2024-03-28T11:27:05Z
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/index/oai
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1683
2012-02-18T13:37:30Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"110901 2011 eng "
1905-9450
dc
การประยุกต์ใช้พาร์ทิเคิลสวอมออฟทิไมเซชั่นอัลกอริทึ่มแบบต่างๆในการจัดตารางการผลิตแบบทำตามสั่ง VARIOUS VERSIONS OF PARTICLE SWARM OPTIMIZATION ALGORITHM APPLIED FOR JOB-SHOP SCHEDULING PROBLEMS
พงศ์ชัยฤกษ์, พิศุทธิ์
ภาควิชาวิศวกรรมการผลิต คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีไทย–ญี่ปุ่น
วิธีการหาคำตอบที่ดีที่สุดของฟังก์ชั่นทางคณิตศาสตร์แบบพาร์ทิเคิลสวอมออฟทิไมเซชันอัลกอริทึ่ม หรือ PSO เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการหาคำตอบที่ดีที่สุดของปัญหาฟังก์ชั่นทางคณิตศาสตร์รวมไปถึงปัญหาต่างๆทางวิศวกรรม เพราะ PSO มีประสิทธิภาพสูงในการหาคำตอบที่ดีในเวลาอันสั้น ภายหลังจึงมีนักวิชาการหลายท่านได้นำวิธี PSO แบบมาตรฐาน ไปทำการดัดแปลงแก้ไขเพื่อพัฒนาให้ได้วิธี PSO ที่มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น อันนำมาสู่การสร้างวิธี PSO ในเวอร์ชันใหม่ๆ บทความวิชาการฉบับนี้จึงมีจุดมุ่งหมายที่จะสรุปวิธี PSO ที่สำคัญๆ ในเวอร์ชันต่างๆ รวมไปถึงเหตุจูงใจในการสร้างวิธี PSO เวอร์ชันนั้นๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจรวบยอดในการพัฒนาวิธี PSO ให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งๆขึ้นไป ยิ่งไปกว่านั้นบทความวิชาการฉบับนี้ยังได้นำเสนอวิธีการประยุกต์ใช้ PSO กับการจัดตารางการผลิตสำหรับการผลิตแบบตามสั่ง ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมหลากหลายประเภทของประเทศไทย
Particle swarm optimization, or PSO, is a random search algorithm which is popularly used in finding the optimal solution for the mathematical functions as well as the engineering problems. The reason behind is that PSO is capable to find high quality solutions in a short computational time. Therefore, many researchers have paid their attentions to modify the standard PSO in order to enhance the search performance of PSO; this leads to create many new PSO versions. This academic article then aims to summarize several important versions of PSO and the inspirations of their development. Later on, this academic article presents an application of PSO to job-shop scheduling problems.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2011-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1683
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 1 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1684
2012-02-18T13:37:30Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"110901 2011 eng "
1905-9450
dc
อาการเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานในอาคาร : สาเหตุและวิธีบรรเทาอาการ Sick Building Syndrome Symptom – Causes and Relieving Remedies
งามพรประเสริฐ, สมหญิง
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
ความพยายามที่จะอนุรักษ์พลังงานด้วยการสร้างอาคารที่มีประสิทธิภาพในการอนุรักษ์พลังงานก่อให้เกิดปัญหาหลายประการทางสุขภาพที่รู้จักกันในชื่อว่า “อาการเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานในอาคาร” (Sick building syndrome หรือ SBS) บทความนี้เสนอสาเหตุทั่วไปของอาการเจ็บป่วยในอาคารเนื่องจากสภาพแวดล้อมการทำงาน ลักษณะอาการเจ็บป่วย และผลกระทบที่อาการเจ็บป่วยดังกล่าวมีต่อระดับผลิตภาพการทำงาน รวมทั้งให้คำแนะนำในการบรรเทาอาการเจ็บป่วยจากการทำงานในอาคารดังกล่าว
คำสำคัญ: อาการเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน
Abstract
Designing of energy efficiency buildings is one among various attempts to conserve energy. Consequently, it leads to health problems of employees known as “Sick Building Syndrome symptoms” (SBS). This paper presents general causes of the sick building syndrome symptoms from indoor work environment, symptoms’ patterns and their effects on employees’ productivities, as well as suggestions on how to alleviate those SBS symptoms.
Keyword: Sick Building Syndrome Symptom
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2011-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1684
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 1 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1879
2012-02-18T12:38:08Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"120101 2012 eng "
1905-9450
dc
การอ้างถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ศรีเชวงทรัพย์, วรากร
บทคัดย่อ
บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงวิธีการต่าง ๆ ที่ใช้ในการระบุหรืออ้างถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในการส่งข้อมูลผ่านทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทางจำเป็นต้องรู้ที่อยู่ของเครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทาง วิธีการที่ใช้เพื่อระบุที่อยู่ของเครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทางมีดังนี้ 1. การใช้หมายเลข IP address หมายเลยนี้ถูกนำมาใช้แทนที่อยู่ของเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย 2. การใช้ระบบโดเมนเนม (DNS) วิธีการนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตไม่ต้องลำบากในการจดจำหมายเลข IP address โดยการใช้ตัวหนังสือแทน ซึ่งง่ายต่อการจดจำมากกว่า 3. การใช้หมายเลข MAC address หมายเลขนี้เป็นหมายเลขเฉพาะซึ่งใช้ในการอ้างถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้บทความฉบับนี้ยังได้กล่าวถึงปัญหาการขาดแคลนหมายเลข IP address, โดเมนเนมและหมายเลข MAC address พร้อมทั้งแสดงวิธีการต่าง ๆ ที่จะช่วยในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
คำสำคัญ: การระบุเครื่องคอมพิวเตอร์, ไอพีแอดเดรส, โดเมนเนม, แมคแอดเดร, ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
Abstract
This article presents different methods to identify computers on the Internet. In order to transmit a message, a source host need to know the address of the destination host. The following methods are used to identify the computer on the Internet : 1. IP address - It is a number used to identify all the different computers on the Internet. 2. Domain Name System (DNS) - Since an IP address is hard to memorize, while names are easier. Therefore, the DNS is developed to map the IP address into names. 3. MAC address - It is a unique number assigned to each networking device in order to easily identify it from any other devices on the network. This article also identifies problems of lack of IP addresses, domain names, and MAC addresses along with proposing solutions to the problems.
Keyword : Computer identification, IP address, Domain name, MAC address, Interne
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-02-18 12:37:23
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1879
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 2 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1880
2012-02-18T12:38:08Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"120101 2012 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาระบบประมวลผลกลุ่มเมฆ
วิไลสกุลยง, นรังสรรค์
บทคัดย่อ
ระบบประมวลผลกลุ่มเมฆคือระบบประมวลผลที่จะเข้ามาแทนที่ระบบประมวลผลคลัสเตอร์และระบบประมวลผลกริด ในปัจจุบันระบบประมวลผลกลุ่มเมฆจะให้บริการทรัพยากรต่างๆ เช่น กำลังประมวลผล, พื้นที่ความจำ, และ พื้นที่สำรองข้อมูลชั่วคราวแก่ทั้งผู้ใช้ที่เป็นองค์กรและส่วนบุคคล ในบทความนี้ได้ทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบต่างๆหลายแนวทางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบประมวลผลกลุ่มเมฆให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วยวิธีการต่างๆหลายด้าน คือ ด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ, ด้านความปลอดภัยของข้อมูล, และ ด้านคุณภาพของการให้บริการทรัพยากรและข้อมูลแก่ผู้ใช้ ซึ่งกำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในขณะนี้
คำสำคัญ: ระบบประมวลผลกลุ่มเมฆ, เพิ่มประสิทธิภาพ
Abstract
Cloud computing is a computing system that will replace current cluster and grid computing systems. Cloud computing will provide resources and data such as computation power, memories, and temporary storages to both corporate users and individual users. Cloud computing is a computing system that services users in style of on-demand basis. In this article, we reviewed some research that study several development strategies to increase the efficiency of cloud computing. The current strategies that are widely interested including the efficiency used of energy, data security, and the quality of service that provide resources and data to the users.
Keyword : Cloud computing, increase the efficiency
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-02-18 12:37:23
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1880
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 2 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1904
2012-02-18T13:41:49Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
การจัดการเรียนการสอนแบบสหวิทยาการโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
โลกุตรวงศ์, กนกพันธรน์
ปัจจุบัน ได้พยายามมีการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ทันกับยุคสมัยและเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับการบูรณาการรายวิชาต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เช่น คอมพิวเตอร์ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และศิลปะ เป็นต้น
การจัดการความรู้ในยุคปัจจุบัน จึงมีการเปลี่ยน แปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากมีเครื่องมือในการอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอน โดยการสืบค้น การเก็บรักษา ทำเป็นหลักฐานต่าง ๆ ได้พัฒนาเข้าสู่ยุคนาโนเทคโนโลยี อุปกรณ์เครื่องมือก็เล็กกะทัดรัดขึ้น สามารถทำการศึกษาได้ทุกที่ ทุกเวลา
การจัดการด้านการเรียนการสอนในยุคปัจจุบัน จึงไม่ได้เน้นไปที่ความรู้อย่างเดียวดังเช่นสมัยก่อน เพราะปัจจุบันความรู้อยู่ในอากาศก็ว่าได้ หรืออยู่ในรูปของคลื่นสนามแม่เหล็ก ดังนั้น ความรู้จึงอยู่ในกรอบของกฎการอนุรักษ์พลังงาน กล่าวได้ว่า ความรู้ไม่ได้หายไปไหน และความรู้ไม่สามารถถูกทำลายไปได้ ซึ่งความรู้สามารถที่จะอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ได้ และสามารถแปรรูปเปลี่ยนจากรูปแบบหนึ่งเป็นอีกรูปแบบหนึ่งได้ เช่น ความรู้ในตำรา ความรู้ใน อินเทอร์เน็ต และสื่อต่าง ๆ ที่เผยแพร่โดยผ่านตัวกลางที่เป็นแสง เสียง อากาศ ของแข็ง ของเหลว สุญญากาศ เป็นต้น ดังนั้น การจัดการความรู้ในปัจจุบัน จึงเน้นให้รู้จักการสืบค้นจากแหล่งต่าง ๆ นำข้อมูลมาทำการศึกษาเรียนรู้และสรุปเป็นองค์ความรู้ของตนเองให้ได้ จึงเป็นหัวใจแห่งการเรียนรู้ที่สามารถประยุกต์และต่อยอดได้ ให้เหมาะกับสภาพสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์ของตนเอง ดังเช่นภูมิปัญญาชาวบ้านที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณกาล ปราชญ์ชาวบ้านจึงเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับการเรียนรู้ ต่อยอดไปสู่อนาคตอย่างยั่งยืน
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1904
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 2 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1905
2012-02-18T13:44:07Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
โครงข่ายสื่อสารไร้สาย 4G
เมตต์การุณ์จิต, ตรีรัตน
บทคัดย่อ
4G คือโครงข่ายไร้สายในยุคถัดไป ที่จะมาแทนที่โครงข่าย 3G คาดกันว่าจะทำให้ผู้บริโภคได้รับความเร็วในการสื่อสารเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมมาก และการบริการมัลติมีเดียทั้งหมดจะอยู่บนพื้นฐานของ IP โครงข่าย 4G จะเกี่ยวข้องกับการควบรวมโครงข่ายต่างๆ ทั่วโลก ด้วยวิธีการของ IP ที่คลอบคลุมทั้งรูปแบบ เสียง ข้อมูล และมัลติมีเดียแบบต่อเนื่อง ทำให้ผู้ใช้งานได้รับการบริการที่อยู่บนพื้นฐานที่เรียกว่า “Anytime”, “Anywhere” ในบทความนี้นำเสนอ คุณประโยชน์และความท้าทายในจัดเตรียมเทคโนโลยี 4G ที่เป็นความต้องการที่ยิ่งใหญ่ที่จะทำให้เกิดการรวมกันของเทคโนโลยีต่างๆ ให้สามารถอยู่ในระบบที่เป็นหนึ่งเดียวกันได้ โดย 4G แสดงให้เห็นถึงวิธีการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการรวมตัวกันอย่างกลมกลืนของอุปกรณ์ปลายทางทั้งหมด
คำสำคัญ: โครงข่ายสื่อสารไร้สาย 4G
Abstract
4G is the next generation of wireless network that will totally replace 3G networks. It is supposed to provide its customers with better speed and all IP base multimedia services. 4G network is all about an integrated, global network that will be able to provide a comprehensive IP solution where voice, data and streamed multimedia can be give to user on an “Anytime”, “Anywhere” basis. In this paper present the benefits, challenges in deployment and scope of 4G technology there is great need of deploying such technologies that can integrate all these systems into a single unified system. 4G presents solution of this problem as it is all about seamlessly integration the terminal.
