
swudentj:Original+articles
การไหลเวียนกระแสโลหิตในเหงือกที่อยู่รอบฟันเขี้ยวบนแท้ของมนุษย์ในระหว่างที่ถูกแรงดึงทางทันตกรรมจัดฟัน
วรชาติ, พลพิทยา
จรรยาประเสริฐ, กมลภัทร
บทคัดย่อ วัตถุประสงค์ : ของการศึกษานี้เพื่อศึกษาที่เกิดขึ้นต่อการไหลเวียนโลหิตบริเวณเหงือก (Gingival bloodflow, GBF) ของฟันเขี้ยวบนมนุษย์ เมื่อรับแรงทางทันตกรรมจัดฟันวัสดุอุปกรณ์และวิธีการ : โดยทำการศึกษาในฟันเขี้ยวบนจำนวน 31 ซี่จากผู้ป่วย 17 ราย ชาย 3 คนและหญิง 14 คน ช่วงอายุ 17 - 20 ปี ซึ่งมารับการรักษาทางทันตกรรมจัดฟันที่คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และต้องมีการถอนฟันกรามน้อยซี่ที่หนึ่งร่วมในการจัดฟันด้วย การวัดจะทำที่บริเวณเหงือกยึดด้านไกลกลางซึ่งเป็นด้านที่รับแรงกด (P) และด้านใกล้กลางซึ่งเป็นด้านที่รับแรงดึง (T) ของฟันเขี้ยวที่จะวัดโดยเครื่องวิเคราะห์การไหลเวียนของโลหิตด้วยเลเซอร์ (Laser Doppler Flowmetry) ในขณะทำการวัดจะปกคลุมบริเวณโดยรอบหัววัดด้วยแผ่นยางสีดำเพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน การบันทึกค่ากระแสโลหิตจะทำตั้งแต่ก่อนรับแรงจากยางดึงฟัน และทันทีที่ใส่ยางดึงฟันโดยมีแรงเท่ากับ 300 กรัม ดึงจากฟันกรามมายังฟันเขี้ยวด้านเดียวกันจากนั้นทำการบันทึกผลต่อเนื่องในวันที่ 1 วันที่ 3 วันที่ 7 วันที่ 14 วันที่ 21 และวันที่ 28 โดยใช้ยางเส้นเดิมตั้งแต่วันแรกจนเสร็จการทดลองผลการศึกษา : ค่า GBF ด้านแรงกด (P0 = 226.380 ± 116.546, P1 = 254.612 ± 90.695,P3 = 190.306 ± 58.408, P7 = 214.851 ± 87.377, P14 = 189.9645 ± 63.379, P21 = 179.687 ± 75.886,P28 = 190.512 ± 60.229 P.U.) และด้านแรงดึง (T0 = 170.661 ± 69.999, T1 = 226.422 ± 84.279,T3 = 171.8935 ± 59.215, T7 = 193.338 ± 66.164, T14 = 184.248 ± 61.429, T21 = 175.606 ± 55.067,T28 = 175.525 ± 53.717 P.U.) ซึ่งพบว่ามีค่าเพิ่มขึ้นในวันแรก และลดลงใกล้เคียงค่าอ้างอิงในวันถัดไปอย่างมีนัยสำคัญ (P<0.05, One way RM ANOVA and Dunnett’s method) แรงของยางที่ใช้ในการดึงฟันจะลดลงจากวันแรกไปจนถึงวันสุดท้าย (เริ่มต้น = 300 กรัม วันที่ 1 = 190.8065 ± 40.1475 กรัม วันที่ 3 = 163.709± 33.440 กรัม วันที่ 7 = 145.9677 ± 32.3372 กรัม วันที่ 14 = 130.7742 ± 27.1461 กรัม วันที่ 21 =121.7742 ± 26.4117 กรัมและวันที่ 28 = 105.8065 ± 28.4925 กรัม P<0.05)สรุป : GBF มีค่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในวันแรกๆแต่สามารถกลับมาใกล้เคียงปกติภายใน 28 วัน และGBF ทางด้านแรงกดจะมีค่ามากกว่าทางด้านแรงดึงตลอดระยะเวลาทดลอง แสดงให้เห็นว่าการอักเสบที่บริเวณเหงือกเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในวันแรกๆ ของการดึงฟันและการอักเสบทางด้านแรงกดจะมากกว่าด้านแรงดึง คำสำคัญ: ฟันเขี้ยว การไหลเวียนโลหิตบริเวณเหงือก ด้านที่รับแรงกด ด้านที่รับแรงดึง เครื่องวิเคราะห์การไหลเวียนของโลหิตด้วยเลเซอร์ แผ่นยางกันนํ้าลายสีดำ
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4601
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 No. 1 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 24-34
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4601/4426
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4602
2014-09-19T12:11:36Z
swudentj:Original+articles
ผลของโฟโตไดนามิกเสริมการรักษาโรคปริทันต์อักเสบเรื้อรัง
ชาญสุไชย, พุทธิพร
วงศ์สุรสิทธิ์, ทิพาพร
ทวีบูรณ์, บุญนิตย์
ตีรณธนากุล, สิริลักษณ์
บทคัดย่อวัตถุประสงค์: เพื่อเปรียบเทียบผลทางคลินิกและการเปลี่ยนแปลงปริมาณเชื้อก่อโรคปริทันต์ระหว่างการขูดหินนํ้าลายและเกลารากฟันร่วมกับโฟโตไดนามิกเทอราพีกับการขูดหินนํ้าลายและเกลารากฟันเพียงอย่างเดียววัสดุอุปกรณ์และวิธีการ: อาสาสมัคร 25 คนเข้าร่วมการวิจัยซึ่งเป็นแบบแบ่งส่วนช่องปาก จับฉลากสุ่มเลือกตำแหน่งทดลองและควบคุมอย่างละ 25 ตำแหน่งซึ่งได้รับการขูดหินนํ้าลายและเกลารากฟันร่วมกับโฟโตไดนามิกเทอราพี และ การขูดหินนํ้าลายและเกลารากฟันอย่างเดียว บันทึกค่าความลึกของร่องลึกปริทันต์ค่าการยึดเกาะของอวัยวะปริทันต์และตำแหน่งจุดเลือดออกที่เริ่มต้น 1 เดือนและ 3 เดือน และติดตามการเปลี่ยนแปลงของปริมาณเชื้อก่อโรคปริทันต์ที่เริ่มต้นและ 3 เดือน ด้วยวิธีเรียลไทม์พีซีอาร์ผลการศึกษา: ไม่พบความแตกต่างของปริมาณเชื้อก่อโรคปริทันต์, ค่าความลึกของร่องลึกปริทันต์และค่าการยึดเกาะของอวัยวะปริทันต์ระหว่างกลุ่มทดลองและควบคุมยกเว้นตำแหน่งจุดเลือดออกที่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ P=0.024สรุป: การใช้โฟโตไดนามิกเทอราพีร่วมกับการขูดหินนํ้าลายและเกลารากฟันลดตำแหน่งจุดเลือดออกลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในขณะที่ผลทางคลินิกและปริมาณเชื้อก่อโรคไม่แตกต่าง คำสำคัญ: โฟโตไดนามิกเทอราพี โรคปริทันต์อักเสบเรื้อรัง เรียลไทม์พีซีอาร์
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4602
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 No. 1 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 35-46
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4602/4427
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4605
2014-09-19T12:11:36Z
swudentj:Review+articles
ชุดฟันเทียมเดี่ยวบน : วิธีการสร้างการสบฟันขณะใช้งาน
มโนมัยวงศ์, วรประภา
แสนทวีสุข, วัลลภัทน์
บทคัดย่อ ผู้ป่วยที่มีการสูญเสียฟันบนไปทั้งหมด โดยที่ขากรรไกรล่างยังมีฟันเหลืออยู่ ทำให้เกิดความซับซ้อนในการรักษา เนื่องจากฟันธรรมชาติมีการเปลี่ยนตำแหน่ง และมีระนาบสบฟันที่ไม่ประสานกัน มีวิธีการต่างๆ ที่นำมาใช้บูรณะชุดฟันเทียมเดี่ยวบน โดยมีหลักการสำคัญคือ ต้องการให้เกิดแรงที่สมดุลในการบดเคี้ยว โดยให้มีการสบฟันได้ดุลสองข้าง เพื่อให้เกิดเสถียรภาพและการยึดอยู่ที่ดีของฟันเทียมบน วัตถุประสงค์ของบทความปริทัศน์ฉบับนี้ได้นำเสนอ วิธีการบูรณะชุดฟันเทียมเดี่ยวบน โดยการหาระนาบสบฟันของฟันธรรมชาติล่าง โดยใช้เครื่องมือบรอร์ดริก แฟลก อนาไลเซอร์ การใช้แผ่นแบบอะคริลิกใสลอกเลียนการกรอปรับด้านบดเคี้ยวจากแบบจำลองศึกษาไปยังช่องปาก และการใช้วิธีวิถีกำเนิดจากการทำหน้าที่ คำสำคัญ: ชุดฟันเทียมเดี่ยวบน บรอร์ดริก แฟลก อนาไลเซอร์ วิถีกำเนิดจากการทำหน้าที่ แผ่นแบบอะคริลิกใส
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4605
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 No. 1 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 68-79
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4605/4428
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4606
2014-09-19T12:11:36Z
swudentj:Review+articles
เซอร์โคเนียและการปรับสภาพพื้นผิวเซรามิกชนิดเซอร์โคเนีย
จิรวัฒนกุล, หยาดพิรุณ
ลิมป์ลาวัณย์, ธีรชัย
จำปาศิริ, แป้งพิมพ์
บทคัดย่อ ความล้มเหลวในทางคลินิกของเซรามิกชนิดเซอร์โคเนียส่วนใหญ่มาจากการยึดติดกับพื้นผิวของซีเมนต์หรือการแตกหักของพื้นผิวภายในเซรามิก วัตถุประสงค์ของบทความนี้เพื่อเสนอการแก้ไขปัญหาดังกล่าวโดยการปรับสภาพพื้นผิวเซรามิก ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพเนื่องจากช่วยเสริมความแข็งแรงในการยึดติดระหว่างเซรามิกกับเนื้อฟัน และลดการแตกหักของพื้นผิวภายในเซรามิกได้ คำสำคัญ: เซรามิกชนิดเซอร์โคเนีย การปรับสภาพพื้นผิวเซรามิก เซรามิกไพรเมอร์
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4606
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 No. 1 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 80-87
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4606/4429
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4607
2014-09-19T12:11:36Z
swudentj:Original+articles
การแสดงออกของอินเตอร์ลิวคิน-8 ในเซลล์กระดูกเบ้าฟันมนุษย์เมื่อถูกกระตุ้นด้วยไลโปโพลีแซคคาไรด์
สุขอวยชัย, จรัสลักษณ์
วงศ์เยาว์ฟ้า, อินทรา
ธเนศวร, นิรดา
บทคัดย่อ วัตถุประสงค์: การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบการแสดงออกของอินเตอร์ลิวคิน-8 ในเซลล์ปฐมภูมิกระดูกเบ้าฟันมนุษย์เมื่อถูกกระตุ้นด้วยไลโปโพลีแซคคาไรด์จากเชื้อเอสเชอริเชีย โคไลวัสดุอุปกรณ์และวิธีการ: เซลล์กระดูกเบ้าฟันมนุษย์ทั้ง 3 ไลน์ ถูกนำมาเพาะเลี้ยงในอาหารเลี้ยงเซลล์ที่มีและไม่มีไลโปโพลีแซคคาไรด์ปริมาณ 0.5 และ 5 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตรเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ในอีกการทดลองหนึ่ง เลี้ยงเซลล์กระดูกเบ้าฟันมนุษย์ในอาหารเลี้ยงเซลล์ที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนสภาพเป็นเซลล์สร้างเนื้อเยื่อแข็งเป็นเวลา 7 วัน แล้วกระตุ้นด้วยไลโปโพลีแซคคาไรด์ต่ออีก 7 วัน เมื่อครบเวลาที่กำหนด ตรวจสอบการแสดงออกของอินเตอร์ลิวคิน-8 ด้วยวิธีเรียลไทม์พีซีอาร์ และวิธีอิไลซาผลการศึกษา: จากการเพาะเลี้ยงเป็นเวลา 24 ชั่วโมง พบว่าเซลล์กระดูกเบ้าฟันมนุษย์ทั้ง 3 ไลน์มีการแสดงออกของอินเตอร์ลิวคิน-8 และมีการเพิ่มระดับขึ้นเมื่อกระตุ้นด้วยไลโปโพลีแซคคาไรด์ สอดคล้องกับเซลล์ที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนสภาพเป็นเซลล์สร้างเนื้อเยื่อแข็ง ผลของอิไลซายืนยันการพบอินเตอร์ลิวคิน-8 ในอาหารเลี้ยงเซลล์ และเพิ่มระดับขึ้นเมื่อกระตุ้นด้วยไลโปโพลีแซคคาไรด์สรุป: เซลล์กระดูกเบ้าฟันมนุษย์เป็นแหล่งในการผลิตอินเตอร์ลิวคิน-8 ความเข้าใจในกลไกของกระบวนการดังกล่าวมีความสำคัญ อาจนำไปสู่การพัฒนาการรักษารอยโรครอบปลายรากฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไปในอนาคต คำสำคัญ: อินเตอร์ลิวคิน-8 ไลโปโพลีแซคคาไรด์ เซลล์กระดูกเบ้าฟันมนุษย์ รอยโรครอบปลายรากฟัน
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4607
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 No. 1 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 47-59
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4607/4430
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4608
2014-09-19T12:11:36Z
swudentj:Review+articles
อนุภาคนาโนเงินในฐานฟันเทียมเรซินอะคริลิก
ขุนหลวง, อภิญญา
เอี่ยมจิรกุล, ณปภา
บทคัดย่อ โรคปากอักเสบเหตุฟันเทียมเป็นการอักเสบของเนื้อเยื่อที่รองรับใต้ฐานฟันเทียม ซึ่งสามารถพบได้บ่อยในผู้ใส่ฟันเทียม และมีความสัมพันธ์กับเชื้อราแคนดิดา อัลบิแคนส์ ปัจจุบันมีการนำนาโนเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในงานทันตกรรม โดยนำอนุภาคนาโนเงินมาผสมทำฐานฟันเทียมเรซินอะคริลิกเพื่อให้มีคุณสมบัติต้านจุลชีพลดการสะสมของจุลชีพในช่องปากและลดอัตราการเกิดสภาวะปากอักเสบเพราะเชื้อราแคนดิดาในผู้ใส่ฟันเทียมทำให้ผู้ใส่ฟันเทียมสามารถดูแลรักษาฟันเทียมและสุขอนามัยช่องปากได้ดีขึ้น คำสำคัญ: อนุภาคนาโนเงิน คุณสมบัติต้านจุลชีพ ฐานฟันเทียมเรซินอะคริลิก
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4608
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 No. 1 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 60-67
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4608/4431
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4609
2015-01-06T15:38:31Z
swudentj:Editorial+Board
Editorial Board SWU Dent J. Vol.7 Suppl 2014
Dental Journal, Srinakharinwirot University
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4609
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; -
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4609/4432
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4610
2015-01-06T15:38:31Z
swudentj:Original+articles
Canal Aberrations Promoted by Three Nickel-Titanium Rotary Instruments in Simulated S-Shaped Canal
Hiran-us, Sirawut
Sawasdichai, Jirapat
Pimkhaokham, Somsinee
Ebihara, Arata
Suda, Hideaki
Abstract Objective: The aim of this study was to compare canal aberrations promoted by three nickel-titanium (NiTi) rotary systems in simulated S-shaped canal.Methods: Glide paths were prepared in thirty simulated S-shaped canal blocks. The blockswere then randomly assigned into three groups (n=10): ProTaper Universal (PTU), ProTaper NEXT(PTN) and iRace (IRA) and prepared per its manufacturer’s recommendation up to apical size #25. Pre-operative images were taken as baseline. Post-operative images were magnified to identify canal aberrations. Intra-operative images were investigated for aberrations occurred between each file used.Results: PTN produced the least number of canal aberrations, followed by IRA and PTU respectively. The incidences of aberration between PTN and PTU were significantly different (p<0.05).Conclusion: The ProTaper NEXT system should be the choice for S-shaped canal preparationbecause of the least canal aberrations. Keywords: NiTi rotary files, S-shaped canal, Canal aberrations
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4610
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 12-17
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4610/4433
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4611
2015-01-06T15:38:31Z
swudentj:Original+articles
Effect of Silver Nanoparticles on Antimicrobial Property of Acrylic Denture Base