Keyword: 4G Wireless Network
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1905
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 2 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1923
2012-02-18T14:59:53Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"100701 2010 eng "
1905-9450
dc
การถ่ายทอดเทคโนโลยี
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
การถ่ายทอดเทคโนโลยี
การถ่ายทอดเทคโนโลยี คือ การมอบ การสอน การบอก การกล่าว ฯลฯ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีจากประเทศหนึ่ง หรือจากแหล่งที่มีระดับเทคโนโลยีสูงกว่าไปสู่ประเทศหรือแหล่งที่มีเทคโนโลยีต่ำกว่า การถ่ายทอดเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรมถือเป็นสิ่งที่ความจำเป็นในการพัฒนาอุตสาหกรรมและพัฒนาประเทศ จะเห็นได้ว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีความสัมพันธ์กับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศซึ่ง ดังนั้นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงก็มักจะเป็นประเทศอุตสาหกรรม และมีเศรษฐกิจดี ประชาชนในประเทศเหล่านี้จะมีความเป็นอยู่ดีกว่าประเทศอื่นๆ วิธีหนึ่งที่จะทำให้เทคโนโลยีในประเทศมีการพัฒนาหรือมีความก้าวหน้ามากขึ้นสามารถทำได้คือการสนับสนุนการพัฒนาและวิจัย (Research and Development) ประเทศไทยจึงต้องมีการพัฒนาและวิจัยให้มากขึ้นเพื่อปรับปรุง เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้อาจทำได้อีกวิธีหนึ่งคือการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แล้ว โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการพัฒนาและวิจัย เพียงแต่ใช้กระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยีก็จะช่วยให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมของประเทศได้เร็วขึ้น แต่มีข้อควรระวังคือ การถ่ายทอดเทคโนโลยีทั้งหมดจากประเทศที่มีเทคโนโลยีสูงกว่า อาจไม่ได้ช่วยพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมได้เสมอไป ดังนั้นเราต้องพิจารณาว่าการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศที่มีเทคโนโลยีสูงกว่า ต้องเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับเราหรือประเทศเรา (Appropriate Technology)
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1923
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1924
2012-02-18T15:03:42Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"100701 2010 eng "
1905-9450
dc
พลังงานหมุนเวียน พลังงานชุมชนอนาคต
สนธิโสภณ, พงศ์วรวุฒิ
แนวคิดใหม่สำหรับรูปแบบการใช้พลังงาน และการวางแผนการพัฒนาด้านพลังงานชุมชนเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานโดยผนวกกับการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มีบทบาทต่อการใช้ชีวิตประจำวันให้มากขึ้น ก็คือ การนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้เป็นพลังงานหลักของชุมชนหรือชุมชนพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Community) ซึ่งถือได้ว่าเป็นแนวความคิดใหม่ที่ถูกคิดขึ้นมาในปี ค.ศ.2005 โดย NREL (National Renewable Energy Laboratory) ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยได้เริ่มศึกษาถึงแนวทางความเป็นไปได้ และอุปสรรคต่างๆ เพื่อการพัฒนาชุมชนพลังงานหมุนเวียน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานสิ้นเปลืองและปัญหาที่เกิดจากการใช้พลังงานจากฟอสซิล และพยายามหาวิธีทางที่จะดำเนินชีวิตในชุมชนโดยลดการใช้พลังงานสำหรับที่อยู่อาศัยและการเดินทางที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด (N. Carlisle, J. Elling , and T. Penney. 2008: 1-18) จากแนวคิดดังกล่าวถือได้ว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งและมีความเหมาะสมกับชุมชนในอนาคตของประเทศไทย
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1924
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1945
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"120218 2012 eng "
1905-9450
dc
เศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาด้านอาชีวศึกษา
Sukwan, Ophat
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานเพื่อชี้นำการดำเนินชีวิตและปฏิบัติตนของประชาชนมาตลอดกว่า 30 ปี โดยมุ่งดำเนินไปบนทางสายกลางบนพื้นฐานของความพอมี พอกิน พอใช้ คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรอบรู้ ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการกระทำ
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1945
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1965
2012-02-18T23:18:16Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"090701 2009 eng "
1905-9450
dc
ไคติน-ไคโตซาน (Chitin-Chitosan)
คงทอง, สุธิดา
บทคัดย่อ
ไคติน เป็นโพลิเมอร์ชีวภาพที่มีมากเป็นอันดับสองของโลก ซึ่งพบได้จากธรรมชาติ คือจะพบในรูปของสารประกอบเชิงซ้อน ไคตินเป็นสารประกอบพวกคาร์โบไฮเดรตเช่นเดียวกับเซลลูโลสและแป้ง รูปร่างของไคตินจะเป็นเส้นสายยาวๆ มีลักษณะคล้ายลูกประคำที่ประกอบขึ้นมาจาก น้ำตาลโมเลกุลเล็กๆ ที่มีชื่อว่า เอ็น-อะซิทิลกลูโคซามีน(N-acetylglucosamine)
ไคโตซาน (Chitosan) เป็นอนุพันธ์ของไคติน (Chitin) ที่ได้จากการดึงเอาหมู่อะซิทิล (Acetyl Group) ของไคตินออกไป โดยปฏิกิริยาที่เรียกว่า Deacetylation ทำให้โครงสร้างของไคตินที่เป็น N-Acetylglucosamine กลายเป็น Glucosamine ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ Activeพร้อมจะทำปฏิกิริยาได้อย่างรวดเร็วและมีสมบัติละลายได้ในกรดอ่อน
คำสำคัญ: ไคติน-ไคโตซาน, Chitin-Chitosan
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1965
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 1 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1966
2012-02-21T13:19:50Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"090701 2009 eng "
1905-9450
dc
ลู่ทางและโอกาสในการลดค่าใช้จ่ายพลังงาน(Energy Costs Saving Opportunities)กรณีศึกษาโรงงานผลิตภัณฑ์สิ่งทอ
กุญชรรัตน์, อัมพร
บทคัดย่อ ปัจจัยผลกระทบที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจทางด้านอุตสาหกรรมของประเทศในสภาพการแข่งขันทางการค้าของโลกในปัจจุบัน นอกเหนือจากปัจจัยผลกระทบภายนอก อันได้แก่ สภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมแล้ว ปัจจัยผลกระทบภายในซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ สามารถแข่งขันได้ในระดับสากลก็คือ การควบคุมคุณภาพในการผลิต การเพิ่มผลผลิต และการควบคุมต้นทุนการผลิต สำหรับกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมนั้นการควบคุมปัจจัยผลกระทบภายนอกของผู้ประกอบการอาจไม่สามารถทำการควบคุมหรือป้องกันได้ แต่สำหรับปัจจัยผลกระทบภายในดังกล่าว ซึ่งเป็นพื้นฐานอันสำคัญในการดำรงอยู่ได้สำหรับการประกอบกิจการด้านอุตสาหกรรมนั้นสามารถควบคุมได้หากโรงงานอุตสาหกรรมมีการเตรียมความพร้อมในการวางแผนเพื่อดำเนินการค้นหาลู่ทางและโอกาสในการลดค่าใช้จ่ายพลังงาน จะมีผลทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงและมีโอกาสได้เปรียบในด้านการแข่งขันทางการค้าได้มาก นอกจากนี้หากโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหมดของประเทศให้ความใส่ใจและตระหนักถึงความสำคํญดังกล่าวนอกเหนือจากผู้ประกอบการสามารถได้รับประโยชน์แก่ตนเองแล้ว ผลการประหยัดพลังงานโดยรวมยังส่งผลให้ประเทศชาติสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในด้านการจัดหาแหล่งพลังงานให้เพียงพอในปัจจุบันและชะลอการสร้างโรงจักรผลิตไฟฟ้าที่เป็นผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมได้ในอนาคตเช่นกัน บทความนี้เป็นกรณีศึกษาการดำเนินการตรวจวิเคราะห์ด้านพลังงานในขั้นเบื้องต้นเพื่อค้นหาลู่ทางและโอกาสในการลดค่าใช้จ่ายพลังงานของโรงงานอุตสาหกรรมประเภทสิ่งทอ โดยโรงงานได้รับผลสำเร็จในการลดค่าใช้จ่ายพลังงานได้ตามเป้าหมาย
คำสำคัญ: ลู่ทางและโอกาสในการลดค่าใช้จ่ายพลังงาน, Energy Costs Saving Opportunities
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1966
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 1 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1989
2012-02-21T14:31:48Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"090101 2009 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศไทย
ชินประดิษฐสุข, ชูเกียรติ
บทคัดย่อ ประเทศไทยจะพัฒนาให้เป็นประเทศอุตสาหกรรมอย่างแท้จริงได้นั้นต้องได้รับความร่วมมือรัฐบาล และเอกชน เพื่อก่อให้เกิดองค์ความรู้ของตัวเองจนสามารถดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมได้อย่างมีความรู้ความสามารถที่แท้จริง จนสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้ อีกทั้งต้องเกิดความจริงใจในการพัฒนาประเทศของเรา คือต้องสร้างบุคลากรด้านอุตสาหกรรมที่มีความรู้จริงในงานอุตสาหกรรมประเภทที่ทำ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ รู้จักการอนุรักษ์พลังงานและสามารถพัฒนาองค์ความรู้ให้เกิดขึ้นได้เองภายในประเทศและยังสามารถใช้เศษหรือกากเหลือใช้จากการเกษตรมาใช้ประโยชน์ได้ในราคาต่ำ ทั้งหมดจะนำมาซึ่งการพัฒนาประเทศให้พัฒนาด้านจุดแข็งเชิงรุกในตลาดโลกสากลได้ในไม่ช้า
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2008-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1989
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 2 No. 2 (2008): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1990
2012-02-21T14:31:48Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"090101 2009 eng "
1905-9450
dc
การจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Management )
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
การจัดการห่วงโซ่อุปทาน เป็นการควบคุมการผลิตในภาพรวมทั้งหมด คือ เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีก ภาคการผลิตทั้งระบบจะรับทราบการขายสินค้าจากเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงกัน และจะสนองตอบโดยการสั่งงานไปยังส่วนต่าง ๆ ของระบบ เช่น ผู้ค้าส่ง ผู้ผลิตสินค้า และผู้ผลิตวัตถุดิบ ในการผลิตสินค้าจัดส่งมายังผู้ค้าปลีก เพื่อนำมาทดแทนสินค้าที่ขายไป
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2008-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1990
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 2 No. 2 (2008): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/2007
2012-02-22T12:54:13Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"080701 2008 eng "
1905-9450
dc