Poolnaum, Thitiwon
Aimjirakul, Napapa
Ekworapoj, Piyanart
Abstract Objective: To investigate the effect of silver nanoparticles on the antimicrobial property of the acrylic denture base with different ratios of silver nanoparticles.Materials and Methods: Heat polymerizing acrylic resin (Triplex hot Ivoclar vivadent,Liechtenstein) and silver nanoparticles (Zeomic AJ10N Sinanen Zeomic Co., Ltd., Japan) were used. The specimens were divided into four groups according to the concentration of silver nanoparticles incorporated to acrylic resin: 0, 0.25, 0.5 and 1.25% by weight. The antimicrobial activity against Staphylococcus aureus was assessed by Japanese Industrial Standard (JIS Z 2801:2000). The dispersion of silver nanoparticles was evaluated by Scanning Electron Microscope (SEM).Results: This study showed that only 0.5% and 1.25% silver-nano containing acrylic can against Staphylococcus aureus, assessed by JIS Z 2801:2000. SEM images confirmed the presence of silver-nano embedded to the polymer matrix. Nanoparticles are homogeneously dispersed over the specimen surface. Conclusions: The addition of silver-nano to acrylic resin at least 0.5% by weight revealed antimicrobial activity. Keywords: Silver nanoparticles, Acrylic denture base, Antimicrobial property
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4611
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 18-25
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4611/4434
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4612
2015-01-06T15:38:31Z
swudentj:Original+articles
Effects of Estrogen Deprivation and Titanium Surfaces on Osteogenic Differentiation of Human Bone Marrow Stromal Cells, an in Vitro Study
Chookiartsiri, Chonticha
Pripatnanont, Prisana
Tangtrakulwanich, Boonsin
Arpornmaeklong, Premjit
Abstract Objectives: The study aimed to investigate effects of estrogen deficiency and titanium surfaces on growth and osteogenic differentiation of hBMSCs. Methods: Under a written informed consent, human bone marrow stromal cells (hBMSCs) were harvested, cultured and seeded on cell culture plates and titanium disks (Straumann, Switzerland),smooth and sandblasted acid-etched (SLA) titanium surfaces. Then cells were cultured in estrogendeprived(ED) growth medium for 24 h. and subsequently in conventional (FBS-OS) and ED-osteogenic(ED-OS) media for 21 day. Examination under scanning electron microscope (SEM) was performed to assess cell viability, attachment, morphologies and growth. Cell viability assay was conducted to determine cell growth. Alkaline phosphatase activity and calcium contents levels were measured to evaluate osteogenic differentiation potential (n=4, Mean±SD).Results: Titanium surface microtopographies and ED cell culture influenced cell morphology,attachment and growth. Human BMSCs were spindle-shaped cells on cell culture plate and smooth titanium surfaces, while on SLA titanium surface cells were stellate-like cells. Estrogen-deprived cell culture decreased cell attachment, growth and osteogenic differentiation potential of hBMSCs.Alkaline phosphatase activity and calcium content levels on all surfaces in ED-OS were markedly and significantly lower than FBS-OS media (p<0.05). Promoting effects of SLA surface on osteogenic differentiation, ALP activity and calcium contents, were found only in FBS-OS not ED-OS media.Conclusions: Estrogen-deprived cell culture decreased cell growth and osteogenic differentiation of hBMSCs. A SLA surface could not promote osteogenic differentiation of hBMSCs in ED-condition. Thus, modification of titanium surface microtopographyalone might be insufficient to enhance osteointegration of dental implant in osteoporotic bone. Key words: Osteoporosis, Sandblasted and acid etched titanium surface, Osteoblastic differentiation Songkhla, Thailand
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4612
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 26-34
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4612/4435
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4613
2015-01-06T15:38:31Z
swudentj:Original+articles
Porphyromonas gingivalis FimA Type II - PVXCP Fusion DNA Vaccine Expression in Mammalian Cells
Jobsri, Jantipa
Piluek, Wanvisa
Pesoongnern, Ponjarus
Jamdee, Kusuma
Abstract Objective: It has been shown that Porphyromonas gingivalis (P. gingivalis) FimA is able to induce antibody production and protection against bone loss in animal model. P. gingivalis FimA is therefore the candidate antigen in periodontitis vaccine production. In this study, DNA vaccine was produced by fusion sequences of FimA type II, the most prevalent type associated with periodontitis, and potato virus X coat protein (PVXCP), the immune-enhancing molecule. The ability of this DNA vaccine to be expressed in mammalian cells was investigated.Methods: The DNA vaccine was constructed in a fusion form of FimA and PVXCP (FimA -PVXCP) DNA vaccine, in which the mammalian expression plasmid pcDNA3 was used as a backbone plasmid. FimA type II gene was amplified from genomic DNA of P.gingivalis FimA type II by PCR. The FimA PCR product was inserted into predigested pcDNA3 containing PVXCP sequence; and consequently FimA was fused to the N-terminal side of PVXCP. The resulting plasmid was transfected into human embryonic kidney (HEK293) cells. FimA-PVXCP RNA expression in transfected cells was detected by RT-PCR. The fusion protein inside the cells and the protein secreted into medium were analyzed by Western Blot analysis using anti-PVXCP antibody. Results: RT-PCR of RNA extracted from pcDNA3. FimA-PVXCP transfected HEK293 cells showed the expected band size of 1.9 kb of FimA-PVXCP sequence. FimA-PVXCP protein was detected by Western blot analysis both in cell lysate of the transfected cells and in the medium. However, the secreted protein appeared to be larger than the protein remained inside the cells. Conclusion: FimA-PVXCP DNA vaccine was able to be expressed in HEK293 cells as confirmed by RT-PCR and Western blot analysis. Keywords : P.gingivalis vaccine, Periodontitis vaccine, DNA vaccine, Protein expression in mammalian cells
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4613
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 35-42
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4613/4436
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4614
2015-01-06T15:38:31Z
swudentj:Original+articles
Effects of Glass Ionomer Sealant on Occlusal Surface to the Changes of Proximal Enamel Lesion
Dechachart, Picharat
Phonghanyudh, Araya
Harnirattisai, Chontacha
Nakornchai, Siriruk
Objective: To compare the changes of proximal enamel lesion depth between applying fluoride varnish and using GIC as a sealant on occlusal surface, both with exposure to a fluoridated toothpaste. Methods: Two enamel lesions size 2 mm in diameter were created at the proximal surface of 72 permanent molars and randomly separated into 2 groups. All teeth were cut mesio-distally to separate each tooth to control and treatment halves. Treatment halves of first group were applied glass ionomer cement as a sealant on occlusal surface and treatment halves of another group were applied fluoride varnish (FV) on occlusal surface. All specimens were pH-cycled and brushed twice daily with fluoridated toothpaste for 14 days except treatment halves in FV group which left unbrushed in the first 24 hr. Lesion depth of all specimens were compared under polarized light microscope and measured with Image-Pro Plus®. Results-The mean lesion depth of both treatment halves (GIC and F-Varnish) were significantly less than their control halves. Percentage of lesion reduction in GIC group (26.55%) was significantly higher than fluoride varnish group (18.30%). Conclusions: With fluoridated toothpaste exposure, Glass ionomer cement as an occlusal sealant should be a better approach to reduce the enamel lesion depth at proximal surface on the same tooth when compared with applying fluoride varnish. Keywords: Glass ionomer cement, Occlusal sealand, Proximal enamel lesion, Lesion depth, Non-invasive technique
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4614
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 43-50
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4614/4437
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4615
2015-01-06T15:38:31Z
swudentj:Original+articles
Biaxial Flexural Strength of Zirconia-Based Ceramic Core with Veneering Porcelain from Various Manufacturers
Chantranikul, Natravee
Salimee, Prarom
Abstract Objective: To evaluate the biaxial flexural strength (BFS) of zirconia-based ceramic veneering with porcelain from the same and different manufacturers.Materials and Methods: Zirconia core material (Katana) and 4 veneering porcelains (Cerabien ZR, Lava Ceram, Cercon Ceram Kiss and IPS e.max Ceram) were selected. The bilayered disc specimens (diameter: 12.50 mm, thickness: 1.50 mm; core 0.75 mm, veneer 0.75 mm) were prepared into 4 groups according to veneering porcelain (n = 12), using the powder/liquid layering technique. After 20,000 times of thermocycling, BFS following ISO standard 6872:2008 were tested using universal testing machine (Instron). The data were analyzed with one-way ANOVA and Tukey Post Hoc multiple comparison tests (α = 0.05). Results: The mean ± SD of BFS were as followed, Cerabien ZR = 489.56 ± 67.00, Lava Ceram = 602.55 ± 76.31, Cercon Ceram Kiss = 705.94 ± 65.89 and IPS e.max Ceram = 496.94 ± 64.78 MPa. The statistical analysis showed that Cercon Ceram Kiss had significantly highest BFS, followed by Lava Ceram. The BFS of Cerabien ZR and IPS e.max Ceram were not significantly different but were significantly lower than the other two veneering porcelains. Conclusion: To obtain the good strength, zirconia core might not be used to pair with veneering porcelain from the same manufacturer as recommended. Key words: Biaxial flexural strength (BFS), Bilayered disc specimen, Thermocycling, Veneering porcelain, Zirconia core.
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4615
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 51-57
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4615/4438
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4616
2015-01-06T15:38:31Z
swudentj:Original+articles
Effect of Jagged-1 and Delta-Like-1 on the Proliferation of Primary Deciduous Pulp Cells
Peetiakarawach, Karnnapas
Osathanon, Thanaphum
Pavasant, Prasit
Sukarawan, Waleerat
Abstract Objectives: The objective of this study was to compare the effect of Notch ligands, Jagged-1 and Delta-like-1 (Dll-1), on the proliferation of primary deciduous pulp cells. Methods: Jagged-1 and Dll-1 ligands were immobilized to the tissue culture surface using an indirect affinity immobilization technique. At day 1, 3 and 7, the morphology of primary deciduous pulp cells was observed under an inverted transmitted light microscope. Cell proliferation was determined by an MTT assay and the mRNA expression levels of apoptosis related-genes were determined using reverse transcriptase polymerase chain reaction. Results: Cells exhibited elongated spindle (fibroblast-like) morphology. There was no difference in morphology among different conditions. Cell proliferation was decreased in the Notch ligand treated groups. The Jagged-1 group exhibited the attenuated appearance of cell proliferation greater than Dll-1 and the control group. However, no statistical significant difference was observed. The increase of the CASPASE3 and the BAD mRNA expression was noted in Notch ligand treated groups. Though, the significant difference was observed only for the CASPASE3 mRNA expression in the Jagged-1 group compared to the control group (p<0.05). There was no marked difference in the BCL-2 and the BAX mRNA expression. Conclusion: Notch ligands, Jagged-1, may attenuatethe primary deciduous pulp cell proliferation via the activation of apoptosis pathway. Keywords: Notch Signaling, Deciduous pulp cells, Proliferation, CASPASE3