ความคาดหวังและสมรรถภาพของครูของนิสิตรุ่นแรกที่เรียนหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (กศ.บ.) 5 ปี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อ่อนโคกสูง, ชูชีพ
อรรถศิริ, อนุสรณ์
บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคาดหวังและสมรรถภาพความเป็นครูของนิสิตรุ่นแรกที่เรียนหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต (กศ.บ) 5 ปี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จำนวน 224 คน ตัวแปรอิสระได้แก่ สถานภาพของนิสิต โดยมีความคาดหวังและสมรรถภาพความเป็นครูของนิสิตเป็นตัวแปรตาม เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถามความคาดหวังและสมรรถภาพความเป็นครู แบบสอบถามแรงจูงใจในการเรียน วิเคราะห์ข้อมูลหาค่าสถิติพื้นฐาน ค่า t และ F และค่า r ผลการวิจัยพบว่า 1. นิสิตคาดหวังว่าจะมีสมรรถภาพความเป็นครูในระดับมาก แต่สมรรถภาพความเป็นครูที่เกิดขึ้นจริงมีเพียงค่อนข้างมากเท่านั้น 2. สมรรถภาพความเป็นครูที่คาดหวังของนิสิตชาย-หญิง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. ความเป็นครูของนิสิตที่สังกัดคณะวิชาต่างกัน มีความแตกต่างกันอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 4. คะแนนเฉลี่ยของนิสิตมีความสัมพันธ์ทางบวกกับสมรรถภาพของครูที่คาดหวังและสมรรถภาพที่เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 5. แรงจูงใจในการเรียนของนิสิตมีความสัมพันธ์ทางบวกกับ สมรรถภาพครูที่คาดหวังและสมรรถภาพของครูที่เกิดขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 6. สมรรถภาพความเป็นครูที่คาดหวังด้านสมรรถนะมีความสัมพันธ์ทางบวกกับสมรรถภาพความเป็นครูด้านสมรรถนะที่เกิดขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
Abstract The purpose of this research was to study the Expectation and possessing of Teacher’s Competency in Five-year Pioneering Students in _B-Ed Curriculum, Srinakharinwirot University. The Independent Variable was Student Status while the Expectation and possessing of Teacher’s Competency of the students were Dependent variables. The Expectation and Teacher’s – Competency questionnaire and Learning Motives questionnaire were used in collecting data for this research. The data were then analyzed by statistical basics, T-test, F-test and Correlation Coefficient .The results of this research were as the followings: 1. The students expect the possessing of Teacher’s Competency at high level but the real aspect of teacher’s competency appeared only rather high. 2. The possessing Teacher’s of Competency expected by male and female students were Significantly different at .01 level. 3. The Teacher’s Competency of students from different Faculties were significantly different at .01 level. 4. G.P.A. of The students were positive correlation to Teacher Competency and Student Capacity significantly at .01 level. 5. Learning Motives of the students were positive correlation with the Expectation of possessing of Teacher’s Competency and real capacity significantly at .01 level. 6. The Expectation of Teacher’s Competency in Capacity aspect were positive correlation with real capacity significantly at .01 level. ิ
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2008-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/2007
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 2 No. 1 (2008): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/2008
2012-02-22T12:59:31Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"080701 2008 eng "
1905-9450
dc
ภาวะโลกร้อน(Global Warming)
Sukwan, Ophat
บทคัดย่อ ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศซึ่งมีสาเหตุทั้งจากธรรมชาติและมนุษย์ โดยสาเหตุจากมนุษย์เป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้อุณหภูมิของภูมิอากาศเพิ่มสูงขึ้นและส่งผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น การละลายของน้ำแข็งบริเวณขั้วโลก การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและการผันแปรของสภาพอากาศและฤดูกาล เป็นต้น
คำสำคัญ : ภาวะโลกร้อน , Global Warming
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2008-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/2008
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 2 No. 1 (2008): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/2313
2012-07-21T11:50:12Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"120701 2012 eng "
1905-9450
dc
ทฤษฎีการช่วยเสริมศักยภาพการเรียนรู้สำหรับการสนับสนุนผู้เรียนในการเรียนรู้ออนไลน์
แต้วัฒนา, ธนรัตน์
เจตน์เจริญรักษ์, สมยศ
วิริยานนท์, ธีรพงษ์
บทคัดย่อ
บทความนี้เป็นการศึกษาถึงทฤษฎีการช่วยเสริมศักยภาพการเรียนรู้ตามแนวคิดจากเอกสารต่างๆ โดยการแบ่งการศึกษา ได้แก่ ความหมายและความสำคัญ คุณลักษณะ ประเภท เทคนิค กลไก และรูปแบบของการช่วยเสริมศักยภาพการเรียนรู้ ผลการศึกษาสรุปได้ว่า ทฤษฎีการช่วยเสริมศักยภาพการเรียนรู้จะช่วยให้เกิดการสนับสนุนการเรียนรู้ร่วมกันหรือการช่วยเหลือและร่วมมือทางสังคม เพื่อให้ผู้เรียนสร้างความรู้ ความเข้าใจในระดับที่สูงขึ้น และสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง และนำไปสู่ความสามารถในการเรียนรู้ได้ด้วยตนเองด้วยเทคนิคการจัดเตรียมสิ่งที่จะช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ ซึ่งเป็นวิธีการใหม่ที่นำมาใช้ในการเรียนรู้บนคอมพิวเตอร์เครือข่ายหรือออนไลน์ ที่จะทนครูผู้สอนที่เปลี่ยนฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือให้คำแนะนำ และผู้เรียนสามารถได้รับคำแนะนำที่มีการเชื่อมโยงข้อมูล บทเรียนออนไลน์หรือการช่วยเหลือ ทฤษฎีการช่วยเสริมศักยภาพการเรียนรู้เหมาะสำหรับการสนับสนุนผู้เรียนในการเรียนรู้ออนไลน์ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถแก้ปัญหาให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ ซึ่งเป็นทฤษฎีที่น่าสนใจเหมาะสมที่จะใช้เป็นแนวทางในการพัฒนารูปแบบระบบช่วยเหลือหรือสนับสนุนผู้เรียนในการเรียนรู้ออนไลน์หรือบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์
คำสำคัญ: การช่วยเสริมศักยภาพการเรียนรู้,การเรียนรู้ร่วมกัน, การเรียนรู้ออนไลน์, การสนับสนุน, ระบบช่วยเหลือ
Abstract:
This paper was study of scaffolding theories based on the concept from documents. The study includes the meaning, description, category, techniques, mechanisms and scaffolding model. The study concluded that scaffolding theory will help to support collaborative learning or social assistance and cooperation. Scaffolding help the students construct knowledge, understanding of the higher level and they can solve the problems and lead to the ability to learn by themselves with preparation to learning support. Scaffolding was the new method used to learn on computer network or online. That changes a teacher as expert or guidance. And students can be guided from a data link, online learning or help. Scaffolding theory is suitable for supported students in online learning. So that students can solve problems to achieve the objectives. Scaffolding theory is an interesting to be used as a guide to development of supported system to help student to learn on computer network or online learning.
Keyword: Scaffolding, Collaborative, Online learning, Supported, Help system.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-07-21 11:50:12
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/2313
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 6 No. 1 (2012): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 6 ฉบับที่ 1(มกราคม - มิถุนายน 2555)
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/2314
2012-07-21T11:50:12Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"120701 2012 eng "
1905-9450
dc
การศึกษาเวลาโดยตรงเพื่อการวัดผลงานของคนงาน
พงศ์ชัยฤกษ์, พิศุทธิ์
บทคัดย่อ
การศึกษาเวลาโดยตรงคือการใช้นาฬิกาจับเวลาหรือเครื่องมือจับเวลาแบบอื่นในการวิเคราะห์หาเวลามาตรฐานในการทำงานของคนงานภายใต้สภาพการทำงานที่ถูกกำหนดเป็นมาตรฐานเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์หนึ่งหน่วยจากกระบวนการที่ถูกกำหนดไว้แล้วนั้น การศึกษาเวลาโดยตรงถูกใช้อย่างแพร่หลายในการหาเวลามาตรฐานเพราะความง่ายในการประยุกต์ใช้และความแม่นยำของเวลามาตรฐานที่ได้ อย่างไรก็ตามเทคนิคการศึกษาเวลาโดยตรงยังคงถูกใช้กันอย่างคลาดเคลื่อนในหลายขั้นตอน อันทำให้ความแม่นยำของผลลัพธ์ที่ได้ลดลงไป ดังนั้นบทความวิชาการนี้จึงมีเป้าหมายในการสรุปเนื้อหาขั้นตอนต่างๆในการประยุกต์ใช้เทคนิคการศึกษาเวลาโดยตรงอย่างถูกต้องและกระชับ อธิบายอุปกรณ์ที่สำคัญที่ต้องใช้ในการศึกษาเวลาโดยตรง รวมไปถึงการแจกแจงข้อดีข้อเสียของเทคนิคการศึกษาเวลาโดยตรงเมื่อนำไปเปรียบเทียบกับเทคนิคการวัดผลงานแบบอื่น โดยข้อได้เปรียบหลักของเทคนิคการศึกษาเวลาโดยตรงเมื่อเปรียบเทียบกับเทคนิคอื่นคือความง่ายต่อการเข้าใจและการประยุกต์ใช้ ส่วนข้อจำกัดหลักของเทคนิคนี้คือผู้ใช้ต้องทำการประเมินความสามารถของคนงานเองโดยความแม่นยำของการประเมินต้องอาศัยประสบการณ์
คำสำคัญ: การศึกษาเวลาโดยตรง, การวัดผลงาน, เวลามาตรฐาน
Abstract
Direct time study is to use stopwatch or other timekeeping device to set the standard time of a task accomplished by a worker performing under the standardized working environment. Direct time study is popularly used to set the standard time because of the easy-to-apply and the high accuracy of the given standard time. However, the direct time study technique is sometimes used incorrectly in several steps; this results in lower accuracy of the result. This academic article thus aims to summarize the steps of applying the direct time study technique, explains the equipment used in the direct time study, and compares the pros and cons of the direct time study with those of the other work measurement techniques. The main advantage of the direct time study technique is easy-to-understand and easy-to-apply. The main limitation of this technique is that the user has to evaluate the worker’s performance rating and the accuracy of the evaluation is based on the user’s experience level.