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4616
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 58-64
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4616/4439
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4617
2015-01-06T15:38:31Z
swudentj:Case+reports+or+Case
FAM20A Mutation in a Patient with Enamel-Renal-Gingival Syndrome: A Case Report
Bongkochwilawan, Chotika
Iamaroon, Anak
Kayserili, Hulya
Güven, Yeliz
Kantaputra, Piranit
Abstract: Objectives: Amelogenesis imperfecta with Gingival fibromatosis syndrome (AIGFS), amelogenesis imperfecta with nephrocalcinosis or Enamel-Renal syndrome (ERS), and Enamel- Renal-Gingival syndrome have been associated with mutations in the FAM20A gene. A number of cases in the literature have described patients with three important findings, including amelogenesis imperfecta (AI), gingival fibromatosis and nephrocalcinosis. This study was aimed to identify FAM20A mutations in an 11-year-old Turkish male affected with enamel-renal-gingival syndrome. Methods: Clinical and radiographic examinations and mutational analysis of the coding exons of FAM20A gene were performed. Results: The patient was the first child of non-consanguineous parents. Oral examination revealed AI and generalized gingival fibromatosis. A panoramic radiograph showed generalized absence of enamel, delayed eruption of permanent teeth, intrapulpal calcification and multiple unerupted teeth. No calcification was observed with renal ultrasound. Mutation analysis of FAM20A revealed a novel missense mutation in exon 10 (NM_017565.3: c.1307G>A; g.61999G>A; p.Gly436Glu). This is notable because G436 is highly conserved among FAM20A homologues. Conclusions: Our study reports a novel FAM20A mutation and confirms that AIGFS and ERS actually are the same entity with different manifestations. Patients with AI, hypoplastic type with unerupted teeth and gingival fibromatosis are advocated to have renal ultrasonography to rule out nephrocalcinosis or nephrolithiasis. Keywords: FAM20A, Amelogenesis imperfecta, Gingival hyperplasia, Nephrocalcinosis
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-19
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4617
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 65-70
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4617/4440
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4889
2014-12-24T15:42:45Z
swudentj:Editorial+Board
กองบรรณาธิการ (Editorial Board) ว.ทันต.มศว ปีที่ 7 ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2557
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-12-24
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4889
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 No. 2 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 1-11
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4889/4674
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4890
2014-12-24T15:42:45Z
swudentj:Original+articles
การเสื่อมของขนแปรงสีฟันชนิดเรียวและชนิดเกลียว
วิทวัสพันธุ์, พลอยลดา
แสนทวีสุข, เพ็ญชนก
เกาศัลย์, ตามเสด็จ
คูผาสุข, ยสวิมล
เกิดวงศ์บัณฑิต, วรุณี
บทคัดย่อ วัตถุประสงค์: การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเสื่อมและการเปลี่ยนแปลงรูปร่างของขนแปรงสีฟันชนิดเรียวและชนิดเกลียว วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ: อาสาสมัคร 30 คน ได้รับการขูดหินน้ำลายและขัดฟัน แบ่งการแปรงฟันเป็น 2 ช่วง ให้อาสาสมัครแปรงฟันด้วยแปรงสีฟันขนแปรงชนิดเรียวและแปรงสีฟันขนแปรงชนิดเกลียวที่กำหนดโดยวิธีสุ่ม โดยวิธีโมดิฟายด์บาสด้วยยาสีฟันที่กำหนดให้ ทุกวัน วัน ละ 2 ครั้ง ครั้ง ละ 3 นาที นาน 1 เดือน หลังเสร็จการศึกษาในช่วงแรก เว้นระยะ 2 สัปดาห์ ขูดหินน้ำลายและขัดฟันอีกครั้ง จึงเริ่มศึกษาในช่วงที่สองอีก 1 เดือน ด้วยแปรงสีฟันคนละชนิดกับที่ได้รับครั้งแรก นำแปรงสีฟันทั้ง 60 ด้าม และแปรงสีฟันทั้งสองชนิดที่ยังไม่ได้ใช้งานชนิดละ 6 ด้าม ไปศึกษาระดับการเสื่อมและรูปร่างปลายขนแปรงสีฟันด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราด ผลการศึกษา: พบการเสื่อมของขนแปรงสีฟันที่ยังไม่ได้ใช้งานทั้ง 2 ชนิด โดยเฉพาะขนแปรงสีฟันชนิดเกลียวที่มีความบกพร่องร้อยละ 44.17 การศึกษาด้วยกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบส่องกราดพบการเปลี่ยนแปลงรูปร่างปลายขนแปรงสีฟันชนิดเรียวและชนิดเกลียวที่ใช้แล้ว 1 เดือน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ขนแปรงสีฟันที่ใช้แล้วทั้งสองชนิดมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง จากเรียวและเกลียวเป็นโค้งงอ หักทู่ และ/หรือแตก โดยเฉพาะชนิดเกลียว ขนแปรงสีฟันทั้งชนิดเรียวและชนิดเกลียวมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างตั้งแต่การเสื่อมระดับ 1 โดยมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างมากที่สุดที่ระดับการเสื่อม 2 สรุป: ขนแปรงสีฟันที่ยังไม่มีการใช้งานมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง โดยขนแปรงสีฟันชนิดเกลียวมีคุณภาพต่ำกว่ามาตรฐานการผลิต ปลายขนแปรงสีฟันที่ใช้แล้วชนิดเกลียวมีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างมากกว่าขนแปรงสีฟันที่ใช้แล้วชนิดเรียว คำสำคัญ: ขนแปรงสีฟันชนิดเรียว แปรงสีฟัน การบานของแปรงสีฟัน การเสื่อมของแปรงสีฟัน ขนแปรงสีฟันชนิดเกลียว
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-12-24
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4890
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 No. 2 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 12-23
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4890/4675
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4891
2014-12-24T15:42:45Z
swudentj:Original+articles
ผลของการเกลารากฟันให้เสร็จในครั้งเดียวต่อการเปลี่ยนแปลงระดับสารสื่ออักเสบในซีรั่ม ของผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีโรคปริทันต์อักเสบ
เหล่าศรีสิน, ณรงค์ศักดิ์
ดำรงโฆษิต, สุภานี
เฉลิมสิทธิวงศ์, ปิยาพัชร
จิตตินันทน์, แพร
บทคัดย่อ โรคปริทันต์อักเสบนอกจากจะทำให้เกิดการอักเสบเฉพาะที่แล้ว ยังสามารถก่อให้เกิดภาวะการอักเสบแบบทั่วร่างกาย เห็นได้จากการตรวจพบปริมาณสารสื่ออักเสบทั้งในบริเวณอวัยวะปริทันต์และในกระแสเลือดของผู้ป่วย และหากผู้ป่วยโรคปริทันต์อักเสบมีภาวะของโรคเบาหวานร่วมด้วย จะทำให้ปริมาณสารสื่ออักเสบเพิ่มสูงขึ้นมากกกว่าปกติ การรักษาโรคปริทันต์ทำให้สารสื่ออักเสบต่างๆ มีปริมาณลดลง ซึ่งเป็นการช่วยลดภาวะการอักเสบของร่างกาย การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของสภาพอวัยวะปริทันต์และระดับสารสื่ออักเสบในกระแสเลือด 7 ชนิด ได้แก่ อินเตอร์ลิวคิน-1เบตา อินเตอร์ลิวคิน-6 อินเตอร์ลิวคิน-10 ทูเมอร์เนโครซิสแฟคเตอร์-แอลฟา ซี-รีแอคทีฟโปรตีน วาสคิวลาร์เอนโดทีเลียลโกรทแฟกเตอร์ และทรอมโบโมดูลินในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เป็นโรคปริทันต์อักเสบร่วมด้วย ภายหลังได้รับการขูดหินน้ำลายและเกลารากฟันทั้งปากให้เสร็จในครั้งเดียวด้วยเครื่องขูดใต้เหงือกอัลตร้าโซนิกชนิดพีโซอิเลกตริก โดยทำการคัดเลือกอาสาสมัครจำนวน 36 คน ที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคปริทันต์อักเสบระดับปานกลางถึงรุนแรง ให้การรักษาโรคปริทันต์อักเสบ แล้วประเมินผลภายหลังรักษาพบว่า การขูดหินน้ำลายและเกลารากฟันทั้งปากให้เสร็จในครั้งเดียวด้วยเครื่องขูดใต้เหงือกอัลตร้าโซนิกชนิดพีโซอิเลกตริก สามารถทำให้ค่าเฉลี่ยร่องลึกปริทันต์ลดลง และเพิ่มระดับการยึดเกาะของอวัยวะปริทันต์ให้ดีขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติหลังรักษา 1 เดือนและ 3 เดือน และยังส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงปริมาณสารสื่ออักเสบในกระแสเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เป็นโรคปริทันต์อักเสบมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะวาสคิวลาร์เอนโดทีเลียลโกรทแฟกเตอร์ คำสำคัญ: การเกลารากฟันให้เสร็จในครั้งเดียว สารสื่ออักเสบ ผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เครื่องขูดใต้เหงือกอัลตร้าโซนิกชนิดพีโซอิเลกตริก
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-12-24
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4891
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 No. 2 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 24-42
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4891/4677
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4892
2014-12-24T15:42:45Z
swudentj:Original+articles
สารสื่ออักเสบในเซรั่มของผู้ป่วยปริทันต์อักเสบที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2
เหล่าศรีสิน, ณรงค์ศักดิ์
เสมา, จามรี
เลาะหนับ, นันทิกา
บทคัดย่อ ความสัมพันธ์ระหว่างโรคเบาหวานและโรคปริทันต์เป็นความสัมพันธ์แบบสองทาง และเชื่อว่ามีผลให้เกิดการหลั่งสารสื่ออักเสบและสารบ่งชี้ต่างๆในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงไป เช่น อินเตอร์ลิวคิน ทูเมอร์เนโครซิสแฟคเตอร์-แอลฟา และซี-รีแอคทีฟโปรตีน เป็นต้น การศึกษานี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงความสัมพันธ์ของสารสื่ออักเสบและสารบ่งชี้ 7 ชนิดในเซรั่ม กับค่าพารามิเตอร์ทางปริทันต์และระดับน้ำตาลในเลือดได้แก่ระดับฮีโมโกลบินเอวันซีและระดับน้ำตาลหลังอดอาหารในผู้ป่วยปริทันต์อักเสบที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 โดยศึกษาในอาสาสมัคร 36 คนที่เป็นโรคปริทันต์อักเสบร่วมกับเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งอยู่ในความดูแลของแพทย์โรงพยาบาลบางใหญ่จังหวัดนนทบุรี ทำการตรวจสภาวะปริทันต์ได้แก่ ดัชนีคราบจุลินทรีย์ที่มองเห็นด้วยตาความลึกของร่องลึกปริทันต์ ระดับการยึดเกาะของอวัยวะปริทันต์และดัชนีการมีเลือดออกเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับฮีโมโกลบินเอวันซีระดับน้ำตาลหลังอดอาหารและค่าระดับสารสื่ออักเสบและสารบ่งชี้ทั้ง 7 ชนิด ได้แก่ อินเตอร์ลิวคิน-1เบตา อินเตอร์ลิวคิน-6 อินเตอร์ลิวคิน-10ทูเมอร์เนโครซิสแฟคเตอร์-แอลฟาซี-รีแอคทีฟโปรตีนวาสคิวลาร์เอนโดทีเลียลโกรทแฟกเตอร์และทรอมโบโมดูลินวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของพารามิเตอร์ต่างๆ รวมทั้งศึกษาความแตกต่างของปริมาณสารสื่ออักเสบเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มผู้ป่วยที่มีระดับการยึดเกาะของอวัยวะปริทันต์ < 4 และ≥4 มิลลิเมตรกลุ่มผู้ป่วยที่มีค่าฮีโมโกลบินเอวันซีสูงหรือต่ำ และกลุ่มผู้ป่วยที่มีค่าระดับน้ำตาลหลังอดอาหารสูงหรือต่ำ ผลการศึกษาพบเฉพาะวาสคิวลาร์เอนโดทีเลียลโกรทแฟกเตอร์เท่านั้นที่มีความสัมพันธ์ทางสถิติกับค่าเฉลี่ยของระดับการยึดเกาะของอวัยวะปริทันต์ และค่าฮีโมโกลบินเอวันซี แต่พบความแตกต่างของระดับสารสื่ออักเสบในระหว่างกลุ่มอย่างไม่มีนัยสำคัญไม่ว่าจะเป็นการเปรียบเทียบระหว่างกลุ่มผู้ป่วยตามความรุนแรงของโรคปริทันต์อักเสบหรือตามความรุนแรงของโรคเบาหวาน คำสำคัญ: ฮีโมโกลบินเอวันซี ระดับน้ำตาลหลังอดอาหาร โรคเบาหวานชนิดที่ 2 สารสื่ออักเสบพารามิเตอร์ทางปริทันต์
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-12-24
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4892
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 No. 2 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 43-56
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4892/4678
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4893
2014-12-24T15:42:45Z
swudentj:Original+articles
การเปรียบเทียบแรงกดอัดในแนวดิ่งของฟันที่บูรณะด้วยเดือยฟันสำเร็จรูปเสริมเส้นใยหน้าตัดรูปวงรี และรูปวงกลม
ปึงไพบูลย์, อุษณีย์
ทนุวงษ์, พิชยา