Keyword: Direct time study, Work measurement, Standard time
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-07-21 11:50:12
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/2314
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 6 No. 1 (2012): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 6 ฉบับที่ 1(มกราคม - มิถุนายน 2555)
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/2315
2012-07-21T11:50:12Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"120701 2012 eng "
1905-9450
dc
ประมวลเนื้อหาวิศวกรรมวิธีการและการประยุกต์ใช้กับงานจริง
พงศ์ชัยฤกษ์, พิศุทธิ์
บทคัดย่อ
บทความวิชาการนี้มีวัตถุประสงค์ในการประมวลเนื้อหาวิศวกรรมวิธีการหรือการศึกษาการทำงาน ซึ่งมีเนื้อหาค่อนข้างกว้างและเข้าใจได้ยากโดยปราศจากพื้นฐานทางวิศวกรรมอุตสาหการให้มีใจความกระชับและเข้าใจได้ง่ายสำหรับบุคคลทั่วไป ตามแนวคิดที่ว่าในปัจจุบันวิศวกรรมวิธีการไม่ได้เป็นเครื่องมือของวิศวกรอุตสาหการเท่านั้น ผู้จัดการและหัวหน้างานในระดับต่างๆ รวมไปถึงพนักงานของโรงงานก็ควรได้รับความรู้ในเนื้อหาวิศวกรรมวิธีการเพื่อให้ทุกคนในองค์กรมีส่วนร่วมในการพัฒนาการทำงาน บทความวิชาการนี้ได้สรุปเนื้อหาของวิศวกรรมวิธีการในด้านต่างๆ อาทิเช่น ประวัติความเป็นมา ประโยชน์ ขั้นตอนพื้นฐาน และเทคนิคที่รวมอยู่ในวิศวกรรมวิธีการ เช่น การวิเคราะห์กระบวนการ การศึกษาการเคลื่อนไหว และการศึกษาเวลา บทความนี้ยังได้นำเสนอผลงานวิจัยเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้วิศวกรรมวิธีการทั้งในอุตสาหกรรมและในการบริการแบบอื่น อันเป็นบทสรุปว่าในปัจจุบันวิศวกรรมวิธีการไม่ใช่เครื่องมือที่ควรจะจำกัดการใช้งานอยู่แต่ในโรงงาน แต่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับองค์กรหลากหลายประเภท
คำสำคัญ: วิศวกรรมวิธีการ, การศึกษาการทำงาน, การวิเคราะห์กระบวนการ, การศึกษาการเคลื่อนไหว, การศึกษาเวลา
Abstract
The objective of this academic article is to summarize the details of Methods Engineering or Work Study, which has broad content and is difficult to understand without the industrial engineering knowledge, to be more compact and simpler to understand. This is based upon the idea that in present Methods Engineering does not only belong to Industrial Engineer. The managers, supervisors or oven staffs in an organization should understand Methods Engineering in order to synergize each other to improve their works. This paper summarizes the details of Methods Engineering in its history, usefulness, basic procedures and also techniques i.e. process analysis, motion study and time study. Moreover, this paper reviews the research literatures using Methods Engineering in industry and services. This review can conclude that Methods Engineering can be used for improve the process in the service businesses as well.
Key word: Methods Engineering, Work Study, Process Analysis, Motion Study, Time Study
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-07-21 11:50:12
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/2315
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 6 No. 1 (2012): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 6 ฉบับที่ 1(มกราคม - มิถุนายน 2555)
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/2316
2012-07-21T11:50:12Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"120701 2012 eng "
1905-9450
dc
การอนุรักษ์พลังงานในงานอุตสาหกรรม
Sukwan, Ophat
ในการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา เนื้อหาทางด้านการอนุรักษ์พลังงานในงานอุตสาหกรรมเป็นเนื้อหาส่วนหนึ่งในหลายๆ หลักสูตร เช่น หลักสูตรทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ครุศาสตร์อุตสาหกรรม เทคโนโลยีอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมศึกษา โดยจัดเป็นรายวิชาที่สอดแทรกอยู่ในหลักสูตรต่างๆ ดังกล่าว หรือเป็นหลักสูตรเฉพาะทางด้านพลังงานทั้งในระดับปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก เนื้อหาดังกล่าวประกอบไปด้วยรายวิชาต่างๆ อาทิ เช่น เทคโนโลยีพลังงาน การอนุรักษ์พลังงาน การจัดการพลังงาน พลังงานทดแทน เป็นต้น ทั้งนี้ก็เพื่อมุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เห็นความสำคัญของพลังงาน การอนุรักษ์พลังงาน รู้เทคนิคและวิธีการในการอนุรักษ์พลังงานในงานอุตสาหกรรม ซึ่งกำลังเป็นสิ่งสำคัญในสังคมปัจจุบันนี้
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-07-21 11:50:12
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/2316
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 6 No. 1 (2012): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 6 ฉบับที่ 1(มกราคม - มิถุนายน 2555)
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/2317
2012-07-21T11:50:12Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"120701 2012 eng "
1905-9450
dc
คุณธรรมและจริยธรรมของครูช่างอุตสาหกรรม
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
ครูช่างอุตสาหกรรม ถือเป็นบุคคลสำคัญในการผลิตช่างฝีมือที่มีทักษะออกไปทำงานหาเลี้ยงชีพและพัฒนาสังคม แต่อย่างไรก็ตามการที่จะเป็นครูช่างอุตสาหกรรมที่ดีนั้น ครูช่างก็นับได้ว่าเป็นครูประเภทหนึ่ง ที่ต้องเป็นทั้งนักปราชญ์ และผู้ทรงศีล เพราะสังคมได้ยกย่องให้ครูเป็น
ปูชนียบุคคล เป็นผู้ประเสริฐและประสาทความรู้ สร้างความเป็นคนและอบรมสั่งสอนเด็กให้เป็นเด็กที่ดีของสังคม ความจำเป็นที่จะต้องให้ครูเป็นทั้งนักปราชญ์ และผู้ทรงศีลดังกล่าวแล้วชี้ให้เห็นว่า ความเป็นนักปราชญ์ของครูนั้น ครูจะต้องมีความดีและถ่ายทอดดี สอนให้เด็กได้รับความรู้และสนุกมีชีวิตชีวา ส่วนความเป็นผู้ทรงศีลของครู ในฐานะที่ครูเป็นแม่แบบของชาติหรือเป็นต้นแบบในพฤติกรรมทั้งปวง จะช่วยให้ครูเป็นคนดี วางตัวดี เป็นที่เคารพและเป็นที่น่าเชื่อฟังของลูกศิษย์ จึงกล่าวได้ว่า ครูต้องมีคุณธรรม หรือคุณธรรมสำหรับครูเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับครูอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าครูจำเป็นต้องมีคุณธรรม แต่คุณธรรมอย่างเดียวไม่เพียงพอครูต้องเป็นนักปรัชญาด้วย การเป็นนักปราชญ์ของครูจะช่วยให้ครูมีความรู้รอบ และรอบรู้ มีทัศนะกว้างไกลและลึก มองเห็นชีวิตของตนเองทั้งในปัจจุบันและอนาคตอย่างทะลุปุโปร่ง และช่วงมองอนาคตของเด็กให้ทะลุปุโปร่งด้วย เพื่อจะได้ประคับประคองสนับสนุน และส่งเสริมให้เด็กเจริญก้าวหน้าอย่างเต็มที่
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-07-21 11:50:12
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/2317
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 6 No. 1 (2012): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 6 ฉบับที่ 1(มกราคม - มิถุนายน 2555)
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/2975
2013-02-22T11:57:18Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"121229 2012 eng "
1905-9450
dc
การนำแนวคิดการสร้างพีระมิดสู่การพัฒนาสถานศึกษาที่มีประสิทธิผล
ธนธิติกร, ณัฐรัฐ
บทคัดย่อ
บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อนำเสนอแนวคิดการพัฒนาสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลโดยนำแนวคิดการสร้างพีระมิดมาเป็นพื้นฐานความคิด ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอนคือ 1) ผู้บริหารสถานศึกษาต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ 2) มีกระบวนการบริหารจัดการคุณภาพสถานศึกษา 3) มีการบริหารแบบมีส่วนร่วม 4) มีการพัฒนาบุคลากรและสถานศึกษาให้เป็นองค์การแห่งการเรียนรู้ ทั้ง 4 ขั้นตอนจึงเป็นแนวทางการพัฒนาคุณภาพการบริหารสถานศึกษา นำไปสู่การเป็นสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลอย่างยั่งยืน คำสำคัญ: การบริหารจัดการคุณภาพ, การบริหารสถานศึกษา, สถานศึกษาที่มีประสิทธิผล
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-01-16 13:55:30
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/2975
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 6 No. 2 (2012): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม 2555)
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4309
2014-08-19T07:38:27Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"140628 2014 eng "
1905-9450
dc
การเรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้วยการบูรณาการเรียนรู้แบบโครงงานและแบบฐาน
อุณหวัฒนไพบูลย์, ขวัญใจ
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
แต้วัฒนา, ธนรัตน์
บทคัดย่อ
ปัจจุบันมีการนำปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาประยุกต์ใช้ในหลายระดับหลายมิติและหลายรูปแบบ ถึงแม้ว่าจะมีกรอบแนวคิดปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเดียวกัน การนำมาใช้ก็ต้องพิจารณาตามความเหมาะสมในแต่ละกรณี เงื่อนไขและสภาวะที่เผชิญอยู่ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงและแหล่งเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ได้ใช้วิธีการเรียนรู้แบบฐานหรือแบบโครงงานมาดำเนินจัดการเรียนการสอน โดยใช้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักคิด แต่ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงและแหล่งเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงมีกระบวนการเรียนรู้แตกต่างกัน ผู้เขียนได้ศึกษาการจัดการเรียนรู้ของศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง และแหล่งเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง โดยการ บูรณาการเรียนรู้แบบโครงงานและแบบฐานเข้าด้วยกัน ทำให้ได้รูปแบบการเรียนรู้อีกรูปแบบหนึ่งที่ทำให้ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงและแหล่งเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง มีรูปแบบการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ การเรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงด้วยการบูรณาการการเรียนรู้แบบโครงงานและแบบฐาน มีวิธีการดังนี้คือ 1.) บูรณาการหัวข้อโครงงานหัวข้อเนื้อหาอาชีพเข้าด้วยกัน โดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักคิด ใช้หลักความมีเหตุผลมาคิด วิเคราะห์ วางแผน ที่จะนำมาใช้เรียนใช้สอนโครงงานและเนื้อเรื่องที่จะสอนต้องคำนึงถึงวิถีชีวิต เศรษฐกิจ สังคม ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม 2.) บูรณาการการกำหนดจุดมุ่งหมาย การวิเคราะห์ การวางแผน และการเตรียมอุปกรณ์เข้าด้วยกัน โดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักคิด โดยคำนึงถึงความพอประมาณ ความพอเหมาะพอดี และการใช้อุปกรณ์ในท้องถิ่น 3.) บูรณาการการดำเนินการศึกษาและการแบ่งกลุ่มฝึกอบรมเข้าด้วยกัน โดยใช้หลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงเป็นหลักคิด โดยเน้นให้ผู้เรียนได้รับความรู้ มีคุณธรรม 4.)บูรณาการการนำเสนอผลงานและประเมินผลหรือวัดผลเข้าด้วยกัน โดยยึดหลักภูมิคุ้มกันของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาหรือสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นในภายหน้า
คำสำคัญ การเรียนรู้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง,การบูรณาการการเรียนรู้, การเรียนรู้แบบโครงงาน, การเรียนรู้แบบฐาน
Abstract
The Philosophy of Sufficiency Economy has been applied in many levels, dimensions, and patterns, even though they are under the same Philosophy of Sufficiency Economy. The applications of Philosophy of Sufficiency Economy have to be considered in different case, condition and situation. Different learning centers such as Study Centre using project-based learning and learning-based under Philosophy of Sufficiency Economy. Study Centre and Local Learning Center have different of learning process. But as a scholar, I had studied the integration of learning process by integrating project-based learning and learning-based. Then, we will have a model of learning that integrated project-based learning and learning-based as one model call IPB&LB Model, and efficiency. The integration of project-based learning and learning-based under Philosophy of Sufficiency Economy as follows. 1.) Integrated Project Title and Content title as one by using Philosophy of Sufficiency Economy as a basic, under the principle of rational, analysis, planning to teach the project. The project and the content have to consider lifestyle, social, economic, natural resources and environment. 2.) Integrating the purposes, analyzed, planning and equipment preparation by using Philosophy of Sufficiency Economy as a basic. Under consider of modesty, decency and local equipment. 3.) Integrated the study process and group training, by using Philosophy of Sufficiency Economy as a basic and focused on moral. 4.) Integrated the presentation and the evaluation or measurement by using Philosophy of Sufficiency Economy as a basic for any problems that might happen in the future.
Keywords: Learning Philosophy of Sufficiency Economy, Project- Based Learning, Learning-Based
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-06-28 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/4309
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 8 No. 1 (2014): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2557
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4318
2014-06-28T10:42:21Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"140628 2014 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาทักษะอาชีพ เรื่องการออกแบบและการหล่อเรซิ่นเพื่อการดำรงชีพและลดปัญหาสังคม
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
บทคัดย่อ
การพัฒนาทักษะอาชีพเรื่องการออกแบบและการหล่อเรซิ่น เพื่อการดำรงชีพและลดปัญหาสังคม เป็นโครงการบริการชุมชน มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ความรู้และทักษะในการออกแบบและหล่อเรซิน เพื่อประกอบอาชีพเสริมเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับครอบครัว โดยจัดอบรม ณ องค์การบริหารส่วนตำบลองครักษ์ อำเภอองค์รักษ์ จังหวัดนครนายก ให้กับประชาชนที่สนใจ จำนวน 25 คน เนื้อหาที่จัดอบรมมี 4 หน่วยการเรียนรู้ ได้แก่ หน่วยที่ 1 เรื่องความรู้เกี่ยวกับเรซิ่น หน่วยที่ 2 เรื่องการทำแม่พิมพ์ หน่วยที่ 3 เรื่องเทคนิคการหล่อเรซิ่น หน่วยที่ 4 เรื่องการตลาด จากการอบรมการพัฒนาทักษะอาชีพ เรื่องการออกแบบและการหล่อเรซิ่น เพื่อการดำรงชีพและเพื่อการลดปัญหาสังคม พบว่า ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้และทักษะเรื่องการออกแบบและการหล่อเรซิ่น เพิ่มขึ้นหลังการอบรมทั้ง 4หน่วยการเรียนรู้ และจากการติดตามผลพบว่า ผู้ที่เข้าการอบรมสามารถจัดตั้งกลุ่มหล่อเรซิ่นโดยมี นางสายพิณ แซ่อั้ง เป็นหัวหน้ากลุ่ม สถานที่ตั้งกลุ่ม เลขที่ 112 ม. 2 ต.องครักษ์ อ.องครักษ์ จ.นครนายก สมาชิกมีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 1,000 – 2,000 บาท/เดือน ทำให้สมาชิกมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
คำสำคัญ: การพัฒนาทักษะอาชีพ, การออกแบบและการหล่อเรซิ่น, การดำรงชีพและลดปัญหาสังคม
Abstract
This is a community service project for career development on resin design and casting to promote the community's livelihood and reduce social problems. The objective of this project was to develop the skills and knowledge of community members on designing and casting resin and also to generate income for self employment. The project was held at Ongkharak Sub-district Administrative Organization, Ongkharak District, Nakhon Nayok Province. There were 25 community members who attended the training. There were 4 units on resin design and casting curriculum: Unit 1 -- Knowledge on Resin; Unit 2 -- Molding; Unit 3 -- Resin Casting Technique; and Unit 4 -- Marketing. After the training, it was found that the trainees acquired knowledge and skill on resin designing and casting compared to when they started. The follow-up assessment was conducted after one month. The trainees were found to be capable of putting up a resin design and casting group with Mrs. Saypin Sai-Ang as the leader. The group was located at 112 M. 2 Ongkharak Sub-District, Ongkharak District, Nakhon Nayok Province. The members' income increased by around 1,000 – 2,000 Baht/Month. The increased income led to the improvement of the trainees' quality of life.
Keywords: Career Development, Livelihood and Reduce Social Problems
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-06-28 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/4318
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 8 No. 1 (2014): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2557
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/5482
2015-12-15T14:28:47Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"150724 2015 eng "
1905-9450
dc
เทคนิคการเขียนข้อเสนอโครงการวิจัยแบบมืออาชีพ
แต้วัฒนา, ธนรัตน์
บทคัดย่อ
บทความนี้เป็นการศึกษาถึงเทคนิคของการเขียนข้อเสนอโครงการวิจัยแบบมืออาชีพตามแนวคิด จากเอกสารและผู้เชี่ยวชาญต่างๆ โดยการแบ่งการศึกษา ได้แก่ ปัญหาของการเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย การเตรียมความพร้อมของนักวิจัย และรูปแบบของข้อเสนอโครงการวิจัยที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ แต่เนื่องจากนักวิจัยมีเวลาน้อยทำให้เร่งรีบส่งผลให้เกิดปัญหาหัวข้อต่างๆ ในข้อเสนอโครงการที่ไม่เชื่อมโยงและไปในทิศทางเดียวกัน อาทิ ชื่อเรื่องกับความสำคัญของปัญหาไม่ไปด้วยกัน วัตถุประสงค์เขียนคนละทิศทาง การทบทวนวรรณกรรมไม่ทันสมัย ทำให้ไม่ทราบความคิดเดิมของข้อมูลที่อ้างอิง ดังนั้นนักวิจัยจะต้องมีการเตรียมความพร้อมในเรื่องของข้อมูลในเรื่องที่สนใจที่ทันสมัย มีเครือข่าย ความรู้และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง ผลสรุปการศึกษาบทความนี้จะแสดงรูปแบบการเชื่อมโยงหัวข้อต่างๆ ที่อยู่ในข้อเสนอโครงการวิจัยอย่างเป็นเหตุเป็นผล โดยเริ่มจากการเขียนความสำคัญและที่มาของปัญหาตามหลัก IPSA ทำให้เห็นความเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของหัวข้อที่สำคัญของข้อเสนอโครงการวิจัย ได้แก่ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับกับ Ideal ผลผลิตของงานวิจัยกับ Problem วัตถุประสงค์กับ Solution และชื่อโครงการกับ Apply บทความวิชาการนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นการเสนออีกเทคนิคหนึ่งของการเขียนข้อเสนอโครงการวิจัยแบบมืออาชีพ
คำสำคัญ ข้อเสนอโครงการวิจัย, รูปแบบการเชื่อมโยงข้อเสนอโครงการ
Abstract
This article was a study ofhow to write a professional research proposalbased on the conceptsfrom documents andexperts.The study includes the problemof writing aresearch proposal,preparedof the researcher and the format ofthe research proposalwas linkedsystem.Because researchers have little time to affect in problems on the topics in the proposals that were not linked and not go in the same direction. Such asthe title andbackground problem and the significance of the studywas not going together, research objectiveswrotedifferent directions and nomodernliterature review. That was not known the original idea of the data referenced. Therefore, researchers will need to bepreparedon the subject ofmodern information, networks, knowledge andexperience. The conclusionofthis article showed the model oflink to the topics.That started with writing the background problem and significance of the study based on IPSA model to thelinkagesofthe key topicsofthe research proposal. That includes the expected results were linked to theIdeal, the research output link to the problem, research objective link to the solution and the title link to the apply.Hopefullythisarticleis one wayof theprofessionalwritingresearch proposals.
Keywords: Research proposal, Model oflink to the topics
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-06-02 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/5482
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 9 No. 1 (2015): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 9 บับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2558)
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/5486
2015-12-15T14:28:47Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"150724 2015 eng "
1905-9450
dc
ความพร้อมสู่งานอุตสาหกรรมการผลิต
ศิรินุพงศ์, ภานุวัฒน์
บทคัดย่อ
บทความวิชาการนี้เป็นการรวบรวม ความรู้ ความเข้าใจต่างๆ จากเอกสารประกอบการทำงาน ระบบบริหารจัดการการผลิตและประสบการณ์การทำงานของผู้เขียน ที่มีความจำเป็นพื้นฐานของผู้ปฏิบัติงานในอุตสาหกรรมการผลิต ซึ่งพบว่าเมื่อกระบวนการผลิตพัฒนาสูงขึ้นเพื่อรองรับการปฏิบัติงานที่อ้างอิงถึงระบบการบริหารจัดการคุณภาพ หรือระบบการบริหารจัดการการผลิตต่างๆ ที่เป็นมาตรฐานตามที่สากลยอมรับ จำเป็นต้องการสื่อสารด้วยคำหรือข้อความที่ชัดเจนเป็นมาตรฐานสากลและช่วยให้เกิดการปรับปรุงแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ข้อมูลที่เป็นที่เข้าใจตรงกันจะทำให้เป็นประโยชน์ในการสื่อสาร การรวบรวม วิเคราะห์เพื่อการแก้ปัญหา พร้อมการนำเสนอให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องจะเป็นส่วนช่วยให้เกิดความรู้ ความเข้าใจเบื้องต้นกับทุกช่วงการปฏิบัติงาน ทำให้สามารถปฏิบัติการผลิตได้อย่างมีคุณภาพทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ซึ่งเป็นเป้าหมายการผลิตของทุกอุตสาหกรรมตั้งแต่ระดับเล็กจนกระทั่งถึงการผลิตในระดับสากล ซึ่งความรู้ ความเข้าใจเพื่อเตรียมความพร้อมสู่งานอุตสาหกรรมการผลิต ได้แก่ คำศัพท์และนิยามพื้นฐานของการผลิต กระบวนการขั้นตอนการผลิต กระบวนการสนับสนุนการผลิต การวัดประเมินผลการปฏิบัติงาน ลักษณะปัญหา สาเหตุ และการแก้ไขต่างๆ ในการผลิต และเครื่องมือทางสถิติที่ใช้ในการเก็บ ศึกษา และวิเคราะห์ข้อมูลการผลิต เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานและการบริหารจัดการการผลิตต่อไป
คำสำคัญ ความพร้อมสู่งานอุตสาหกรรมการผลิต
Abstract
This paper was prepare an industrial standard words and definition were necessary in every industrials of operator’s knowledge and understanding. These contents came from the related working procedure, operation management knowledge and more than 24 years of service in industrial production. They should understand words and meaning, process and process flow, supporting activities, performance measurement and evaluating, problem cause and remedy of process and statistic tools. These contents can help their working activities when working in processes of every industrials.
Keyword Preparation to Industrial Production
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-06-02 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/5486
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 9 No. 1 (2015): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 9 บับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2558)
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/5487
2015-12-15T14:28:47Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"150724 2015 eng "
1905-9450
dc
สมรรถนะที่พึงประสงค์ของผู้จัดการสาขาสำหรับธุรกิจการบริการด้านอาหารในภัตตาคารและร้านอาหาร
บัวด้วง, รวิ
บทคัดย่อ
ปัจจุบันแนวโน้มการเจริญเติบโตของธุรกิจการบริการด้านอาหารในภัตตาคารและร้านอาหารในประเทศไทย มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากเป็นธุรกิจที่คงทนต่อสภาวะเศรษฐกิจ เพราะมีความเกี่ยวข้องกับปัจจัย 4 ของมนุษย์ ซึ่งต้องรับประทานอาหารทุกวัน รวมทั้งพฤติกรรมของผู้บริโภคมีแนวโน้มการรับประทานอาหารนอกบ้านเพิ่มมากขึ้น ทำให้การประกอบธุรกิจประเภทนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก โดยมุมมองสำหรับการบริหารและการจัดการสาขาเป็นเรื่องที่ยุ่งยากและซับซ้อน ผู้ที่มีบทบาทสำคัญนั่นก็คือ ผู้จัดการสาขา (Outlet manager) ทำหน้าที่ในการบริหารจัดการตั้งแต่ร้านสาขา (Outlet) และบุคลากร (People) ภายในสาขา ดังนั้นบุคลากรที่อยู่ในตำแหน่งผู้จัดการสาขา (Outlet manager) ถือเป็นพนักงานระดับบริหารที่จำเป็นต้องมีสมรรถนะในการบริหารและจัดการ (Managerial competency) ประกอบด้วย (1) ความคิดเชิงกลยุทธ์ (2) การเป็นผู้นำทีม และ (3) การพัฒนาบุคลากร ซึ่งสมรรถนะของผู้จัดการสาขาจะทำให้ทราบว่าองค์กรจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้หรือไม่ จึงต้องมีการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาความรู้ (Knowledge) ทักษะ (Skill) และทัศนคติ (Attribute) ของผู้จัดการสาขา เพื่อนำมากำหนดเป็นขีดความสามารถในการปฏิบัติงาน และใช้เป็นแนวทางในการกำหนดแผนการพัฒนาและฝึกอบรมต่อไป
คำสำคัญ: สมรรถนะที่พึงประสงค์ของผู้จัดการสาขา, ธุรกิจการบริการด้านอาหารในภัตตาคารและร้านอาหาร
Abstract:
Nowadays, Dining Restaurant Chains in Thailand is growing more and more due to the high level of economic well-being. No doubt, as one of the four requisites for human, people need to consume food every day. Thai people tend to dine out more often. Food business becomes more attractive and competitive for all stakeholders. One of the challenges for Thai and multinational entrepreneurs is to develop capabilities of Outlet Managers who play the important roles as a leader of service crews and generate profits to the restaurant outlet. Expected competencies of outlet manager consist of various managerial skills i.e. (1) Strategic Thinking (2) Leading Team and (3) Developing people. The right set of competencies will ensure that companies can achieve business goals successfully. In order to prepare talented leaders, companies need to establish Readiness Program to provide with knowledge, skills and attributes as a training and development roadmap for their future leaders.