บทคัดย่อ การเปรียบเทียบแรงกดอัดในแนวดิ่งของฟันที่บูรณะด้วยเดือยฟันสำเร็จรูปเสริมเส้นใยหน้าตัดรูปวงรี และรูปวงกลม วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาเปรียบเทียบแรงกดอัดในแนวดิ่งของฟันที่มีหน้าตัดคลองรากฟันเป็นรูปวงรี ที่ได้รับการรักษารากและบูรณะด้วยเดือยฟันชนิดเสริมเส้นใยที่มีหน้าตัดรูปวงรี และวงกลม วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ: เลือกฟันกรามน้อยบนซี่ที่ 2 ที่มีคลองรากฟันเดียวขนาดใกล้เคียงกันและมีหน้าตัดเป็นรูปวงรี จำนวน 14 ซี่ ทำการรักษารากฟัน แบ่งฟันเป็น 2 กลุ่มโดยวิธีสุ่ม (n=7) นำมาเตรียมช่องว่างสำหรับเดือยฟันตามรูปร่างของเดือยที่ใช้ทดลองโดย กลุ่มที่ 1 ใช้เดือยฟันสำเร็จรูปชนิดเสริมเส้นใยหน้าตัดรูปวงรียี่ห้อ Ellipson™ กลุ่มที่ 2 ใช้เดือยฟันสำเร็จรูปชนิดเสริมเส้นใยหน้าตัดวงกลมยี่ห้อ D.T.Light™ ยึดเดือยฟันทั้ง 2 กลุ่มด้วย สารยึดติดยี่ห้อเอ็กไซด์ เอ็ฟ ดีเอสซี (Excite F DSC™) ร่วมกับเรซินคอมพอสิตก่อแกนฟันแบบเหลว ยี่ห้อมัลติคอร์โฟล ( Multicore flow™) นำกลุ่มตัวอย่างทั้งสองกลุ่มไปทดสอบแรงกดอัดลงบริเวณปุ่มฟันทั้งสองในแนวดิ่งขนานกับแนวแกนฟันด้วยเครื่องทดสอบสากล ยี่ห้อInstron โดยให้แรงกดอัดด้วยความเร็ว 1 มิลลิเมตร/นาที จนกระทั่งเกิดการแตกหัก บันทึกค่าแรงสูงสุด จากนั้นนำไปส่องกล้องสเตอริโอไมโครเพื่อดูลักษณะการแตกหัก ผลการทดสอบแรงกดอัดได้รับการวิเคราะห์ทางสถิติโดยใช้สถิติ independent t-test ที่ระดับความเชื่อมั่น 95% ผลการศึกษา : กลุ่มเดือยฟันหน้าตัดวงรีสามารถทนต่อแรงกดอัดได้มากกว่าเดือยฟันหน้าตัดวงกลม (P<0.05) โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3501.68+543.82 นิวตัน และ 2882.29+378.35 นิวตัน ตามลำดับ ร้อยละของกลุ่มตัวอย่างที่พบการแตกหักในระดับที่สามารถบูรณะต่อได้ กลุ่ม 1,2 เท่ากับ 57.14% และ 42.86% ตามลำดับ สรุป : เดือยฟันเสริมเส้นใยที่มีหน้าตัดเป็นรูปวงรีเหมาะสมกับการบูรณะฟันที่ผ่านการรักษาคลองรากฟันแล้ว ที่มีหน้าตัดคลองรากฟันเป็นรูปวงรี เนื่องจากมีความทนต่อแรงกดอัดที่สูงกว่าการบูรณะด้วยเดือยฟันที่มีหน้าตัดเป็นรูปวงกลมอย่างมีนัยสำคัญ คำสำคัญ: ฟันที่ผ่านการรักษาคลองรากฟัน, แรงกดอัดในแนวดิ่ง, เดือยฟันสำเร็จรูปเสริมเส้นใยหน้าตัดรูปวงรี, เดือยฟันสำเร็จรูปเสริมเส้นใยหน้าตัดรูปวงกลม
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-12-24
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4893
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 No. 2 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 57-75
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4893/4679
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4894
2014-12-24T15:42:45Z
swudentj:Original+articles
การศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดหยาบจากพืชสมุนไพร 5 ชนิดและคลอเฮ็กซิดีนร้อยละ 0.12 ที่มีฤทธิ์ในการต้านเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์
แก้วมณี, ปรมาภรณ์ จิ๋วพัฒนกุล
ทองสงค์, นวพรรณ
สุขอาจ, ภณพร
กิติศรีวราพันธุ์, วิรณัฐ
บทคัดย่อ สเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์ เป็นเชื้อที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในการก่อโรคฟันผุ การกำจัดแบคทีเรียชนิดนี้จึงเป็นเป้าหมายหนึ่งที่สำคัญในการช่วยลดการเกิดโรคฟันผุ การทำความสะอาดโดยการแปรงฟัน การใช้สารเคมีหรือยานั้นเป็นวิธีที่สามารถช่วยป้องกันฟันผุได้ การใช้พืชสมุนไพรที่มีอยู่ในท้องถิ่นจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในปัจจุบันเพื่อทดแทนการใช้สารเคมีหรือยา คณะผู้วิจัยจึงทดสอบประสิทธิภาพและการออกฤทธิ์ที่เวลาต่างๆ ของสารสกัดหยาบจากพืชสมุนไพร 5 ชนิดและคลอเฮ็กซิดีนร้อยละ 0.12 ในการต้านเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์ ด้วยวิธีการแพร่แผ่นดิสก์ จากการศึกษาพบว่าสารสกัดหยาบจากฟ้าทะลายโจรที่ความเข้มข้นเริ่มต้นร้อยละ 20 โดยน้ำหนักต่อปริมาตร ซึ่งเป็นความเข้มข้นที่สูงสุด และฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อที่เวลา 12 ชั่วโมง สารสกัดหยาบจากฟ้าทะลายโจรมีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์ สูงที่สุดและไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติกับคลอเฮกซิดีนร้อยละ 0.12 (P < 0.05) รองลงมาคือ ขมิ้นชัน มะรุม และโหระพา ตามลำดับ แต่ไม่มีฤทธิ์ในการยับยั้งสเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์ ในบัวบก นอกจากนี้พบว่าฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์ให้ผลดีที่สุดที่เวลา 12 ชั่วโมง เมื่อทดสอบด้วยสารสกัดหยาบจากพืชสมุนไพร และ 48 ชั่วโมงเมื่อทดสอบด้วยคลอเฮ็กซิดีนร้อยละ 0.12 คำสำคัญ: ฟ้าทะลายโจร บัวบก ขมิ้นชัน มะรุม โหระพา สเตร็ปโตคอคคัส มิวแทนส์
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-12-24
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4894
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 No. 2 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 76-89
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4894/4680
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4895
2014-12-24T15:42:45Z
swudentj:Original+articles
การศึกษาเปรียบเทียบกิจกรรมกล้ามเนื้อของหลังส่วนบนขณะทำงานของนักศึกษาทันตแพทย์ที่ได้รับและไม่ได้รับข้อมูลป้อนกลับจากระบบวิเคราะห์แนวโน้มการเจ็บป่วยจากท่าทางการทำงานและปรับปรุงท่าทางการทำงานอัจฉริยะ
ธนธรวงศ์, พรสวรรค์
บทคัดย่อ วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาเปรียบเทียบกิจกรรมกล้ามเนื้อของหลังส่วนบนขณะทำงานของนักศึกษาทันตแพทย์ที่ได้รับและไม่ได้รับข้อมูลป้อนกลับจากระบบวิเคราะห์แนวโน้มการเจ็บป่วยจากท่าทางการทำงาน และปรับปรุงท่าทางการทำงานอัจฉริยะ วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ: ประชากรเป้าหมายในการศึกษาเป็นนักศึกษาทันตแพทย์ จำนวน 16 คน งานวิจัยครั้งนี้เป็นงานวิจัยเชิงทดลองแบบ 2 × 2 Crossover design คือมีกลุ่มนักศึกษาทันตแพทย์ 2 กลุ่ม กลุ่มละ 8 คน แต่ละกลุ่มแบ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับข้อมูลป้อนกลับตำแหน่งของท่าทางการทำงาน และ กลุ่มที่ไม่ได้รับข้อมูลป้อนกลับตำแหน่งของท่าทางการทำงาน บันทึกข้อมูลค่ากระแสไฟฟ้าของกล้ามเนื้อทราพีเซียสส่วนบน ด้วยเครื่องวัดคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ (Electromyography) ร่วมกับการให้ข้อมูลป้อนกลับจากระบบวิเคราะห์แนวโน้มการเจ็บป่วยจากท่าทางการทำงาน และปรับปรุงท่าทางการทำงานอัจฉริยะ ผู้ร่วมวิจัยจะติดตั้งเซนเซอร์ไว้ที่กระดูกสันหลังส่วนอกชิ้นที่ 4 (4thThoractic) แล้วเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ที่มีโมเดลวิเคราะห์อัจฉริยะรวมอยู่ในฐานข้อมูล ขณะเก็บข้อมูล ระบบจะมีการบันทึกข้อมูลลงในโปรแกรมทุกๆ 5 วินาที และในช่วงที่ให้ข้อมูลป้อนกลับตำแหน่งของท่าทางการทำงาน ระบบจะทำการแจ้งเตือนหรือให้ข้อมูลป้อนกลับผู้ใช้งานทันทีที่ระบบตรวจพบว่าท่าทางการทำงานนั้นๆ เสี่ยงต่อการบาดเจ็บของร่างกาย ส่วนในช่วงที่ไม่ให้ข้อมูลป้อนกลับตำแหน่งของท่าทางการทำงาน ระบบจะไม่มีการแจ้งเตือน ผู้วิจัยจัดหาอาสาสมัครที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคเหงือกอักเสบ และมีความประสงค์จะรับการรักษาโรคเหงือกอักเสบโดยการขูดหินน้ำลาย ผู้เข้าร่วมงานวิจัยขูดหินน้ำลายทุกตำแหน่งในช่องปากของอาสาสมัคร โดยเครื่องขูดหินน้ำลายอัลตร้าโซนิก (ultrasonic scaler) บันทึกค่ากระแสไฟฟ้าของกล้ามเนื้อทราพีเซียสส่วนบนตลอดการทำงาน จากนั้นนำข้อมูลมาวิเคราะห์ผลทางสถิติ ผลการศึกษา: ค่าเฉลี่ยกระแสไฟฟ้าของกล้ามเนื้อทราพีเซียสส่วนบนของนักศึกษาทันตแพทย์ในกลุ่มที่ได้รับข้อมูลป้อนกลับจากระบบวิเคราะห์แนวโน้มการเจ็บป่วยจากท่าทางการทำงาน และปรับปรุงท่าทางการทำงานอัจฉริยะ มีค่าเท่ากับ 7.74±6.57 %MVC ในกลุ่มที่ไม่ได้รับข้อมูลป้อนกลับ เท่ากับ 16.52±4.42 %MVC เมื่อทดสอบทางสถิติ พบว่าค่าเฉลี่ยกระแสไฟฟ้าของกล้ามเนื้อทราพีเซียสส่วนบนของนักศึกษาทันตแพทย์ทั้ง 2 กลุ่ม แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p< 0.05[B1] ) สรุป: ค่าเฉลี่ยกระแสไฟฟ้าของกล้ามเนื้อทราพีเซียสส่วนบนของกลุ่มที่ได้ข้อมูลป้อนกลับจากระบบวิเคราะห์แนวโน้มการเจ็บป่วยจากท่าทางการทำงาน และปรับปรุงท่าทางการทำงานอัจฉริยะมีค่าแตกต่างกับกลุ่มที่ไม่ได้รับข้อมูลป้อนกลับจากระบบวิเคราะห์แนวโน้มการเจ็บป่วยจากท่าทางการทำงาน และปรับปรุงท่าทางการทำงานอัจฉริยะอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ การปฏิบัติงานทันตกรรมมีแนวโม้มสูงที่จะเกิดอาการปวดของกล้ามเนื้อและกระดูก งานวิจัยนี้คาดหวังให้นักศึกษาทันตแพทย์ได้เพิ่มความตระหนักในท่าทางการทำงาน ฝึกการปฏิบัติงานทางคลินิกในท่าทางที่ถูกต้องเพื่อให้เกิดการจดจำของกล้ามเนื้อต่างๆ การให้ข้อมูลป้อนกลับจากระบบวิเคราะห์แนวโน้มการเจ็บป่วยจากท่าทางการทำงาน และปรับปรุงท่าทางการทำงานอัจฉริยะ เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้นักศึกษาทันตแพทย์ปรับท่าทางการทำงานให้ร่างกายส่วนต่างๆโดยเฉพาะหลังส่วนบนอยู่ในสภาวะปกติและสมดุล คำสำคัญ: แบบจำลองมาคอฟ อาการผิดปกติทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อ การให้ข้อมูลป้อนกลับชนิดสั่น การวัดคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ ระบบเฉพาะส่วนบุคคล [B1]
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-12-24
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4895
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 No. 2 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 90-102
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4895/4681
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4896
2014-12-24T15:42:45Z
swudentj:Review+articles
สถานการณ์การสูบบุหรี่ในเด็กประถมศึกษา กับ บทบาทวิชาชีพทันตแพทย์
แก้วสุทธา, ณัฐวุธ
วิสาลเสสถ์, วิกุล
อภิวัฒน์, ศศิวิมล
ถกลวิบูลย์, ดลพร
บทคัดย่อ วิชาชีพทันตแพทย์มีบทบาทในการควบคุมการบริโภคยาสูบมาเป็นเวลายาวนานร่วมกับวิชาชีพสุขภาพอื่นๆ เนื่องจากบุหรี่มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการเกิดโรคในช่องปาก เช่น โรคปริทันต์อักเสบ และมะเร็งในช่องปาก ดังนั้น การป้องกันผู้สูบบุหรี่หน้าใหม่ จึงเป็นบทบาทที่สำคัญของวิชาชีพ จากข้อมูลในปัจจุบันพบว่าการสูบบุหรี่ในกลุ่มเด็กและเยาวชนมีอัตราเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและเริ่มสูบบุหรี่ในอายุที่น้อยลง เด็กสามารถเข้าถึงบุหรี่ได้ง่ายขึ้นจากอิทธิพลของบุคคลใกล้ชิดในครอบครัวที่สูบบุหรี่และการถูกผู้ใหญ่ใช้ให้ไปซื้อบุหรี่ บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อทบทวนองค์ความรู้ในเรื่องสถานการณ์และความรุนแรงของการสูบบุหรี่ในเด็กชั้นประถมศึกษาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปัจจัยเชิงสาเหตุที่กระตุ้นให้เด็กเริ่มสูบบุหรี่ รวมถึงรูปแบบการจัดกิจกรรมและรณรงค์ต่างๆ ในการป้องกันผู้สูบบุหรี่หน้าใหม่ในกลุ่มเด็กประถมศึกษา ซึ่งจะนำไปสู่การวางแผนและกำหนดแนวนโยบายของวิชาชีพทันตแพทย์ในการจัดกิจกรรมรณรงค์ป้องกันผู้สูบบุหรี่หน้าใหม่ในเด็กและเยาวชนต่อไป คำสำคัญ: สูบบุหรี่ ประถมศึกษา วิชาชีพทันตแพทย์
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-12-24
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4896
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 7 No. 2 (2014): Srinakharinwirot University Dental Journal; 103-120
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/4896/4682
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/5197
2015-03-27T15:23:56Z
swudentj:Original+articles
การรั่วซึมระดับจุลภาคของเรซินซีเมนต์ชนิดบ่มเองร่วมกับบ่มด้วยแสงที่ระดับต่างๆของผนังคลองรากฟัน
ลิมป์ลาวัณย์, ธีรชัย
พารักษ์, ณัฐวุฒิ
ศรีโพธิ์ทองนาค, จุฑาวรรณ
เศรษฐศิริสมบัติ, ชิดชนก
เรือนใจมั่น, ประไพพร
บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบรอยรั่วระดับจุลภาคของเรซินซีเมนต์ 2 ชนิดที่ระดับต่างๆของคลองรากฟันภายหลังจากยึดเดือยไฟเบอร์ ฟันตัดบนของมนุษย์จำนวน 33 ซี่ ซึ่งผ่านการรักษาคลองรากฟันตามการรักษาทางวิทยาเอ็นโดดอนต์ หลังจากนั้นเตรียมคลองรากฟันสำหรับเดือยไฟเบอร์ซึ่งยึดด้วยเรซินซีเมนต์ 2 ชนิดคือ เรซินซีเมนต์ชนิดเซฟล์เอชท์จำนวน 15 ซี่ และเรซินซีเมนต์ชนิดที่มีสารยึดติดอยู่ในตัวเองจำนวน 15 ซี่ ส่วนที่เหลืออีก 3 ซี่เป็นกลุ่มควบคุม นำฟันที่บูรณะแล้วมาตัดส่วนตัวฟันและตัดส่วนรากฟันตามหน้าตัดขวางที่ระดับต่างๆกัน 2 ระดับคือ 1 มิลลิเมตรต่ำกว่าระดับรอยต่อเคลือบรากฟันกับเคลือบฟัน และ 1 มิลลิเมตรเหนือกัตทาเพอร์ชา นำฟันทั้ง 33 ซี่แช่ในสารละลายเบสิกฟุตซินความเข้มข้นร้อยละ 0.5เป็นเวลา 24 ชั่วโมงแล้วจึงนำมาตัดกึ่งกลางรากฟันและทำการบันทึกรอยรั่วระดับจุลภาคทั้ง 3 ระดับภายใต้กล้องจุลทรรศน์กำลังขยาย 10 เท่า นำข้อมูลที่บันทึกได้มาทำการทดสอบทางสถิติโดยใช้วิลค็อกซันไซส์แรงค์ และคลูซคัลวาลลิส ที่ระดับความเชื่อมั่น 0.05 ผลการทดลองพบว่ารอยรั่วซึมระดับจุลภาคของเรซินซีเมนต์ทั้ง 2 ชนิดไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) และเมื่อทดสอบรอยรั่วระดับจุลภาคทั้ง 3 ระดับของคลองรากฟันของเรซินซีเมนต์ทั้ง 2 ชนิด พบว่า ทั้ง 3 ระดับมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) โดยที่ระดับ1 มิลลิเมตรเหนือกัตทาเพอร์ชามีรอยรั่วระดับจุลภาคมากที่สุด และที่ระดับ1 มิลลิเมตรต่ำกว่าระดับรอยต่อเคลือบรากฟันกับเคลือบฟันมีรอยรั่วระดับจุลภาคน้อยที่สุด จากการศึกษาครั้งนี้สรุปได้ว่า มีการรั่วซึมระดับจุลภาคเกิดขึ้นของเรซินซีเมนต์ทั้ง 2 ชนิดที่ระดับต่างๆของผนังคลองรากฟัน โดยพบการรั่วซึมระดับจุลภาคมากที่สุดที่บริเวณ ปลายรากฟันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) แต่การรั่วซึมระหว่าง เรซินซีเมต์ชนิดเซล์ฟเอท์ช และเรซินซีเมนต์ชนิดที่มีสารยึดติดอยู่ในตัวเองแต่ละบริเวณของผนังคลองรากฟันไม่แตกกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.05) คำสำคัญ : การรั่วซึมระดับจุลภาค เรซินซีเมนต์ บ่มเองร่วมกับบ่มด้วยแสง ผนังคลองรากฟัน