Keyword: Expected Competencies of Outlet managers, Dinning Restaurant Chain
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-06-02 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/5487
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 9 No. 1 (2015): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 9 บับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2558)
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/5518
2015-12-15T14:28:48Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"150810 2015 eng "
1905-9450
dc
รูปแบบการจัดการอาชีวศึกษาตามแนวทางอิสลาม
ขันธชัย, คณิตา
บทคัดย่อ
การจัดการอาชีวศึกษาตามแนวทางของศาสนาอิสลามเป็นการจัดการเรียนการสอนตั้งอยู่บนพื้นฐานของการบูรณาการอิสลาม เน้นการพัฒนาศักยภาพของเยาวชน ในด้านการเรียนรู้ทักษะในวิชาชีพต่างๆส่งเสริมการประดิษฐ์คิดค้น นวัตกรรมใหม่ๆ และปลูกฝังให้นักศึกษาได้เรียนรู้ที่จะเปิดใจยอมรับและ ปรับตัวได้ ในการดำเนินชีวิตกับเพื่อนร่วมสังคม ที่มีความแตกต่าง ทั้งด้านการศรัทธา ความเชื่อถือ ประเพณี และ วิถีการดำเนินชีวิต พร้อมทั้งปลูกฝังคุณธรรมและจิตสำนึกในการเป็นคนดีและมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบและสร้างสรรค์สังคม ผ่านการเรียนรู้วิชาการ นอกจากนั้นกิจกรรมเสริมหลักสูตรต่าง ๆ จะช่วยให้นักศึกษาได้เรียนรู้ รู้จักคิด ตัดสินใจ แก้ไข ปัญหาต่างๆ ตลอดจนปฏิบัติศาสนกิจอย่างถูกต้อง เพื่อให้นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาออกไป สามารถนำความรู้และประสบการณ์ต่างๆเหล่านี้ไปปรับใช้ในการทำงาน ตลอดจนการดำเนินชีวิตต่อไปในสังคมอย่างสันติสุขและสมานฉันท์ การจัดการอาชีวศึกษาตามแนวทางอิสลาม จะทำให้ได้รูปแบบการจัดการการอาชีวศึกษาตามแนวทางอิสลาม เพื่อเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในการส่งเสริมและการจัดการอาชีวศึกษาให้มีคุณภาพได้ ซึ่งส่งผลต่อการพัฒนาเยาวชนและสังคมมุสลิมให้มีการพัฒนาด้านการศึกษาให้มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพได้
คำสำคัญ: รูปแบบ,การจัดการ
Abstract:
Vocational administration follows the trend of the Islam is the administration studies the instruction is on the base of something Islam integration , emphasize latency development of the youth , in the sense of skill learning in all vocation encourages the invention invents , the innovation is new , and establish give a student will have learnt to reveal one's feelings to admit and , can adjust oneself , in the way of life and a friend share the social , at have the difference , both of believing in side , believability , tradition , and , way of life , together with , establish the virtue and the conscious for being the good person and participate in bingresponsible and create the social , change technical learning , besides the activity adds the course differs will help give a student has learn , think , decide , correct , a problem is all , including , minister the religious activities correctly ,a student who graduate to go out , can lead the knowledge and all these experience go to apply in the work , including , the way of life next in the social peacefully happy and the unanimity. The management of Islamic vocational education in Thailand will have the vocational education model which provide suggestion or policy for promoting teenagers development and Islamic social. It help to develop the quality of education.
Keywords: Model, Management.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-06-02 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/5518
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 9 No. 1 (2015): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 9 บับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน 2558)
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/7008
2016-02-11T15:21:04Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
1905-9450
dc
กระบวนทัศน์และกระบวนการของการวิจัยเชิงคุณภาพกับการอาชีวศึกษา
รัตนโรจน์สกุล, พิสมัย
บทคัดย่อ
การวิจัยถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างและแสวงหาความรู้ของมนุษย์สมัยใหม่ ที่ต้องการใช้การวิจัยเป็นสิ่งยืนยันความถูกต้องเหมาะสมบนความคิดว่ามีหลักการและเหตุผลอันจะช่วยให้ความรู้ ความจริง หรือข้อมูลที่ได้จากการวิจัยได้รับการยอมรับ เป็นที่น่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น หากการเริ่มต้นที่จะเลือกใช้การวิจัยเพื่อประโยชน์ในการสร้าง/แสวงหาความรู้นั้น ควรจะได้ทำความเข้าใจต่อกระบวนทัศน์ของการวิจัยโดยภาพใหญ่ก่อน เพื่อให้เข้าใจถึงฐานคิดที่มีต่อความรู้/ความจริงที่แยกออกเป็นสองกระบวนทัศน์ แล้วจึงนำไปสู่วิธีวิทยาของการเข้าถึง ค้นหา หรือสร้างความรู้/ความจริง ที่ตั้งอยู่บนฐานคิดที่แตกต่างกันนั่นคือปฏิฐานนิยมและปรากฏการณ์นิยม สำหรับวิธีวิทยาของการวิจัยเชิงคุณภาพซึ่งตั้งอยู่บนฐานคิดแบบปรากฏการณ์นิยมนั้นมองว่าความรู้/ความจริงเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นและมีความแตกต่างหลากหลาย การทำความเข้าใจความรู้/ความจริงจึงต้องเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ภายในความคิด ความเชื่อของมนุษย์ ซึ่งจะเข้าถึงได้ด้วยกระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพ ที่เรียกว่าแบบอุปนัย โดยมีกระบวนการวิจัยอย่างเป็นขั้นตอนตั้งแต่การตั้งคำถามการวิจัยไปจนถึงการวิเคราะห์ ตีความ และประเมินผลของข้อมูลเชิงคุณภาพที่ได้มาอย่างลึกซึ้ง บทความนี้มีความมุ่งหมายในการนำวิธีวิจัยเชิงคุณภาพไปใช้ในการอาชีวศึกษา ซึ่งเลือกทำได้หลายระดับตั้งแต่การใช้วิธีวิทยาของการวิจัยเชิงคุณภาพอย่างเดียวตลอดกระบวนการวิจัย หรือการใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพผสมผสานกับการวิจัยเชิงปริมาณ หรือการใช้วิจัยเชิงคุณภาพสำหรับบางส่วนของกระบวนการวิจัยทั้งหมด ขึ้นอยู่ฐานคิดของนักวิจัยและเป้าหมายของการทำงานวิจัยนั้นๆ เป็นสำคัญ
คำสำคัญ : การวิจัยเชิงคุณภาพ , กระบวนทัศน์ของการวิจัย, การอาชีวศึกษา
Abstract
Research is considered to be an important tool for knowledge generation of human in modern society. The research will prove validity of information, fact, or knowledge gained inside the organization and made them more acceptable and believable. When starting on research, the overall paradigm of the research has to be understood first. Because it is important to dept understand in critical thinking which effects on knowledge/truth that had divided into two paradigms. Then the research process would be undertaken by both positivism and phenomenalism. For qualitative research base on phenomenology, the outlook is about facts and knowledge was human inventions and has tremendous diversity. To make the understanding, the researchers must understand inside meaning of human thought and belief, which can be reached by the process of qualitative research. This process use inductive method starting from the research question to the analysis, interpretation, and measurement of the results. The applications of this result can be utilize in the vocational education in many ways from pure qualitative researches, combine to quantitative research, or partially qualitative research. This decision would be based on the purpose of the research and ideology of the researchers.
Keywords : Qualitative Research , Paradigm of Research , Vocational Education
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-08-06 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/7008
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 9 No. 2 (2015): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม 2558)
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/7564
2016-06-24T09:33:29Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
1905-9450
dc
ไอซีทีเพื่อการศึกษาแนวโน้มอุตสาหกรรมศึกษายุคใหม่
ศรีประเสริฐภาพ, ขวัญหญิง
บทคัดย่อ
บทความนี้เป็นการกล่าวถึงภาพกว้างของการใช้ไอซีทีเพื่อการศึกษา ในมุมมองของอุตสาหกรรมศึกษาทั้งด้านแนวคิด และการนำไปประยุกต์ใช้ในด้านการศึกษา ที่เป็นการนำเสนอประเด็นการเปลี่ยนแปลงในการนำไอซีทีมาใช้ใน
วงการศึกษาจากอดีตถึงปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต เพื่อนำเสนอในมุมมองที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนเพื่อผลิตบุคลากรด้านอุตสาหกรรมศึกษาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงด้านการนำ
ไอซีทีเพื่อการศึกษา และการเตรียมความพร้อมของคนที่สอดคล้องกับการเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 ที่จะเข้าสู่การแข่งขันในอุตสาหกรรมซอฟแวร์ โดยเนื้อหาของบทความจะประกอบด้วยแนวคิดเกี่ยวกับไอซีทีเพื่อการศึกษาและอุตสาหกรรมศึกษา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับไอซีทีที่ส่งเสริมด้านอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แนวโน้มและบทบาทของไอซีที (ICT) กับอุตสาหกรรมศึกษายุคใหม่
คำสำคัญ : ไอซีที, อุตสาหกรรมศึกษา, อุตสาหกรรมศึกษายุคใหม่
Abstract
This article discusses the wide perspective of the use of ICT in education. In view of the industry as a conceptual study and applied in education. The proposed change issues in the ICT use in education from the past to the present and future trends. To present the perspectives involved in curriculum development and instructional for the education. In accordance with the change in leadership ICT in education and the preparation of the corresponding entry into the 21st century, which will enter the competition in the software industry. The article contains ideas on ICT for education and industrial education. Agencies involved in the ICT industry trends and promote the role of ICT in the education industry.