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-03-27
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/5197
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 6 No. 2 (2013): Srinakharinwirot University Dental Journal; 48-64
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/5197/4969
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/5417
2015-06-30T16:27:22Z
swudentj:Editorial+Board
กองบรรณาธิการ (Editorial Board) ว.ทันต.มศว ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2558
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-06-30
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/5417
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 8 No. 1 (2015): Srinakharinwirot University Dental Journal; 1-11
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/5417/5081
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/5418
2015-06-30T16:27:22Z
swudentj:Original+articles
การเปรียบเทียบลักษณะทางจุลพยาธิวิทยาของเส้นใยคอลลาเจนในเนื้อเยื่อรอบตัวฟันกรามล่างซี่ที่สามคุดกับโอกาสในการเกิดเนื้องอกหรือถุงน้ำโดยใช้สีย้อมพิโครซิเรียสเรดร่วมกับกล้องจุลทรรศน์ชนิดโพลาไรซ์
ส่งวัฒนา, ศิริวรรณ
รังสิยานนท์, สรสัณห์
ศรีชลเพ็ชร์, มานิสา
บทคัดย่อ ปัจจุบันมีหลายการศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อบริเวณฟันกรามล่างซี่ที่สามคุดกับการเกิดเป็นเนื้องอกและถุงน้ำที่มีต้นกำเนิดเกี่ยวข้องกับฟัน วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาลักษณะทางคลินิกและลักษณะของเส้นใยคอลลาเจนในเนื้อเยื่อรอบตัวฟันกรามล่างซี่ที่สามคุดที่สัมพันธ์กับลักษณะของเส้นใยคอลลาเจนในเนื้อเยื่อยึดต่อของเนื้องอก และถุงน้ำที่มีต้นกำเนิดเกี่ยวข้องกับฟัน วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ เก็บข้อมูลส่วนบุคคลและลักษณะทางคลินิกของกลุ่มผู้ป่วยที่มีฟันกรามล่างซี่ที่สามคุดและเข้ามารับการรักษาที่ภาควิชาศัลยศาสตร์และเวชศาสตร์ช่องปาก คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จำนวน 95 คน นำชิ้นเนื้อพาราฟินบล็อกจากการตัดเก็บเนื้อเยื่อรอบตัวฟันฝังคุดซี่ดังกล่าว จำนวน 95 ชิ้น โดยแบ่งชิ้นเนื้อจากพาราฟินบล็อกออกเป็น 2 กลุ่ม ตามลักษณะทางจุลพยาธิวิทยา ได้แก่ กลุ่มที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นถุงน้ำและกลุ่มที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นถุงน้ำ โดยกำหนดกลุ่มควบคุมบวกในการศึกษาครั้งนี้ คือ เนื้องอกอะมีโลบลาสโตมาและเคอราโตซิสติก โอดอนโตเจนิกทูเมอร์ จากนั้นนำชิ้นเนื้อจากพาราฟินบล็อกมาย้อมด้วยสีไพโครซิเรียสเรด และอ่านแปลผลภายใต้กล้องจุลทรรศน์ชนิดโพลาไรซ์ โดยจำแนกลักษณะสีสะท้อนของเส้นใยคอลลาเจนในเนื้อเยื่อ แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ (1) ชิ้นเนื้อที่สะท้อนแสงโพลาไรซ์เป็นสีส้ม-แดง (2) สีเขียว-เหลือง และ (3) สีส้ม-แดงและสีเขียว-เหลืองในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน ผลการศึกษา พบว่าเนื้อเยื่อในกลุ่มที่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นถุงน้ำ จะมีพื้นที่สะท้อนแสงโพลาไรซ์ออกมาเป็นสีเขียว-เหลือง และให้ผลเหมือนกับในกลุ่มควบคุมบวก ส่วนในกลุ่มที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเป็นถุงน้ำนั้น จะมีพื้นที่สะท้อนแสงโพลาไรซ์ออกเป็นสีส้ม-แดง นอกจากนี้ยังพบว่าในกลุ่มเนื้อเยื่อที่เลือกมาศึกษาและมีการเปลี่ยนแปลงเป็นถุงน้ำนั้น พบมีความสัมพันธ์กับลักษณะทางคลินิกของฟันคุดและอาการที่เกี่ยวข้องกับฟันคุด ได้แก่ระดับความลึกของฟันคุดที่ความลึก B ลักษณะของเหงือกที่ปกคลุมฟันคุด ประวัติอาการปวดและบวมทั้งที่เคยมีประวัติหรือไม่มีประวัติอาการดังกล่าวอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สรุป เส้นใยคอลลาเจนในเนื้อเยื่อรอบตัวฟันกรามล่างซี่ที่สามคุดในกลุ่มที่พบมีการเปลี่ยนแปลงเป็นถุงน้ำนั้น มีลักษณะการสะท้อนแสงโพลาไรซ์เหมือนกับเส้นในคอลลาเจนในเนื้อเยื่อยึดที่พบในเนื้องอกและถุงน้ำที่มีต้นกำเนิดเกี่ยวข้องกับฟัน ซึ่งแสดงถึงความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดของการเกิดเป็นเนื้องอกหรือถุงน้ำของเนื้อเยื่อรอบตัวฟันกรามซี่ที่สามคุดกรณีที่พบการเปลี่ยนแปลงทางจุลพยาธิวิทยาเป็นถุงน้ำ คำสำคัญ: เนื้อเยื่อรอบตัวฟันกรามล่างซี่ที่สามคุด เส้นใยคอลลาเจน สีย้อมพิเศษไพโคซิเรียสเรด กล้องจุลทรรศน์ชนิดโพลาไรซ์
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-06-30
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/5418
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 8 No. 1 (2015): Srinakharinwirot University Dental Journal; 12-26
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/5418/5082
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/5419
2015-06-30T16:27:22Z
swudentj:Original+articles
ผลกระทบของชนิดของเครื่องมือขยายคลองรากฟันต่อการระบุขนาดเครื่องมือชิ้นแรกที่สัมผัสคลองรากฟันส่วนปลายในฟันกรามล่างแท้
คำจิ่ม, ปาริชาติ
บทคัดย่อ วัตถุประสงค์ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบของชนิดของเครื่องมือขยายคลองรากฟันที่หมุนด้วยมือสองชนิด ได้แก่ ไฟล์สเตนเลสชนิดเค และไฟล์นิเกิลไททาเนียมชนิดเค(NiTiflex) ต่อการระบุขนาดไฟล์ตัวแรกที่สัมผัสคลองรากฟันส่วนปลาย วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ การศึกษานี้ใช้ฟันกรามล่างแท้จำนวน 30 ซี่ ที่เติบโตสมบูรณ์และมีคลองรากฟันแยกกัน 3 คลองรากได้แก่ คลองรากใกล้กลางด้านแก้ม คลองรากใกล้กลางด้านลิ้น และคลองรากไกลกลาง หลังการทำความสะอาดฟัน เปิดทางเข้าสู่โพรงฟันเพื่อกำจัดเนื้อเยื่อในโพรงประสาทฟันและเข้าสู่คลองรากฟันส่วนต้นด้วยไฟล์สเตนเลสชนิดเคขนาด 08 โดยสอดไฟล์เข้าไปในคลองรากฟันถึงจุดติดที่สามารถลงไปได้สลับกับการล้างด้วยน้ำยาโซเดียมไฮโปคลอไรท์ แล้วตามด้วยไฟล์สเตนเลสชนิดเคขนาด ขนาด 10 และ 15 ตามลำดับทำซ้ำจนสามารถทำการขยายคลองรากฟันส่วนต้นและส่วนกลางด้วยไฟล์นิเกิลไททาเนียมชนิดหมุนด้วยเครื่อง Pre-RaCe ถึงความยาวที่สั้นกว่าความยาวรากฟัน 4 มิลลิเมตร แล้วใช้ไฟล์สเตนเลสชนิดเคขนาด 08 สอดเข้าไปจนโผล่ที่รูเปิดปลายรากฟันด้านนอก เพื่อวัดความยาวรากฟันแล้วลบด้วย 1 มิลลิเมตรเพื่อเป็นความยาวทำงานของคลองรากฟัน จากนั้นทำการวัดขนาดไฟล์ตัวแรกที่สัมผัสคลองรากฟันส่วนปลาย 2 ครั้งในแต่ละคลองรากฟันโดยเรียงตามลำดับจากเล็กไปใหญ่ ด้วยไฟล์ที่หมุนด้วยมือสองชนิด ได้แก่ไฟล์สเตนเลสชนิดเคเริ่มจากขนาด 10 และไฟล์นิเกิลไททาเนียมชนิดเค(NiTiflex) เริ่มจากขนาด 15 บันทึกข้อมูลและนำไปวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือทางสถิติ paired T-test ผลการทดลอง ชนิดของเครื่องมือขยายคลองรากฟันมีผลกระทบต่อการระบุขนาดเครื่องมือชิ้นแรกที่สัมผัสคลองรากฟันส่วนปลายอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 การระบุขนาดไฟล์ตัวแรกที่สัมผัสคลองรากฟันส่วนปลายด้วยไฟล์นิเกิลไททาเนียมชนิดเคได้ค่าขนาดของไฟล์ใหญ่กว่าเมื่อใช้ไฟล์สเตนเลสชนิดเค ร้อยละ 76.67(69/90) ของคลองรากฟันทั้งสามกลุ่มรากฟัน โดยในคลองรากใกล้กลางด้านแก้ม และคลองรากใกล้กลางด้านลิ้นให้ขนาดที่ใหญ่กว่า 5 ISO ยูนิตหรือ 1 ขนาด ส่วนคลองรากไกลกลางให้ขนาดที่ใหญ่กว่า 10 ISO ยูนิตหรือ 2 ขนาด บทสรุป การศึกษานี้แสดงว่าชนิดของเครื่องมือขยายคลองรากฟันมีผลกระทบต่อการระบุขนาดเครื่องมือชิ้นแรกที่สัมผัสคลองรากฟันส่วนปลาย ภายหลังจากการขยายคลองรากฟันส่วนต้นและกลาง พบว่าการระบุขนาดไฟล์ตัวแรกที่สัมผัสคลองรากฟันส่วนปลายด้วยไฟล์นิเกิลไททาเนียมชนิดเคได้ค่าขนาดของไฟล์ใหญ่กว่าเมื่อใช้ไฟล์สเตนเลสชนิดเค ซึ่งจะทำให้การประมาณขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเส้นสั้นของคลองรากฟันส่วนปลายรากที่ความยาวทำงาน มีความคลาดเคลื่อนน้อยลงกว่าการระบุขนาดโดยใช้ไฟล์สเตนเลสชนิดเค คำสำคัญ: การระบุขนาดไฟล์ตัวแรกที่สัมผัสคลองรากฟันส่วนปลาย ชนิดของเครื่องมือขยายคลองรากฟัน ไฟล์ตัวแรกที่สัมผัสคลองรากฟันส่วนปลาย ไฟล์สแตนเลสชนิดเค ไฟล์นิเกิลไททาเนียมชนิดเค
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-06-30
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/5419
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 8 No. 1 (2015): Srinakharinwirot University Dental Journal; 27-37
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/5419/5083
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/5420
2015-06-30T16:27:22Z
swudentj:Original+articles
การยึดเกาะของเซลล์เอ็นยึดปริทันต์มนุษย์บนผิวรากฟันที่ได้รับ การขูดด้วยเครื่องขูดอัลตราโซนิกส์และฉายเลเซอร์ Er,Cr:YSGG
เกิดมณี, กุญชร
เหล่าศรีสิน, ณรงค์ศักดิ์
บทคัดย่อ วัตถุประสงค์: การรักษาโรคปริทันต์โดยไม่อาศัยการทำศัลยกรรมปริทันต์ยังคงให้ผลการรักษาที่จำกัดปัจจุบันมีการศึกษาที่แสดงถึงผลดีของการใช้เลเซอร์ในทางทันตกรรมมากขึ้น การใช้เลเซอร์ร่วมในการรักษาจึงอาจเพิ่มผลสำเร็จในรักษาโรคปริทันต์ได้ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลทางห้องปฏิบัติการของการใช้เลเซอร์ Er,Cr:YSGG ในการปรับสภาพผิวรากฟันที่เป็นโรคปริทันต์อักเสบ หลังผ่านการขูดหินนํ้าลายและเกลารากฟันด้วยเครื่องขูดอัลตราโซนิกส์ ต่อการยึดเกาะของเซลล์เอ็นยึดปริทันต์มนุษย์ที่เลี้ยงในห้องปฏิบัติการ วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ: เตรียมผิวรากฟันตัวอย่าง จากฟันที่ถอนด้วยโรคปริทันต์อักเสบรุนแรง และฟันปกติที่ถอนด้วยเหตุผลทางทันตกรรมจัดฟัน แบ่งเป็น 5 กลุ่ม คือ กลุ่มควบคุมลบ เตรียมจากฟันเป็นโรคปริทันต์กลุ่มที่เป็นโรคปริทันต์ผ่านการขูดหินนํ้าลายและเกลารากฟันด้วยเครื่องขูดอัลตราโซนิกส์เพียงอย่างเดียว กลุ่มที่ผ่านการขูดหินนํ้าลายและเกลารากฟันด้วยเครื่องขูดอัลตราโซนิกส์ และได้รับเลเซอร์ Er,Cr:YSGG ที่ความถี่ 30เฮิรตซ์ อีกกลุ่มหนึ่งใช้ความถี่ 50 เฮิรตซ์ตามลำดับ และกลุ่มควบคุมบวกเตรียมจากฟันปกติ จากนั้นเลี้ยงเซลล์เอ็นยึดปริทันต์มนุษย์ให้เกิดการยึดเกาะกับผิวรากฟันแต่ละกลุ่ม จนวันที่ 5 จึงทำการเปรียบเทียบจำนวนเซลล์ที่ยึดเกาะโดยการตรวจสอบความมีชีวิตของเซลล์บนผิวรากฟัน ใช้จำนวนตัวอย่างกลุ่มละ 25 ชิ้น ผลการทดลอง: ผิวรากฟันที่ได้รับเลเซอร์มีจำนวนเซลล์ยึดเกาะมากกว่ากลุ่มที่ผ่านการขูดหินนํ้าลายและเกลารากฟันด้วยเครื่องขูดอัลตราโซนิกส์เพียงอย่างเดียวและกลุ่มที่เป็นโรคปริทันต์ พบว่ากลุ่มที่ใช้เครื่องขูดอัลตราโซนิกส์เพียงอย่างเดียว มีจำนวนเซลล์น้อยกว่ากลุ่มฟันปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05) ขณะที่กลุ่มที่ได้รับเลเซอร์ที่ความถี่ 50 เฮิรตซ์ มีจำนวนเซลล์ยึดเกาะจำนวนมาก ไม่แตกต่างจากกลุ่มฟันปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ สรุปผล: การใช้เลเซอร์ Er,Cr:YSGG สามารถปรับสภาพผิวรากฟัน ช่วยให้เกิดสภาวะที่เหมาะสมและมีความเข้ากันได้ทางชีวภาพ จึงเอื้อต่อการยึดเกาะของเซลล์เอ็นยึดปริทันต์มนุษย์คำสำคัญ: เลเซอร์ในทางทันตกรรม Er,Cr:YSGG การรักษาโรคปริทันต์โดยไม่อาศัยการทำศัลยกรรมปริทันต์ การปรับสภาพผิวรากฟัน การขูดหินนํ้าลายและเกลารากฟันด้วยเครื่องอัลตร้าโซนิกส์
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-06-30
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/5420
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 8 No. 1 (2015): Srinakharinwirot University Dental Journal; 38-48
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/5420/5084
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/5421
2015-06-30T16:27:22Z
swudentj:Original+articles
สัดส่วนระหว่างต้นทุนต่อหน่วยกับค่ารักษาพยาบาลที่เรียกเก็บของคลินิกทันตกรรมนักศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จันทรเวคิน, ยสนันท์
บุญส่ง, สิทธิโชค
มนต์อารักษ์, รพีพรรณ
ม่วงสีเสียด, สุเทพ
ภาคย์ธวัช, สลิลทิพย์
บทคัดย่อ การวิเคราะห์ต้นทุนต่อหน่วยของกิจกรรมต่างๆ เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารคณะทันตแพทยศาสตร์ การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ต้นทุนต่อหน่วยของการให้บริการทันตกรรมพื้นฐานของคลินิกทันตกรรมนักศึกษา ได้แก่ งานทันตกรรมหัตถการ งานปริทันตวิทยา และงานศัลยกรรมช่องปาก รวมทั้งจำแนกต้นทุนประเภทต่างๆ และเปรียบเทียบกับค่ารักษาพยาบาลที่เรียกเก็บ ทำการศึกษาในช่วงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2556 โดยการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์เด็นทัลดีอาร์จีเพื่อการวิเคราะห์ต้นทุนต่อหน่วยของหัตถการประเภทต่างๆ ด้วยข้อมูลทั้งจากเวชระเบียนและข้อมูลต้นทุนในแต่ละกลุ่ม จากนั้นนำต้นทุนต่อหน่วยไปเปรียบเทียบกับค่ารักษาพยาบาลที่เรียกเก็บ พบว่าต้นทุนต่อหน่วยที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้สูงกว่าค่ารักษาพยาบาลที่เรียกเก็บ และต้นทุนจากการศึกษาในประเทศไทยก่อนหน้านี้ค่อนข้างมาก ต้นทุนต่อหน่วยของงานทันตกรรมหัตถการอยู่ในช่วง 849.08-889.39 บาท ขณะที่ราคาเรียกเก็บอยู่ในช่วง 80.00-350.00 บาท ต้นทุนต่อหน่วยของงานปริทันตวิทยาอยู่ในช่วง 1,150.48-4,769.06 บาท ขณะที่ราคาเรียกเก็บอยู่ในช่วง 100.00-300.00 บาท ต้นทุนต่อหน่วยของงานศัลยกรรมช่องปากอยู่ในช่วง 866.80-1,185.44 บาท ขณะที่ราคาเรียกเก็บอยู่ในช่วง 50.00-750.00 บาท ทั้งนี้อาจมีสาเหตุมาจากต้นทุนค่าลงทุนที่ค่อนข้างสูง ผลที่ได้จากการศึกษาครั้งนี้สามารถนำไปใช้ในการวางแผนงบประมาณของคณะ รวมทั้งใช้ในการบริหารทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด คำสำคัญ: ต้นทุนและการวิเคราะห์ต้นทุน ทันตสารสนเทศ กลุ่มวินิจฉัยโรคร่วม ต้นทุนบริการสุขภาพ กลไกเรียกเก็บค่ารักษาพยาบาล
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-06-30
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/5421
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 8 No. 1 (2015): Srinakharinwirot University Dental Journal; 49-62
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/5421/5085
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/5422
2015-06-30T16:27:22Z
swudentj:Original+articles
รอยรั่วระดับจุลภาคของเดือยฟันเส้นใยสำเร็จรูปเมื่อยึดด้วยวัสดุทำแกนฟันแบบบ่มด้วยแสงร่วมกับบ่มเองและเรซินซีเมนต์ที่มีการปรับสภาพพื้นผิวแบบกรดกัดรวม
ลิมป์ลาวัณย์, ธีรชัย
บทคัดย่อ งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์รอยรั่วระดับจุลภาคของเดือยฟันเส้นใยสำเร็จรูปเมื่อยึดด้วยวัสดุทำแกนฟันแบบบ่มด้วยแสงร่วมกับบ่มเองและเรซินซีเมนต์ที่มีการปรับสภาพพื้นผิวแบบกรดกัดรวม ฟันกรามน้อยล่างของมนุษย์จำนวน 60 ซี่ ซึ่งผ่านการรักษาคลองรากฟันตามการรักษาทางวิทยาเอ็นโดดอนต์ จากนั้นเตรียมคลองรากฟันสำหรับเดือยเส้นใยซึ่งยึดด้วยเรซินซีเมนต์ที่มีการปรับสภาพพื้นผิวแบบกรดกัดรวม จำนวน 30 ซี่ และยึดด้วยวัสดุทำแกนฟันแบบบ่มด้วยแสงร่วมกับบ่มเองร่วมกับสารยึดติดระบบกรดกัดรวม จำนวน 30 ซี่ นำฟันที่บูรณะแล้วจำนวน 60 ซี่ มาตัดส่วนรากฟันในแนวใกล้กลาง-ไกลกลาง ได้ชิ้นงานทดสอบมีความหนา 1 มิลลิเมตร จำนวน 3 ชิ้นต่อ 1 รากฟัน คือ ระดับใกล้คอฟัน (L1) ระดับกลางรากฟัน (L3) และระดับใกล้ปลายรากฟัน (L5) นำชิ้นงานทั้งหมด แช่ในสารละลายเมทิลีนบลูความเข้มข้นร้อยละ 2 เป็นเวลา 24 ชั่วโมงแล้ว ทำการบันทึกรอยรั่วระดับจุลภาคทั้ง 3 ระดับภายใต้กล้องจุลทรรศน์กำลังขยาย 40 เท่า นำข้อมูลที่บันทึกได้มาทำการทดสอบทางสถิติโดยใช้ แมนวิทนี่ยูและครัสคัลวาลิส ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 ผลการทดลองพบว่ารอยรั่วระดับจุลภาคของวัสดุบูรณะทั้ง 2 ชนิดทั้ง 3 ระดับของคลองรากฟันไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) และเมื่อเปรียบเทียบที่ระดับเดียวกันของคลองรากฟัน พบว่ารอยรั่วระดับจุลภาคของวัสดุบูรณะทั้ง 2 ชนิด ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p>0.05) สรุปผลการศึกษาพบว่า ชนิดของวัสดุบูรณะและระดับคลองรากฟัน ไม่มีผลต่อรอยรั่วระดับจุลภาคของการยึดเดือยฟันเส้นใยกับผนังคลองรากฟัน คำสำคัญ: รอยรั่วระดับจุลภาค เรซินซีเมนต์ วัสดุทำแกนฟัน บ่มเองร่วมกับบ่มด้วยแสง ผนังคลองรากฟัน
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-06-30
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/5422
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 8 No. 1 (2015): Srinakharinwirot University Dental Journal; 63-86
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/5422/5086
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/5423
2015-06-30T16:27:22Z
swudentj:Review+articles
ทฤษฎีและแนวคิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลอนามัยช่องปากของวัยรุ่นตอนต้น
แก้วสุทธา, ณัฐวุธ
อินทรกำแหง, อังศินันท์
ดวงจันทร์, พัชรี
บทคัดย่อ ปัญหาโรคฟันผุและเหงือกอักเสบในวัยรุ่นตอนต้นยังคงเป็นปัญหาทางทันตสุขภาพที่มีความสำคัญมากและมีแนวโน้มสูงขึ้น การศึกษาเพื่อทำความเข้าใจปัจจัยทางจิตสังคมและพฤติกรรมศาสตร์ยังมีน้อยมาก ทั้งที่ปัจจัยดังกล่าวมีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการดูแลอนามัยช่องปากมาก การจะแก้ปัญหาและลดผลกระทบทางสุขภาพจะต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนากิจกรรมหรือโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลอนามัยช่องปากของวัยรุ่นตอนต้นให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งบทความนี้ เป็นการประมวลเอกสารที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดและทฤษฎีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเน้นในแนวคิดจากทฤษฎีการเรียนรู้ปัญญาสังคม โดยเฉพาะในส่วนของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยใช้แนวคิดการปรับเปลี่ยนจากปัจจัยภายใน รวมถึงงานวิจัยต่างๆที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบกิจกรรมอื่นๆ เพื่อส่งเสริมโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลอนามัยช่องปากที่เคยมีการศึกษามาในอดีต เพื่อสรุปเป็นข้อเสนอทางวิชาการที่เหมาะสมในการสร้างและพัฒนาโปรแกรมการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดูแลอนามัยช่องปากของวัยรุ่นตอนต้นที่มีประสิทธิภาพต่อไป คำสำคัญ: ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม การดูแลอนามัยช่องปาก วัยรุ่นตอนต้น
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-06-30
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/5423
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 8 No. 1 (2015): Srinakharinwirot University Dental Journal; 87-100
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/5423/5087
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/5424
2015-06-30T16:27:22Z
swudentj:Review+articles
การปลูกฟันโดยตั้งใจ
วงศ์เยาว์ฟ้า, อินทรา
ย้อยนวล, ชุตินันท์
บทคัดย่อ การปลูกฟันโดยตั้งใจเป็นทางเลือกสุดท้ายเมื่อการรักษาคลองรากฟันโดยวิธีปกติ หรือการทำศัลยกรรมเอ็นโดดอนต์ประสบความล้มเหลว หรือไม่สามารถทำการรักษาได้ อย่างไรก็ตาม ก็ไม่สามารถทำได้ในทุกกรณีจึงจำเป็นต้องเลือกฟันและผู้ป่วยที่มีความเหมาะสมในการรักษา ถ้าทำการักษาได้อย่างถูกต้องผลสำเร็จของการรักษาค่อนข้างสูง ค่าใช้จ่ายในการทำงานไม่แพง ความล้มเหลวที่พบได้คือ ฟันแตกระหว่างการถอนฟัน หรือการมีการละลายร่วมกับการอักเสบรอบรากฟัน บทความปริทัศน์ฉบับนี้ได้รวบรวม ข้อบ่งชี้และข้อห้ามในการปลูกฟันโดยตั้งใจ ขั้นตอนการรักษา อัตราสำเร็จของการรักษาและความล้มเหลวที่เกิดขึ้นคำสำคัญ: การปลูกฟันโดยตั้งใจ ข้อบ่งชี้ ข้อห้าม ผลการรักษา
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-06-30
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/5424
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 8 No. 1 (2015): Srinakharinwirot University Dental Journal; 101-111
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/5424/5088
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6972
2015-12-29T14:29:07Z
swudentj:Original+articles
ผลของสารหน่วงการแข็งตัวต่อลักษณะการไหลของวัสดุพิมพ์ พอลิอีเทอร์
เอี่ยมจิรกุล, ณปภา
บทคัดย่อวัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาผลของความยาวที่แตกต่างกันของสารหน่วงความแข็งตัวพอลิอีเทอร์ต่อลักษณะการไหลของวัสดุพิมพ์พอลิอีเทอร์วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ: ทดสอบวัสดุพิมพ์พอลิอีเทอร์ชนิดหนืดปานกลางโดยผสมและไม่ผสมสารหน่วงความแข็งตัวพอลีอีเทอร์ ความยาวของสารหน่วงความแข็งตัวที่แตกต่างกันจาก 0 0.5 1.0 1.5 และ 2 เท่าของความยาวของพอลิอีเทอร์เบสและคะตะลิสต์ กลุ่มละ 20 ชิ้น ด้วยการทดสอบครีบฉลามทุกๆ ช่วง 30 วินาที(30 60 90 และ 120 วินาที) ที่อุณหภูมิห้อง (32 ± 2 °C) รวมรอยพิมพ์ทั้งสิ้น 100 ชิ้น แล้วนำความสูงของครีบไปวิเคราะห์ด้วยสถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบสองทาง และเปรียบเทียบเชิงซ้อนทีละคู่ด้วยสถิติทูกีที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95ผลการทดลอง: จากการวิเคราะห์ความแปรปรวนสองทาง พบว่ามีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญของความสูงของครีบในแต่ละความยาวของสารหน่วงความแข็งตัว เวลาในการทดสอบ และพบความสัมพันธ์ระหว่างความยาวของสารหน่วงความแข็งตัวและเวลาในการทดสอบ (P<0.05) ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างกลุ่มความยาวของสารหน่วงความแข็งตัวที่ยาวกว่า (1.5 และ 2 เท่า) ที่เวลา 30 วินาที และไม่พบความแตกแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างกลุ่มความยาวของสารหน่วงความแข็งตัว 0.5 และ 1.0 เท่า ที่เวลา60 วินาที กลุ่มที่มีสารหน่วงความแข็งตัวที่ยาวที่สุดมีความสูงของครีบมากที่สุดอย่างมีนัยสำคัญที่เวลา 90 วินาที(P<0.05)สรุปผล: สารหน่วงความแข็งตัวที่ยาวกว่า เวลาการไหลจะนานกว่า ดังนั้นสารหน่วงความแข็งตัวพอลิอีเทอร์สามารถปรับปรุงลักษณะการไหลของวัสดุพิมพ์พอลิอีเทอร์ได้ ในการประยุกต์ใช้ทางคลินิกนั้น สารหน่วงความแข็งตัวพอลิอีเทอร์สามารถนำมาใช้เพื่อยืดเวลาการไหลทำให้มีลักษณะการไหลของวัสดุพิมพ์พอลิอีเทอร์ดีขึ้นคำสำคัญ: พอลิอีเทอร์ สารหน่วงความแข็งตัว ลักษณะการไหล การทดสอบครีบฉลาม
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-12-24
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6972
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 8 No. 2 (2015): Srinakharinwirot University Dental Journal; 11-18
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6972/6512
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6973
2015-12-29T14:29:07Z
swudentj:Original+articles
ความพึงพอใจของผู้รับบริการคลินิกกลาง โรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ลีลาทรัพย์วงศ์, ธนาภรณ์
เจ้าพิทักษ์วงศ์, นพณัช
โล่ศุภกาญจน์, รัฐนันท์
ผลินยศ, รัตนพร
จิตสุธีศิริ, ศิรวิชญ์
เกิดวงศ์บัณฑิต, วรุณี
บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้รับบริการทางทันตกรรม ที่คลินิกกลาง โรงพยาบาลทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล จากแบบสอบถามที่ทำจากแนวคิดของ LuAnn และ Ronald มีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.90 โดยศึกษาเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ ระยะทางการเดินทาง รายได้เฉลี่ย/เดือน และสิทธิการรักษา ด้วยการแจกแบบสอบถามเป็นระยะเวลา 4 เดือน จำนวนผู้เข้าร่วมวิจัย 400 คน ศึกษาโดยการสุ่มตัวอย่างตามสะดวก วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติพรรณนา การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่ด้วยวิธีผลต่างที่มีนัยสำคัญน้อยที่สุดของฟิชเชอร์ และการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์ จากการศึกษาพบว่า โดยภาพรวมแล้วผู้ป่วยมีความพึงพอใจมากถึงมากที่สุดต่อการบริการของคลินิก มีเพียงเรื่องการรอคิวเพื่อเข้ารับบริการจนถึงวันนัดหมายที่อยู่ในระดับพึงพอใจปานกลางถึงมาก พบว่าปัจจัยด้านอาชีพเท่านั้นที่มีผลต่อความพึงพอใจอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ส่วนสาเหตุที่มีผู้มารับบริการที่คลินิกกลางมาจาก ความเชื่อมั่นในการรักษา การใส่ใจผู้ป่วยและให้คำแนะนำของทันตแพทย์ กิริยามารยาทของทันตแพทย์และบุคลากร มีผู้แนะนำให้มารักษา เบิกค่ารักษาได้ ค่ารักษาไม่แพง มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการให้บริการอย่างเพียงพอ อุปกรณ์ทางการแพทย์และสถานที่สะอาดสวยงาม ความสะดวกในการนัดหมาย คำสำคัญ: ความพึงพอใจต่อการรับบริการทางทันตกรรม การให้บริการทางทันตกรรม ความต้องการการรักษาทางทันตกรรม
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-12-24
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6973
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 8 No. 2 (2015): Srinakharinwirot University Dental Journal; 19-29
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6973/6513
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6974
2015-12-29T14:29:07Z
swudentj:Original+articles
การยอมรับของทันตแพทย์สาขาปริทันตวิทยาต่อแปรงสีฟัน ปลายเรียวแหลมในการใช้สำหรับผู้ป่วยโรคปริทันต์อักเสบ
แสงเขียว, สวลี
เหล่าศรีสิน, ณรงค์ศักดิ์
บทคัดย่อวัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาความเห็นของทันตแพทย์เฉพาะทางสาขาปริทันตวิทยาต่อแปรงสีฟันปลายเรียวแหลมที่จำหน่ายในท้องตลาดว่าเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโรคปริทันต์อักเสบเปรียบเทียบกับความเห็นของทันตแพทย์ที่ไม่ใช่สาขาปริทันตวิทยาวัสดุอุปกรณ์และวิธีการ: ส่งแปรงสีฟันตัวอย่าง 9 แบบเป็นชนิดขนแปรงปลายเรียวแหลม 5 แบบ(แบบเอ-อี) และขนแปรงปลายมน 4 แบบ (แบบเอฟ-ไอ) แก่ทันตแพทย์เฉพาะทางสาขาปริทันตวิทยาจำนวน50 คน และที่ไม่ใช่สาขาปริทันตวิทยาจำนวน 50 คน คนละ 1 แปรงต่อแบบ และได้รับทั้ง 9 แบบ โดยให้ทดลองใช้และสัมผัสแปรงสีฟัน และตอบแบบสอบถามเพื่อศึกษาความเหมาะสมในประเด็นต่างๆ เปรียบเทียบความแตกต่างภายในกลุ่มและระหว่างกลุ่มโดยใช้สถิติทูแฟคเตอร์เอ็กเพอริเมนท์วิทรีพิทเต็ดเมชเชอร์ออนวันวิทอินซับเจ็คแฟคเตอร์แอนด์วันบีทวีนซับเจ็คแฟคเตอร์ผลการทดลอง: ทันตแพทย์ทั้ง 2 กลุ่มมีค่าเฉลี่ยระดับความคิดเห็นยอมรับต่อแปรงสีฟันปลายเรียวแหลมทั้ง 5 แบบในระดับมากทั้งในประเด็นชนิดขนแปรงและการออกแบบหัวแปรงที่เหมาะสมกับการทำความสะอาดฟันผู้ป่วยโรคปริทันต์อักเสบโดยรวม ทำความสะอาดบริเวณคอฟันสึก เหงือกร่นรวมถึงความสามารถเข้าไปทำความสะอาดในร่องเหงือกและช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนโลหิตของเหงือกด้วย แต่มีความเห็นว่ามีเพียงแปรงสีฟันแบบ D เพียงแบบเดียวที่สามารถทำความสะอาดในบริเวณที่ยากต่อการเข้าถึงได้สรุปผล: ทันตแพทย์ทั้ง 2 กลุ่มมีความเห็นในทิศทางเดียวกัน โดยยอมรับว่าแปรงสีฟันขนแปรงปลายเรียวแหลมมีความเหมาะสมในภาพรวมสำหรับผู้ป่วยโรคปริทันต์อักเสบมากกว่าแปรงสีฟันขนแปรงปลายมนและอีกทั้งแปรงสีฟันขนแปรงปลายเรียวแหลมมีความเหมาะสมในการทำความสะอาดฟันผู้ป่วยโรคปริทันต์อักเสบในบริเวณต่างๆได้ดีกว่าแปรงสีฟันขนแปรงปลายมน หัวแปรงสีฟันที่มีขนาดเล็ก จะทำความสะอาดในบริเวณที่ยากต่อการเข้าถึงได้ดีคำสำคัญ: ขนแปรงสีฟันปลายเรียวแหลม แปรงสีฟัน ผู้ป่วยโรคปริทันต์อักเสบ