Keywords: Information Communication Technology (ICT), Educational industry
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2016-06-14 13:23:58
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/7564
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 10 No. 1 (2016): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 10 ฉบับที่ 1 มกราคม-มิถุนายน 2559
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/10318
2018-07-18T20:44:42Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
1905-9450
dc
แนวคิดและเกณฑ์ประกันคุณภาพการศึกษาเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียนในระดับหลักสูตร
อนุวงศ์, กัญญดา
ศุภสุธีกุล, อาจรี
แนวคิดและเกณฑ์ประกันคุณภาพการศึกษา
เครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียนในระดับหลักสูตร
กัญญดา อนุวงศ์, อาจรี ศุภสุธีกุล
สาขาวิชาเภสัชกรรมสังคม คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครนทรวิโรฒ
บทคัดย่อ
ระบบประกันคุณภาพการศึกษาเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียนในระดับหลักสูตร (AUN-QA)ได้รับการพัฒนาขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการจำเป็นในการพัฒนาและประกันคุณภาพการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งมีความหลากหลายทั้งในรูปแบบ วิธีการ และพัฒนาการ ให้เป็นมาตรฐานเดียวกันและมีการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับคุณภาพของบัณฑิตให้ตอบสนองความคาดหวังของตลาดแรงงานสนับสนุนเคลื่อนย้ายนักศึกษาและแรงงานคุ้มครองผู้บริโภคของสถาบันการศึกษาและสร้างโอกาสในการแลกเปลี่ยนนักศึกษาและความร่วมมือระหว่างประเทศอาเซียนมีหลักการสำคัญคือผลักดันการจัดการศึกษาที่ใช้ผลลัพธ์การเรียนรู้เป็นฐาน หรือ Outcome-Based Education(OBE)ส่งเสริมการปรับปรุงพัฒนาการจัดการศึกษาอย่างต่อเนื่องด้วยวงจรคุณภาพ Plan-Do-Check-Act (PDCA)และไม่กำหนดวิธีการหรือเครื่องมือในการทางานให้หลักสูตร แต่กำหนดเพียงประเด็นสำคัญที่จาเป็นสาหรับคุณภาพของการจัดการศึกษาเท่านั้น เป็นระบบการประกันคุณภาพการศึกษาที่มีการปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่องระบบล่าสุดคือ AUN-QA Version 3.0 ซึ่งกำหนดเกณฑ์ประกันคุณภาพไว้ 11 เกณฑ์หลัก ภายใต้เกณฑ์หลักจะมีคาอธิบายสาระของเกณฑ์รวม 62 ประเด็น และแต่ละเกณฑ์หลักจะประกอบด้วยเกณฑ์ย่อยซึ่งอาจมีจานวนไม่เท่ากันสาหรับแต่ละเกณฑ์หลักรวม50เกณฑ์ย่อยสาระของเกณฑ์ครอบคลุมการจัดทาผลลัพธ์การเรียนรู้ของหลักสูตรให้ตอบสนองข้อกำหนดของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย การจัดทาหลักสูตร การจัดการเรียนการสอนและการประเมินผู้เรียนโดยใช้ผลลัพธ์การเรียนรู้เป็นฐาน การกากับและพัฒนาคุณภาพของทรัพยากรในกระบวนการผลิตบัณฑิต ซึ่งรวมอาจารย์ บุคลากรสายสนับสนุน บริการที่จัดให้แก่ผู้เรียน และวัสดุอุปกรณ์สถานที่และสิ่งสนับสนุนอื่นที่จาเป็นในการจัดการศึกษา และการติดตามและปรับปรุงคุณภาพผลผลิตของการจัดการศึกษาปัจจุบันในประเทศไทยมีหลักสูตรอย่างน้อย 1,742 หลักสูตรใน 11มหาวิทยาลัย ที่มีการใช้ระบบ AUN-QA
คำสำคัญ: ระบบประกันคุณภาพการศึกษาเครือข่ายมหาวิทยาลัยอาเซียน,การจัดการศึกษาที่ใช้ผลลัพธ์การเรียนรู้เป็นฐาน, วงจรคุณภาพ, การประกันคุณภาพการศึกษาภายในระดับหลักสูตร
AUN-QA Concept And Criteriaat Programme Level
KunyadaAnuwong, AjareeSupasuteekul
Department of Social Pharmacy, Faculty of Pharmacy,Srinakharinwirot University
Department of Mechanical Engineering, Faculty of Engineering, Srinakharinwirot University
Abstract:
ASEAN University Network Quality Assurance (AUN-QA) system at a programme level has been developed in response to the demand and need for the improvement of higher educationquality and quality assurance among ASEAN countries. The AUN-QA ultimate goal is the standard and continuous improvement of ASEAN education quality and QA among ASEAN countries which differ and vary in pattern, methods and development. AUN-QA objectives are to increase the graduates’ quality to meet the ever-changing demands of the industry, support the student and labor mobility, protect the HE consumers, and increase the opportunity for student exchange and other collaborations among ASEAN countries. AUN-QAis based on the Outcome-Based Education (OBE)principle, and the quality enhancement through the Plan-Do-Check-Act (PDCA) or quality cycle. In addition, the AUN-QA is a non-prescriptive system which does not specify working methods or instruments for a programme. It merely establishes the areas necessary for maintaining education quality. AUN-QA system itself has been developed and improved continuously through its learning process. The current system is AUN-QA version 3.0 which consists of 11 criteria and 62 criterion areas. The number of sub-criteria for each criterion varies, with a total of 50 sub-criteria for the whole system.The criteria cover the development of expected learning outcomes for a programme to reflect the stakeholders’ needs; the alignment of the curriculum development and publication, the teaching and learning approach, and the student assessment to the programme learning outcomes; and the quality enhancement of inputs or resources of the programme such as academic and support staff, student services, facilities and infrastructure. Finally, the criteria involve the monitoring and improvement of the programme outputs. AUN-QA has been used for internal quality assurance in at least 1,742 programmes among 11 universities/higher education institutes in Thailand.
Keyword:ASEAN University Network Quality Assurance, AUN-QA, Outcome-Based Education, OBE, PDCA, programme internal quality assurance
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2018-07-12 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/10318
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 12 No. 1 (2018): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 12 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2561
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/10736
2018-12-28T23:15:56Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
1905-9450
dc
การเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษเข้าสู่อาชีพ
ศักดิ์ศิริผล, ดารณี
ลิขสิทธิ์, บัณฑิตา
การเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษเข้าสู่อาชีพ
Vocational Training for Students with Special Needs
ดารณี ศักดิ์ศิริผล*, บัณฑิตา ลิขสิทธิ์
Daranee Saksiripol, Bunthita Likkhasit
ศูนย์พัฒนาการศึกษาพิเศษ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Special Education Development Center, Faculty of Education, Srinakharinwirot University
*Corresponding Author, E-mail: Daranee.swu@gmail.com
บทคัดย่อ
การเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษเข้าสู่อาชีพ เป็นการวางแผนและเตรียมความพร้อมทักษะในด้านต่างๆ ที่สำคัญและจำเป็นสำหรับการประกอบอาชีพในอนาคต ซึ่งการเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้เรียนนี้เป็นบทบาทสำคัญของโรงเรียน ดังจะเห็นได้จากการจัดการศึกษาที่ให้ความสำคัญในการประกอบอาชีพกับการเตรียมผู้เรียนให้มีทักษะและประสบการณ์ โดยกำหนดไว้ ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เริ่มตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในสาระที่ 4 การอาชีพ ด้านการกำหนดมาตรฐานและตัวชีวัดเกี่ยวกับทักษะ ที่จำเป็น ประสบการณ์ แนวทางการประกอบอาชีพ การใช้เทคโนโลยี คุณธรรม และเจตคติที่ดีต่ออาชีพ เพื่อการประกอบอาชีพในอนาคต ซึ่งผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษแต่ละคนจะได้รับการประเมินและวางแผนเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่การประกอบอาชีพ ผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการดำเนินการ ได้แก่ ครูผู้สอน พ่อแม่ ผู้ปกครอง และทีม สหวิชาชีพ โดยการประเมินจะประเมินทักษะทางด้านวิชาการ ทักษะการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งนี้การเตรียมความพร้อมให้แก่ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษเข้าสู่อาชีพจะต้องจัดให้สอดคล้องกับความสามารถและความสนใจของผู้เรียนแต่ละคน
คำสำคัญ: การเตรียมอาชีพ, ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ
Abstract:
Vocational training for students with special needs involves planning and preparation of vital skills required for the occupations. Such arrangement for those students is the key role of schools. Therefore, education management focusing on skills and experiences for occupations as well as readiness for students has been specified in the Basic Education Core Curriculum B.E. 2551 (A.D. 2008) from grade 4 through grade 6 in the learning area 4: occupations, definitions of standards and indicators for required skills, experiences, career paths, application of technologies, morals, and attitudes toward work for the future. Each students with special needs will be assessed and prepared for shift to career. Key implementers are instructors, parents, custodians, and team of multidisciplinary and assessment includes academic and living skills. Vocational training for students with special needs must be consistent with the abilities and interests of each student.
Keyword: vocational training, students with special needs
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2018-07-18 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/10736
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 12 No. 2 (2018): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 12 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2561
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/13020
2021-01-08T14:01:25Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"201127 2020 eng "
1905-9450
dc
อุตสาหกรรมศึกษาและการเสริมสร้างสมรรถนะผู้เรียน
ชุ่มมั่น, นิกูล
สุขหวาน, โอภาส
เจริญศรี, ปัญจพงค์
คำสุจริต, สวรุจ
บทคัดย่อ
จากทักษะในศตวรรษที่ 21 และสมรรถนะของผู้เรียนในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 ได้ใช้เป็นกรอบในการจัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน แต่การเปลี่ยนแปลงสมรรถนะของผู้เรียนในอนาคตได้นำไปสู่การปรับปรุงหลักสูตร หลักสูตรที่ปรับปรุงมุ่งให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะที่ตรงตามความต้องการของสังคมมากขึ้น แก่นสำคัญของการเสริมสร้างสมรรถนะผู้เรียนที่ใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย 1) มุ่งหวังให้ผู้เรียนเกิดความก้าวหน้าในระดับที่สามารถในไปใช้และปฏิบัติได้ 2) สมรรถนะที่คาดหวังให้เกิดขึ้นระหว่างการจัดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ของหลักสูตร 3) คำนึงถึงความแตกต่างของแต่ละบุคคล 4) การเรียนรู้สามารถดำเนินการได้หลากหลาย 5)สมรรถนะผู้เรียนประกอบด้วย ความรู้ ทักษะ และทัศนคติ และนำไปสู่การนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้หลักสูตรอุตสาหกรรมศึกษาเป็นหลักสูตรที่จัดการเรียนการสอนเกี่ยวข้องกับงานช่างอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีครอบคลุมถึงการฝึกปฏิบัติและการประมวลความรู้ในงานช่าง ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตและการประกอบอาชีพ การจัดการศึกษาทางด้านอุตสาหกรรมศึกษามีขอบข่าย 2 แนวทาง ได้แก่ 1) อุตสาหกรรมศึกษาทั่วไป และ 2) อุตสาหกรรมศึกษาเฉพาะด้าน ดังนั้นการเสริมสร้างสมรรถนะผู้เรียนด้านอุตสาหกรรมศึกษาควรคำนึงถึงความแตกต่างกัน ตามความมุ่งหมายของการจัดการศึกษาแต่ละช่วงวัย ขอบข่ายการจัดการศึกษาทางด้านอุตสาหกรรม และระดับและระบบการศึกษาของหลักสูตร
คำสำคัญ : อุตสาหกรรมศึกษา, สมรรถนะผู้เรียน, ทักษะในศตวรรษที่ 21
Abstract
From the 21st century skills and learner competencies in the Basic Education Core curriculum 2008, it serves as a framework for organizing learning for the learners. But a change in the performance of the learner in the future has led to the improvement of the curriculum. Improved curriculum aims to provide students with greater competencies that meet the needs of society. At the core of the student competency enhancement used as a guideline for learning management are: 1) Aiming at the learner to make progress at an accessible and practical level, 2) Competency expected during learning management. 3) Taking into account individual differences 4) Learning can be carried out in a variety of ways. 5) Student Competency consists of knowledge, skills and attitudes and leads to their usefulness in daily life. The Industrial Studies course is a course that provides teaching and learning related to industrial mechanics and technology, including practical training and knowledge processing in handwork. Necessary for life and career. Educational management in the educational industry has two areas: 1) general education industry and 2) specialized education industry. Therefore, the enhancing of student competency of industrial education should take into account the differences according to the educational objectives of each age group, the scope of industrial education, and the levels and systems of education.