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-12-24
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6974
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 8 No. 2 (2015): Srinakharinwirot University Dental Journal; 30-48
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6974/6514
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6978
2015-12-29T14:29:07Z
swudentj:Original+articles
ความรู้และความคิดเห็นต่อการนอนกัดฟันของผู้ป่วยทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ภู่เกียรติ, ฟ้าใส
บทคัดย่อการศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) สำรวจระดับความรู้ ความคิดเห็นต่อการนอนกัดฟัน และพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการนอนกัดฟันของผู้ป่วยที่มารับการรักษาทางทันตกรรม และ(2) ศึกษาผลของปัจจัยด้านเพศ อายุอาชีพ ระดับการศึกษา การรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการนอนกัดฟัน และการรายงานการนอนกัดฟันต่อระดับความรู้และความคิดเห็น ทำการศึกษาในคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2553 โดยผู้ป่วยจำนวน 277 คน ตอบแบบสอบถามที่ประกอบด้วยแบบวัดความรู้ 25 ข้อครอบคลุมเนื้อหาต่างๆ ของการนอนกัดฟัน แบบสอบถามความคิดเห็นต่อการนอนกัดฟันในด้านต่างๆ 16 ข้อและแบบสำรวจพฤติกรรมที่เกี่ยวกับการนอนกัดฟัน 19 ข้อ โดยความเชื่อมั่นของแบบสอบถามในส่วนความรู้มีค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค .8778 ในส่วนความคิดเห็นมีค่า .8588 และในส่วนพฤติกรรมมีค่า .7511 ผลศึกษาพบว่าผู้ป่วยร้อยละ 13.3 รายงานว่าตนเองนอนกัดฟัน คะแนนรวมในด้านความรู้เรื่องนอนกัดฟันโดยเฉลี่ยร้อยละ 36.9 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับน้อย ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างเพศ อายุ อาชีพ การรับทราบข้อมูลเรื่องการนอนกัดฟัน และการรายงานการนอนกัดฟัน แต่ผู้ป่วยที่มีการศึกษาระดับสูงจะมีความรู้มากกว่าอย่างมีนัยสำคัญ (p <.01) ในส่วนของความคิดเห็นพบว่าผู้ป่วยเพียงร้อยละ 20.9-53.1 เห็นว่าการนอนกัดฟันมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และสนใจข่าวสารเกี่ยวกับการนอนกัดฟันเพียงร้อยละ 20.6-29.2 แต่กว่าร้อยละ 70 ตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาการนอนกัดฟัน ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างเพศ อาชีพ ระดับการศึกษา และการรับทราบข้อมูลเกี่ยวกับการนอนกัดฟัน แต่ผู้ป่วยที่มีอายุ และการรายงานการนอนกัดฟันต่างกัน มีความคิดเห็นต่อการนอนกัดฟันต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ พฤติกรรมที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่คิดว่าเกี่ยวข้องกับการนอนกัดฟัน ได้แก่ รู้สึกใจร้อนหงุดหงิดง่าย ง่วงนอนตอนกลางวัน เคี้ยวของแข็ง นอนไม่เพียงพอเคี้ยวอาหารข้างเดียว เครียด เคี้ยวของเหนียว นอนไม่ค่อยหลับ เคี้ยวหมากฝรั่ง รู้สึกวิตกกังวล/กลัว แต่ผู้ที่รายงานการนอนกัดฟันต่างกัน มีพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการนอนกัดฟันไม่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญโดยสรุปพบว่าถึงแม้ผู้ป่วยที่มารับการรักษาทางทันตกรรมจะตระหนักถึงความสำคัญในการรักษา แต่ผู้ป่วยก็ยังมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนอนกัดฟันระดับน้อย เห็นว่าการนอนกัดฟันมีผลกระทบต่อชีวิตประจำ วันไม่มากนักและไม่ค่อยสนใจติดตามข่าวสารเรื่องการนอนกัดฟันคำสำคัญ: นอนกัดฟัน ความรู้ ความคิดเห็น
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-12-24
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6978
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 8 No. 2 (2015): Srinakharinwirot University Dental Journal; 68-80
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6978/6517
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6979
2015-12-29T14:29:07Z
swudentj:Original+articles
การศึกษานำร่องเรื่องความต้านทานการแตกหักของฟันซึ่งผ่าน การรักษารากฟันที่สร้างเฟอร์รูลด้วยเรซินคอมโพสิต
ปึงไพบูลย์, อุษณีย์
ทองเนรมิตรชัย, วรินทร์
บทคัดย่อการบูรณะฟันภายหลังการรักษารากด้วยเดือยฟันและครอบฟันจะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ซึ่งเฟอร์รูลเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญ ทั้งในเรื่องของความสูงของเฟอร์รูล หรือจำนวนด้านของเนื้อฟันที่เหลืออยู่ ในบางครั้งฟันที่ต้องการบูรณะจะมีลักษณะของคลองรากที่ผายออกมาก หรือเหลือเนื้อฟันในส่วนรากฟันอยู่บาง จึงมีการนำเรซินคอมโพสิต มาใช้เพื่อเสริมความแข็งแรงของผนังเนื้อฟัน และช่วยเพิ่มค่าแรงต้านทานการแตกหัก แต่ในงานวิจัยที่ผ่านมาไม่ได้มีการทำเรซินคอมโพสิตให้ให้เกิดลักษณะของเฟอร์รูลร่วมด้วยวัตถุประสงค์: เพื่อประเมินว่าการก่อเรซินคอมโพสิตเป็นส่วนของเฟอร์รูลจะช่วยเพิ่มความต้านการแตกหักของฟันได้หรือไม่วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ: ฟันกรามน้อยล่างซี่ที่หนึ่งที่ผ่านการรักษารากแล้วจำนวน 18 ซี่ นำมาแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มโดยกลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มควบคุมที่มีเฟอร์รูล โดยมีเนื้อฟัน สูง 2 มิลลิเมตร กว้าง 2 มิลลิเมตรโดยรอบ ส่วนกลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ไม่มีเฟอร์รูล และกลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่มีเฟอร์รูลที่สร้างขึ้นจากเรซินคอมโพสิตความสูง 2 มิลลิเมตร กว้าง 2 มิลลิเมตร โดยรอบ แล้วบูรณะด้วยเดือยโลหะเหวี่ยง และครอบฟันโลหะทั้ง 3 กลุ่มจากนั้นทำการทดสอบด้วยเครื่องทดสอบสากล (Universal testing machine model 5566, Instron Co.,U.S.A.) โดยให้แรงกดอัดด้วยความเร็ว 1 มิลลิเมตรต่อนาที จนกระทั่งเกิดการแตกหัก บันทึกค่าแรงสูงสุดผลการทดลอง: ผลของแรงต้านทานการแตกหักเมื่อกดแรงลงบนครอบฟันพบว่าค่าเฉลี่ยของแรงที่ทำให้เกิดการแตกในกลุ่มที่ 1 มีค่า 1085.0 ± 208.4 นิวตัน กลุ่มที่ 2 มีค่า 581.6 ± 159.0 นิวตัน และกลุ่มที่ 3 มีค่า388.1 ± 73.5 นิวตัน จากผลการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA)และเปรียบเทียบพหุคูณชนิดเชฟเฟ (Scheffe’s Test) พบว่า กลุ่มที่ 1 สูงกว่ากลุ่มที่ 2 และ กลุ่มที่ 3 อย่างมีนัยสำคัญสรุปผล: การเสริมผนังคลองรากฟันด้วยเรซินคอมโพสิตและสร้างเป็นเฟอร์รูล ไม่ได้ส่งผลให้มีความต้านทานการแตกหักเพิ่มขึ้น เมื่อเปรียบกับกลุ่มที่มีเนื้อฟันเพียงพอเป็นเฟอร์รูลและกลุ่มที่ไม่มีลักษณะเนื้อฟันเป็นเฟอร์รูลคำสำคัญ: เฟอร์รูล เรซินคอมโพสิต เฟอร์รูล ความต้านทานการแตกหัก เดือยและแกนฟันโลหะเห
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-12-24
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6979
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 8 No. 2 (2015): Srinakharinwirot University Dental Journal; 81-93
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6979/6518
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6980
2015-12-29T14:29:07Z
swudentj:Review+articles
เทคนิคการพิมพ์แบบเฉพาะส่วน
สกุลไทย, ธยาตรี
ลิมป์ลาวัณย์, ธีรชัย
บทคัดย่อทันตแพทย์ส่วนใหญ่มักจะประสบปัญหาในการพิมพ์แบบผู้ป่วยที่มีช่องปากเล็กหรืออ้าปากได้จำกัดเนื่องจากนำถาดพิมพ์ใส่และนำออกจากช่องปากผู้ป่วยได้ลำบาก การใช้ถาดพิมพ์ทั่วไปจึงอาจทำได้ยากกว่าผู้ป่วยที่มีขนาดช่องปากปกติ นอกจากนี้ในกรณีที่ต้องพิมพ์ฟันหลักยึดหลายซี่พร้อมกันร่วมกับการใช้วัสดุพิมพ์แบบที่มีระยะเวลาทำงานจำกัดเป็นขั้นตอนหนึ่งที่ทำให้ได้รอยพิมพ์ที่สมบูรณ์ค่อนข้างยาก วัตถุประสงค์ของบทความนี้เพื่อเสนอวิธีการพิมพ์แบบเฉพาะส่วนที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยช่องปากเล็กหรืออ้าปากได้จำกัดและการพิมพ์ฟันหลักยึดหลายซี่พร้อมกัน เพื่อให้ได้รอยพิมพ์ที่มีความเที่ยงตรงมากขึ้น ลดการพิมพ์ซ้ำและการบาดเจ็บต่อผู้ป่วย รวมทั้งทันตแพทย์สามารถปฏิบัติงานได้ง่ายขึ้นคำสำคัญ: การพิมพ์แบบเฉพาะส่วน ช่องปากเล็ก อ้าปากได้จำกัด พิมพ์ฟันหลักยึดหลายซี่
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-12-24
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6980
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 8 No. 2 (2015): Srinakharinwirot University Dental Journal; 94-106
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6980/6519
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6981
2015-12-29T14:29:07Z
swudentj:Review+articles
การยึดติดระหว่างเรซินและเซรามิก
รพีธนธร, ศศกร
เอี่ยมจิรกุล, ณปภา
บทคัดย่อวัสดุบูรณะฟันเซรามิกล้วนได้รับความนิยมมากขึ้นในการทำฟันเทียมบางส่วนติดแน่น การเลือกใช้เรซินซีเมนต์ทางทันตกรรมจึงมีบทบาทสำคัญในการยึดติดของวัสดุบูรณะฟันกับเนื้อฟัน วัตถุประสงค์ของบทความนี้ได้นำเสนอประเภทของเรซินซีเมนต์ การปรับปรุงพื้นผิว การทาสารคู่ควบไซเลน และเสถียรภาพของสีของเซรามิกซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในการบูรณะฟันคำสำคัญ: เรซินซีเมนต์ การปรับปรุงพื้นผิว สารคู่ควบไซเลน เสถียรภาพของสี
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-12-24
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6981
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 8 No. 2 (2015): Srinakharinwirot University Dental Journal; 107-115
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6981/6520
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6982
2015-12-29T14:29:07Z
swudentj:Case+reports+or+Case
รายงานผู้ป่วย ทางเลือกในการใส่ฟันเทียมบางส่วนชนิดถอดได้ ในผู้ป่วยที่มีการสูญเสียฟันหน้าร่วมกับภาวะสบลึก
วิมลกิตติพงศ์, อุมาพร
บทคัดย่อ การใส่ฟันเทียมบางส่วนชนิดถอดได้เพื่อทดแทนฟันหน้าที่หายไปในผู้ป่วยที่มีภาวะสบลึกทำได้ยากเนื่องจากการวางส่วนโยงหลักหรือฐานอะคริลิกที่วางคลุมเพดานปากเมื่อสบกับฟันหน้าล่างจะทำให้ฟันหลังถูกยกขึ้น ผู้ป่วยไม่สามารถเคี้ยวอาหารได้และฟันเทียมบางส่วนชนิดถอดได้มีโอกาสหักจากการสบกระแทกของฟันล่างลงบนฐานฟันเทียมในตำแหน่งดังกล่าว บทความนี้ได้รายงานผู้ป่วยชายไทยซึ่งมีการสูญเสียของฟันตัดบนซี่กลางสองซี่ โดยผู้ป่วยมีภาวะสบลึก ผู้ป่วยต้องการใส่ฟันเทียมบางส่วนชนิดถอดได้เพื่อความสวยงามก่อนการตัดสินใจทำฟันเทียมชนิดอื่น โดยทำฟันเทียมอะคริลิกชนิดบ่มตัวด้วยความร้อนเพื่อทดแทนการสูญเสียฟันหน้า โดยสร้างให้มีส่วนฐานฟันเทียมอยู่บนสันเหงือกว่างและมีปีกฟันเทียมด้านริมฝีปากขอบเขตจากฟันเขี้ยวบนซ้ายถึงขวา ผลการใส่ฟันเทียมผู้ป่วยมีความพึงพอใจในรอยยิ้ม มีความสบาย ไม่รำคาญ พูดได้ชัดและไม่รบกวนต่อการบดเคี้ยวของฟันธรรมชาติ การรักษาด้วยฟันเทียมชนิดนี้เป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ป่วยที่มีการสูญเสียฟันหน้าจำนวนหนึ่งถึงสองซี่ร่วมกับมีภาวะสบลึกและต้องการใส่ฟันเทียมบางส่วนชนิดถอดได้ โดยปฏิเสธการรักษาภาวะสบฟันลึกด้วยการจัดฟันหรือการสร้างการสบฟันใหม่โดยการบูรณะฟันทั้งปากคำสำคัญ: ปีกฟันเทียมด้านริมฝีปาก ภาวะสบฟันลึก ฟันเทียมชนิดใส่ด้านหน้า
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-12-24
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6982
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 8 No. 2 (2015): Srinakharinwirot University Dental Journal; 116-125
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6982/6521
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6985
2015-12-29T14:29:07Z
swudentj:Original+articles
การศึกษาเปรียบเทียบถึงประสิทธิภาพของวิธีการเสริมทางคลินิกเพื่อช่วยในการตรวจและวินิจฉัยรอยโรคก่อนมะเร็งและรอยโรคมะเร็งในช่องปาก
รังสิยานนท์, สรสัณห์
โขวิฑูลกิจ, สิริบังอร พิบูลนิยม
ตลึงจิต, สินีภัทร
วัชโรทยางกูร, เปี่ยมกมล
บทคัดย่อ วิธีการวินิจฉัยโรคมะเร็งในช่องปากในปัจจุบันใช้การตรวจทางคลินิกร่วมกับการตัดเนื้อเยื่อจากรอยโรคเพื่อส่งตรวจด้วยลักษณะทางจุลพยาธิวิทยา ซึ่งผู้ตรวจต้องมีความชำนาญสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ลักษณะของรอยโรคที่สงสัยว่าเป็นมะเร็งไม่ชัดเจน หรือในกรณีที่เป็นรอยโรคก่อนมะเร็งยิ่งทำให้ผู้ตรวจอาจมองข้ามไปได้เทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบันได้เสนอวิธีการต่าง ๆ เพื่อใช้เสริมในการตรวจวินิจฉัยมะเร็งช่องปากนอกเหนือไปจากการตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจด้วยลักษณะทางจุลพยาธิวิทยาให้มีความไวและแม่นยำมากขึ้น งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบด้านความไวและจำเพาะและความแม่นตรงของวิธีการเสริม 2 วิธี คือการใช้ระบบออโต้ฟลูออเรสเซ้นส์ ด้วยเครื่องเวลสโคป และการย้อมสีเนื้อเยื่อด้วยสีโทลูอิดีนบลู ในผู้ป่วยที่มีรอยโรคของเนื้อเยื่ออ่อนในช่องปากที่สงสัยเป็นรอยโรคก่อนมะเร็งและรอยโรคมะเร็งในช่องปาก ผลการศึกษาพบว่าจากผู้ป่วยทั้งสิ้น 20 คน เป็นผู้ป่วยเพศชาย 10 คน (50%) และหญิง 10 (50%) อย่างละเท่า ๆ กัน ผู้ป่วยมีอายุอยู่ในช่วง35-76 ปี (อายุเฉลี่ยเท่ากับ 58.1 ± ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน = 3.16) โดยผลการตรวจชิ้นเนื้อด้วยลักษณะทางจุลพยาธิวิทยา พบลักษณะของอีพิธีเลียมดิสเพลเซีย 5 รายและมะเร็งชนิดสความัสเซลล์คาร์ซิโนมา 3 รายส่วน 12 รายที่เหลือเป็นรอยโรคที่ไม่จัดอยู่ในกลุ่มรอยโรคก่อนมะเร็งและมะเร็ง เมื่อเปรียบเทียบถึงความไวความจำเพาะและความแม่นตรงของทั้งสองวิธี พบว่า การใช้เครื่องเวลสโคปมีค่าความไวเท่ากับ 62.5% ความจำเพาะเท่ากับ 25% และค่าความแม่นตรงเท่ากับ 40% สำหรับวิธีการย้อมเนื้อเยื่อด้วยสีโทลูอิดีนบลูพบค่าความไวเท่ากับ 87.5% ความจำเพาะเท่ากับ 50% และค่าความแม่นตรงเท่ากับ 65% จากการคำนวณค่าการทำนายโรคเมื่อผลทดสอบเป็นบวก สำหรับเวลสโคป เท่ากับ 35.71% และของโทลูอิดีนบลูเท่ากับ 53.85% และทั้งสองวิธีดังกล่าวมีค่าการทำนายโรคเมื่อผลทดสอบเป็นลบ เท่ากับ 50% และ 85.71% ตามลำดับ โดยสรุปจากผลการวิจัยที่ได้ในครั้งนี้ พบว่าการใช้โทลูอิดีนบลูมีค่าความไว ความจำเพาะและความแม่นตรงที่สูงกว่าวิธีการใช้เวลสโคปอย่างไรก็ตามการศึกษาในครั้งนี้เป็นการศึกษาเบื้องต้นทางคลินิกเพื่อพัฒนาวิธีเสริมในการตรวจและคัดกรองรอยโรคก่อนมะเร็งและมะเร็งในช่องปาก โดยการนำเครื่องมือเสริมทางคลินิกมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการรักษาผู้ป่วยทางคลินิกต่อไป คำสำคัญ: วิธีเสริม รอยโรคก่อนมะเร็ง รอยโรคมะเร็ง เวลสโคป โทลูอิดีนบลู
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-12-24
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6985
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 8 No. 2 (2015): Srinakharinwirot University Dental Journal; 49-67
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6985/6523
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6990
2015-12-29T14:29:07Z
swudentj:Editorial+Board
กองบรรณาธิการ (Editorial Board) ว.ทันต.มศว ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2558
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-12-24
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6990
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 8 No. 2 (2015): Srinakharinwirot University Dental Journal; 1-10
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/6990/6525
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/7845
2016-08-15T23:21:08Z
swudentj:Editorial+Board
กองบรรณาธิการ (Editorial Board) ว.ทันต.มศว ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 พ.ศ. 2559
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, วิทยาสารทันตแพทยศาสตร์
-
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2016-08-15
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/7845
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 9 No. 1 (2016): Srinakharinwirot University Dental Journal; 1-11
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/7845/7077
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/7846
2016-08-15T23:21:08Z
swudentj:Original+articles
ผลของคลอเฮกซิดีนต่อการแสดงออกของยีนและการกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์เอ็มเอ็มพี-2 ในเซลล์เอ็นยึดปริทันต์ของมนุษย์
ตีรณธนากุล, สิริลักษณ์
บทคัดย่อ เอ็มเอ็มพี-2 เป็นเอนไซม์ตัวหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการทำลายเนื้อเยื่อในโรคปริทันต์ การกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์เอ็มเอ็มพี-2 เป็นขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญในการควบคุมการทำงานของเอนไซม์นี้ คลอเอกซิดีนเป็นสารสำคัญที่ใช้ในการควบคุมการเกิดคราบจุลินทรีย์และลดการอักเสบของเนื้อเยื่อในช่องปาก ด้วยคุณสมบัติในการทำลายเชื้ออย่างกว้างขวางทั้งแบคทีเรียและเชื้อรา คุณสมบัติในการคงอยู่ในช่องปากเป็นเวลานานหลังใช้ และยังพบอีกว่ามีความสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ในกลุ่มเอ็มเอ็มพี วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาผลของคลอเฮกซิดีนต่อการแสดงออกของยีน และการกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์เอ็มเอ็มพี-2 วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ: เซลล์เอ็นยึดปริทันต์ของมนุษย์ถูกเลี้ยงในสภาวะที่มีและไม่มีคลอเฮกซิดีนที่ความเข้มข้นต่าง ๆ เป็นเวลา 1 นาที หลังจากนั้นเปลี่ยนเป็นอาหารเลี้ยงเซลล์ที่มีซีรัม ร้อยละ 1 โดยมีหรือไม่มีคอน เอเลี้ยงต่อไปอีก 24 ชั่วโมง ศึกษาความเป็นพิษต่อเซลล์ด้วยวิธีเอ็มทีที ศึกษาระดับการแสดงออกของยีนเอ็มเอ็มพี-2เอ็มเอ็มพี-14 และทิมพ์-2 ด้วยวิธีเรียลไทม์อาร์ทีพีซีอาร์ และศึกษาการกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์เอ็มเอ็มพี-2ด้วยวิธีไซโมกราฟี ผลการทดลอง: คลอเฮกซิดีนที่ความเข้มข้นร้อยละ 0.12 และ 0.012 มีความเป็นพิษต่อเซลล์ โดยพบว่ามีค่าเฉลี่ยร้อยละความมีชีวิตของเซลล์เป็นร้อยละ 46.31%+6.8 และ 48.39%+4.49 ตามลำดับ แต่คลอเฮกซิดีนที่ความเข้มข้นร้อยละ 0.0012 จะไม่มีความเป็นพิษต่อเซลล์ และให้ผลในการยับยั้งการกระตุ้นการทำงานของเอ็มเอ็มพี-2 ในเซลล์เอ็นยึดปริทันต์ของมนุษย์เมื่อถูกเหนี่ยวนำด้วย คอน เอ นอกจากนี้ยังพบว่าคลอเฮกซิดีนไม่มีผลต่อปริมาณโปรเอ็มเอ็มพี-2 ที่สร้างออกมานอกเซลล์ และไม่มีผลต่อระดับการ สรุปผล: น้ำยาบ้วนปากคลอเฮกซิดีนในความเข้มข้นต่ำ (ร้อยละ 0.0012) ไม่มีความเป็นพิษต่อเซลล์เอ็นยึดปริทันต์ของมนุษย์ และสามารถยับยั้งการกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์เอ็มเอ็มพี-2 ได้ คำสำคัญ: เอ็มเอ็มพี-2 คลอเฮกซิดีน เซลล์เอ็นยึดปริทันต์ของมนุษย์
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2016-08-15
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/7846
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 9 No. 1 (2016): Srinakharinwirot University Dental Journal; 12-23
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/7846/7078
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/7847
2016-08-15T23:21:08Z
swudentj:Original+articles
ความแข็งแรงพันธะผลักออกของกลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์ที่มีโมโนแคลเซียมซิลิเกตผสม
เกียรติปานอภิกุล, ลัดดา
ศิริพันธ์โนน, ปุณณมา
ศักดิ์ดี, จารุมา
บทคัดย่อ วัตถุประสงค์: เพื่อเปรียบเทียบค่าความแข็งแรงพันธะผลักออก (push-out bond strength) ของกลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์ที่มีโมโนแคลเซียมซิลิเกตผสม (จีไอซีซีเอส) เปรียบเทียบกับเอ็มทีเอ เมื่อแช่ในสารละลายฟอสเฟตบัฟเฟอร์ซาไลน์ ที่ระยะเวลา 3 วัน 7 วัน และ 28 วัน วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ: เตรียมฟันตัดหน้าบนจำนวน 60 ซี่ ตัดฟันในส่วนกลางของรากฟันเป็นแผ่นในแนวนอนออกเป็น 2 แผ่น ให้ได้ความหนาของรากฟันประมาณ 2 มิลลิเมตร จะได้ชิ้นงานจำนวน 120 ตัวอย่างโดยชิ้นงานจะถูกแบ่งแบบสุ่มเป็น 4 กลุ่มย่อย กลุ่มละ 10 ตัวอย่าง โดยกลุ่มที่ 1: จีไอซีซีเอสในสารละลายฟอสเฟตบัฟเฟอร์ซาไลน์, กลุ่มที่ 2 : จีไอซีซีเอสในน้ำกลั่น, กลุ่มที่ 3 : เอ็มทีเอในสารละลายฟอสเฟตบัฟเฟอร์ซาไลน์ และกลุ่มที่ 4 : เอ็มทีเอในน้ำกลั่น โดยจะทิ้งไว้เป็นเวลา 3 วัน 7 วัน และ 28 วัน จากนั้นทดสอบค่าความแข็งแรงพันธะผลักออกด้วยเครื่องทดสอบสากล และวิเคราะห์รูปแบบความเสียหายของวัสดุ (Mode of bond failure)ภายใต้กล้องสเตอริโอไมโครสโคป (stereomicroscope) ด้วยกำลังขยาย 40 เท่า นำข้อมูลมาวิเคราะห์ทางสถิติทดสอบด้วยการวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-way ANOVA) และทดสอบความแตกต่างระหว่างกลุ่มด้วยทูคี่เอชเอสดีเทสต์ (Tukey’s HSD test) ที่ระดับความเชื่อมั่นร้อยละ 95 และใช้สถิติพรรณนาวิเคราะห์รูปแบบความเสียหายของวัสดุ ผลการทดลอง: ค่าความแข็งแรงพันธะผลักออกของจีไอซีซีเอสในสารละลายฟอสเฟตบัฟเฟอร์ซาไลน์และน้ำกลั่น มีค่าน้อยกว่าเอ็มทีเอในทุกช่วงเวลาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และพบว่าเมื่อแช่ชิ้นงานในสารละลายเป็นเวลา 28 วัน ค่าความแข็งแรงพันธะผลักออกมากขึ้นในทุกกลุ่มการทดลอง และทุกกลุ่มการทดลองส่วนใหญ่มีรูปแบบความเสียหายของวัสดุที่เกิดขึ้นทั้งสองส่วน (mixed failure) ในทุกช่วงเวลาที่ทำการทดสอบ สรุปผล: ค่าความแข็งแรงพันธะผลักออกของจีไอซีซีเอสในสารละลายฟอสเฟตบัฟเฟอร์ซาไลน์ มีค่าน้อยกว่าเอ็มทีเอในทุกช่วงเวลา แต่เมื่อระยะเวลาในการบ่มสารนานขึ้น ค่าความแข็งแรงพันธะผลักออกจะมีค่ามากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญตามลำดับ คำสำคัญ : กลาสไอโอโนเมอร์ซีเมนต์ที่มีโมโนแคลเซียมซิลิเกตผสม เอ็มทีเอ ความแข็งแรงพันธะผลักออก
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2016-08-15
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/7847
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 9 No. 1 (2016): Srinakharinwirot University Dental Journal; 24-34
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/7847/7079
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/7848
2016-08-15T23:21:08Z
swudentj:Original+articles
การศึกษาเปรียบเทียบภาพถ่ายใบหน้าก่อนและหลังการจัดฟันร่วมกับการถอนฟันกรามน้อยซี่ที่ 1 ในผู้ป่วยที่มีโครงสร้างใบหน้าประเภทที่ 1
วรชาติ, พลพิทยา
ไชยรักษ์, พิชญา
บทคัดย่อ วัตถุประสงค์: ศึกษาการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่ออ่อนของใบหน้าภายหลังการจัดฟันร่วมกับการถอนฟันกรามน้อยซี่ที่หนึ่งทั้งสี่ซี่ วัสดุอุปกรณ์และวิธีการ: ศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยที่มีโครงสร้างกระดูกใบหน้าประเภทที่ I อายุระหว่าง 20-40 ปีจำนวน 45 คน (ชาย 6 คน หญิง 39 คน) ซึ่งได้รับการจัดฟันร่วมกับการถอนฟันกรามน้อยซี่ที่หนึ่งทั้งสี่ซี่ ประเมินการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่ออ่อนของใบหน้าจากภาพถ่ายดิจิตอลใบหน้าตรงและใบหน้าด้านข้าง ก่อนและภายหลังการรักษา ด้วยโปรแกรม Adobe Photoshop CS5 Extended ผลการทดลอง: ภายหลังการจัดฟัน ค่าที่มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ระยะSto-Me มุม G–Prn-Gn มุม Prn-Sn-Ls และ มุม Li-B-Pg ค่าที่มีการเปลี่ยนแปลงลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ได้แก่ ระยะห่างของริมฝีปากบนและล่างจากเส้น E และ ระยะ Ls-Sto (ค่า p value<0.05) สรุปผล: การจัดฟันร่วมกับการถอนฟันกรามน้อยซี่ที่หนึ่งทั้งสี่ซี่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่ออ่อนของใบหน้า โดยริมฝีปากบนมีความหนา(ความสูง)ลดลง และ ใบหน้าด้านข้างมีความอูมลดลง คำสำคัญ: การจัดฟัน การถอนฟันกรามน้อยซี่ที่หนึ่ง ภาพถ่ายดิจิตอล การเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่ออ่อน ความอูมของใบหน้าด้านข้าง
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2016-08-15
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/7848
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 9 No. 1 (2016): Srinakharinwirot University Dental Journal; 35-44
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/7848/7080
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/7849
2016-08-15T23:21:08Z
swudentj:Original+articles
ผลของการประเมินตนเองของนิสิตทันตแพทย์ต่อประสบการณ์การทำงานชุมชนในคลินิกทันตกรรมชุมชนโดยใช้แบบสะท้อนความคิด
แก้วสุทธา, ณัฐวุธ
สกุลณะมรรคา, เสรีนา สิรรัตน์
มงคลศิวะ, กิตติธัช
บทคัดย่อ การศึกษาเชิงคุณภาพครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของประสบการณ์การเรียนรู้ของนิสิตทันตแพทย์ชั้นปีที่ 5 คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จำนวน 60 คน ในการปฏิบัติงานในคลินิกทันตสาธารณสุข โดยใช้แบบสะท้อนความคิด โดยนิสิตทันตแพทย์จะได้รับมอบหมายให้เขียนบรรยายสะท้อนความคิด หลังจากได้เสร็จสิ้นการปฏิบัติงานในคลินิกทันตสาธารณสุขชุมชนในพื้นที่ชุมชนในกรุงเทพมหานคร 4 สัปดาห์ใช้การวิเคราะห์เนื้อหาเพื่อวิเคราะห์การเรียนรู้ของนิสิต โดยการอ่านวิเคราะห์บทพรรณนาในแบบสะท้อนความคิดของนิสิต เพื่อจำแนกผลการเรียนรู้ จัดหมวดหมู่ และเข้ารหัส โดยคณะผู้วิจัยและสรุปเป็นประเด็นหลักที่ได้จากประสบการณ์การเรียนรู้ของนิสิต ผลการศึกษา พบว่า ประเด็นหลักที่ถูกระบุในรูปแบบเดียวกันสำหรับประสบการณ์การเรียนรู้ของนิสิตทันตแพทย์ คือ 1) ได้เรียนรู้การทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม 2)การติดต่อประสานงานกับชุมชน3) การทำให้ชุมชนยอมรับและมีส่วนร่วมในกิจกรรม 4) การวิเคราะห์ปัจจัยที่มีผลต่อปัญหา 5) การวางแผนเพื่อแก้ไขปัญหา คำสำคัญ: การสะท้อนคิดด้วยตนเอง คลินิกทันตสาธารณสุขชุมชน แบบสะท้อนความคิด
คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2016-08-15
info:eu-repo/semantics/article
info:eu-repo/semantics/publishedVersion
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/7849
Srinakharinwirot University Dental Journal (E-ISSN 2774-0811); Vol. 9 No. 1 (2016): Srinakharinwirot University Dental Journal; 45-56
2774-0811
1905-0488
eng
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/swudentj/article/view/7849/7081
08c942062b27cce38663c9ad99f321ca