Keywords : Industrial education, student competency, 21st century skills
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2020-07-20 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/13020
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 14 No. 2 (2020): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 14 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม 2563)
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/13051
2021-01-08T14:01:25Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"201223 2020 eng "
1905-9450
dc
ความรู้เบื้องต้นในระบบงานอุตสาหกรรมสำหรับนิสิต/นักศึกษาหลักสูตรครูในสถาบันอุดมศึกษา
ศิรินุพงศ์, ภานุวัฒน์
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
บทความวิชาการครั้งนี้เป็นบทความเพื่อนำเสนอความรู้เบื้องต้นในระบบงานอุตสาหกรรมสำหรับนิสิต/นักศึกษาหลักสูตรครูในสถาบันอุดมศึกษา เป็นพื้นฐานความรู้ความเข้าใจในความต้องการต่างๆ ที่จำเป็นในการปฏิบัติงานในระบบงานอุตสาหกรรมเพื่อให้นิสิต/นักศึกษาหลักสูตรครูในสถาบันอุดมศึกษาได้สามารถนำความรู้เบื้องต้นในระบบงานอุตสาหกรรมไปการกำหนดการจัดการเรียนการสอน เนื้อหาวิชา กิจกรรมและสื่อการศึกษารวมถึงการประเมินผลให้สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาที่สอนนั้นๆ เหมาะสมกับผู้เรียนที่จะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของระบบงานอุตสาหกรรม และนิสิต/นักศึกษาหลักสูตรครูในสถาบันอุดมศึกษาสามารถใช้ความรู้พื้นฐานนี้ในการแนะนำ แนะแนวให้ผู้เรียนได้ทราบถึงสมรรถนะความรู้ที่พึงมีเพื่อการเข้าสู่การทำงานในระบบงานอุตสาหกรรมของผู้เรียนหรือจัดประสบการณ์การเรียนรู้ในเนื้อหาให้ผู้เรียนได้เกิดความเข้าใจเพื่อความพร้อมหากต้องการเข้าสู่งานอุตสาหกรรมหลังสำเร็จการศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยความรู้เบื้องต้นได้แก่ ทฤษฎี หลักการ แนวคิดทางอุตสาหกรรม ความหมายของคำว่าอุตสาหกรรม กระบวนการทางอุตสาหกรรม/กระบวนการผลิต หลักการการวิเคราะห์เชิงระบบ เป้าหมายและตัวชี้วัดประสิทธิภาพโดยรวมการผลิตในระบบงานอุตสาหกรรม มาตรฐานอุตสาหกรรมและมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ระบบการบริหารจัดการคุณภาพโดยรวมในระบบงานอุตสาหกรรม และแนวทางเสริมสร้างสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ในระบบงานอุตสาหกรรมสำหรับนิสิต/นักศึกษาหลักสูตรครูในสถาบันอุดมศึกษา
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2020-07-20 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/13051
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 14 No. 2 (2020): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 14 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม 2563)
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/13067
2021-01-08T14:01:25Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"201213 2020 eng "
1905-9450
dc
การวัดประเมินอย่างมีความหมายในการสอนงานนักศึกษาอาชีวศึกษา
กฤชคฤหาสน์, สุวิมล
Department of Evaluation and Research, Faculty of Education, Ramkhamhaeng University
ระบบการศึกษาและการจัดการศึกษาในปัจจุบันมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเกิดผลลัพธ์การเรียนรู้ ผลจากการเปลี่ยนแปลงทางการศึกษาที่สำคัญ คือ ผลลัพธ์การเรียนรู้ หรือสมรรถนะเหล่านี้สามารถสะท้อนถึงผู้เรียนมีทักษะ ความสามารถในการบูรณาการองค์ความรู้ในวิชาแกน ทักษะวิชาชีพ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไปสู่การทำงานอย่างมืออาชีพที่แท้จริง การวัดประเมินที่มีความหมายต่อผู้เรียน ครูผู้สอน และผู้เกี่ยวข้องมุ่งเน้นที่สารสนเทศที่ได้จากการวัดประเมินสามารถนำไปสู่การตัดสินใจที่น่าเชื่อถือโดยอิงจากผลการเรียนรู้ที่ตรงตามสภาพจริงของผู้เรียน และการวัดประเมินที่เน้นการเสริมสร้างสมรรถนะทางวิชาชีพของผู้เรียนสามารถสรุปได้สองข้อสรุปที่สำคัญ ข้อสรุปที่หนึ่ง การวัดประเมินเพื่อการเรียนรู้ การวัดประเมินขณะเรียนรู้ และการวัดประเมินผลการเรียนรู้ ครูผู้สอนสามารถออกแบบได้ ดำเนินการได้ โดยกระบวนการดังกล่าวต้องมีความสอดคล้องกันภายในระบบการศึกษาทั้งหมด เมื่อครูผู้สอนดำเนินการตามหลักการนี้แล้วจะทำให้สามารถตัดสินใจที่เหมาะสมกับสมรรถนะทางวิชาชีพของผู้เรียน และยังช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของตนเอง นอกจากนี้บทบาทของผู้เรียนได้ถูกขยายบทบาทเป็นผู้มีส่วนร่วมในการเรียนการสอน ข้อสรุปที่สอง การวัดประเมินผู้เรียนจะมีประสิทธิภาพเมื่อนำกระบวนการวัดประเมินนั้นมาเชื่อมโยงกับการทำงานร่วมกันอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องระหว่างครูผู้สอน และผู้เรียน เนื่องจากกลไกของการพัฒนาการเรียนการสอนจำเป็นต้องมีความสอดคล้องระหว่างผลลัพธ์การเรียนรู้ การสอน และการวัดประเมิน และครูผู้สอนสามารถปรับการสอนและการวัดประเมินให้เกิดผลลัพธ์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2020-07-20 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/13067
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 14 No. 2 (2020): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 14 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม - ธันวาคม 2563)
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/13274
2021-09-23T10:56:31Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"210514 2021 eng "
1905-9450
dc
การอาชีวศึกษาเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมในพื้นที่
หันสมร, กิตติพันธ์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
บทความวิชาการนี้ เป็นบทความเพื่อนำเสนอแนวคิดการจัดการอาชีวศึกษาเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมในพื้นที่ เพราะหลักการหนึ่งของการจัดการศึกษาทางอาชีวศึกษา คือ การจัดการศึกษาโดยยึดพื้นที่เป็นหลัก กล่าวคือ การจัดการศึกษาที่เกิดขึ้นจะต้องสอดคล้องและสนับสนุนการประกอบอาชีพ หรืออุตสาหกรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่เป็นหลัก ซึ่งทุกกระบวนการเริ่มตั้งแต่การพัฒนาหลักสูตร การจัดการเรียนการสอน ตลอดจนผู้เรียนสำเร็จการศึกษา จะต้องเป็นการดำเนินงานของทั้ง 3 ฝ่ายร่วมกัน คือ ภาครัฐ สถานศึกษา และสถานประกอบการ โดยหลักสูตรที่เกิดขึ้น สถานประกอบการจะต้องมีส่วนในการเข้ามาร่วมจัดทำ เสนอแนะ และแสดงความคิดเห็น เพื่อให้หลักสูตรเป็นที่ยอมรับและใช้ประโยชน์ได้จริง การจัดการเรียนการสอนจะต้องเกิดขึ้นทั้งในสถานศึกษาและสถานประกอบการ ตลอดจนด้านครูผู้สอน สถานประกอบการจะต้องส่งผู้ที่มีความรู้ความชำนาญในอาชีพมาร่วมถ่ายทอดความรู้ให้กับผู้เรียนด้วย และการเข้าไปฝึกปฏิบัติงานในสภาพแวดล้อมจริงในสถานประกอบการ ในลักษณะของรูปแบบทวิภาคี เพราะการจัดการเรียนการสอนทางอาชีวศึกษาเป็นการสร้างกำลังคนระดับกลางเพื่อให้มีความรู้ ทักษะ และเจตคติที่ดีต่อการทำงาน เพื่อเข้าไปเป็นกำลังแรงงานในสถานประกอบการ เพราะฉะนั้นหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนจะต้องอิงไปตามความต้องการของสาขางาน หรืออาชีพที่ตลาดแรงงานต้องการ โดยเฉพาะพื้นที่ที่สถานศึกษาตั้งอยู่ ผลที่เกิดขึ้น คือ หลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนได้รับการพัฒนาปรับปรุงอยู่ตลอดเวลา และสถานปรกอบการได้กำลังแรงงานที่มีคุณภาพและปริมาณเข้าไปพัฒนาองค์การ
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2021-04-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/13274
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 15 No. 1 (2021): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 15 ฉบับที่ 1 (มกราคม - มิถุนายน 2564)
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/14448
2022-09-26T03:20:03Z
jindedu:Jacind
nmb a2200000Iu 4500
"220924 2022 eng "
1905-9450
dc
นวัตกรรมและงานสร้างสรรค์ : การบูรณาการทักษะกับการเสริมสร้างพัฒนาการผู้เรียน
สุขหวาน, โอภาส
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
บุญเฉลยมรรค, นลินทิพย์
มัธยมจันทร์, สมสุดา
บทคัดย่อ
หลักสูตรการศึกษาบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เป็นหลักสูตรการผลิตครูที่มุ่ง ให้เป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ ทักษะ และสมรรถนะ ที่พร้อมไปสู่การจัดการเรียนการสอน การบูรณาการข้ามศาสตร์ ตลอดจนการพัฒนานวัตกรรมและการสร้างสรรค์ผลงานที่หลากหลายในการส่งเสร้มพัฒนาการ ความรู้ ความคิด และการพัฒนาของผู้เรียนแต่ละช่วงวัย เพื่อเตรียมกำลังคนไปสู่การเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญของประเทศ การจัดการเรียนรู้ในวิชาเอกต่างๆ เช่น วิชาเอกอุตสาหกรรมศึกษา วิชาเอกการศึกษาปฐมวัย ให้ความสำคัญของการพัฒนาครูที่สอดคล้องกับการเสริมสร้างพัฒนาผู้เรียนทักษะตามความสำคัญในศตวรรษที่ 21
คำสำคัญ นวัตกรรม งานสร้างสรรค์ พัฒนาการผู้เรียน
Abstract
Bachelor of Education Program, Faculty of Education, Srinakharinwirot University, aiming to produce teachers with knowledge, skills and competencies that are ready for teaching and learning, integration across sciences, innovation development and creativity in promoting Development of learners in each age group. The development of learners is the preparation of manpower to become an important human resource of the country. Therefore, the Bachelor of Education Program manages learning in various majors such as Industrial Education majors. Majoring in Early Childhood Education This course focuses on teacher development in line with the development of learners according to important skills in the 21st century.
Keywords : innovation, creativity, learner development
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2022-09-24 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/14448
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 16 No. 1 (2022): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 16 ฉบับที่ 1 (มกราคม-มิถุนายน พ.ศ. 2565)
eng
Copyright (c) 2022 วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา