2024-03-28T20:26:12Z
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/index/oai
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1683
2012-02-18T13:37:30Z
jindedu:Jacind
"110901 2011 eng "
1905-9450
dc
การประยุกต์ใช้พาร์ทิเคิลสวอมออฟทิไมเซชั่นอัลกอริทึ่มแบบต่างๆในการจัดตารางการผลิตแบบทำตามสั่ง VARIOUS VERSIONS OF PARTICLE SWARM OPTIMIZATION ALGORITHM APPLIED FOR JOB-SHOP SCHEDULING PROBLEMS
พงศ์ชัยฤกษ์, พิศุทธิ์
ภาควิชาวิศวกรรมการผลิต คณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีไทย–ญี่ปุ่น
วิธีการหาคำตอบที่ดีที่สุดของฟังก์ชั่นทางคณิตศาสตร์แบบพาร์ทิเคิลสวอมออฟทิไมเซชันอัลกอริทึ่ม หรือ PSO เป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการหาคำตอบที่ดีที่สุดของปัญหาฟังก์ชั่นทางคณิตศาสตร์รวมไปถึงปัญหาต่างๆทางวิศวกรรม เพราะ PSO มีประสิทธิภาพสูงในการหาคำตอบที่ดีในเวลาอันสั้น ภายหลังจึงมีนักวิชาการหลายท่านได้นำวิธี PSO แบบมาตรฐาน ไปทำการดัดแปลงแก้ไขเพื่อพัฒนาให้ได้วิธี PSO ที่มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น อันนำมาสู่การสร้างวิธี PSO ในเวอร์ชันใหม่ๆ บทความวิชาการฉบับนี้จึงมีจุดมุ่งหมายที่จะสรุปวิธี PSO ที่สำคัญๆ ในเวอร์ชันต่างๆ รวมไปถึงเหตุจูงใจในการสร้างวิธี PSO เวอร์ชันนั้นๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจรวบยอดในการพัฒนาวิธี PSO ให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งๆขึ้นไป ยิ่งไปกว่านั้นบทความวิชาการฉบับนี้ยังได้นำเสนอวิธีการประยุกต์ใช้ PSO กับการจัดตารางการผลิตสำหรับการผลิตแบบตามสั่ง ซึ่งเป็นปัญหาที่สำคัญที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมหลากหลายประเภทของประเทศไทย
Particle swarm optimization, or PSO, is a random search algorithm which is popularly used in finding the optimal solution for the mathematical functions as well as the engineering problems. The reason behind is that PSO is capable to find high quality solutions in a short computational time. Therefore, many researchers have paid their attentions to modify the standard PSO in order to enhance the search performance of PSO; this leads to create many new PSO versions. This academic article then aims to summarize several important versions of PSO and the inspirations of their development. Later on, this academic article presents an application of PSO to job-shop scheduling problems.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2011-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1683
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 1 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1684
2012-02-18T13:37:30Z
jindedu:Jacind
"110901 2011 eng "
1905-9450
dc
อาการเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานในอาคาร : สาเหตุและวิธีบรรเทาอาการ Sick Building Syndrome Symptom – Causes and Relieving Remedies
งามพรประเสริฐ, สมหญิง
มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
ความพยายามที่จะอนุรักษ์พลังงานด้วยการสร้างอาคารที่มีประสิทธิภาพในการอนุรักษ์พลังงานก่อให้เกิดปัญหาหลายประการทางสุขภาพที่รู้จักกันในชื่อว่า “อาการเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงานในอาคาร” (Sick building syndrome หรือ SBS) บทความนี้เสนอสาเหตุทั่วไปของอาการเจ็บป่วยในอาคารเนื่องจากสภาพแวดล้อมการทำงาน ลักษณะอาการเจ็บป่วย และผลกระทบที่อาการเจ็บป่วยดังกล่าวมีต่อระดับผลิตภาพการทำงาน รวมทั้งให้คำแนะนำในการบรรเทาอาการเจ็บป่วยจากการทำงานในอาคารดังกล่าว
คำสำคัญ: อาการเจ็บป่วยเนื่องจากการทำงาน
Abstract
Designing of energy efficiency buildings is one among various attempts to conserve energy. Consequently, it leads to health problems of employees known as “Sick Building Syndrome symptoms” (SBS). This paper presents general causes of the sick building syndrome symptoms from indoor work environment, symptoms’ patterns and their effects on employees’ productivities, as well as suggestions on how to alleviate those SBS symptoms.
Keyword: Sick Building Syndrome Symptom
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2011-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1684
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 1 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1685
2012-02-18T13:37:30Z
jindedu:Jreind
"110903 2011 eng "
1905-9450
dc
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานก่อสร้าง / Factors Related to Safety Practices of Construction Safety Officer
ฟักสุวรรณ, บุญมามณี
มหาวิทยาราชภัฏจันทรเกษม
สุวคันธกุล, อุปวิทย์
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัยในการก่อสร้างของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ตัวแปรอิสระ ที่ใช้ในการศึกษา คือ สถานภาพ ของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ได้แก่ อายุประสบการณ์ ระดับการศึกษา และประสบการณ์อบรมด้านความปลอดภัย ตัวแปรตามคือการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัย ได้แก่ ด้านความรู้ในวิชาชีพ ด้านบทบาทหน้าที่ ด้านบุคลิกภาพ และ ด้านเจตคติต่อวิชาชีพ ผู้วิจัยทำการสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายจำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม สถิติทีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ค่าสหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า 1. )สถานภาพของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานก่อสร้าง พบว่า เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานก่อสร้าง ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 18-30 ปี คิดเป็นร้อยละ 50.00 ส่วนใหญ่มีประสบการณ์ในการทำงาน 1 – 10 ปี คิดเป็นร้อยละ 50.00 ส่วนใหญ่มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษา/ป.ว.ช คิดเป็นร้อยละ 50.00 ส่วนใหญ่ไม่มีประสบการณ์อบรมด้านความปลอดภัยในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานหรือไม่เคยอบรมความปลอดภัย มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 50.00 2.) การปฏิบัติงานด้านความปลอดภัย เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานก่อสร้าง ด้านความรู้วิชาชีพโดยรวมอยู่ในระดับดี คะแนนเฉลี่ยรวมทั้ง 6 หมวดได้เท่ากับร้อยละ 78.17 คะแนน 3.)สถานภาพ ของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานก่อสร้าง ได้แก่ อายุ ประสบการณ์ ระดับการศึกษา และประสบการณ์อบรมด้านความปลอดภัย มีความสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานด้านความปลอดภัย ด้านความรู้ในวิชาชีพ ด้านบทบาทหน้าที่ ด้านบุคลิกภาพ และ ด้านเจตคติต่อวิชาชีพ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05
คำสำคัญ: การปฏิบัติงานด้านความปลอดภัย, เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงานก่อสร้าง
Abstract
The objective of this research was to study factors related to safety practices of construction safety officer. The independent variables were status of safety officers such as age, experience, educational attainment and safety training experience. The dependent variables were safety practices of construction safety officer in four areas. The questionnaires were used to collect the data. The statistical tools used to analyze the data, were Percentage, Mean, Standard Deviation and Pearson Product Moment Correlation. The results were as followed: 1. )There were 40 construction safety officers’ in this study. Most of them were aged between 18-30 years olds or 50 percent, had experiences between 1– 10 years or 50 percent, finished vocational school 50 percent had safety training experiences 50 percent. 2.) The safety practices of construction safety officer in safety professional knowledge in 6 areas were at the good level the average of 78.17. 3.) There was positive relationship between construction safety officer statuses were age, experience, educational attainment, safety training experience and safety practices. Which had a statistical significant relation ship at 0.05.
Keyword: Safety practices, Construction safety officer
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2011-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1685
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 1 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1876
2012-02-18T13:37:30Z
jindedu:Jreind
"120209 2012 eng "
1905-9450
dc
ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตในการทำงานกับแรงจูงใจการทำงานของพนักงานประจำสำนักงานบริการของบริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน)
ดวงสมบูรณ์, ดำรงศักดิ์
หรดาล, พงศ์
เฉยไสย, สมเดช
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับคุณภาพชีวิตในการทำงาน และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพชีวิตในการทำงานกับแรงจูงใจของพนักงานประจำสำนักงานบริการของบริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานประจำสำนักงานบริการของบริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 193 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1.ลักษณะส่วนบุคคล 2.คุณภาพชีวิตในการทำงานและ 3.แรงจูงใจในการทำงานของพนักงาน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานใช้การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และค่าสหสมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า พนักงานมีคุณภาพชีวิตในการทำงานโดยรวมอยู่ในระดับสูง แรงจูงใจในการทำงานอยู่ในระดับปานกลาง พนักงานที่มีเพศ อายุ อายุการทำงาน และรายได้ต่างกัน มีแรงจูงใจในการทำงานต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 คุณภาพชีวิตในการทำงานมีความสัมพันธ์ทางบวกกับแรงจูงใจในการทำงานที่ r = 0.701 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ข้อเสนอแนะจากการวิจัย บริษัทโทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ควรมีนโยบายส่งเสริมที่ สอดคล้องกับคุณภาพชีวิตในการทำงานกับแรงจูงใจในการทำงานของพนักงาน ควรมีการศึกษาคุณภาพชีวิตในการทำงานกับแรงจูงใจในการทำงานของพนักงานกับกลุ่มตัวอย่างอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ศึกษาปัจจัยที่คาดว่าจะมีความสัมพันธ์และมีผลต่อแรงจูงใจในการทำงานของพนักงาน เพื่อรวบรวมองค์ความรู้ที่ได้รับจากวิจัยไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาองค์กรให้ดีขึ้นต่อไป
คำสำคัญ: คุณภาพชีวิตในการทำงาน, แรงจูงใจการทำงาน
Abstract
The purposes of this study were to study the relationship between qualities of work life with working motivation of employee services office at Total Access Communications PLC. The samples were 139 employees of services office at Total Access Communications PLC. Questionnaires were used to collect data. There were 3 parts of questionnaires, 1; personal data, 2; quality of work life and 3; working motivation. Statistical tools were used for analyzed the data, they were frequency, percentage, mean and standard deviation. The hypotheses were tested by t-test, One-way Analysis of Variance, and Pearson Product Moment Correlation. The research found that the employee quality of work life of employees as a whole in average level. The working motivation of employees as a whole was in moderate level. The employees who had different gender, age, working experience, and income have significant difference working motivation at .01 levels. There was positive significant relationship between qualify of work life and working motivation (.r = 0.701) significant at .01 level. Recommendation, the Total Access Communications PLC should have policies that related to quality of working life and motivate of the employees. They should study quality of working life and motivate of the employees of the other employees group and also study the other factors that might have relationship and impact to working motivation in order to improve the organization.
Keyword: Quality of Work life, Working Motivation
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2011-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1876
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 1 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1877
2012-02-18T13:37:30Z
jindedu:Jreind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
การสกัดสีย้อมผ้าจากดินแดง
อัจฉราวรรณ์, นันทิยา
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
มงคลพิทักษ์สุข, สมพล
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ของงานวิจัย เพื่อศึกษาการสกัดสีย้อมผ้าจากดินแดบริเวณเขาคลุกคลีในเขตพื้นที่ หมู่12 ตำบลรางหวาย อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี และหาประสิทธิภาพความคงทนของสีตามมาตรฐานอุตสาหกรรมมอก.121-2518 เล่ม2-5 ในด้านความคงทนของสีต่อการซัก ความคงทนของสีต่อแสง ความคงทนของสีต่อเหงื่อ ความคงทนของสีต่อการขัดถู ตามเกร์ยสเกลมาตรฐานอุตสาหกรรม มอก. 121-2518 เล่ม 14 วิธีการดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยได้ใช้ใช้ดินแดงจาก บริเวณเขาคลุกคลีในเขตพื้นที่หมู่12 ตำบลรางหวาย อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี เป็นดินประเภท ดินแดงร่วน ทำการหาองค์ประกอบทางเคมีภายในดินและปริมาณร้อยละของเหล็กออกไซด์โดยเครื่อง X-rays Fluorescence Spectrometer (XRFS) ก่อนการสกัด โดยใช้ดินแดงบริเวณผิวดิน และลึกลงบริเวณใต้ดินระยะ 10 เซนติเมตร นำดินแดงที่ผ่านการหาปริมาณร้อยละของเหล็กออกไซด์ไปทำการสกัดแยกเหล็กออกไซด์โดยเครื่องแยกเหล็กชนิดแม่เหล็กชั่วคราว นำเหล็กออกไซด์ที่ได้จากการสกัดไปวัดค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) โดยเครื่องวัดค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH Meter) และนำเหล็กออกไซด์ผสมสารช่วยติด 3 ชนิด ได้แก่ เกลือ สารส้ม ผงชูรส นำไปย้อมบนผืนผ้า 4 ชนิด ได้แก่ ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าลินิน ผ้าขนสัตว์ ทดสอบประสิทธิภาพความคงทนของสีตามมาตรฐานอุตสาหกรรม มอก. 121-2518 เล่ม 2 เล่ม 3 เล่ม 4 และเล่ม 5 ได้แก่ ความคงทนของสีต่อแสง ความคงทนของสีต่อการซัก ความคงทนของสีต่อเหงื่อ ความคงทนของสีต่อการขัดถู และเปรียบเทียบบนเกร์ยสเกลมาตรฐานอุตสาหกรรม มอก. 121- 2518 เล่ม14 โดยศูนย์วิเคราะห์และทดสอบสิ่งทอ สถาบันอุตสาหกรรมสิ่งทอ ผลการวิจัยพบว่า 1) ผลการทดสอบหาปริมาณร้อยละของเหล็กออกไซด์พบว่าดินแดงบริเวณใต้ดินระยะ 10 เซนติเมตร มีร้อยละเหล็กออกไซด์มากกว่าบริเวณผิวดิน มีเหล็กออกไซด์ร้อยละ 21.43 จึงเลือกดินบริเวณใต้ดินระยะ 10 เซนติเมตร ไปทำการสกัดแยกเหล็กออกไซด์ ผลของการสัดแยกเหล็กออกไซด์พบว่าดินแดงปริมาณ1000 กรัม จะได้สีจากเหล็กออกไซด์จำนวน 94.64 กรัม คิดเป็นร้อยละ 9.46 ของปริมาณของดินแดงที่ใช้ในการสกัด นำเหล็กออกไซด์ที่ได้จากการสกัดไปวัดค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) พบว่าค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ของเหล็กออกไซด์มีค่า 8.99 มีค่าเป็นด่าง 2) ผลการทดสอบประสิทธิภาพความคงทนของสีบนผืนผ้าตามมาตรฐานอุตสาหกรรม มอก.121-2518 เล่ม 2 เล่ม 3 เล่ม 4 และเล่ม 5 เมื่อเปรียบเทียบตามเกร์ยสเกลมาตรฐานอุตสาหกรรม มอก. 121-2518 เล่ม14 พบว่า ผ้าฝ้าย ผ้าลินิน ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ย้อมสีผสมสารช่วยติดชนิด เกลือ สารส้ม และผงชูรส มีประสิทธิภาพความคงทนของสีต่อแสงและประสิทธิภาพความคงทนของสีต่อการซักอยู่ในระดับดี สีมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ประสิทธิภาพความคงทนของสีต่อเหงื่ออยู่ในระดับดีถึงดีมาก สีมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยถึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ประสิทธิภาพความคงทนของสีต่อการขัดถูอยู่ในระดับดี สีมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ยกเว้นผ้าไหมมีประสิทธิภาพความคงทนของสีต่อการขัดถูอยู่ในระดับดีพอใช้ สีมีการเปลี่ยนแปลงพอสังเกตได้
คำสำคัญ: ดินแดง, การสกัด, สีย้อมผ้า
Abstract
The proposes of this research were to extracted fabric of dyestuff from laterite as followed by Thai Industrial Standards (TIS) color,TIS standards No. 121-2518 The laterites were collected from Khuk Klee mountains area, Ban Talaad Khet, Rang Wai, Phanom Thuan district, Kanchanaburi province. The experiments were carried out on an analysis of chemical compositions in the soil and iron oxide percentage by X-rays Fluorescence Spectrometer (XRFS) mechanism. The laterite area underlying ground and deep down to the ground 10 centimeter.The extraction was passed though magnetic separator for iron oxide removal. The iron oxide was measured the pH value by pH meter. The iron oxide was mixed with three type of mordants such as sodium chloride, potassium aluminium sulfate (PAS), or monosodium glutamate (MSG) by dyeing on the four types of fabrics including cotton, wool, linen and silk. The tested under TIS standards No. 121-2518 volume 2, 3, 4 and 5, including the retention of the color to light, durability of color to washing processed, color stability of the sweat and durability of the of the polishing when compared with TIS standards No.121-2518 volume 14 at Textile testing Center Thailand Textile Institute. The result of testing percentage in iron oxides found that laterite deep down to the ground 10 centimeter has more percentage than laterite area underlying ground and has iron oxides 21.43 percentage. Then choose laterite deep down to the ground 10 centimeter (quantity 1000 gram) to extraction and separates the iron oxides. The result shown that in quantity 1000 gram could extraction and separates in quantity shares 94.64 gram or 9.46 percentage of the quantity of the laterite that uses in the extraction. The result of testing acid and alkaline salt (pH) is 8.99 there is the alkaline. The result of testing durability efficiency of a color under TIS standards No. 121-2518 volume 2, 3, 4 and 5 compare with scale under standardizes of TIS standards No.121-2518 volume 14.We found that cotton, wool, linen and silk,dyes to mixed with mordants such as sodium chloride, PAS or MSG. The durability of a color with light and the durability of a color with cloth washing in good level. The color has a little change. The effective of the durability of a color with sweat is in good to excellent level. The color has a little change and seems not change. But silk, there is effective the durability of a color with the scrub rubs in fair level. The color has a little change and we could observe.พจนานุกรม - ดูพจนานุกรมโดยละเอียด
Keyword: Latrerite, Extraction, Fabric dyestuff.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2011-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1877
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 1 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1878
2012-02-18T13:37:30Z
jindedu:Jreind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดกับพฤติกรรมของนักกอล์ฟในการใช้บริการร้านกอล์ฟ
คุปต์อารยกุล, ประภาพร
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
คูวัฒนะศิริ, กาญจนา
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการกับพฤติกรรมของนักกอล์ฟในการใช้บริการร้านกอล์ฟ ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการ ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด และด้านพนักงานผู้ให้บริการ และข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการใช้บริการร้านกอล์ฟ ตัวแปรอิสระ ที่ใช้ในการศึกษา คือ 1. ลักษณะทางประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ อายุ รายได้ต่อเดือน ระดับการศึกษา 2. ปัจจัยส่วนประสมทางตลาดบริการ ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านพนักงานผู้ให้บริการ ตัวแปรตาม คือ พฤติกรรมของนักกอล์ฟในการใช้บริการร้านกอล์ฟ ผู้วิจัยทำการสุ่มตัวอย่างอย่างง่ายจำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม สถิติทีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Z-test และ สหสัมพันธ์ ผลการวิจัยพบว่า 1.) ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จากนักกอล์ฟ จำนวน 400คน ส่วนใหญ่เป็นเพศชาย จำนวน 330 คน คิดเป็นร้อยละ 82.5 ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 41-50 ปี จำนวน 240 คน คิดเป็นร้อยละ 60.00 ส่วนใหญ่มีระดับการศึกษา ปริญญาตรี จำนวน 254 คน คิดเป็นร้อยละ 63.50 ส่วนใหญ่มีรายได้ 80,001 – 100,000 บาทต่อเดือน มีจำนวน 160 คน คิดเป็นร้อยละ 40.00 ส่วนใหญ่มีประสบการณ์ที่เคยเล่นกอล์ฟระหว่าง 11 - 15 ปี จำนวน 240 คน คิดเป็นร้อยละ 60.00 2.)นักกอล์ฟมีความคิดเห็นต่อปัจจัยส่วนประสมทางตลาดบริการ โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 4.20 เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านผลิตภัณฑ์ มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 4.80 อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือด้านราคา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.60 อยู่ในระดับมากที่สุด ด้านการส่งเสริมการตลาดมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.15 อยู่ในระดับมาก ด้านพนักงานผู้ให้บริการมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.80 อยู่ในระดับมาก ด้านการจัดจำหน่าย มีค่าเฉลี่ยต่ำสุดเท่ากับ 3.65 อยู่ในระดับมาก 3.)นักกอล์ฟมีความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมของนักกอล์ฟในการใช้บริการร้านกอล์ฟ โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.31 เมื่อพิจารณารายข้อพบว่า ใช้บริการร้านกอล์ฟโดยพิจารณาจากคุณภาพเป็นลำดับแรกมีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากับ 4.66 อยู่ในระดับมากที่สุด รองลงมาคือ ใช้บริการร้านกอล์ฟโดยดูจากชื่อยี่ห้อผลิตภัณฑ์ที่นิยม มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.65 อยู่ในระดับมากที่สุด 4.) ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการ โดยรวมมีความสัมพันธ์ทางบวกกับ
พฤติกรรมของนักกอล์ฟอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เท่ากับ .363 ซึ่งสอดคล้องกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้ เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านพนักงานผู้ให้บริการ ด้านการส่งเสริมการตลาด และด้านการจัดจำหน่าย มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมของนักกอล์ฟอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
คำสำคัญ: ส่วนประสมทางการตลาด, พฤติกรรมการใช้บริการร้านกอล์ฟ, นักกอล์ฟ
Abstract
The objectives of this research were to study the relationship between service marketing mixes and golfers’ behavior on golf shops. The marketing mixes were products, price, place, promotion and personal. The researcher investigated the golfers’ behavior on golf shops. The independent variables were 1. Golfers status such as sex age income and educational attainment 2. The service marketing mixes were products, price, place, promotion and personal. The dependent variable was golfers’ behavior on golf shops. The samples were 400 golfers. The questionnaires were used to collect the data. The statistical tool used to analyze the data, were percentage, mean, standard deviation, Z-test and simple correlation. The results were as follows: 1. )There were 400 golfers’ in this study. Most of them were male (330 or 82.5 percent), aged between 41-50 years old (240 golfers’ or 60 percent), obtained bachelor degree (254 golfers or 63.50 percent), had income of 80,001 -100,000 bah (160 golfers or 40.00 percent), had experiences as golfers between 11 – 15 years (240 golfers or 60 percent). 2.) The golfers’ opinion on the service marketing in overall aspects was at a high level the average of 4.20. If considering in each aspect, it was found that product and price aspects were at the highest level the average of 4.80 and 4.60 respectively, where as promotion, personal and place aspects were at a high level have the average of 4.15, 3.80, 3.65 respectively. 3.) In terms of the golfers’ behavior on the services of the golf shops, it revealed that in overall aspects were at a high level. When considering each aspect, the quality and brand of the products were at the highest level have the average of 4.66 and 4.65 respectively. 4. )There was positive relationship between the opinions on the service marketing mix and the golfers’ behavior which had a statistical significant relation ship at 0.01 correlation of 0.363.
Keyword: Service Marketing Mix, Golfers Behavior on Golf shops, Golfer.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2011-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1878
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 1 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1879
2012-02-18T12:38:08Z
jindedu:Jacind
"120101 2012 eng "
1905-9450
dc
การอ้างถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
ศรีเชวงทรัพย์, วรากร
บทคัดย่อ
บทความฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงวิธีการต่าง ๆ ที่ใช้ในการระบุหรืออ้างถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในการส่งข้อมูลผ่านทางระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั้นเครื่องคอมพิวเตอร์ต้นทางจำเป็นต้องรู้ที่อยู่ของเครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทาง วิธีการที่ใช้เพื่อระบุที่อยู่ของเครื่องคอมพิวเตอร์ปลายทางมีดังนี้ 1. การใช้หมายเลข IP address หมายเลยนี้ถูกนำมาใช้แทนที่อยู่ของเครื่องคอมพิวเตอร์ในระบบเครือข่าย 2. การใช้ระบบโดเมนเนม (DNS) วิธีการนี้ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยให้ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตไม่ต้องลำบากในการจดจำหมายเลข IP address โดยการใช้ตัวหนังสือแทน ซึ่งง่ายต่อการจดจำมากกว่า 3. การใช้หมายเลข MAC address หมายเลขนี้เป็นหมายเลขเฉพาะซึ่งใช้ในการอ้างถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้บทความฉบับนี้ยังได้กล่าวถึงปัญหาการขาดแคลนหมายเลข IP address, โดเมนเนมและหมายเลข MAC address พร้อมทั้งแสดงวิธีการต่าง ๆ ที่จะช่วยในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว
คำสำคัญ: การระบุเครื่องคอมพิวเตอร์, ไอพีแอดเดรส, โดเมนเนม, แมคแอดเดร, ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
Abstract
This article presents different methods to identify computers on the Internet. In order to transmit a message, a source host need to know the address of the destination host. The following methods are used to identify the computer on the Internet : 1. IP address - It is a number used to identify all the different computers on the Internet. 2. Domain Name System (DNS) - Since an IP address is hard to memorize, while names are easier. Therefore, the DNS is developed to map the IP address into names. 3. MAC address - It is a unique number assigned to each networking device in order to easily identify it from any other devices on the network. This article also identifies problems of lack of IP addresses, domain names, and MAC addresses along with proposing solutions to the problems.
Keyword : Computer identification, IP address, Domain name, MAC address, Interne
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-02-18 12:37:23
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1879
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 2 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1880
2012-02-18T12:38:08Z
jindedu:Jacind
"120101 2012 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาระบบประมวลผลกลุ่มเมฆ
วิไลสกุลยง, นรังสรรค์
บทคัดย่อ
ระบบประมวลผลกลุ่มเมฆคือระบบประมวลผลที่จะเข้ามาแทนที่ระบบประมวลผลคลัสเตอร์และระบบประมวลผลกริด ในปัจจุบันระบบประมวลผลกลุ่มเมฆจะให้บริการทรัพยากรต่างๆ เช่น กำลังประมวลผล, พื้นที่ความจำ, และ พื้นที่สำรองข้อมูลชั่วคราวแก่ทั้งผู้ใช้ที่เป็นองค์กรและส่วนบุคคล ในบทความนี้ได้ทบทวนงานวิจัยที่เกี่ยวกับการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบต่างๆหลายแนวทางเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบประมวลผลกลุ่มเมฆให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วยวิธีการต่างๆหลายด้าน คือ ด้านการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ, ด้านความปลอดภัยของข้อมูล, และ ด้านคุณภาพของการให้บริการทรัพยากรและข้อมูลแก่ผู้ใช้ ซึ่งกำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางในขณะนี้
คำสำคัญ: ระบบประมวลผลกลุ่มเมฆ, เพิ่มประสิทธิภาพ
Abstract
Cloud computing is a computing system that will replace current cluster and grid computing systems. Cloud computing will provide resources and data such as computation power, memories, and temporary storages to both corporate users and individual users. Cloud computing is a computing system that services users in style of on-demand basis. In this article, we reviewed some research that study several development strategies to increase the efficiency of cloud computing. The current strategies that are widely interested including the efficiency used of energy, data security, and the quality of service that provide resources and data to the users.
Keyword : Cloud computing, increase the efficiency
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-02-18 12:37:23
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1880
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 2 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1881
2012-02-18T12:38:08Z
jindedu:Jreind
"120101 2012 eng "
1905-9450
dc
การสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชา อต 514 การจัดการความปลอดภัย ตามหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
เปี่ยมราศรี, เจตนรินท์
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
สุขหวาน, โอภาส
บทคัดย่อ
ความมุ่งหมายของการวิจัยในครั้งนี้เพื่อสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชา อต 514 การจัดการความปลอดภัย ตามหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และประเมินประสิทธิภาพบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชา อต 514 การจัดการความปลอดภัย ประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 13 คน จำนวน 6 ด้าน คือ 1.ด้านเนื้อหาและการดำเนินการ 2.ด้านส่วนประกอบด้านมัลติมีเดีย 3.ด้านการจัดวางรูปแบบของเว็บไซท์ 4.ด้านการเชื่อมโยง 5.ด้านแบบฝึกหัด และ 6.ด้านการออกแบบปฏิสัมพันธ์มีประสิทธิภาพ นำผลการประเมินมาวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test ผลการวิจัยพบว่า (1.) การสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชา อต 514 การจัดการความปลอดภัย ทำการวิเคราะห์เนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คน วิเคราะห์เนื้อหาและสรุปได้ 11 หน่วยการเรียนรู้ดังนี้ 1.ความรู้พื้นฐานความปลอดภัยในงานอุตสาหกรรม 2.ระบบมาตรฐานความปลอดภัยและอาชีวอนามัย พระราชบัญญัติความปลอดภัย 3.การจัดองค์กรความปลอดภัย 4.จิตวิทยาอุตสาหกรรมและการอบรมคนงานเพื่อความปลอดภัย 5.การควบคุม ป้องกัน บันทึก สอบสวน และการประเมินผลทางการสถิติ 6.อุปกรณ์ความปลอดภัยส่วนบุคคล 7.วิศวกรรมความปลอดภัยเฉพาะด้าน ซ่อมบำรุงเครื่องจักร งานกล ไฟฟ้า ขนส่ง 8.วิศวกรรมความปลอดภัยเฉพาะด้านเคมี เชื้อโรค สารพิษ 9.วิศวกรรมความปลอดภัยเฉพาะด้านความร้อน อัคคีภัย 10.การประเมินความเสี่ยงในงานอุตสาหกรรม 11.กรณีศึกษาอุบัติเหตุในงานอุตสาหกรรม (2.)ประสิทธิภาพของบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชา อต 514 การจัดการความปลอดภัย ประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 13 คน จำนวน 11 หน่วยการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพโดยรวมค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.17 อยู่ในเกณฑ์ดี สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 4.00 มีค่าคะแนน t –test 3.23 ซึ่งมีค่าแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 เมื่อพิจารณาค่าประสิทธิภาพดังนี้ 1.ด้านเนื้อหาและการดำเนินเรื่อง มีค่าเฉลี่ย 4.43 คะแนน ค่า t – test มีค่าเท่ากับ 3.39 อยู่ในเกณฑ์ดี 2.ด้านส่วนประกอบด้านมัลติมีเดียมีค่าเฉลี่ย 4.17 คะแนน ค่า t – test มีค่าเท่ากับ 3.09 อยู่ในเกณฑ์ดี 3.ด้านการจัดวางรูปแบบของเวบไซท์มีค่าเฉลี่ย 4.26 คะแนน ค่า t – test มีค่าเท่ากับ 3.03 อยู่ในเกณฑ์ดี 4.ด้านการเชื่อมโยงมีค่าเฉลี่ย 4.04 คะแนน ค่า t – test มีค่าเท่ากับ 0.96 อยู่ในเกณฑ์ดี 5.ด้านแบบฝึกหัดมีค่าเฉลี่ย 3.97 คะแนน ค่า t – test มีค่าเท่ากับ -0.55 อยู่ในเกณฑ์ดี 6.ด้านการออกแบบปฏิสัมพันธ์มีค่าเฉลี่ย 4.05 คะแนน ค่า t – test มีค่าเท่ากับ 0.78 อยู่ในเกณฑ์ดี
คำสำคัญ: บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์, การจัดการความปลอดภัย, สาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษา Abstract
The purposes of this research were to construct electronics learning lessons on IN514 safety management subject according to Master of Education, Major in Industrial Education, Srinakharinwirot University and evaluate The efficiency of electronics learning lesson on IN514 Safety Management Subject. The electronics learning lessons on IN514 Safety Management Subject was evaluated by 13 experts in 6 areas. They were: 1.Content and Process 2.Multimedia 3.Web site Layout 4.Navigation Relation 5.Assignment 6.Interactive Design. The statistical tools the were used to analyze the data were mean standard deviation and t-test. The results were as followed:
1. The construction of Electronics Learning lessons on IN514 Safety Management Subject According to Master of Education, Major in Industrial Education, Srinakharinwirot University was analyze by 5 experts and came out with 11 units. They were: 1.Industrial Safety’s basic knowledge, 2..Safety and Hygiene Standard in Safety Acts 3.Safety Organization, 4.Industrial Psychology and Safety Training to Workers, 5.Control, Protection , Record , Investigation and Statistic Evaluation, 6.Personal Safety Protection, 7.Safety Engineering : Machine Maintenance, Electrical, Metrical, Logistics, 8.Safety Engineering : Chemical , Germ and Toxic Substance, 9.Safety Engineering : Heat and Fire, 10.Industrial Risk Evaluation, 11.Case Study : Accident in Industrial works.
2. The efficiency of Electronics Learning lessons on IN514 Safety Management Subject According to Master of Education, Major in Industrial Education, Srinakharinwirot University was evaluated by 13 experts in 6 areas. For as a whole had the average of 4.17 in good level was higher than standard 4.00 which t = 3.23 When considered in each areas found that; Areas 1 Content and Process t had the average of 4.43 in good level t =3.39 Areas 2 Multimedia had the average of 4.17 in good level t =2.27 Areas 3 Web site Layout had the average of 4.26 in good level t =3.03 Areas 4 Navigation Relation had the average of 4.04 in good level t =0.96 Areas 5 Assignment had the average of 3.97 in good level t =-0.55 Areas 6 Interactive Design had the average of 4.05 in good level t =0.78
Keyword: Electronics learning, Safety Management, Major in Industrial Education
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-02-18 12:37:23
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1881
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 2 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1882
2012-02-18T12:38:08Z
jindedu:Jreind
"120101 2012 eng "
1905-9450
dc
การศึกษาคุณภาพชีวิตคนงานต่างด้าวที่ทำการขนถ่ายสินค้าทางรถบรรทุก
คงคาชนะ, ธนาวิทย์
สดภิบาล, พิชัย
เฉยไสย, สมเดช
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาคุณภาพชีวิตการทำงานของคนงานต่างด้าวที่ทำการขนถ่ายสินค้าทางรถบรรทุก 5 ด้าน คือ ด้านผลตอบแทนที่เป็นธรรม ด้านสภาพการทำงานที่ปลอดภัย ด้านสวัสดิการ ด้านความสมดุลในชีวิตงาน ชีวิตส่วนตัว และด้านความสัมพันธ์ภายในองค์กร และ 2) เปรียบเทียบคุณภาพชีวิตในการทำงานของคนงานต่างด้าวที่ทำการขนถ่ายสินค้าทางรถบรรทุกโดยจำแนกตามลักษณะส่วนบุคคลคือ อายุ สถานภาพสมรส ระยะเวลาในการทำงาน และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นคนต่างด้าวสัญชาติพม่า จำนวน 84 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเพื่อการวิจัยภาษาพม่า สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าเอฟ และการทดสอบค่าที วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวและทดสอบค่าเฉลี่ยความแตกต่างรายคู่ด้วยวิธี LSD ผลการวิจัยพบว่า 1) คนงานต่างด้าวที่ทำการขนถ่ายสินค้าทางรถบรรทุกมีความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตการทำงานอยู่ในระดับปานกลาง 5 ด้าน คือ ด้านผลตอบแทนที่เป็นธรรม (= 3.00) ด้านสภาพการทำงานที่ปลอดภัย (= 3.07) ด้านสวัสดิการ (= 3.13) ด้านความสมดุลในชีวิตงานและชีวิตส่วนตัว (= 3.22) และด้านความสัมพันธ์ภายในองค์กร (= 3.06) แสดงให้เห็นว่าความคิดเห็นของคนงานต่างด้าวที่ทำการขนถ่ายสินค้าทางรถบรรทุกเกี่ยวกับด้านสมดุลในชีวิตงานชีวิต ส่วนตัวมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าด้านอื่นๆ 2) ผลจากการเปรียบเทียบคุณภาพชีวิตในการทำงานของคนงานต่างด้าวที่ทำการขนถ่ายสินค้ารถบรรทุก โดยจำแนกตามลักษณะบุคคลพบว่าคนงานต่างด้าวที่มี อายุ สถานภาพสมรส ระยะเวลาการทำงาน และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่างกัน มีคุณภาพชีวิตการทำงานที่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ข้อเสนอแนะสำหรับการนำผลการวิจัยไปใช้ ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะว่าบริษัทขนส่งสินค้าควรจัดให้มีองค์ประกอบของคุณภาพชีวิตการทำงานทั้ง 5 ด้าน ให้แก่คนงานในระดับที่สูงขึ้น และนำข้อมูลมาพิจารณาในการวางแผน ปรับปรุงและประเมินทิศทางการแก้ไขปัญหาเพื่อนำไปสู่ประสิทธิผลขององค์กรในอนาคตต่อไป
คำสำคัญ: คุณภาพชีวิตการทำงาน, คนงานต่างด้าว, การขนถ่ายสินค้าทางรถบรรทุก
Abstract:
The purposes of this research were 1) to study working quality of life of alien regarding to trucks and trailers land transportation on five aspects which included the fair income, safety at work, welfare, balance of work and personal life, and the relationship within the organization and 2) to compare working quality of life of alien in four aspects, they were, age, martial status, work period and income. The sample groups were 84 Myanmar’s alien workers. The data were collected by using a set of 5-level rating scale questionnaires written in the Myanmar’s language. The percentages, means and standard deviations were employed to analyze the data. F-test, t-test and one-way ANOVA were used to test the hypothesis followed by the use of LSD method to test the paired mean difference. The results of this research were as follows : 1) The alien workers’ opinion towards the working quality of life was at a moderate level in five aspects which included fair income (= 3.00), safety at work (= 3.07), welfare (= 3.13), balance of work and personal life (= 3.22), and the relationship within the organization (= 3.06),which confirmed that the alien workers’ opinion towards balance of work and personal life was ranked with a higher mean score than other aspects. 2) When comparing the alien workers’ working quality of life classified by ages, marital status, work period and income, it revealed that the differences of these personal factors were statistically different at a .05 level of significance. The recommendations from the study are as follows: Five factors concerning the workers’ working quality of life should be more focused on by logistic companies. In addition, for the highest success and efficiency, the organizations should take the research results into consideration in order to set up their future goals of planning, improvement and problem solving as well.
Keyword: Working Quality of Life, Alien Worker, Trucks and Trailers Land Transportation
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-02-18 12:37:23
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1882
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 2 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1883
2012-02-18T12:38:08Z
jindedu:Jreind
"120101 2012 eng "
1905-9450
dc
การวิเคราะห์องค์ประกอบของแบบประเมินในการประหยัดพลังงานไฟฟ้า
เมืองแก้ว, ธีรยุทธ์
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
สุขหวาน, โอภาส
บทคัดย่อ
การวิจัยในครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อวิเคราะห์องค์ประกอบของแบบประเมินในการประหยัดพลังงานไฟฟ้า กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นิสิต/นักศึกษามหาวิทยาลัยราชมงคลกรุงเทพฯ พนักงานบริษัทเซ็นทรัลการ์เม้นท์ แฟคตอรี่จำกัด ข้าราชการกรมราชองครักษ์ พนักงานรัฐวิสาหกิจโรงงานยาสูบ และพ่อค้าแม่ค้าตลาดนัดลาซาล ซอย 48 จำนวน 1,297 คน ซึ่งได้มาจากโดยการสุ่มตัวอย่างแบบเป็นกลุ่ม (Cluster Random Simpling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามการคิดเชิงบวก สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (Exploratory Factor Analysis) โดยทำการวิเคราะห์องค์ประกอบสำคัญ (Principal Component Analysis: PC) และใช้การหมุนแกนแบบมุมฉาก (Orthogonal Rotation) ด้วยวิธีแวริแมกซ์ (Varimax Method)
ผลการวิจัยพบว่า การวิเคราะห์องค์ประกอบของแบบประเมินในการประหยัดพลังงานไฟฟ้า จากตัวแปร 48 ตัว มีค่าสถิติของไคเซอร์-ไมเยอร์-โอลคิน (KMO) มีค่าเท่ากับ 0.866 และค่าสถิติไค-สแควร์ () ที่ใช้ในการทดสอบมีค่าเท่ากับ 28063.300 ซึ่งมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงให้เห็นว่า เมตริกซ์สหสัมพันธ์ของตัวแปรต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กัน ได้ทำการสกัดองค์ประกอบด้วยวิธีการวิเคราะห์องค์ประกอบสำคัญ (Principal Component Analysis: PC) ซึ่งผู้วิจัยทำการหมุนแกนองค์ประกอบและพบว่า ได้องค์ประกอบทั้งหมด 9 องค์ประกอบ มีพิสัยของค่าไอเกนอยู่ระหว่าง 1.044 - 8.143 และมีค่าความแปรปรวนสะสมร้อยละ 56.937 ได้ทั้งหมด 9 องค์ประกอบ และพิจารณาความเหมาะสมของค่าน้ำหนักองค์ประกอบแล้ว ที่เกินค่า .3 ความสอดคลองและข้อคำถามที่มีน้อยเกินไป ทำให้เหลือองค์ประกอบที่ใช้ได้จริง 7 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบที่ 1 ด้านความรับผิดชอบในการประหยัดพลังงานไฟฟ้า องค์ประกอบที่ 2 ด้านการสนับสนุนทางสังคมในการประหยัดพลังงานไฟฟ้า องค์ประกอบที่ 3 ด้านทัศนคติต่อการประหยัดพลังงานไฟฟ้า องค์ประกอบที่ 4 ด้านความสนใจในการรับข้อมูลข่าวสารในการประหยัดพลังงานไฟฟ้า องค์ประกอบที่ 5 คือ ความรู้ในการประหยัดพลังงาน องค์ประกอบที่ 6 คือ พฤติกรรมการใช้พลังงานไฟฟ้า และองค์ประกอบที่ 7 คือ การศึกษาข้อมูลก่อนซื้อและใช้พลังงานไฟฟ้า
คำสำคัญ: วิเคราะห์องค์ประกอบ, การประหยัดพลังงานไฟฟ้า
Abstract
The purposes of this research was to analyzed factors for evaluation on electric energy saving. The sampling were 1,297 peoples chosen by cluster random sampling technique. They were Students of Rajamangala University of Thechnology Krungthep,. employees of Central Garment Factory Co.,Ltd, Officers of Royal Aide de Camp Department, Employees of State Enterprise of Thai tobacco, and Lasalle vendors soi 48. Questionnaires were used for collect the data in positive side. Statistical tools were used for analyzed the data they were exploratory factor analysis by analyzed principal component analysis: PC, and Orthogonal Rotation by Varimax Method.
The results were as followed
There were 48 factors analysis for evaluation on electric energy saving. Kaiser-Meyer-Olkin was (KMO) 0.866 and Chi-Square () was 28063.300 which is statistically significant at the .05 level showed that Correlation matrix of different variables are related. Elements can be extracted by analysis of Principal Component Analysis (PC), which the researchers found that the composition and rotation. 9 elements, all elements had a range of values of Eigenvalue between 1.044 to 8.143 and had cumulative variance of 56.937 percent of all 9 elements. When consider the appropriateness of the weights of elements had the value of 0.3, the consequences of the questionnaires were low. Then only 7 elements remain. They were, 1st element was responsibility. 2nd element was social saving electricity. 3rd element was attitudes towards saving electrical power. 4th element was the interesting on energy saving information. 5th .element was energy saving knowledge. 6th element was energy consuming behavior 7th element was information learning.
Keyword: Factors Analysis, Electric Energy Saving.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-02-18 12:37:23
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1883
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 2 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1884
2012-02-18T12:38:08Z
jindedu:Jreind
"120101 2012 eng "
1905-9450
dc
การออกแบบกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจ ด้านการอนุรักษ์พลังงานและผลกระทบภาวะโลกร้อน สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา
แสงจันทร์, พงษ์พิชญ์
กุญชรรัตน์, อัมพร
สุขหวาน, ชมพูนุท
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของเยาวชน โดยการออกแบบกิจกรรมเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการอนุรักษ์พลังงานและผลกระทบภาวะโลกร้อน และประเมินคุณภาพของกิจกรรมสำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา
ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาข้อมูล วิเคราะห์จุดประสงค์เนื้อหาการเรียนรู้ และทำการออกแบบกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการอนุรักษ์พลังงานและผลกระทบภาวะโลกร้อน สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา กิจกรรมดังกล่าวแบ่งออกเป็น 3 หน่วยกิจกรรม คือ กิจกรรมหน่วยที่ 1 เรียนรู้แหล่งพลังงาน กิจกรรมหน่วยที่ 2 ผลกระทบภาวะโลกร้อน และกิจกรรมหน่วยที่ 3 การอนุรักษ์พลังงาน และได้สร้างแบบทดสอบประเมินความรู้ของผู้เรียน ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน ตรวจพิจารณาความสอดคล้องของวัตถุประสงค์และเนื้อหาการเรียนรู้ของกิจกรรม และแบบทดสอบ กิจกรรมและแบบทดสอบ ถูกนำไปทดลองใช้เบื้องต้นกับกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง คือนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่ 4 – 6 โรงเรียนหมู่บ้านเด็ก จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 21 คน พบว่าแบบทดสอบมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.68 และผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 คน ประเมินคุณภาพของกิจกรรมใน 4 องค์ประกอบ คือ ใบงาน กิจกรรม ใบความรู้ และแบบทดสอบ
ผลการวิจัยพบว่ากิจกรรมเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจด้านการอนุรักษ์พลังงานและผลกระทบภาวะโลกร้อน สำหรับนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา โดยรวมมีคุณภาพระดับมากมีค่าเฉลี่ย 4.19 มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.21 เมื่อพิจารณาเป็นรายองค์ประกอบพบว่า ทุกองค์ประกอบมีคุณภาพระดับมากมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.09, 4.21, 4.26, และ 4.18 ตามลำดับ และมีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.22, 0.23, 0.19 และ 0.34 ตามลำดับ สอดคล้องกับสมมติฐานอย่างมีนัยสำคัญระดับ .05
คำสำคัญ: กิจกรรม, การอนุรักษ์พลังงาน, ภาวะโลกร้อน
Abstract
The objectives of this research were to design activities enhance knowledge and understanding on energy conservation and global warming impacts for elementary school students and also evaluated the quality of the activities for elementary school students.
The researcher studied the data and analyzed the objectives of the learning content. The researcher designed the activities enhance knowledge and understanding on energy conservation and global warming impacts for elementary school students. The activities were divided into 3 units; Unit 1: Learning energy resources, Unit 2: The impact of global warming and Unit 3: Activities for energy conservation; and the researcher constructed the test to evaluated students knowledge. The 3 experts consider the objectives requirement related to learning content and the test. The activities and the test were try out with the purposive sample of 21 elementary students grades 4 - 6 at Moobandek School in Kanchanaburi province. The reliability of the test was 0.68. The 5 experts evaluated the quality in 4 elements; work sheet, activity, knowledge paper and the test.
The results of this research found that; the activities design enhance knowledge and understanding on energy conservation and global warning impact for elementary school students as a whole had the quality in high level was 4.19 and standard deviation was 0.21. When consider in each element found that, each element had high quality level had mean of 4.09, 4.21, 4.26, and 4.18 respectively and had standard deviation of 0.22, 0.23, 0.19 and 0.34 respectively and significance at.05 level.
Keyword: Activities, Energy Conservation, Global Warming.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-02-18 12:37:23
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1884
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 2 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1885
2012-02-18T12:38:08Z
jindedu:Jreind
"120101 2012 eng "
1905-9450
dc
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับรู้ระบบความปลอดภัยของพนักงานโรงงานผลิตชิ้นส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า
มีมั่งคั่ง, ไพโรจน์
เทพหัสดิน ณ อยุธยา, ธีระพล
เฉยไสย, สมเดช
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการรับรู้ระบบความปลอดภัยของพนักงานโรงงานผลิตชิ้นส่วนมอเตอร์ไฟฟ้า บริษัท กุลธร แมททีเรียลส์ แอนด์คอนโทรลส์ จำกัด และศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับรู้ระบบความปลอดภัยของพนักงานโรงงานผลิตชิ้นส่วนมอเตอร์ บริษัท กุลธรแมททีเรียลส์ แอนด์คอนโทรลส์ จำกัด ประชากรและกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ พนักงานฝ่ายผลิตที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเครื่องจักร บริษัท กุลธร แมททีเรียลส์ แอนด์ คอนโทรลส์ จำกัด โดยนำจำนวนประชากรมาทั้งหมด 116 คน มากำหนดกลุ่มตัวอย่าง โดยการใช้ตารางสำเร็จรูปเคร็จซี่และมอร์แกน ได้จำนวน 92 คน และเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ ค่าแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า 1) ระดับการรับรู้ระบบความปลอดภัยของพนักงาน พนักงานมีการรับรู้ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยพนักงานมีการรับรู้ระบบความปลอดภัยด้านการควบคุมระบบความปลอดภัย และด้านการใช้เครื่องมือและเครื่องจักรอย่างปลอดภัยในระดับมากที่สุด ด้านการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลพนักงานมีการรับรู้อยู่ในระดับมาก. 2) ปัจจัยที่ส่งผลต่อการรับรู้ระบบความปลอดภัยของพนักงานพบว่า พนักงานมีสภาพการรับรู้ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยสภาพการรับรู้ด้านการอบรม และสภาพการรับรู้ด้านการสื่อสารอยู่ในระดับมาก
ข้อเสนอจากงานวิจัยมีดังนี้ บริษัทควรให้ความสำคัญกับการอบรมเรื่องความปลอดภัย ซึ่งประโยชน์จากการอบรมเรื่องความปลอดภัยนั้นจะทำให้พนักงานทราบขั้นตอนการทำงานที่ปลอดภัยและสามารถทำงานด้วยความปลอดภัยมากขึ้น อีกทั้งบริษัทควรจัดให้มีการรณรงค์เพื่อปลูกจิตสำนึกในเรื่องของความปลอดภัยในการทำงานให้กับพนักงานด้วย
คำสำคัญ: การรับรู้ ระบบความปลอดภัย
Abstract:
The purposes of this study were to 1) examine the levels of employees’ awareness of the safety system in the electric motor spare parts factory of Kulthorn Material and Controls Co., Ltd. and 2) study factors affecting employees’ awareness of the safety system in the electric motor spare parts factory. A sample of this study were 92 production staffs selected from a population of 116 staffs using simple random sampling by Krejcie and Morgan table. Questionnaires were used to collect data. The data were analyzed by means of frequencies, percentages, means, and standard deviations.
The results of this study were as followed: 1) The levels of employees’ awareness of the safety system were at a high level in an overall aspect. If looking at each aspect, it was found that aspects of the safety system control and the machine operation safety were at the highest level, followed by the aspect of the operation of personal protection equipment which was at a high level. 2) Factors affecting employees’ awareness of the safety system found that, the employees’ awareness was at a high level in overall aspect. The safety training and the communication between administrators and employees was the factors affecting the employees’ awareness of the safety system.
Recommendations from the study are: Kulthorn Materials and Controls Co., Ltd should stress its importance on the safety system training by providing all employees training courses so that the employees are able to work safety. Moreover, the campaign to enhance their awareness of safety at work should be launched.
Keyword: Employees’ Awareness, Safety System
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-02-18 12:37:23
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1885
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 2 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1886
2012-02-18T12:38:08Z
jindedu:Jreind
"120101 2012 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม การอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม
บริบูรณ์, ภานุวัฒน์
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
กุญชรรัตน์, อัมพร
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมและหาประสิทธิภาพของหลักสูตรฝึกอบรมการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อมเครื่องมือที่ใช้ในวิจัยได้แก่ หลักสูตรฝึกอบรมการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม แบบทดสอบความรู้ความเข้าในระหว่างฝึกอบรม และแบบทดสอบความรู้ความเข้าใจหลังฝึกอบรม แบบทดสอบมีความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.73 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการประเมินได้แก่พนักงานของบริษัทไทยสถาวร จำกัด จำนวน10 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ E1/E2 ผลจากการวิจัยครั้งนี้พบว่า 1. การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม มีโครงสร้างของเนื้อหา 4 หน่วยการเรียน คือ หน่วยการเรียนที่ 1 เรื่องผลกระทบจากการใช้พลังงาน หน่วยการเรียนที่ 2 เรื่องการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม หน่วยการเรียนที่ 3 เรื่องวิธีการประหยัดพลังงานไฟฟ้า หน่วยการเรียนที่ 4 เรื่องกรณีศึกษา 2. ประสิทธิภาพของหลักสูตรฝึกอบรมการอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วมในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม มีประสิทธิภาพ (E1/E2) 81.75/88.00 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 80/80
คำสำคัญ: การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม, การอนุรักษ์พลังงานแบบมีส่วนร่วม, อุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม
Abstract
The purposes of this research were to develop a training curriculum development on total energy conservation in small and medium industries and to find out the efficiency of a training curriculum development on total energy conservation in small and medium industries. Research instruments were a training curriculum development on total energy conservation in small and medium industries and knowledge testing during the training and after training to test the efficiency of a training curriculum. The confidential level was 0.73. The training curriculum was tested by 10 persons from Thai Sataworn Co., Ltd. The statistic tools used to analyze data were mean, standard deviation, and E1/E2.The results of this research were: 1. A training curriculum development on total energy conservation in small and medium industries were comprise of 4 units. They were, Unit 1: effect on energy usage, Unit 2: participation of energy saving, Unit 3: electricity saving, Unit 4: case study. 2. The efficiency of development on total energy conservation in small and medium industries was (E1/E2) 81.75/88.00 which was higher than the efficiency criteria at 80/80.
Keyword: Training curriculum development, Total energy conservation, Small and medium industries
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-02-18 12:37:23
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1886
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 2 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1887
2012-02-18T12:38:08Z
jindedu:Jreind
"120101 2012 eng "
1905-9450
dc
การออกแบบและผลิตผ้าบุโคมไฟประดับ จากผ้าที่ทอผสมระหว่างฝ้ายและกระดาษใยสับปะรด โดยใช้ลายผ้าทอไทยมาว บ้านใหม่หมอกจ๋ามจังหวัดเชียงใหม่
ยารังฝั้น, รุ่งอรุณ
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
สุขหวาน, โอภาส
บทคัดย่อ ความมุ่งหมายของการวิจัยในครั้งนี้เพื่อ ออกแบบและผลิตผ้าบุโคมไฟประดับ จากผ้าทอผสมระหว่างฝ้ายและกระดาษใยสับปะรดโดยใช้ลายผ้าทอไทยมาวบ้านใหม่หมอกจ๋าม จังหวัดเชียงใหม่ และ เพื่อประเมินผลด้านการออกแบบและการผลิต โดยทำการออกแบบผ้าบุโคมไฟประดับ 3 ประเภทคือ 1) โคมไฟตั้งโต๊ะ 2) โคมไฟตั้งพื้น และ 3)โคมไฟแขวน การออกแบบและผลิตผ้าบุโคมไฟประดับจะทำการประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 10 คน ประเมิน 5 ด้านคือ ด้านประโยชน์ใช้สอย ด้านความงาม ด้านวัสดุ ด้านการผลิต และด้านต้นทุน และเก็บรวบรวมข้อมูลสถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test
ผลการวิจัยพบว่า
1. ที่ผู้วิจัยได้ทำการออกแบบผ้าบุโคมไฟประดับขึ้นจากผ้าทอผสมระหว่างฝ้ายและกระดาษใยสับปะรด โดยใช้
ลายผ้าทอไทยมาว บ้านใหม่หมอกจ๋าม จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 27แบบ และให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 10 คน เลือก เหลือ 9 แบบ แล้วนำแบบผ้าบุโคมไฟประดับไปผลิตเป็น ชิ้นงาน ได้แก่ ผ้าบุโคมไฟตั้งโต๊ะจำนวน 3 ลาย ( A1 , B2 และ C3) ผ้าบุโคมไฟตั้งพื้นจำนวน 3 ลาย ( A1 , B2 และ C3 ) และ ผ้าบุโคมไฟแขวน จำนวน 3 ลาย ( A2 , B1 และ C3)
2. ผลการประเมินโดยผู้เชียวชาญ พบว่า ผ้าบุโคมไฟประเภทโคมไฟตั้งโต๊ะ ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ แบบ B2รองลงมาคือ C3 และ A1 โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.17 (t= 1.37), 4.04 (t= 0.34) และ 4.01 (t= 0.06) ตามลำดับ ผลการประเมินทุกแบบอยู่ในเกณฑ์ดี และสอดคล้องกับสมมุติฐาน ที่นัยสำคัญระดับ .05 ประเภทโคมไฟตั้งพื้น ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ แบบ A1 รองลงมาคือ C3 และ B2 โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.26 (t= 1.49), 4.25 (t= 1.39) และ 4.14 (t= 0.87) ตามลำดับ ผลการประเมินทุกแบบอยู่ในเกณฑ์ดี และสอดคล้องกับสมมุติฐาน ที่นัยสำคัญระดับ .05 ประเภทโคมไฟแขวน ค่าเฉลี่ยสูงสุด คือ แบบ C3 รองลงมาคือ A2 และ B1 โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.20 (t= 1.58), 4.09 (t= 0.78) และ 4.06 (t= 0.43) ตามลำดับ ผลการประเมินแบบอยู่ในเกณฑ์ดีและสอดคล้องกับสมมุติฐาน ที่นัยสำคัญระดับ .05
คำสำคัญ: การออกแบบและผลิต , ผ้าบุโคมไฟประดับ, ผ้าทอผสมระหว่างฝ้ายและกระดาษใยสับปะรด , ผ้าทอไทย มาวบ้านใหม่หมอกจ๋าม จังหวัดเชียงใหม่Abstract
The purposes of this research were to design and production of cloth cover lamps shade using cotton yarn and pineapple paper according to Thai Maw Cloth Style, Baan Mai Mauk Chaam, Chiangmai Province, and also evaluated the design and Production. They were for 3 kinds of lamp shade, 1) table lamp shade, 2) floor lamp shade and 3) hanging lamp shade. The cloth cover lamps shade designed and production were evaluated by 10 experts by considering on 5 indicators which are Practical Function Aesthetic Function Material Production and Cost. The statistical tools were use to analyzed the data were mean, standard deviation, and t- Test.
The results were as followed :
1. The researcher design and production of cloth cover lamps shade using cotton yarn and pineapple paper
according to Thai Maw Cloth Style, Baan Mai Mauk Chaam, Chiangmai Province in 27 styles and let 10experts chosen for 9 styles, then the researcher production cloth cover lamps for three cloth cover pattern (A1, B2 and C3) for table lamp shade and three cloth cover pattern ( A1 , B2 and C3 ) for floor lamp shade and three cloth cover pattern ( A1 , B2 and C3 ) for hanging lamp shade.
2. The experts evaluated and found that, cloth cover table lamp shade pattern B2 was the highest, followed by C3 and A1 with average score of 4.17 (t = 1.37), 4.04 (t = 0.34) and 4.01 (t = 0.06) respectively and significance level of .05. Cloth cover floor lamp shade pattern A1 was the highest, followed by C3 and B2 with average score of 4.26 (t = 1.49), 4.25 (t = 1.39) and 4.14 (t = 0.87) respectively and significance level of .05. Cloth cover hanging lamp shade pattern C3 was the highest followed by A2 and B1 with average score of 4.20 (t = 1.58), 4.09 (t = 0.78) and 4.06 (t = 0.43) respectively and significance level of .05 and consistent with the hypothesis.
Keyword: Design and production , Cloth Cover Lamp Shade, Cotton yarn and pineapple fiber paper according , Thai Maw Cloth Style Baan Mai Mauk Chaam, Chiangmai Province .
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-02-18 12:37:23
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1887
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 2 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1888
2012-02-18T12:38:08Z
jindedu:Jreind
"120101 2012 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการใช้และการบำรุงรักษาอาวุธปืนพก สำหรับบุคคลทั่วไป
จันทร์เรือง, วรวีร์
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
พันลึกเดช, พงศ์ธร
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการใช้และการบำรุงรักษาอาวุธปืนพก สำหรับบุคคลทั่วไป และเพื่อศึกษาประสิทธิภาพของหลักสูตรฝึกอบรมการใช้และการบำรุงรักษาอาวุธปืนพก การสร้างหลักสูตรฝึกอบรมการใช้และการบำรุงรักษาอาวุธปืนพกสร้างขึ้นมาจากการศึกษาข้อมูลเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ได้นำเอาทฤษฏีการพัฒนาหลักสูตรของทาบา โดยนำไปทดลองกับผู้เข้ารับการฝึกอบรม จำนวน 20 คน
ผลการวิจัยพบว่า
1. พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการใช้และการบำรุงรักษาอาวุธปืนพก สำหรับบุคคลทั่วไป โดยผู้วิจัยได้กำหนดเนื้อหาและนำไปให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน ทำการวิเคราะห์ ได้เนื้อหาการฝึกอบรมแบ่งเป็น 5 หน่วยการเรียนรู้ คือ หน่วยที่ 1 เรื่องความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับอาวุธปืนพก หน่วยที่ 2 เรื่องกฎความปลอดภัย และการใช้อาวุธปืนพก หน่วยที่ 3 การบำรุงรักษาอาวุธปืนพกและกระสุน หน่วยที่ 4 พระราชบัญญัติ อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 และหน่วยที่ 5 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืน
2. ประสิทธิภาพของหลักสูตรฝึกอบรมการใช้และการบำรุงรักษาอาวุธปืนพก สำหรับบุคคลทั่วไป พบว่าประสิทธิภาพระหว่างการฝึกอบรมมีคะแนนเต็ม 60 คะแนน ได้ค่าคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 49.95 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 2.52 มีค่าประสิทธิภาพ (E1) เท่ากับ 82.50 ส่วนประสิทธิภาพหลังการฝึกอบรมมีคะแนนเต็ม 60 คะแนน ได้ค่าคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 49.05 มีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เท่ากับ 3.32 มีค่าประสิทธิภาพ (E2) เท่ากับ 81.75 สรุปได้ว่าประสิทธิภาพหลักสูตรฝึกอบรมการใช้และการบำรุงรักษาอาวุธปืนพก สำหรับบุคคลทั่วไป มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ 80/80
คำสำคัญ: การพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรม,การใช้และการบำรุงรักษา, อาวุธปืนพก
Abstract
The purposes of this research were to develop a training curriculum on the use and maintenance of pistol training course for general public, and to study the efficiency of a training curriculum on the use and maintenance of pistol for general public. A training curriculum on the use and maintenance of pistol for general public was developed by using Hildi Taba Theory for develop the course and was experiment with 20 trainees.
The research founds that:
1. The content of a training curriculum on the use and maintenance of pistol for general public was divided into 5 units consisting of unit 1 General Information of the pistol, unit 2 The safety rules and use of the pistol, unit 3 The maintenance of the pistol and bullets, unit 4 Law of firearms using, unit 5 Others laws which are involved.
2. The efficiency of a training curriculum on the use and maintenance of pistol for general public for during training had the average score of 49.95 from the full score of 60, standard deviation was 2.52 and had the efficiency criteria (E1) was 82.50. For the efficiency after training had the average score of 49.05 from the full score of 60, standard deviation was 3.32 and the efficiency criteria (E2) was 81.75. This could be conclude that a training curriculum on the use and maintenance of pistol for general public had the efficiency higher than the criteria had set E1/E2 = 80/80.
Keyword: Develop a Training Curriculum, Use and Maintenance, Pistol
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-02-18 12:37:23
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1888
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 2 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1889
2012-02-18T12:38:08Z
jindedu:Jreind
"120101 2012 eng "
1905-9450
dc
การสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชา อต 501 การจัดการอุตสาหกรรมตามหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิตสาขาวิชา อุตสาหกรรมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ยวงมณี, สรยุทธ
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
สุขหวาน, โอภาส
บทคัดย่อ
ความมุ่งหมายของการวิจัยในครั้งนี้เพื่อสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชา อต 501 การจัดการอุตสาหกรรม ตามหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒและหาประสิทธิภาพของบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชา อต.501 การจัดการอุตสาหกรรม ตามหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 13 คน ทำการประเมินบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์จำนวน 6 ด้าน คือ 1.ด้านเนื้อหาและการดำเนินการ 2.ด้านส่วนประกอบด้านมัลติมีเดีย 3.ด้านการจัดวางรูปแบบของเว็บไซท์ 4.ด้านการเชื่อมโยง 5.ด้านแบบฝึกหัด และ 6.ด้านการออกแบบปฏิสัมพันธ์มีประสิทธิภาพ นำผลการประเมินมาวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-Test ผลการวิจัยพบว่า 1)การสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชา อต 501 การจัดการอุตสาหกรรม ตามหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ทำการวิเคราะห์เนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3คน สามารถวิเคราะห์เนื้อหาและสรุปเนื้อหาได้ 6 หน่วยการเรียนรู้ดังนี้ 1.หน้าที่การบริหารการวางแผน 2.การเพิ่มผลผลิต 3.ระบบการผลิตและการบริหารการผลิต 4.การจัดระบบงบประมาณและงบการเงิน 5.การจัดการด้านการตลาด 6.พระราชบัญญัติอุตสาหกรรม 2)ประสิทธิภาพของบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชา อต 501 การจัดการอุตสาหกรรม ตามหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีประสิทธิภาพโดยรวมค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.13 อยู่ในเกณฑ์ดี สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 4.00 มีค่าคะแนน t = 3.02 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านมีค่าประสิทธิภาพดังนี้ 1.เนื้อหาและการดำเนินเรื่อง มีค่าเฉลี่ย 4.10 คะแนน (t =2.84) อยู่ในเกณฑ์ดี 2.ส่วนประกอบด้านมัลติมีเดียมีค่าเฉลี่ย 4.17 คะแนน (t =2.27) อยู่ในเกณฑ์ ดี 3.การจัดวางรูปแบบของเวปไซท์ มีค่าเฉลี่ย 4.22 คะแนน (t =3.02) อยู่ในเกณฑ์ดี 4.ด้านการเชื่อมโยงมีค่าเฉลี่ย 4.19 คะแนน (t =2.40) อยู่ในเกณฑ์ดี 5.ด้านแบบฝึกหัดมีค่าเฉลี่ย 3.97 คะแนน (t =-0.46) อยู่ในเกณฑ์ดี 6.ด้านการออกแบบปฏิสัมพันธ์ 4.15คะแนน (t =2.04) อยู่ในเกณฑ์ดี
คำสำคัญ: บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์, การจัดการอุตสาหกรรม, สาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษา Abstract
The purposes of this research were to construct electronics learning on IN 501 industrial management subject according to Master of Education , Major in Industrial Education, Srinakharinwirot University and to evaluate the efficiency of the electronics learning on IN 501 industrial management Subject. The electronics learning on IN 501 industrial management subject was evaluated by 13 experts in 6 areas. They were:
1) Content and Process 2. Multimedia 3.Web site Layout 4. Navigation Relation 5. Assignment 6.Interactive Design. The statistical tools that were used to analyze the data were mean standard deviation and t-Test.The results were as followed: 1) The construction of Electronics Learning on IN 501 Industrial Management Subject According to Master of Education, Major in Industrial Education, Srinakharinwirot University was analyzed by 3 experts and came out with 6 units. They were: 1. Planning Management, 2. Productivity, 3.Production System and Production Management, 4.Budgeting and Financial Plan, 5. Marketing Management, 6.Industrial Acts.
2) The efficiency of Electronics Learning on IN 501 Industrial Management Subject According to Master of Education, Major in Industrial Education, Srinakharinwirot University was evaluated by 13 experts in 6 areas. For as a whole had the average of 4.13 in good level was higher than standard 4.00 which t = 3.02. When considered in each areas found that; Areas 1; Content and Process t had the average of 4.10 in good level t =2.84. Areas 2; Multimedia had the average of 4.17 in good level t =2.27. Areas 3; Web site Layout had the average of 4.22 in good level t =3.02. Areas 4; Navigation Relation had the average of 4.19 in good level t =2.40. Areas 5; Assignment had the average of 3.97 in good level t =-0.46. Areas 6; Interactive Design had the average of 4.15 in good level t =2.04
Keyword: Electronics Learning, Industrial Management, Major in Industrial Education
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-02-18 12:37:23
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1889
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 2 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1890
2012-02-18T12:38:08Z
jindedu:Jreind
"120101 2012 eng "
1905-9450
dc
การสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชา อต 515 การควบคุมคุณภาพในงานอุตสาหกรรมตามหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิตสาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อิ่มสมบัติ, เอกชัย
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
สุขหวาน, โอภาส
บทคัดย่อ
ความมุ่งหมายของการวิจัยในครั้งนี้เพื่อสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชา อต 515 การควบคุมคุณภาพในงานอุตสาหกรรม ตามหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และประเมินประสิทธิภาพของบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชา อต 515 การควบคุมคุณภาพในงานอุตสาหกรรม ตามหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 13 คน ทำการประเมินบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์จำนวน 6 ด้าน คือ 1.ด้านเนื้อหาและการดำเนินการ 2.ด้านส่วนประกอบด้านมัลติมีเดีย 3.ด้านการจัดวางรูปแบบของเว็บไซต์ 4.ด้านการเชื่อมโยง 5.ด้านแบบฝึกหัด และ 6.ด้านการออกแบบปฏิสัมพันธ์มีประสิทธิภาพ นำผลการประเมินมาวิเคราะห์ข้อมูล สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-Test ผลการวิจัยพบว่า 1) การสร้างบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชา อต 515 การควบคุมคุณภาพในงานอุตสาหกรรม ตามหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ทำการวิเคราะห์เนื้อหาโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 คน สามารถวิเคราะห์เนื้อหาและสรุปเนื้อหาได้ 5 หน่วยการเรียนรู้ดังนี้ 1.การควบคุมคุณภาพ 2.เครื่องมือควบคุมคุณภาพ 3.การสุ่มตัวอย่างหรือการชักตัวอย่าง 4.Reliability and Product Liability 5.กิจกรรมควบคุมคุณภาพ 2) ประสิทธิภาพของบทเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิชา อต 515 การควบคุมคุณภาพในงานอุตสาหกรรม ตามหลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 13 คน จำนวน 6 ด้าน มีประสิทธิภาพโดยรวมค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.12 อยู่ในเกณฑ์ดี สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 4.00 มีค่าคะแนน t = 2.34 ซึ่งมีค่าแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านมีค่าประสิทธิภาพดังนี้ 1.เนื้อหาและการดำเนินเรื่องมีค่าคะแนนเฉลี่ย 4.27 คะแนน (t = 3.07) อยู่ในเกณฑ์ดี 2.ส่วนประกอบด้านมัลติมีเดียมีค่าคะแนนเฉลี่ย 4.28 คะแนน (t = 3.10) อยู่ในเกณฑ์ดี 3.การจัดวางรูปแบบของเว็บไซต์ มีค่าคะแนนเฉลี่ย 4.18 คะแนน (t = 2.35) อยู่ในเกณฑ์ดี 4.ด้านการเชื่อมโยงมีค่าคะแนนเฉลี่ย 4.13 คะแนน (t = 2.03) อยู่ในเกณฑ์ดี 5.ด้านแบบฝึกหัดมีค่าคะแนนเฉลี่ย 3.90 คะแนน (t = -1.36) อยู่ในเกณฑ์ดี 6.ด้านการออกแบบปฏิสัมพันธ์มีค่าคะแนนเฉลี่ย 4.03 คะแนน (t = 0.43) อยู่ในเกณฑ์ดี
คำสำคัญ: บทเรียนอิเล็กทรอนิกส์, การควบคุมคุณภาพในงานอุตสาหกรรม, สาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษาAbstract
The purposes of this research were to construct electronics learning on IN 515 Industrial Quality Control subject according to Master of Education, Major in Industrial Education, Srinakharinwirot University and to evaluate the efficiency of the electronics learning on IN 515 Industrial Quality Control Subject. The electronics learning on IN 515 Industrial Quality Control Subject was evaluated by 13 experts in 6 areas. They were: 1. Content and Process 2. Multimedia 3.Web site Layout 4. Navigation Relation 5. Assignment 6.Interactive Design. The statistical tools that were used to analyze the data were mean standard deviation and t-Test. The results were as followed: 1)The construction of Electronics Learning on IN 515 Industrial Quality Control Subject According to Master of Education, Major in Industrial Education, Srinakharinwirot University was analyzed by 3 experts and came out with 5 units. They were: 1. Quality Control, 2. Quality Control Tools, 3. Sampling, 4. Reliability and Product Liability, 5. Quality Control Activities 2) The efficiency of Electronics Learning on IN 515 Industrial Quality Control Subject According to Master of Education, Major in Industrial Education, Srinakharinwirot University was evaluated by 13 experts. For as a whole had the average of 4.12 in good level was higher than standard 4.00 which t = 2.34, there was significant difference between mean at 0.05 level. When considered in each areas found that; Areas 1; Content and Process had the average of 4.27 in good level t = 3.07. Areas 2; Multimedia had the average of 4.28 in good level t = 3.10. Areas 3 Web site Layout had the average of 4.18 in good level t = 2.35. Areas 4; Navigation Relation had the average of 4.13 in good level t = 2.03. Areas 5; Assignment had the average of 3.90 in good level t = -1.36 Areas 6; Interactive had the average of 4.03 in good level t = 0.43
Keyword: Electronics Learning, Industrial Quality Control, Major in Industrial Education
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-02-18 12:37:23
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1890
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 2 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1895
2012-02-18T12:44:52Z
jindedu:Jreind
"120101 2012 eng "
1905-9450
dc
การออกแบบและสร้างเครื่องยิงลูกเทนนิส
กุญชรรัตน์, อัมพร
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
สุขหวาน, โอภาส
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ การออกแบบและสร้างเครื่องยิงลูกเทนนิส และประเมินสมรรถนะและคุณลักษณะของเครื่องยิงลูกเทนนิสที่ออกแบบและสร้างขึ้น มีขนาดสูง 160 ซ.ม. กว้าง 55 ซ.ม. ลึก 52 ซ.ม.ออกแบบชุดโครงเหล็กเครื่องยิงลูกเทนนิสแบ่งออกเป็น 5 ส่วน คือ ส่วนฐาน ส่วนหอตั้งชุดเครื่องยิงลูกเทนนิส ส่วนชุดจับยึดมอเตอร์ ส่วนบังคับมุมก้ม-เงย และ ส่วนบังคับทิศทางในการยิง สำหรับส่วนที่ไม่ใช่โครงสร้างที่เป็นส่วนประกอบอื่นๆ ของเครื่องยิงลูกเทนนิส ประกอบด้วย ชุดบรรจุลูก ชุดปล่อยลูกเทนนิส ชุดหัวยิง และชุดรีโมทคอนโทรล เครื่องยิงลูกเทนนิสถูกประเมิน 2 ด้านคือ ด้านสมรรถนะในด้านการยิงลูกเทนนิส และด้านคุณลักษณะทางกายภาพของเครื่องยิงลูกเทนนิส ประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 13 คน สถิติทีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-Test
ผลการวิจัยพบว่า
1. สมรรถนะการยิงลูกเทนนิสของเครื่องยิงลูกเทนนิส สามารถในการยิงลูกเทนนิสได้ไม่น้อยกว่า 10 ลูกต่อนาที สามารถตั้งค่ามุมก้ม มุมเงย ในช่วง 5 ถึง 15 องศา สามารถกำหนดทิศทางการส่ายแบบอัตโนมัติและทิศทางการส่ายแบบคงที่ สามารถควบคุมการยิงลูกเทนนิสได้โดยใช้รีโมทคอนโทรลชนิดไร้สาย สามารถตั้งค่าให้เครื่องยิงลูกเทนนิสยิงลูกเทนนิสได้โดยระบบอัตโนมัติ ทั้งหมดผ่านเกณฑ์ ร้อยละร้อย
2. คุณลักษณะทางกายภาพของเครื่องยิงลูกเทนนิส ประกอบด้วย ด้านความสามารถในการติดตั้งอุปกรณ์และชุดควบคุม ผลการประเมินอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.40 ด้านการซ่อมบำรุงเครื่อง ผลการประเมินอยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.83 ด้านการเก็บรักษาเครื่อง ผลการประเมินอยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.71 ด้านขนาดของเครื่องที่เหมาะสม ผลการประเมินอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.21 ด้านการเคลื่อนย้าย ผลการประเมินอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.23 ด้านความแข็งแรงของเครื่อง ผลการประเมินอยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.82 สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 4.00 และ ด้านความปลอดภัยของเครื่อง ผลการประเมินอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.41 ทุกด้านสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 4.00
คำสำคัญ: การออกแบบ,การสร้าง, เครื่องยิงลูกเทนนิส
Abstract
The objectives of this research were to design and construct a tennis ball shooter machine and evaluate its capability and its attribute. The tennis ball shooter was constructed 160 centimeter high and 55 centimeter wide and 52 centimeter depth. There are five components of the tennis ball shooter frame design: 1) base, 2) tower, 3) motor holder, 4) up-down angle controller, and 5) oscillator shooting controller. The other parts are: tennis ball container, tennis ball passer, tennis ball shooter, and remote control. The tennis ball shooter machine was evaluated in two areas. The first was the capability on shooting. The second was the physical attribute. It was evaluated by 13 experts. The statistical tools used for analyzing the data were: percentage, mean, standard deviation, and t-Test.
The results are as follows:
1. The result of the evaluation of the shooting capability of the tennis ball shooter shows that the tennis ball shooter passed all the criteria, which are: shooting more than 10 ball/min; controlling the shooting of the ball up and down from 5 to 15 degrees; controlling the fixed or automatic oscillated shooting; successful use of the remote control for shooting; and setting up for automatic shooting.
2. The evaluation on physical attribute of the tennis ball shooter machine found that all criteria were met at a good level with the average score of 4.00. These physical attribute were: installation of material and controller on tennis ball shooter in good level at the average score/rate of 4.40; maintenance of tennis ball shooter at a good level at the average score/rate of 4.83; storage of tennis ball shooter at good level at an average score/rate of 4.71; size of tennis ball shooter at good level at an average of 4.21; transferability of tennis ball shooter at a good level at an average score of 4.23; strength of tennis bal shooter at good level at an average score of 4.82; and safety of tennis ball shooter at good level at an average of 4.41.
Keyword: Design, Construction, Tennis Ball Shooter
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-02-18 12:37:23
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1895
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 2 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1896
2012-02-18T13:37:30Z
jindedu:Jreind
"110701 2011 eng "
1905-9450
dc
ทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาดบริการที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้และความพึงพอใจโดยรวมของผู้ใช้บริการศูนย์บริการรถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์ บริษัท ทีทีซี มอเตอร์ส จำกัด
ดำยศ, พงค์ศักดิ์
หรดาล, พงศ์
เฉยไสย, สมเดช
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาดบริการที่มีผลต่อพฤติกรรมและความพึงพอใจโดยรวมของผู้ใช้บริการศูนย์บริการรถยนต์ เมอร์เซเดสเบนซ์ บริษัท ทีทีซี มอเตอร์ส จำกัด. กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้ใช้บริการศูนย์บริการรถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์ บริษัท ทีทีซี มอเตอร์ส จำกัด จำนวน 359 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน T-test และ F- test ผลการวิจัยพบว่า 1.) ผู้ตอบแบบสอบเป็นเพศหญิงมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 51.3 มีอายุ 31 - 40 ปี มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 40.สถานภาพสมรส/อยู่ด้วยกัน คิดเป็นร้อยละ 48.5 ระดับการศึกษาปริญญาตรี มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 51.8 อาชีพประกอบธุรกิจส่วนตัว มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 46.5 รายได้ต่อเดือนต่ำกว่าหรือเท่ากับ 100,000 บาท มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 40.4 2.) ทัศนคติของผู้ใช้บริการต่อส่วนประสมการตลาดและบริการของศูนย์บริการด้านอะไหล่และบริการของศูนย์บริการ ในภาพรวมผู้ใช้บริการมีทัศนคติอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.93 3.) พฤติกรรมของผู้ใช้บริการในการใช้บริการศูนย์บริการ ด้านค่าใช้จ่ายในการซื้ออะไหล่และบริการโดยเฉลี่ยต่อครั้ง 20,001 - 40,000 บาท มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 45.1 จำนวนครั้งที่มาใช้บริการกับศูนย์บริการ 2 ครั้งต่อ 6 เดือน มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 39.8 ประเภทของระบบที่ซื้ออะไหล่และบริการมากที่สุด คือการตรวจเช็คตามระยะทาง คิดเป็นร้อยละ 28.7 บุคคลที่มีอิทธิพลในการใช้บริการที่ศูนย์บริการมากที่สุดคือตัวเอง คิดเป็นร้อยละ 41.5 สาเหตุในการนำรถยนต์เข้ามาใช้บริการที่ศูนย์บริการเนื่องจากมีความสะดวกในการมาใช้บริการมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 24.5 เหตุผลในการซื้ออะไหล่และบริการจากศูนย์บริการ ซื้ออะไหล่และบริการเมื่อรถเสียเท่านั้นมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 46.2 4.)ความพึงพอใจของผู้ใช้บริการโดยรวม พบว่าผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจมาก เมื่อพิจารณาแต่ละข้อ ความพึงพอใจโดยรวมต่อศูนย์บริการ มากที่สุด มีค่าเฉลี่ย คือ 4.03 รองลงมาคือความพึงพอใจต่ออะไหล่ที่ซื้อ และบริการที่ได้รับจากศูนย์บริการ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.82 และการซื้ออะไหล่และบริการที่ศูนย์บริการมีความคุ้มค่ากับราคา มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.80 5.) ทัศนคติของผู้ใช้บริการ ด้านส่วนประสมทางการตลาดบริการแตกต่างกันมีพฤติกรรมการใช้บริการศูนย์บริการรถยนต์เมอร์เซเดสเบนซ์ บริษัท ทีทีซี มอเตอร์ส จำกัด แตกต่างกัน
คำสำคัญ: ทัศนคติ, ส่วนประสมทางการตลาดบริการ, พฤติกรรมการใช้บริการ,ความพึงพอใจ
Abstract
The objective of this research was to study the Attitude on Services Marketing Services Mix Affecting The Customers Behavior and Satisfaction at Mercedes Benz Service at TTC. The samples were 359 customers at Mercedes Benz Service at TTC. Questionnaires were used to gather the data and statistical tools were use for analyze the data, they were percentage, mean, standard deviation, T-test and F-test. The study founds that: 1.) Mostly customers were female or 51.30 percent, mostly age between 31-40 years or 40.00 percent, mostly married or 48.50 percent, mostly finished bachelor degree or 51.80 percent, mostly have their own business or 46.50 percent, and mostly have income lower 100,000 baht or 40.40 percent. 2.) The customer attitude on the service marking mix of customers at Mercedes Benz Service at TTC found that, they had good attitude at the average of 3.93. 3.) The customer behaviors found that, the most customers spent 20,001 to 40,000 baht. Most customers used the service two times for every six months or 39.00 percent. Most customers used the service for the mile rate requirement. The reason that most customers came to used the service at Mercedes Benz Service at TTC because of convenience. The car broken was the reason that most customers came to buy spare parts and services from Mercedes Benz Service at TTC . 4.) The customers satisfied the services of the Mercedes Benz Service at TTC at the high level. When consider in each area we found that the customers satisfied about the service as a whole of Mercedes Benz Service at TTC at the high level had the average of 4.03, and satisfied about the spare part that they bought had the average of 3.82, and they think it was worth for spending that money for the spare part and services had the average of 3.80 5.) The different attitudes on services marketing mix had difference behavior on Mercedes Benz Service at TTC.
Keyword: Attitude of Customers, Services Marketing Mix, Customers Behavior, Satisfaction
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2011-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1896
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 1 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1897
2012-02-18T13:37:30Z
jindedu:Jreind
"110701 2011 eng "
1905-9450
dc
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับผู้ให้บริการน้ำมันด้วยรถบรรทุก
ชูสาลี, พนิดา
หรดาล, พงศ์
เฉยไสย, สมเดช
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับผู้ให้บริการขนส่งน้ำมันด้วยรถบรรทุกและเพื่อศึกษาการตัดสินใจเลือกผู้ให้บริการขนส่งน้ำมันด้วยรถบรรทุก ปัจจัยในที่นี้คือลักษณะสถานีน้ำมัน และการเลือกผู้ให้บริการขนส่งน้ำมัน พิจารณาจากด้านต่างๆดังนี้ ด้านคุณภาพบริการ ด้านการปฏิบัติการ และด้านนโยบาย การวิจัยครั้งนี้จะวิจัยเพียงสถานีน้ำมันในภาคตะวันออกเท่านั้น กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ สถานีน้ำมันจำนวน 124 แห่ง โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ค่าสหสัมพันธ์ ผลการวิจัยพบว่า 1.) จากการวิเคราะห์ข้อมูลทำให้ทราบว่าสถานีบริการน้ำมันส่วนใหญ่ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี และการตัดสินใจเลือกให้สถานีบริการน้ำมัน ส่วนใหญ่ลักษณะของสถานีบริการน้ำมันเป็นประเภท ก มากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 70.16 รองลงมาคือประเภท ข คิดเป็นร้อยละ 25.81 และประเภท ค คิดเป็นร้อยละ 4.03 ตามลำดับ 2.) การให้ความสำคัญในการเลือกผู้ให้บริการขนส่งน้ำมันด้วยรถบรรทุก ในภาพรวมพบว่ามีการให้ความสำคัญในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านคุณภาพบริการ ถูกให้ความสำคัญอยู่ในระดับความสำคัญระดับมาก ด้านปฏิบัติการ ถูกให้ความสำคัญอยู่ในระดับความสำคัญระดับมาก ด้านนโยบาย ถูกให้ความสำคัญอยู่ในระดับความสำคัญระดับมาก 3.) ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยลักษณะสถานีน้ำมันมีความสัมพันธ์กับความสำคัญการเลือกผู้ให้บริการขนส่งน้ำมันด้วยรถบรรทุก พบว่าปัจจัยลักษณะสถานีน้ำมันมีความสัมพันธ์กับความสำคัญการเลือกผู้ให้บริการขนส่งน้ำมันด้วยรถบรรทุกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
คำสำคัญ: ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์, ผู้ให้บริการน้ำมันด้วยรถบรรทุก
Abstract
The objectives of this research were to study factors related to the selection of oil truck transportation and also study the factors related to the decision on hiring the oil truck transportation. In this study the factors were the criteria of gas station, and the criteria of oil truck transportation. There were services quality, execution and policy. This research will focus only the gas station on eastern areas and the sample were 124 gas stations. The questionnaires were used to gather the data. The statistical tools were used for analyzed the data. The statistic were percentage, mean, standard deviation and Pearson product moment correlation. The study found that: 1.) The gas station mostly located in Chonburee province and 71.16 percent of the gas station belonging to first criteria and 25.81 percent belonging to second criteria and 4.03 percent belonging to third criteria. 2.) All the gas stations will look on the services quality, the execution and policy for hiring the petroleum truck carrier transportation. 3.)There was significant relationship between criteria of gas station and criteria of petroleum truck carrier transportation at 0.05 leveled.
Keyword: Factors related, Petron Truck Carrier services
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2011-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1897
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 1 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1898
2012-02-18T13:37:30Z
jindedu:Jreind
"110701 2011 eng "
1905-9450
dc
ผลการใช้ชุดการสอน โดยใช้โปรแกรม GSP ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการแปลงทางเรขาคณิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เมื่อปรับอิทธิพลของสมรรถภาพทางสมองด้านมิติสัมพันธ์
ผูกสมัคร, เยาวภา
ทองคำบรรจง, เสกสรรค์
วิศาลาภรณ์, วัญญา
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 3 ข้อคือ 1.เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของชุดการสอนโดยใช้โปรแกรม GSP (The Geometer’s Sketchpad: GSP) 2.เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การแปลงทางเรขาคณิต ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ระหว่างกลุ่มที่สอนด้วยชุดการสอนโดยใช้โปรแกรม GSP กับกลุ่มที่สอนแบบปกติ และ3.เปรียบเทียบเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนกลุ่มที่สอนด้วยชุดการสอนโดยใช้โปรแกรม GSP โดยการเปรียบเทียบก่อนและหลังการสอน ผู้วิจัยได้ดำเนินการทดลองโดยใช้แบบแผนการทดลอง Nonrandomized pretest posttest control group design กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลอง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสมุทรสาครวิทยาลัย จำนวน 2 ห้องเรียน โดยแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง1 ห้องเรียน นักเรียนจำนวน 45 คน สอนด้วยชุดการสอนโดยใช้โปรแกรม GSP และกลุ่มควบคุม 1 ห้องเรียนนักเรียนจำนวน 45 คน โดยสอนแบบปกติ เครื่องมือทดลองที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1.ชุดการสอนโปรแกรม GSP 2.แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การแปลงทางเรขาคณิต 3.แบบทดสอบวัดสมรรถภาพทางสมองด้านมิติสัมพันธ์ และ 4.แบบสอบถามวัดเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย การวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม (Analysis of Covariance: ANCOVA) และ t-test Dependent ผลการทดลองพบว่า 1.) ชุดการสอนโดยใช้โปรแกรม GSP มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75 / 75 2.) ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง การแปลงทางเรขาคณิต ของนักเรียนจำนวน 2 กลุ่ม กลุ่มที่สอนด้วยชุดการสอนโดยใช้โปรแกรม GSP มีคะแนนเฉลี่ยสูงกว่านักเรียนกลุ่มที่สอนแบบปกติ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อปรับอิทธิพลของสมรรถภาพทางสมองด้านมิติสัมพันธ์ (= 24.44, = 21.36, F = 815) 3.) ผลการเปรียบเทียบเจตคติของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนกลุ่มที่สอนด้วยชุดการสอนโดยใช้โปรแกรม GSP ระหว่างก่อนการสอนและหลังการสอน ผลปรากฏว่านักเรียนมีคะแนนเจตคติเฉลี่ยหลังการสอนสูงกว่าก่อนการสอน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (t=6.632)
คำสำคัญ : ชุดการสอนโดยใช้โปรแกรม GSP, ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, เจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์
Abstract
The purposes of this research were 1. To build and find the efficiency of instructional package using the Geometer’s Sketchpad. 2. To compare the achievement of secondary school 8th grade students on Geometric Transformation topic between students who were used the instructional package on Geometer’s Sketchpad program and students who were taught normally (without using Geometer’s Sketchpad program) and 3. To compare the attitude towards mathematics of the students, who studied by instructional package using the Geometer’s Sketchpad. The experiment was conducted by Nonrandomized control group pretest posttest design. The samples in the study consisted of 2 classes of secondary school 8th grade students at SamutsakornWittayalai School. One class was assigned as the experimental group, taught by instructional package used the Geometer’s Sketchpad of 45 students. Another class were 45 students which a control group was taught normally. The experimental tools in this research were, 1. Instructional package using the Geometer’s Sketchpad. 2. The achievements on learning mathematics in Geometric Transformation. 3. The mental of spatial test and 4. The attitude towards mathematics. The statistical tools that were used to analyze the data were E1/E2, mean, analysis of covariance and t - test dependence. The results of this experiment were as follows: 1. )The Instructional package using the Geometer’s Sketchpad possessed the efficiency of 75/75 criteria. 2.) The achievements of the students on Geometric Transformation of secondary school grade 8 students between two groups found that, the first group that was taught by the instructional package using the Geometer’s Sketchpad had higher achievement than the second group that was taught normally at .01 significance level, when mental ability of spatial was controlled (= 24.44, = 21.36, F = 21.815). 3.)The comparative on attitude of secondary school grade 8th students towards mathematics subject taught by instructional package using the Geometer’s Sketchpad between before and after teaching. The result found that the students had higher attitude after taught than before which statistically significant at .01 level (t=6.632).
Keyword: The Instructional package using the Geometer’s Sketchpad, The achievements, The attitude towards mathematics
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2011-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1898
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 1 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1899
2012-02-18T13:37:30Z
jindedu:Jreind
"110701 2011 eng "
1905-9450
dc
การสร้างและหาประสิทธิภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่องแรงสองมิติ แรงสามมิติ โมเมนต์สองมิติ โมเมนต์สามมิติ และการสมดุลของแรง
ศรีสันติสุข, สฑีรุจ
กรกชจินตนาการ, ปิยะ
พรจินดารักษ์, ประสงค์
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้ เพื่อสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง แรงสองมิติ แรงสามมิติ โมเมนต์สองมิติ โมเมนต์สามมิติ และการสมดุลของแรง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง แรงสองมิติ แรงสามมิติ โมเมนต์สองมิติ โมเมนต์สามมิติ และการสมดุลของแรง โดยทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง ซึ่งเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สาขาวิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ศูนย์สุพรรณบุรี ปีการศึกษา 2553 จำนวน 20 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Accidental Sampling) โดยให้กลุ่มตัวอย่างเหล่านี้ทำการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) จากนั้นให้ศึกษาเนื้อหาของบทเรียนในระหว่างการเรียนนักศึกษาต้องศึกษาเนื้อหาและทำแบบฝึกหัดท้ายบท เมื่อนักศึกษาเรียนจบจะต้องทำแบบทดสอบ คะแนนที่ได้จากการทำแบบฝึกหัดท้ายบทเรียน และแบบทดสอบใช้สำหรับหาประสิทธิภาพของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ผลการวิจัยปรากฏว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.5/86.0 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ คือ 80/80 ที่กำหนดไว้ และการวิเคราะห์หาค่าความแตกต่างคะแนนเฉลี่ยของแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนปรากฏว่าแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
คำสำคัญ: แรงสองมิติ สามมิติ โมเมนต์สองมิติ โมเมนต์สามมิติ และการสมดุลของแรง
Abstract
The purpose of this research was to construct Computer Assisted Instruction on A Construction and Evaluation of the Computer Assisted Instruction on Force 2D , Force 3D , Moment 2D , Moment 3D and Equilibrium Force. Computer Assisted Instruction on A Construction and Evaluation of the Computer Assisted Instruction on Force 2D , Force 3D , Moment 2D , Moment 3D and Equilibrium Force The sample group was 20 student Mechanical Education Department Bachelor level Rajamangala Institute of Technology , Rajamangala University of Technology Suvarnabhumi academic year 2010 , which were chosen by Accidental Sampling. These Students had to make a Pre-test before they have studied. After that they have to study Computer Assisted Instruction on Engineering Mechanics , the exercises were provided after each chapter then the class was post-test through a formal examination. Scores, obtained from the exercises and all tests , were calculated to evaluate the effectiveness of the multimedia Computer assisted instruction. As a result, the efficiency of the multimedia Computer assisted instruction was 82.5/86.0 which was higher than 80/80 established criteria. The average score of pre-test and post-test was different in statistic at the level of .01 which the average post-test score was higher than the pre-test score.
Keyword: Force2D,Force3D,Moment2D,Moment3D and Equilibrium Force
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2011-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1899
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 1 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1900
2012-02-18T13:37:30Z
jindedu:Jreind
"110701 2011 eng "
1905-9450
dc
การออกแบบรูปทรงหลังคาโรงงานโดยใช้วัสดุแผ่นเหล็กรีดลอน
สุทธิประภา, สมพร
สุวคันธกุล, อุปวิทย์
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อการออกแบบรูปทรงหลังคาโรงงานโดยใช้วัสดุแผ่นเหล็กรีดลอนและหาประสิทธิภาพของแบบรูปทรงหลังคาโรงงานโดยใช้วัสดุแผ่นเหล็กรีดลอน ตัวแปรอิสระ คือ แบบรูปทรงหลังคาโรงงานโดยใช้วัสดุแผ่นเหล็กรีดลอน จำนวน 7 แบบ ได้แก่ แบบหลังคาที่เอียงไปด้านเดียว แบบหลังคาหน้าจั่ว หลังคาทรง แบบหลังคาปีก ผีเสื้อ แบบหลังคาโค้ง และแบบหลังคาทรงอิสระ ตัวแปรตาม คือ ประสิทธิภาพของแบบรูปทรงหลังคาโรงงานโดยใช้วัสดุแผ่นเหล็กรีดลอน ได้แก่ ด้านความปลอดภัย ด้านความสะดวกสบาย ด้านความสวยงาม และ ด้านความประหยัด ผู้วิจัยทำการประเมินโดยใช้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบประเมิน สถิติทีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test ผลการวิจัยพบว่า 1.) ประสิทธิภาพของแบบรูปทรงหลังคาโรงงานโดยใช้วัสดุแผ่นเหล็กรีดลอนทั้ง 7 แบบ มีประสิทธิภาพโดยรวมอยู่ในระดับดี t = 1.04 ไม่มีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติมี่ .05 2.)ความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญ ควรคำนึงน้ำหนักของแบบรูปทรงของหลังคาโรงงาน ควรคำนึงเสียงดังเมื่อฝนตก และปรับปรุงองศาของหลังคา
คำสำคัญ: การออกแบบรูปทรงหลังคาโรงงาน วัสดุแผ่นเหล็กรีดลอน
Abstract
The objectives of this research were to design factory roofs using metal sheets and also study the efficiency of factory roofs design. The samples were 20 factories owner and engineers. The independent variables were seven roofs design. The dependent variable was the efficiency of the factory roofs design. The questionnaires were used to collect the data. The statistical tools used to analyze the data, were percentage, mean, standard deviation and t-test. The results were as followed: 1.) The efficiency of factory roofs design using metal sheets in all seven designs were in good level and there were no significant difference between mean and standard at 0.05 level (t= 1.04). 2.) The experts recommended that, the roof designer should consider the weight of the metal and the noise when it’s rain, and should consider the slope of the roof when you design.
Keyword: Factory Roof Design, Metal Sheet
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2011-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1900
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 1 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1901
2012-02-18T13:37:30Z
jindedu:Jreind
"110701 2011 eng "
1905-9450
dc
ความสัมพันธ์ระหว่างเชาว์อารมณ์ ความขัดแย้งระหว่างการทำงานและครอบครัวกับความพึงพอใจในงาน กรณีศึกษา พนักงานบริษัท เจ ดับบลิว เจ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด
ลักขษร, อนุชิต
หรดาล, พงศ์
เฉยไสย, สมเดช
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับเชาวน์อารมณ์ ความขัดแย้งระหว่างการทำงานและครอบครัว และความพึงพอใจในงาน ของพนักงานบริษัท เจ ดับกลิว เจ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความพึงพอใจในงานระหว่างพนักงานที่มีเชาวน์อารมณ์ และความขัดแย้งระหว่างการทำงานและครอบครัวแตกต่างกัน และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต่างๆ ได้แก่ เชาวน์อารมณ์ ความขัดแย้งระหว่างการทำงานและครอบครัว และความพึงพอใจในงาน โดยศึกษากับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 153 คน ซึ่งเป็นพนักงานบริษัท เจ ดับบลิว เจ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (Mean) และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ผลการวิจัย พบว่า เชาวน์อารมณ์ของพนักงานด้านการตระหนักรู้ในตนเอง ด้านการจัดระเบียบอารมณ์ของตน ด้านการจูงใจตนเอง ด้านการเห็นใจผู้อื่นของพนักงาน ด้านทักษะทางสังคม และเชาวน์อารมณ์โดยรวม อยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลาง ความขัดแย้งระหว่างการทำงานและครอบครัวของพนักงาน อยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลาง ความพึงพอใจในงานของพนักงาน ด้านหัวหน้างาน ด้านเพื่อนร่วมงาน ด้านค่าตอบแทน ด้านโอกาสในการเลื่อนขั้น และความพึงพอใจในงาน โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ระดับปานกลาง เชาวน์อารมณ์มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความพึงพอใจในงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ความขัดแย้งระหว่างการทำงานและครอบครัวมีความสัมพันธ์ทางลบกับความพึงพอใจในงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 พนักงานที่มีเชาวน์อารมณ์ต่างกันมีความพึงพอในงานแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และพนักงานที่มีระดับความขัดแย้งระหว่างการทำงานและครอบครัวต่างกันมีความความพึงพอใจในงานด้านลักษณะงาน ด้านเพื่อนร่วมงาน ด้านค่าตอบแทน และความพึงพอใจในงานโดยรวมไม่แตกต่างกัน ข้อเสนอแนะจากการวิจัย องค์กรควรมีนโยบายส่งเสริมที่สอดคล้องกับการดำเนินชีวิตประจำวันของพนักงาน นอกจากนี้ ควรศึกษาถึงตัวแปรอื่นๆที่ระดับของความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และควรมีการขยายขอบเขตการศึกษาไปยังกลุ่มงานที่มีลักษณะงานที่แตกต่างกันต่อไป
คำสำคัญ เชาว์อารมณ์ ความขัดแย้งระหว่างการทำงานและครอบครัว ความพึงพอใจในงาน
Abstract
The purposes of this research were to study the level of emotional intelligence Conflicts between work and family and job satisfaction of the employee services at J.W.J Engineering Co., Ltd. And compare the job satisfaction among employees with emotional intelligence and conflicts between work and family differences. Also study the relationship between the variables such as emotional conflict between work and family and job satisfaction. The samples were 153 employees working at J.W.J Engineering Limited. Questionnaires were used to collect the data. The statistical tool used for analyzed the data, they were frequency, percentage, mean and standard deviation and Pearson Product Moment Correlation was used to test hypothesis by computerized. This research found that emotional intelligence of employees, self awareness, an organization of their emotions, self-motivation, the sympathy to the other employees, social skills, and emotional intelligence as a whole were moderate level. Conflicts between work and their family were moderate level. The satisfaction of the employees on their foreman, colleagues, payment and opportunity were moderate level. There was positive significant relationship between emotional intelligence and job satisfaction at.05 level. There was negative significant relationship between work and family and job satisfaction at.05 level. The employee had different emotional intelligence had different job satisfaction at significant level of 0.05. The employee had conflict between work and different family had no different job satisfaction on work itself, colleague and compensation. The suggestions of this research are: The organizations should promote policies consistent with the daily life of employees. In addition, Should study the other variables at the level of conflict occurring and should extend the study to different job.
Keyword: Emotional, Quotient, Work and Family Conflict, Job Satisfaction
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2011-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1901
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 1 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1902
2012-02-18T13:37:30Z
jindedu:Jreind
"110701 2011 eng "
1905-9450
dc
การศึกษาทำเลที่ตั้งศูนย์กระจายน้ำมันในภาคตะวันออกของ ประเทศไทย
มิตรช่วยรอด, อุทัย
หรดาล, พงศ์
เฉยไสย, สมเดช
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาทำเลที่ตั้งศูนย์การกระจายน้ำมันในภาคตะวันออก ของประเทศไทย ศึกษาต้นทุนค่าขนส่งในการจัดการขนส่งน้ำมันไปยังทำเลที่ตั้งศูนย์การกระจายน้ำมันในภาคตะวันออก และเปรียบเทียบระยะทางการจัดการขนส่งน้ำมันไปยังทำเลที่ตั้งศูนย์กระจายน้ำมันในภาคตะวันออก ของประเทศไทย ผู้วิจัยศึกษาทำเลที่ตั้งศูนย์กระจายน้ำมันในภาคตะวันออกของประเทศไทย โดยใช้การวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งศูนย์กระจายน้ำมันด้วยวิธี การหาศูนย์กลาง ของการขนส่ง (Center of Gravity Technique) และวิธีการหาระยะทางร่วมกับค่าขนส่ง (Load-Distance Technique) ประชากรได้แก่ สถานีบริการน้ำมันที่ใช้บริการขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงของบริษัทพรวัฒนา ซี.แอล. จำกัด จำนวน 86 สถานี ตัวแปรอิสระ ได้แก่ วิธีการหาศูนย์กลางของการขนส่ง (Center of Gravity Technique) และวิธีการหาระยะทางร่วมกับค่าขนส่ง (Load-Distance Technique) ตัวแปรตาม ได้แก่ ทำเลที่ตั้งศูนย์กระจายน้ำมันสถิติที่ใช้คือ ค่าร้อยละ ผลการวิจัยพบว่า 1. การวิเคราะห์โดยวิธีการหาศูนย์กลางของการขนส่ง พบว่าที่ตั้งศูนย์กระจายน้ำมันภาคตะวันออกที่เหมาะสมที่สุดของ บริษัท พรวัฒนา ซี.แอล. จำกัด คือ พื้นที่ ตำบลป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยอง ต้นทุนในการขนส่งน้ำมันรวมคิดเป็นเงิน 1,569,465.32 บาท 2. การวิเคราะห์โดยวิธีการหาระยะทางร่วมกับค่าขนส่ง พบว่าที่ตั้งศูนย์กระจายน้ำมันภาคตะวันออกที่เหมาะสมที่สุดของบริษัท พรวัฒนา ซี.แอล. จำกัด คือ พื้นที่ในตำบลหนองไผ่แก้ว อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ต้นทุนในการขนส่งน้ำมันรวมต่ำสุดคิดเป็นเงิน 1,489,253.73 บาท 3. การเปรียบเทียบข้อมูลของทำเลที่ตั้งต้นทุนการขนส่ง 2 ด้าน คือ ด้านระยะทาง และระยะเวลาการขนส่ง ซึ่งผลที่ได้จากการวิจัยพบว่า ระยะทางและระยะเวลาการขนส่ง ที่ใช้ในการขนส่งน้ำมันจากศูนย์พระโขนง กรุงเทพฯถึงสถานีบริการลูกค้า มีระยะทางและระยะเวลาการขนส่ง สูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับศูนย์กระจายน้ำมันแห่งใหม่ ศูนย์กระจายน้ำมันที่ตำบลป่ายุบใน อำเภอวังจันทร์ จังหวัดระยองที่วิเคราะห์โดยวิธีการหาศูนย์กลางของการขนส่ง (Center of Gravity Technique) มีระยะทางรวม เท่ากับ 189,557.8 กิโลเมตร แต่ศูนย์กระจายน้ำมันที่ตำบลหนองไผ่แก้ว อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี วิเคราะห์โดยวิธีการหาระยะทางร่วมกับค่าขนส่ง (Load Distance) มีระยะทางรวม เท่ากับ 174,807.6 กิโลเมตร จะเห็นได้ว่าการวิเคราะห์ทำเลที่ตั้งด้วยวิธีการหาระยะทางร่วมกับค่าขนส่ง จะได้ระยะทางและระยะเวลาการขนส่งน้อยกว่าและมีต้นทุนรวมต่ำกว่า ดังนั้นศูนย์กระจายน้ำมันภาคตะวันออกที่เหมาะสมที่สุดคือ ศูนย์กระจายน้ำมันที่ตำบลหนองไผ่แก้ว อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ที่วิเคราะห์ทำเลที่ตั้งด้วยวิธีการหาระยะทางร่วมกับค่าขนส่ง (Load Distance)
คำสำคัญ: ทำเลที่ตั้ง ศูนย์การกระจายน้ำมันในภาคตะวันออกของประเทศไทย
Abstract
The objectives of research were to study the oil distribution center location in eastern of Thailand and study the transportation cost for the oil distribution center and also compare the distance of the new oil distribution center location in eastern of Thailand. The techniques were use to analyzed the oil distribution center location were center of gravity technique and load-distance technique. The populations were 86 gas stations that used the services of Porn Wattana C.L. Co.,Ltd. Independent variables were center of gravity technique and load-distance technique. Dependent variable was oil distribution center location. The statistic used in this study was percentage. The study found that: 1) The oil distribution center location located in Payubnai, Wangchan District, Rayong Province was the best location found by using center of gravity technique, and the total cost for transportation was 1,569,465.32 baht. 2)The oil distribution center location located in Nong Phai Kaeo, Ban Bueng District, Chon Buri Province was the best location found by using load-distance technique, and the total cost for transportation was 1,489,253.73 baht. 3) The comparison of oil distribution center location in term of distance and transportation time. The study found that, the oil distribution center location in Prakanong Centre had longest distance and longest transportation time. The oil distribution center location in Payubnai, Wangchan District, Rayong Province had distance of 189,557.80 kilometers. The oil distribution center location in Nong Phai Kaeo, Ban Bueng District, Chon Buri Province had distance of 174,807.60 kilometers. The most appropriate of oil distribution center location was in Nong Phai Kaeo, Ban Bueng District, Chon Buri Province. The recommendations were: 1) Oil company should put up the oil distribution center location in Nong Phai Kaeo, Ban Bueng District, Chon Buri Province for reduce their expenses. 2) This oil distribution center location in Nong Phai Kaeo, Ban Bueng District, Chon Buri Province may be appropriate only this time, it might change when demand change. 3) In this research we studied only distance and transportation cost, The decision maker should consider the other factors, such as, labor and land price.
Keyword: Location, Oil distribution center in eastern of Thailand
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2011-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1902
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 1 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1903
2012-02-18T13:37:30Z
jindedu:Jbookind
"110701 2011 eng "
1905-9450
dc
การจัดการทรัพยากรมนุษย์
เขจรนันทน์, ณัฏฐพันธ์
หนังสือเล่มนี้นำเสนอประสบการณ์การสอนด้านการจัดการและการจัดการทรัพยากรมนุษย์ในสถาบันการศึกษาและการเป็นที่ปรึกษาด้านการจัดการและการจัดการทรัพยากรมนุษย์ในหลายองค์กร โดยเนื้อหาประกอบด้วย การวิเคราะห์งานและการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพ การสรรหาและการคัดเลือกทรัพยากรมนุษย์เข้าสู่องค์กร การบริหารสวัสดิการและผลประโยชน์ อุบัติเหตุและความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน ตลอดจนระบบแรงงานสัมพันธ์ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาในระดับอุดมศึกษาและการปฏิบัติงานในสาขาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรต่าง ๆ ได้อย่างมีหลักเกณฑ์และมีประสิทธิภาพ
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2011-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1903
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 1 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1904
2012-02-18T13:41:49Z
jindedu:Jacind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
การจัดการเรียนการสอนแบบสหวิทยาการโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
โลกุตรวงศ์, กนกพันธรน์
ปัจจุบัน ได้พยายามมีการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ทันกับยุคสมัยและเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างไม่หยุดยั้ง จึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับการบูรณาการรายวิชาต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เช่น คอมพิวเตอร์ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ และศิลปะ เป็นต้น
การจัดการความรู้ในยุคปัจจุบัน จึงมีการเปลี่ยน แปลงไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากมีเครื่องมือในการอำนวยความสะดวกในการเรียนการสอน โดยการสืบค้น การเก็บรักษา ทำเป็นหลักฐานต่าง ๆ ได้พัฒนาเข้าสู่ยุคนาโนเทคโนโลยี อุปกรณ์เครื่องมือก็เล็กกะทัดรัดขึ้น สามารถทำการศึกษาได้ทุกที่ ทุกเวลา
การจัดการด้านการเรียนการสอนในยุคปัจจุบัน จึงไม่ได้เน้นไปที่ความรู้อย่างเดียวดังเช่นสมัยก่อน เพราะปัจจุบันความรู้อยู่ในอากาศก็ว่าได้ หรืออยู่ในรูปของคลื่นสนามแม่เหล็ก ดังนั้น ความรู้จึงอยู่ในกรอบของกฎการอนุรักษ์พลังงาน กล่าวได้ว่า ความรู้ไม่ได้หายไปไหน และความรู้ไม่สามารถถูกทำลายไปได้ ซึ่งความรู้สามารถที่จะอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ ได้ และสามารถแปรรูปเปลี่ยนจากรูปแบบหนึ่งเป็นอีกรูปแบบหนึ่งได้ เช่น ความรู้ในตำรา ความรู้ใน อินเทอร์เน็ต และสื่อต่าง ๆ ที่เผยแพร่โดยผ่านตัวกลางที่เป็นแสง เสียง อากาศ ของแข็ง ของเหลว สุญญากาศ เป็นต้น ดังนั้น การจัดการความรู้ในปัจจุบัน จึงเน้นให้รู้จักการสืบค้นจากแหล่งต่าง ๆ นำข้อมูลมาทำการศึกษาเรียนรู้และสรุปเป็นองค์ความรู้ของตนเองให้ได้ จึงเป็นหัวใจแห่งการเรียนรู้ที่สามารถประยุกต์และต่อยอดได้ ให้เหมาะกับสภาพสังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม เพื่อประโยชน์ของตนเอง ดังเช่นภูมิปัญญาชาวบ้านที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่โบราณกาล ปราชญ์ชาวบ้านจึงเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับการเรียนรู้ ต่อยอดไปสู่อนาคตอย่างยั่งยืน
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1904
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 2 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1905
2012-02-18T13:44:07Z
jindedu:Jacind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
โครงข่ายสื่อสารไร้สาย 4G
เมตต์การุณ์จิต, ตรีรัตน
บทคัดย่อ
4G คือโครงข่ายไร้สายในยุคถัดไป ที่จะมาแทนที่โครงข่าย 3G คาดกันว่าจะทำให้ผู้บริโภคได้รับความเร็วในการสื่อสารเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมมาก และการบริการมัลติมีเดียทั้งหมดจะอยู่บนพื้นฐานของ IP โครงข่าย 4G จะเกี่ยวข้องกับการควบรวมโครงข่ายต่างๆ ทั่วโลก ด้วยวิธีการของ IP ที่คลอบคลุมทั้งรูปแบบ เสียง ข้อมูล และมัลติมีเดียแบบต่อเนื่อง ทำให้ผู้ใช้งานได้รับการบริการที่อยู่บนพื้นฐานที่เรียกว่า “Anytime”, “Anywhere” ในบทความนี้นำเสนอ คุณประโยชน์และความท้าทายในจัดเตรียมเทคโนโลยี 4G ที่เป็นความต้องการที่ยิ่งใหญ่ที่จะทำให้เกิดการรวมกันของเทคโนโลยีต่างๆ ให้สามารถอยู่ในระบบที่เป็นหนึ่งเดียวกันได้ โดย 4G แสดงให้เห็นถึงวิธีการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการรวมตัวกันอย่างกลมกลืนของอุปกรณ์ปลายทางทั้งหมด
คำสำคัญ: โครงข่ายสื่อสารไร้สาย 4G
Abstract
4G is the next generation of wireless network that will totally replace 3G networks. It is supposed to provide its customers with better speed and all IP base multimedia services. 4G network is all about an integrated, global network that will be able to provide a comprehensive IP solution where voice, data and streamed multimedia can be give to user on an “Anytime”, “Anywhere” basis. In this paper present the benefits, challenges in deployment and scope of 4G technology there is great need of deploying such technologies that can integrate all these systems into a single unified system. 4G presents solution of this problem as it is all about seamlessly integration the terminal.
Keyword: 4G Wireless Network
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1905
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 2 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1906
2012-02-18T13:46:44Z
jindedu:Jreind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
การประยุกต์ใช้โครงข่ายประสาทเทียมเพื่อการพยากรณ์ ระดับผลการเรียนวิชาเลือก :กรณีศึกษา นักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศธุรกิจ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์
เปรมธีรสมบูรณ์, ประวัฒน์
บทคัดย่อ
งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการประยุกต์ใช้โครงข่ายประสาทเทียมเพื่อการพยากรณ์ ระดับผลการเรียนวิชาเลือก:กรณีศึกษา นักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเทคโนโลยีสารสนเทศธุรกิจ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์รูปแบบการพยากรณ์ โดยใช้โครงข่ายประสาทเทียม แบบแพร่ย้อนกลับ (Feed-forward Back-propagation Network (FBN)) ในการพยากรณ์ระดับผลคะแนนวิชาเลือกที่เปิดสอนในสาขาเทคโนโลยีสารสนเทศธุรกิจ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาธุรกิจบัณฑิตย์ โดยเลือกเพียง 1 วิชามาใช้ในงานวิจัย โดยอาศัยปัจจัยในการพยากรณ์ คือวิชาเอกบังคับทั้ง 11 วิชาที่เปิดสอนในหลักสูตร เป็นข้อมูลนำเข้าในการพยากรณ์ โดยเริ่มต้นจากการนำวิชาเอกบังคับมาหาค่าสหสัมพันธ์ และตัดวิชาที่มีค่าสหสัมพันธ์น้อยกว่าค่าสหสัมพันธ์เฉลี่ยออก และนำมาจัดชุดตัวแปรตามลำดับค่าสหสัมพันธ์จากมากไปน้อย ผู้วิจัยใช้ข้อมูลนักศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนตั้งแต่ปีการศึกษา 2549 - 2551 เป็นข้อมูลที่ใช้ในการทดลอง ซึ่งถูกแบ่งข้อมูลเป็น 2 ชุด เพื่อใช้เรียนรู้ และทดสอบในการสร้างรูปแบบการพยากรณ์ โดยโครงข่ายประสาทเทียม โดยได้ผลลัพธ์เป็นค่าเฉลี่ยร้อยละความผิดพลาดสัมบูรณ์ (Mean Absolute Error (MAE)) ของแต่ละรูปแบบ โดยเลือกพิจารณารูปแบบที่ให้ค่าความผิดพลาดสัมบูรณ์น้อยที่สุด และมาใช้เป็นรูปแบบในพยากรณ์ระดับผลคะแนน
จากผลการสอบการพยากรณ์ โดยใช้โครงข่ายประสาทเทียมแบบแพร่ย้อนกลับ ในการพยากรณ์ระดับผลคะแนนวิชาเลือกที่กำหนด สามารถพยากรณ์ระดับผลคะแนนได้ถูกต้อง 61.29 % ของจำนวนตัวอย่างที่ใช้ในการทดสอบ
คำสำคัญ: โครงข่ายประสาทเทียม
Abstract
This research aims to applyied the Feed-forward Back-propagation Network (FBN) to predict the final
grades in one selected elective course offered by the Information Technology Department, Dhurakij Pundit University. The prediction model is based on all 11 required major courses offered in the curriculum as an input. The prediction begins by finding the correlation among these 11 courses, eliminating those correlations that are less than the average, and rearranging variable groups in descending order, respectively. Test data consist of those from students who enrolled during academic years 2006-2007 which are divided into 2 groups, one for learning objectives and the other for testing purposes. The model outputs the mean value and Mean Absolute Error (MAE). The model with lowest MAE will then be selected for this research.
As a result of testing the models, the best-suited FBN model has 61.29% accuracy for predicting elective course grades.
Keyword: Artificial Neural Network
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1906
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 2 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1907
2012-02-18T13:51:06Z
jindedu:Jreind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
การผลิตถ่านอัดแท่งจากถ่านกะลามะพร้าวและถ่านเหง้ามันสำปะหลัง
พุทธีสกุล, รุ่งโรจน์
สุวคันธกุล, อุปวิทย์
กุญชรรัตน์, อัมพร
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ ศึกษาการผลิตถ่านอัดแท่งจากถ่านกะลามะพร้าวและถ่านเหง้ามันสำปะหลัง โดยทำการทดสอบสมรรถนะทางความร้อนตามเกณฑ์มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชุน (มผช. 238/2547) มลภาวะ ต้นทุนต่อหน่วย และผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์จากการผลิตถ่านอัดแท่ง
ผู้วิจัยทำการวิเคราะห์และนำวัสดุทั้ง 2 ชนิดดังกล่าวมาผสมกัน ใน 5 อัตราส่วน โดยกำหนดรูปทรงมีลักษณะรูกลวง เส้นผ่าศูนย์กลางรูกลวง 1.5 เซนติเมตร ความยาว 10 เซนติเมตร และถ่านอัดแท่งรูปทรงกระบอกมีครีบ 5 ครีบรอบด้าน ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 5 เซนติเมตร ปริมาณความชื้นไม่เกินร้อยละ 8 ของน้ำหนัก และแรงอัด 33 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร ตามขอบเขตที่กำหนด และทำการทดสอบวัดผลในห้องปฏิบัติการทดสอบเพื่อส่งให้ผู้เชี่ยวชาญประเมินค่าสมรรถนะทางความร้อนและความเหมาะสมในการนำมาใช้งาน
ผลการทดสอบวิเคราะห์สมรรถนะจากห้องปฏิบัติการ พบว่า อัตราส่วนผสมระหว่าง ถ่านอัดแท่งกะลามะพร้าว 9 ส่วน ต่อ ถ่านเหง้ามันสำปะหลัง 1 ส่วน เป็นอัตราส่วนที่ให้ค่าความร้อนสูงสุด 6,580.10 1 กิโลแคลอรี่/กิโลกรัม ประกอบด้วย สารที่เผาไหม้ได้ 85 % ปริมาณคาร์บอนคงตัว 0.14 % ปริมาณเถ้า 14.03 % และปริมาณความชื้น 1.04 % ผลการทดสอบมลภาวะจากปริมาณก๊าซ 4 ชนิด ประกอบด้วย ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ มีปริมาณเท่ากับ 195 ppm ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ เท่ากับ 26 ppm คาร์บอนไดออกไซด์ 9.11 ppm และก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ มีปริมาณมากกว่า 4,000 ppm มีการเปลี่ยนแปลงโดยมีค่าลดลง สัมพันธ์กับปริมาณคงเหลือของเนื้อวัสดุหลังการเผาไหม้ ซึ่งในด้านสมรรถนะเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชุน (มผช. 238/2547)
ผลการวิเคราะห์ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ของการผลิตถ่านอัดแท่งจากถ่านกะลามะพร้าวและถ่านเหง้ามันสำปะหลัง พบว่า อัตราส่วนผสมระหว่าง ถ่านกะลามะพร้าว 3 ส่วน ต่อ ถ่านเหง้ามันสำปะหลัง 7 ส่วน จะให้ค่าความร้อน เท่ากับ 5,003 กิโลแคลอรี/กิโลกรัม มีค่าความชื้นต่ำกว่า ร้อยละ 8 และมีสมรรถนะเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานจะมีต้นทุนการผลิตต่ำสุด เท่ากับ 4.80 บาทต่อกิโลกรัม และเมื่อกำลังการผลิตที่ 400 กิโลกรัมต่อวัน จะสามารถคืนทุนได้ภายในระยะเวลาประมาณ 0.7 ปี (8 เดือน 12 วัน) ซึ่งผลการศึกษาวิจัยสามารถนำไปส่งเสริมให้เกษตรกรนำวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ได้แก่ เหง้ามันสำปะหลังมาใช้ประโยชน์ในการเพิ่มมูลค่าได้โดยการใช้อัตราส่วนของถ่านเหง้ามันสำปะหลังเป็นส่วนผสมหลัก และใช้ถ่านกะลามะพร้าวเป็นส่วนผสมลอง สามารถบรรลุผลสอดคล้องกับสมมุติฐานของผู้วิจัย
คำสำคัญ: ถ่านอัดแท่ง, ถ่านกะลามะพร้าว, ถ่านเหง้ามันสำปะหลัง
Abstract
This study aimed to study the production of charcoal briquette by coconut shell and cassava rhizome classified by high heating performance, pollution effect, per unit cost of production and economics cost-benefit analysis .
The researcher analyze and mixed coconut shell and cassava rhizome in five ratio. The charcoal briquette shape have a hole in the middle 1.5 centimeter have diameter of 5 centimeter, 10 centimeter long and have 5 fin in all side. The charcoal briquette had humidity less than 8%, the press 33 kg/sq.cm. The performance tested in the lab lavatory and used the experts to evaluated the charcoal briquette performance.
The results of charcoal briquette performance testing found that, the high heating value of charcoal briquette that combined between coconut charcoal and cassava rhizome charcoal build at 9:1 ratio of compressed mixing. The heating value was 6,580.101 kcal/kg, 85% of burning substances, 0.14% of fixed carbon, 1.04% of moisture and 14.03% of ashes. The results of burning gas emissions test consist of 4 types issued, which are ; 195 ppm of sulfur, 26 ppm. Of nitrogen dioxide, 9.11 ppm of carbon dioxide and more than 4,000 ppm of carbon monoxide. The gas emission were vary from associated with the amount of meat material remaining after burning and met the requirement of standards community Production Standard Per 238/2547.
The results of cost benefit analysis found that the production of charcoal briquette build at 3:7 ratio, heating value was 5,003 kcal/kg and humidity less than 8%. There were benchmark performance based on a minimum production costs of 4.80 Baht/kg of charcoal, when the maximum rate were 400 kg./day and payback period approximately 0.7 year (8 month 12 day). For the sustain of agriculture and development should be encourage the farmers use these materials to create higher-value.
Keyword: Production ofCharcoal Briquette, Coconut Shell, Cassava Rhizome
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1907
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 2 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1908
2012-02-18T13:59:33Z
jindedu:Jreind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
การผลิตมอลโทเดกซ์ทรินด้วยเอนไซม์จากแบคทีเรียที่เพาะเลี้ยงจากน้ำทิ้งของอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง
วันแอเลาะห์, ชโลธร
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
ดิสถาพร, ถนอมสิน
บทคัดย่อ งานวิจัยนี้ศึกษาการผลิตมอลโทเดกซ์ทรินด้วยเอนไซม์จากแบคทีเรียที่เพาะเลี้ยงจากน้ำทิ้งของอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลังและหาคุณภาพของมอลโทเดกซ์ทรินที่ผลิตได้ โดยทำการหมักเพาะเลี้ยงแบคทีเรียที่ปริมาณเริ่มต้น 9,155 มิลลิกรัมต่อลิตร น้ำทิ้งที่ใช้ในการทดลองมี 2 สภาวะ คือ น้ำทิ้งที่ไม่มีการปรับค่าซีโอดีและน้ำทิ้งที่มีการปรับค่าซีโอดีเป็น 1,200 มิลลิกรัมต่อลิตร ทำการหมักที่อุณหภูมิ 30–37 องศาเซลเซียส และ 47–55 องศาเซลเซียส ควบคุมพีเอชที่ 7 ตลอดการทดลอง เป็นเวลา 3 สัปดาห์ พบว่ามีแบคทีเรียเพิ่มขึ้นในระหว่างทำการหมัก โดยที่ระยะเวลาการหมัก 21 วัน มีปริมาณแบคทีเรียเพิ่มขึ้นสูงที่สุด ดังนี้คือ น้ำหมักที่อุณหภูมิ 30–37 องศาเซลเซียส เติมน้ำทิ้งที่ไม่มีการปรับค่าซีโอดี, น้ำทิ้งที่มีการปรับค่าซีโอดีเป็น 1,200 มิลลิกรัมต่อลิตร มีปริมาณแบคทีเรีย 11,353–11,945 มิลลิกรัมต่อลิตร และ 11,958–14,034 มิลลิกรัมต่อลิตร ตามลำดับ น้ำหมักที่อุณหภูมิ 47–55 องศาเซลเซียส เติมน้ำทิ้งที่ไม่มีการปรับค่าซีโอดี, น้ำทิ้งที่มีการปรับค่าซีโอดีเป็น 1,200 มิลลิกรัมต่อลิตร มีปริมาณแบคทีเรีย 25,022–31,661 มิลลิกรัมต่อลิตร และ 17,797–21,735 มิลลิกรัมต่อลิตร ตามลำดับ นำน้ำหมักที่ระยะเวลา 21 วัน มาแยกสายพันธุ์แบคทีเรียที่สามารถผลิตเอนไซม์อะไมเลสและวิเคราะห์แอคติวิตีของเอนไซม์อะไมเลส พบว่าเชื้อแบคทีเรียจากน้ำหมักที่ใช้อุณหภูมิในการหมัก 30–37 องศาเซลเซียส ที่มีการปรับค่า ซีโอดีเป็น 1,200 มิลลิกรัมต่อลิตร ให้แอคติวิตีของเอนไซม์อะไมเลสสูงกว่าที่ไม่มีการปรับค่าซีโอดี คือ 52.57 และ 42.71 หน่วย ตามลำดับ และเชื้อแบคทีเรียจากน้ำหมักที่ใช้อุณหภูมิในการหมัก 47–55 องศาเซลเซียส ที่มีการปรับค่าซีโอดีเป็น 1,200 มิลลิกรัมต่อลิตร ให้แอคติวิตีของเอนไซม์อะไมเลสสูงกว่าที่ไม่มีการปรับค่าซีโอดีทั้ง 2 ไอโซเลท คือ 64.46, 16.34 และ 34.07 หน่วย ตามลำดับ ทำการผลิตมอลโทเดกซ์ทริน โดยย่อยแป้งที่อุณหภูมิ 80 องศาเซลเซียส ที่ระยะเวลา 10–50 นาที ปริมาณเอนไซม์ 1.35% ของน้ำหนักแป้งแห้ง พบว่าปริมาณน้ำตาลรีดิวซิงและค่า DE มีค่าเพิ่มขึ้นตามระยะเวลาการย่อย นำมอลโทเดกซ์ทรินที่ผลิตได้มาทดสอบคุณภาพ ตามมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก. 1171–2536 พบว่ามอลโทเดกซ์ทรินที่ได้จากการย่อยแป้งมันสำปะหลังด้วยเอนไซม์อะไมเลสจากแบคทีเรียที่เพาะเลี้ยงจากน้ำทิ้งของอุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง ที่ทำการหมักที่อุณหภูมิ 30-37 องศาเซลเซียส และ 47–55 องศาเซลเซียส ทั้งที่ไม่มีการปรับค่าซีโอดีและมีการปรับค่าซีโอดีเป็น 1,200 มิลลิกรัมต่อลิตร ระยะเวลาการหมัก 21 วัน ที่ระยะเวลาในการย่อยแป้ง 40 นาที มีคุณภาพเป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก. 1171–2536 โดยมีรายละเอียดดังนี้ เมื่อทดสอบกับสารละลายไอโอดีนแล้ว มีสีน้ำตาลแดง สามารถละลายน้ำได้ มีปริมาณของแข็งทั้งหมดร้อยละ 65.54, 65.91, 63.23 และ 65.18 ตามลำดับ มีเถ้าซัลเฟตร้อยละ 0.44, 0.40, 0.42 และ 0.40 ตามลำดับ มีน้ำตาลรีดิวซิงร้อยละ 10.07, 9.94, 9.54 และ 9.85 ตามลำดับ และมีปริมาณโปรตีนร้อยละ 0.11, 0.12, 0.09 และ 0.07 ตามลำดับคำสำคัญ: มอลโทเดกซ์ทริน, เอนไซม์จากแบคทีเรีย, อุตสาหกรรมแป้งมันสำปะหลัง Abstract This research were to study the production and the quality of maltodextrin using bacterial enzyme from wastewater fermentation of tapioca starch industry. The researcher took some water from wastewater treatment pond that contain microorganisms of 9,155 mg/l at pH 7. The tapioca wastewater were used in non treatment and treatment for COD at 1,200 mg/l. The experiments were fermentation at 30–370C and 47–550C. The results showed that, the microorganisms were increase and the fermentation of 21 dates have microorganisms higher than 7 and 14 dates respectively. The 21 dates fermented water at 30–370C added non treatment wastewater had microorganisms for 11,353-11,945 mg/l. The 21 dates fermented water at 30–370C added treatment wastewater for COD at 1,200 mg/l have microorganisms of 11,958-14,034 mg/l. The 21 dates fermented water at 47–550C added non treatment wastewater had microorganisms of 25,022-31,661 mg/l and the 21 dates fermented water at 47–550C added treatment wastewater for COD at 1,200 mg/l had microorganisms for 17,797-21,735 mg/l. Microorganisms that produced amylase were selected and tested for amylase activity. The results showed that, bacterial enzyme from 21 dates fermented water at 30–370C added treatment wastewater for COD at 1,200 mg/l had amylase activity higher than 21 dates fermented water at 30–370C added non treatment wastewater were 52.57 and 42.71 units and bacterial enzyme from 21 dates fermented water at 47–550C added treatment wastewater for COD at 1,200 mg/l had amylase activity higher than 2 isolates of 21 dates fermented water at 47–550C added non treatment wastewater were 64.46, 16.34 and 34.07 units respectively. Production of maltodextrins from tapioca starch, obtained by using amylase 1.35% of dry starch weight at 800C for 10–50 minutes. The results showed that, the reducing sugar content and DE (Dextrose Equivalent) values increased with increasing time. For 40 minutes, DE values of maltodextrins from bacterial enzyme from 21 dates fermented water added non treatment wastewater and treatment wastewater for COD at 1,200 mg/l at 30–370C and 47–550C were 15.36, 15.09, 15.08 and 15.12. Testing the quality of maltodextrins by method of Thai Industrial Standard 1171–2536. The results showed that, maltodextrins from bacterial enzyme from 21 dates fermented water added non treatment wastewater and treatment wastewater for COD at 1,200 mg/l at 30–370C and 47–550C had the values of indicator were red brown, soluble in water, total solid content were 65.54, 65.91, 63.23 and 65.18% respectively, sulfated ash content were 0.44, 0.40, 0.42 and 0.40% respectively, reducing sugar content were 10.07, 9.94, 9.54 and 9.85% respectively and protein content of maltodextrins were 0.11, 0.12, 0.09 and 0.07% respectively. The results of this experiment showed that, the quality of maltodextrins using bacterial enzyme from wastewater fermentation of tapioca starch industry passed the standard requirement of Thai Industrial Standard 1171–2536.Keyword: Maltodextrin, Bacterial enzyme, Tapioca starch industry.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1908
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 2 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1909
2012-02-18T14:07:59Z
jindedu:Jreind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาชุดการเรียน เรื่อง ป่าชายเลน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนหลวงพ่อปานคลองด่านอนุสรณ์ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ
ทองใบ, ขวัญตา
พานทอง, บังอร
มนัสมงคล, สุนันทา
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาชุดการเรียน เรื่อง ป่าชายเลนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความตระหนักต่อการอนุรักษ์ป่าชายเลน และความพึงพอใจต่อชุดการเรียน
กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนหลวงพ่อปานคลองด่านอนุสรณ์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 จำนวน 34 คน โดยใช้วิธีการสุ่มแบบหลายขั้นตอน (Multi – stage Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ชุดการเรียน เรื่อง ป่าชายเลน 4 ชุด แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบวัดความตระหนัก และแบบสอบถามความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการคำนวณค่าประสิทธิภาพของชุดการเรียน และการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยใช้การทดสอบค่า t-test
ผลวิจัยพบว่า
1) ชุดการเรียน เรื่อง ป่าชายเลน ที่พัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพ 84.15/83.43
2) ผลสัมฤทธิ์ และความตระหนักต่อการอนุรักษ์ป่าชายเลนของนักเรียนหลังใช้ชุดการเรียน เรื่อง ป่าชายเลน สูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
3) ความพึงพอใจต่อชุดการเรียนเรื่อง ป่าชายเลน อยู่ในระดับดี
คำสำคัญ: ชุดการเรียน, ป่าชายเลน
Abstract The purposes of this research were to develop a learning package on mangrove for Secondary School Grade 7 at students, Luangpopanklongdananusorn School, by investigate students’ achievement, students awareness and students satisfaction toward learning package on mangrove. The sample were 34 Secondary School Grade 7 students, at Luangpopanklongdananusorn schoo enrolled in the first semester of 2009 academic year. They were selected by the multi-stage sampling technique. The learning package on mangrove, achievement test, awareness test and satisfaction test were used as instruments for this study. The data were statistically analyzed by computation of the efficiency index on learningpackage and t-test for significant difference of means. The results of this study indicated that: 1) The learning package on mangrove attained the efficiency index at 84.15/83.43 2) The students’ achievement and awareness on mangrove conservation toward the learning package on mangrove were significantly increased after the experiment at .05 level. 3) The student’s satisfaction toward the learning package on mangrove was in the good level.Keyword: Learning Package, Mangrove
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1909
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 2 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1910
2012-02-18T14:13:52Z
jindedu:Jreind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาเว็บเพจสาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
เนื่องพุกก์, นพพงศ์
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
สุขหวาน, โอภาส
บทคัดย่อ
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาเว็บเพจสาขาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และหาคุณภาพตามเกณฑ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นอาจารย์ นิสิต ของสาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทร-วิโรฒ จำนวน 17 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือค่าเฉลี่ย () เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การพัฒนาเว็บเพจสาขาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีขั้นตอนดังนี้ 1. ออกแบบและสร้างเว็บเพจสาขาอุตสาหกรรมศึกษา 2. นำเว็บเพจที่ได้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบประเมินคุณภาพเว็บเพจและปรับปรุงแก้ไข 3. นำเว็บเพจที่ออกแบบไปให้กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ อาจารย์ นิสิต ของสาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ จำนวน 17 คน ทำการประเมิน ผลการวิจัยมีดังต่อไปนี้ 1.ผลการพัฒนาเว็บเพจสาขาอุตสาหกรรมศึกษามีดังนี้ 1.1) เนื้อหา มีความทันสมัย น่าสนใจ และครบถ้วนสมบูรณตามจุดมุงหมาย 1.2) ภาพมีความสอดคล้อง ความน่าสนใจ มีการจัดรูปแบบการวางภาพอย่างความเหมาะสม 1.3) ตัวอักษร มีความเรียบร้อย ถูกต้อง และชัดเจน 1.4) การนำเสนอและข้อมูล มีความเชื่อมโยง สัมพันธ์กัน 2.การประเมินคุณภาพของการใช้เว็บเพจสาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรี- นครินทรวิโรฒ ที่ได้พัฒนาขึ้น คุณภาพของการใช้เว็บเพจ โดยรวมมีค่าเฉลี่ย () เท่ากับ 4.24 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ0.52 อยู่ในเกณฑ์ดี และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านผลประเมินมีดังนี้ 2.1)ด้านเนื้อหาอยู่ในเกณฑ์ดี ค่าเฉลี่ย()เท่ากับ 4.33 2.2) ด้านภาพอยู่ในเกณฑ์ดี ค่าเฉลี่ย () เท่ากับ 4.33 2.3)ด้านอักษรอยู่ในเกณฑ์ดี ค่าเฉลี่ย () เท่ากับ 4.56 2.4)ด้านการนำเสนอการเชื่อมโยงข้อมูลอยู่ในเกณฑ์ดี ค่าเฉลี่ย () เท่ากับ 4.33
คำสำคัญ: การพัฒนาเว็บเพจ สาขาวิชาอุตสาหกรรมศึกษา
Abstract This study aimed to Development of Industrial Education Division Web page. Faculty of Education Srinakharinwirot University and determined the quality of Industrial Education Division Web page. The sample group were students and teacher of Industrial Education Division Faculty of Education Srinakharinwirot University. The statistic used to analyzed the data were mean and standardization. The Webpage development of Industrial Education Division Faculty of Srinakharinwirot University wer e as followed. 1. Design and construction of Industrial Education Division Web page. 2. Evaluated the Web pages by the web page experts . 3. Evaluated the Web pages by 17 teacher and students of Industrial Education Division. The results were as followed. 1. The development of Industrial Education Division Web page will consider as follows : 1.1) The content of web page was modernized, interested and fully completed the objectives. 1.2) The web page image was appropriate 1.3) The text were clear and correct. 1.4) The web page data were linked and related 2. Evaluated the quality of the web page of Industrial Education Division, Faculty of Education at Srinakharinwirot University. The average overall () was 4.24 standard deviation (SD) was 0.52 in the good level. In view of the evaluation indifferent are as were: 2.1) The content was good level.. Mean () was 4.33 2.2) The image was good level. Mean () was 4.33 2.3) The letter was good level. Mean () was 4.56, 2.4) The presentation of data link was good level. Mean () was 4.33.Keyword: Web Page Development, Industrial Education Division
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1910
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 2 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1911
2012-02-18T14:19:49Z
jindedu:Jreind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม เรื่อง ความรู้พื้นฐานสิ่งทอสำหรับหัวหน้างานในโรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ
ปิ่นกุมภีร์, ก้องเกียรติ
สุวคันธกุล, อุปวิทย์
สุขหวาน, โอภาส
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมความรู้พื้นฐานสิ่งทอสำหรับหัวหน้างานในโรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอและหาประสิ้ทธิภาพาของหลักสูตรฝึกอบรมความรู้พื้นฐานสิ่งทอสำหรับหัวหน้างานในโรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ การสร้างหลักสูตรฝึกอบรมเรื่องความรู้พื้นฐานสิ่งทอสร้างขึ้นมากจากการศึกษาข้อมูลเอกสารงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยใช้รูปแบบในการพัฒนาหลักสูตรของทาเป็นแนวทาง มีโครงสร้างของเนื้อหา 5 หน่วยการเรียน คือ หน่วยการเรียนที่1 เรื่องเส้นใย หน่วยการเรียนที่2 เรื่องเส้นด้าย หน่วยการเรียนที่3 เรื่องการผลิตผ้า หน่วยการเรียนที่ 4 เรื่องการเตรียมผ้าและการย้อม หน่วยการเรียนที่ 5 เรื่องการทดสอบผลิตภัณฑ์ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบทดสอบความรู้ความเย้าใจระหว่างฝึกอบรม แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจหลังฝึกอบรม กลุ่มตัวอย่างเป็นหัวหน้างานของบริษัทอุตสาหกรรมทอผ้าไทย จำกัด จำยวน 8 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่าประสิทธิภาพของหลักสูตรฝึกอบรมเรื่องความรู้พื้นฐานสิ่งทอมีประสิทธิภาพ 92.50/90.62 โดยแต่ละหน่วยการเรียนมีค่าประสิทธิภาพดังนี้ หน่วยการเรียนที่1 เรื่องเส้นใย ได้ค่าประสิทธิภาพ(E1/E2)=91.34/90.38 หน่วยการเรียนที่2 เรื่องเส้นด้าย ได้ค่าประสิทธิภาพ(E1/E2)=92.50/90.00 หน่วยการเรียนที่3 เรื่องการผลิตผ้า ได้ค่าประสิทธิภาพ(E1/E2)=92.85/91.07 หน่วยการเรียนที่ 4 เรื่องการเตรียมผ้าและการย้อม ได้ค่าประสิทธิภาพ(E1/E2)=92.85/91.07 หน่วยการเรียนที่ 5 เรื่องการทดสอบผลิตภัณฑ์ ได้ค่าประสิทธิภาพ(E1/E2)=93.75/90.06 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้และผลการประเมินโครงการฝึกอบรมมีค่าเฉลี่ย 4.50 อยู่ในระดับดี.
คำสำคัญ: การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม, ความรู้พื้นฐานสิ่งทอ, หัวหน้างาน
Abstract
The main purmpose of this research were to develop the training curriculum and to find out the efficiency of training curriculum on fundamental textile for supervisors in textile industries. The curriculum construction on fundamental textile was constructeds from various related researches and information involved in this research area. Taba’s curriculum pattern was used as a guideline in this research. The new constructed curriculum comprised with 5 units – Unit 1 : Fiber, Unit2 : Yarn, Unit3: Fabric, Unit4: Cloth Preparation and Dying, and Unit5: Product Testing. While and post tests on understanding on what were being trained and training evaluation questionaire were used as resedarch instrument tfor data collection. Research samples were eight supervisors working for Thai Textile Industry Co.,Ltd.
The research finding showed that the efficiency of the curriculum training on fundamental textile was at 92.50/90.62. The efficiency of curriculum with 5 units – Unit 1 : Fiber (E1/E2) = 91.34/90.38, Unit2 : Yarn (E1/E2) = 92.50/90.00, Unit3: Fabric(E1/E2) = 92.85/91.07, Unit4: Cloth Preparation and Dying(E1/E2) = 92.85/91.07, and Unit5: Product Testing(E1/E2) = 93.75/90.06 whichwas higher than the criteria was since the start. The mean of evaluation of the training curriculum was 4.50 which showed that it was in the “good” level.
Keyword: Training curriculum development, Knowledge of textile, Supervisor
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1911
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 2 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1912
2012-02-18T14:25:17Z
jindedu:Jreind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการใช้โปรแกรม Master CAM สำหรับช่างอุตสาหกรรม
ตระกูลใหญ่, อวยชัย
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
สุขหวาน, โอภาส
บทคัดย่อ
ความมุ่งหมายของงานวิจัยครั้งนี้ เพื่อการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการใช้โปรแกรม MasterCAM สำหรับช่างอุตสาหกรรม และทดสอบหาประสิทธิภาพของหลักสูตรฝึกอบรมการใช้โปรแกรม MasterCAM สำหรับช่างอุตสาหกรรม
ผู้วิจัยได้ทำการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการใช้โปรแกรม MasterCAM สำหรับช่างอุตสาหกรรม โดยกำหนดขอบเขตในการพัฒนาหลักสูตร ประกอบด้วยเนื้อหา 2 หน่วยคือ 1. การใช้คำสั่งในการเขียนแบบในรูปแบบต่างๆ ของงานประเภท 2 มิติ และ 2. การใช้คำสั่งในการเขียนแบบในรูปแบบต่างๆ ของงานประเภท 3 มิติ ทำการวิจัยนี้เป็นการให้ความรู้และความเข้าใจในการใช้โปรแกรม MasterCAM สำหรับช่างอุตสาหกรรม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ แบบทดสอบระหว่างการฝึกอบรมแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือกจำนวน 30 ข้อ และแบบทดสอบหลังการฝึกอบรมแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือกจำนวน 30 ข้อ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการฝึกอบรมคือ พนักงานบริษัท ซีล พรีซิชั่น จำกัด และบริษัท วารินทร์ ฟูดส์ จำกัด จำนวน 12 คน สถิติที่ใช้ทดสอบสมมุติฐานคือ E1/ E2
ผลการวิจัยพบว่าหลักสูตรฝึกอบรม การใช้โปรแกรม MasterCAM สำหรับช่างอุตสาหกรรม ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ E1 = 84.31/ E2 = 94.16 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด E1/ E2 = 80/80 โดยผลการคำนวณหาประสิทธิภาพระหว่างการฝึกอบรมของหน่วยต่างมีดังนี้ หน่วยที่ 1 การใช้คำสั่งในการเขียนแบบในรูปแบบต่างๆ ของงานประเภท 2 มิติ มีค่าประสิทธิภาพ E1 = 88.02 หน่วยที่ 2 การใช้คำสั่งในการเขียนแบบในรูปแบบต่างๆ ของงานประเภท 3 มิติ มีค่าประสิทธิภาพ E1 = 80.61 ผลรวมค่าประสิทธิภาพระหว่างการอบรม E1 = 84.31 ผลของค่าประสิทธิภาพหลังการฝึกอบรม E2 = 94.16 สรุปได้ว่า E1 = 84.31/ E2 = 94.16 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนด 80/80
คำสำคัญ: การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม, โปรแกรม MasterCAM, ช่างอุตสาหกรรม
Abstract
The puposes of this research were to developed a training curriculum in Master CAM for Mechanical and evaluating the efficiency of this training curriculum.
The researcher developed the training curriculum in Master CAM Program for Mechanical in two chapters as follows; Chapter 1: Using command drafting 2D, Chapter 2: Using command drafting 3D. This research was an action research as a study in order to know and understand using Master CAM program for Mechanical. The tools used in the research were questionnaires with four multiple choice. The efficiency of the development of training curriculum in Master CAM program for mechanical was evaluated before and after the training. The sample were 12 technicial workers at Seal Precision CO.,LTD and Varin Food CO.,LTD. The statistical tool use to test the hypothesis was E1/E2
The result of this research were: The training curriculum in MasterCAM for Mechanical have an efficiency of E1= 84.31/E2= 94.16 which is higher than the standard criteria of 80/80. The efficiency evaluated during the training in each chapter were as follows. Chapter 1: the command of drawing in various form for 2-D had efficiency of E1 = 88.02, Chapter 2: the command of drawing in various form for 3-D had efficiency of E1 = 80.61. The total efficiency during the training was E1=84.31. The efficiency after training was E2= 94.16 (E1 = 84.31 / E2 = 94.16) which was higher than the criterion of 80/80.
Keyword: Training Curriculum Development, Master CAM Program, Mechanical
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1912
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 2 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1913
2012-02-18T14:29:02Z
jindedu:Jreind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ระบบ SAP สำหรับพนักงานแผนกดูแลอาคารและสถานที่ ฝ่ายจัดการทรัพย์สินและรักษาความปลอดภัย การไฟฟ้านครหลวง
บุญสุวรรณ, เชาวลิต
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
สุขหวาน, โอภาส
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อพัฒนาหลักสูตรและศึกษาประสิทธิภาพของหลักสูตรฝึกอบรมการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ระบบ SAP สำหรับพนักงานแผนกดูแลอาคารและสถานที่ ฝ่ายจัดการทรัพย์สินและรักษาความปลอดภัย การไฟฟ้านครหลวง
ผู้วิจัยได้สร้างขึ้นจากการศึกษาข้อมูลจากเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยใช้รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของทาบา โดยมีโครงสร้างของเนื้อหาหลักสูตรจำนวน 3 หน่วยการเรียนรู้ ดังนี้ หน่วยที่ 1 การลงบันทึกเวลาทำงานปกติ ล่วงเวลาปกติและล่วงเวลาปกติ (วันหยุดราชการ) หน่วยที่ 2 การแก้ไขการลงบันทึกเวลาทำงานและหน่วยที่ 3 การสำรองวัสดุจากคลังพัสดุของฝ่ายจัดการทรัพย์สินและรักษาความปลอดภัย การสำรองวัสดุและการสำรองน้ำมันจากคลังพัสดุและคลังน้ำมันของการไฟฟ้านครหลวง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วยกันสองส่วน ส่วนที่หนึ่ง ได้แก่ แบบทดสอบความรู้ ความเข้าใจ ระหว่างการฝึกอบรม และแบบประเมินทักษะระหว่างการฝึกอบรม ส่วนที่สองได้แก่ แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจ และแบบประเมินทักษะหลังการฝึกอบรม ข้อกำหนดผู้เข้ารับการฝึกอบรมต้องเป็นพนักงานภายในแผนกดูแลอาคารและสถานที่ ฝ่ายจัดการทรัพย์สินและรักษาความปลอดภัยของการไฟฟ้านครหลวง กลุ่มตัวอย่างได้แก่ พนักงานภายในแผนกดูแลอาคารและสถานที่ ฝ่ายจัดการทรัพย์สินและรักษาความปลอดภัย จำนวน 10 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าประสิทธิภาพ E1 / E2
ผลการวิจัยพบว่าประสิทธิภาพของหลักสูตรฝึกอบรมการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ระบบ SAP สำหรับพนักงานแผนกดูแลอาคารและสถานที่ การไฟฟ้านครหลวง มีประสิทธิภาพ E1 / E2 เท่ากับ 87.33 / 95.00 (SD1 = 0.69/ SD2 = 0.31) ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 85/85 โดยมีประสิทธิภาพความรู้ ความเข้าใจระหว่างฝึกอบรมของแต่ละหน่วยดังนี้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 (E1) = 86.00 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 (E1) = 87.00 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 (E1) = 89.00 มีประสิทธิภาพความรู้ ความเข้าใจหลังฝึกอบรม (E2) = 95.00
คำสำคัญ: การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม, โปรแกรมคอมพิวเตอร์ระบบ SAP, การไฟฟ้านครหลวง
Abstract
The purposes of this research were to develop a training curriculum on System, Application and Products (SAP) Computer Program for Building Maintenance Staff Division, Under Property Management and Security Department Metropolitan Electricity Authority and to study the efficiency of a training curriculum development on System, Application and Products (SAP) Computer Program for Building Maintenance Staff Division, Under Property Management and Security Department Metropolitan Electricity Authority. The contents of this curriculum consisted of 3 units there were, Unit 1: Record working time, Record regular overtime and holiday overtime, Unit 2 : Correct the record, Unit 3 : Material reservation. The samples were 10 employees under the Building and Environmental Unit. Questionnaires were use in this study. The statistic that were use to analyzed the data were mean, standard deviations, and E1/E2 for the efficiency.
The result of the study found that : The efficiency of a Training Curriculum Development on System, Application and Products (SAP) Computer Program for Building Maintenance Staff Division have efficiency of E1/E2 = 87.33/95.00 higher than the standard of 85/85. The efficiency during the training were: unit 1, E1 = 86.00, unit 2, E1 = 87.00, unit 3, E1 = 89.00. The efficiency after training was (E2) = 95.00.
Keyword: Training Curriculum Development, Products (SAP) Computer Program, Metropolitan Electricity Authority
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1913
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 2 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1914
2012-02-18T14:34:05Z
jindedu:Jreind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
ประสิทธิภาพของระบบบำบัดน้ำเสียแบบใช้ออกซิเจน เพื่อพัฒนาบทปฏิบัติการสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนภัทรพิทยาจารย์
ขุขันธิน, สกล
ทองปาน, สนอง
เจริญพิทย์, ณัฏฐพงษ์
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 3 ประการ คือ 1) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของระบบบำบัดน้ำเสียแบบใช้ออกซิเจน ในรูปของการลดปริมาณสารอินทรีย์ และสารแขวนลอยในน้ำเสีย 2) เพื่อพัฒนาบทปฏิบัติการ เรื่อง การบำบัดน้ำเสีย ให้มีคุณภาพในระดับดี และมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 3) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเจตคติต่อทรัพยากรน้ำของนักเรียนหลังการใช้บทปฏิบัติการ เรื่อง การบำบัดน้ำเสีย
แหล่งข้อมูลในการวิจัยมีดังนี้ 1) แหล่งน้ำที่ใช้วิเคราะห์คุณภาพน้ำ ใช้น้ำทิ้งรวมจากอาคารต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ 2) การศึกษาประสิทธิภาพของบทปฏิบัติการและการศึกษาผลการเรียนรู้ ใช้นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนภัทรพิทยาจารย์ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก เป็นแหล่งข้อมูล
การศึกษาคุณภาพน้ำกระทำโดย วัดค่าคุณภาพน้ำตามค่าพารามิเตอร์ 6 ตัว ได้แก่ ค่าอุณหภูมิ ค่าความเป็นกรด–ด่าง ค่าดีโอ ค่าบีโอดี ค่าซีโอดี ค่าน้ำมันและไขมัน และค่าของแข็งแขวนลอย แล้วนำมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานคุณภาพน้ำที่กำหนด ส่วนการศึกษาประสิทธิภาพของบทปฏิบัติการกระทำโดยการเทียบค่าสัดส่วนระหว่างค่าเฉลี่ยของค่าร้อยละของคะแนนจากบทปฏิบัติการ 5 บท (E1) กับค่าร้อยละของคะแนนการสอบภาพรวม (E2) สำหรับการศึกษาผลการเรียนรู้ทั้ง 3 ด้าน กระทำโดยการทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับคะแนนหลังเรียนของผลการเรียนรู้แต่ละด้าน โดยการทดสอบค่า t-test กรณีข้อมูลคู่ขนาน (dependent data) ที่ระดับนัยสำคัญ .05
ผลการวิจัยมีดังนี้
1. ค่าคุณภาพน้ำ ปรากฎว่า ค่าคุณภาพน้ำ 5 ค่า คือ ค่าอุณหภูมิ ค่าความเป็นกรด–ด่าง ค่าดีโอ ค่าบีโอดี ค่าน้ำมันและไขมัน และค่าของแข็งแขวนลอย เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน ส่วนค่าซีโอดี มีค่าเกินกว่ามาตรฐาน (ซึ่งบ่งชี้ว่าคุณภาพน้ำยังไม่ดีพอ) เล็กน้อย
2. บทปฏิบัติการมีประสิทธิภาพ (E1/E2) มีค่า 80.26/80.71 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80
3. ผลการเรียนรู้ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และด้านเจตคติต่อทรัพยากรน้ำของนักเรียนภายหลังการเรียนสูงกว่าก่อนการเรียนด้วยบทปฏิบัติการ
คำสำคัญ: บทปฏิบัติการ, การบำบัดน้ำเสียแบบใช้ออกซิเจน, มลพิษทางน้ำ
Abstract
The purposes of this research were: 1) to study the efficiency of anaerobic “Wastewater Treatment” system to reduce the organic substances from the solution and suspension. 2) to develop laboratory direction on “Wastewater Treatment” to obeain high quality and the efficiency index of 80/80. 3) to investigate the students’ achievement on science process skills and attitude towards water resource after learning through the laboratory direction on “Wastewater Treatment”
The data were collected from: 1) analyzed waste water from the buildings in Srinakharinwirot University, Ongkarak 2) investigating the efficiency of laboratory directions and the Mathayomsuksa IV students’ achievement at Patarapittayagan school.
The sample were 40 mattayomsuksa IV students, in the first semester of 2009 academic year at Patarapittayagan school.
The efficiency of “Wastewater Treatment” system was done by analyzing temperature, pH, DO, BOD, COD, Oil and Grease, Suspended Solids from wastewater and compared to the standardization of water quality. The efficiency of laboratory directions “Wastewater Treatment” was conducted by comparing to the summation of mean score percentage from 5 chapters (E1) with the summation of examination scores percentage (E2). The study of learning out come was statistically analyzed by computation from mean score before and after learning through laboratory directions “Wastewater Treatment” by using t-test for significant difference of means at the .05 level.
The result of this study indicated that;
1. The value of wastewater quality based on temperature, pH, OD, BOD, Oil and Grease, and suspended solid were acceptable according to the standard value, but COD was higher.
2. The laboratory direction on “Wastewater Treatment” attained the efficiency index at 80.26/80.70
3. The students’ achievement, science process skills and attitude toward water resource was significantly increased after the experiment.
Keyword: Aerobic treatment system, Laboratory directions, Water pollution
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1914
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 2 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1915
2012-02-18T14:38:26Z
jindedu:Jreind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
ผลกระทบด้านจิตวิทยาต่อรอยเลื่อนของแผ่นดินบริเวณเขื่อนจังหวัดกาญจนบุรี
สุวรรณโฉม, ภัทรพล
ทวีวัฒน์, เกรียงศักดิ์
สุขุมพันธ์, สมเกียรติ
บทคัดย่อ
การศึกษาเรื่องผลกระทบด้านจิตวิทยาต่อรอยเลื่อนของแผ่นดินบริเวณเขื่อน จังหวัดกาญจนบุรี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาผลกระทบด้านจิตวิทยาต่อรอยเลื่อนของแผ่นดินบริเวณเขื่อน จังหวัดกาญจนบุรี 2) เปรียบเทียบความคิดเห็นเกี่ยวกับการรับรู้ด้านจิตวิทยาที่มีต่อรอยเลื่อนของแผ่นดิน จำแนกตามตัวแปร เพศ สถานภาพ และสถานที่พักอาศัย 3) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสถานการณ์และการรับรู้ด้านจิตวิทยาที่มีต่อรอยเลื่อนของแผ่นดิน และ 4) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่มุ่งหวังและการป้องกันและการรับรู้ด้านจิตวิทยาที่มีต่อรอยเลื่อนของแผ่นดิน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาเป็นประชาชนในจังหวัดกาญจนบุรี จำนวน 400 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ ที่เกี่ยวกับพฤติกรรมเชิงจิตวิทยา ตามทฤษฎีของซิกฟรอยด์ (Sigmund Freud) ใน 3 ด้านคือ การเข้าข้างตนเอง การโยนความผิดหรือโทษคนอื่น และการเก็บกดและการถดถอย ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นโดยจัดประชุมกลุ่ม (Focus Group Discussion) และใช้เทคนิคการวิจัยแบบเดลฟาย (Delphi Technique) เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) จากผู้ทรงคุณวุฒิ และแบบสอบถามมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .9022 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าร้อยละ (%) ค่าเฉลี่ย (Mean) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าที (t-test) ค่าเอฟ (F-test) และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ ผลการวิจัยพบว่า
1. กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีสถานที่พักอยู่บริเวณลุ่มน้ำใต้เขื่อน และรับรู้ข่าวสารข้อมูลเกี่ยวกับรอยเลื่อนของแผ่นดินในจังหวัดกาญจนบุรี และไม่ได้เตรียมความพร้อม แต่ในส่วนที่เตรียมความพร้อม จะเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับของใช้ที่จำเป็น รอฟังสัญญาณเตือนภัยหรือข่าวสารให้หลบหนี และมองหาพื้นที่หรือสถานที่ที่จะไปหลบภัย
2. กลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นเกี่ยวกับการรับรู้ด้านจิตวิทยาที่มีต่อรอยเลื่อนของแผ่นดิน มีค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านการเข้าข้างตนเอง และด้านการโยนความผิดหรือโทษคนอื่น โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนด้านการเก็บกดและการถดถอย โดยรวมอยู่ในระดับน้อย
3. กลุ่มตัวอย่างมีการรับรู้ด้านจิตวิทยาที่มีต่อรอยเลื่อนของแผ่นดินในด้านสถานการณ์ ค่าเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง และในด้านความมุ่งหวังและการป้องกันโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง
4. กลุ่มตัวอย่างที่มีเพศต่างกันและสถานภาพต่างกันมีการรับรู้ด้านจิตวิทยาที่มีต่อรอยเลื่อนแผ่นดินเป็นรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน
5. กลุ่มตัวอย่างที่มีสถานภาพต่างกันมีการรับรู้ด้านจิตวิทยาในประเด็นการเข้าข้างตนเองที่มีต่อรอยเลื่อนแผ่นดิน และในประเด็นการโยนความผิดหรือโทษคนอื่นที่มีต่อรอยเลื่อนแผ่นดิน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แต่ในประเด็นการเก็บกดและการถดถอยต่อรอยเลื่อนแผ่นดินไม่แตกต่างกัน
6. กลุ่มตัวอย่างที่มีสถานภาพต่างกันมีการรับรู้ด้านสถานการณ์รอยเลื่อนแผ่นดินไม่แตกต่างกัน
7. กลุ่มตัวอย่างที่มีสถานภาพต่างกันมีการรับรู้ด้านสิ่งมุ่งหวังและการระวังป้องกันรอยเลื่อนแผ่นดิน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
8. กลุ่มตัวอย่างที่มีสถานที่พักต่างกันมีการรับรู้ด้านพฤติกรรมเชิงจิตวิทยาที่มีต่อรอยเลื่อนแผ่นดิน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยประเด็นการเข้าข้างตนเองที่มีต่อรอยเลื่อนแผ่นดินไม่แตกต่างกัน ส่วนประเด็นการโยนความผิดหรือโทษคนอื่นที่มีต่อรอยเลื่อนแผ่นดิน และประเด็นการเก็บกดและการถดถอยต่อรอยเลื่อนแผ่นดิน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
9. กลุ่มตัวอย่างที่มีสถานที่พักต่างกันมีการรับรู้ด้านสถานการณ์รอยเลื่อนแผ่นดินไม่แตกต่างกัน
10. กลุ่มตัวอย่างที่มีสถานที่พักต่างกันมีการรับรู้ด้านสิ่งมุ่งหวังและการระวังป้องกันรอยเลื่อนแผ่นดินไม่แตกต่างกัน
11. เปรียบเทียบการเตรียมความพร้อมเมื่อรอยเลื่อนของแผ่นดินเกิดการขยับตัวที่มีผลกระทบด้านจิตวิทยาเป็นรายด้าน จำแนกตามการเตรียมความพร้อม มีผลกระทบแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ในด้านการเก็บกดและการถดถอย และด้านสิ่งมุ่งหวังและการป้องกัน
12. ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สันระหว่างสถานการณ์และการรับรู้ด้านจิตวิทยาที่มีต่อรอยเลื่อนของแผ่นดิน มีความสัมพันธ์ในทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์คือ ด้านการเข้าข้างตัวเอง (r = .504) ด้านการโยนความผิดหรือโทษคนอื่น (r = .463) และด้านการเก็บกดและการถดถอย (r = .421)
13. ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สันระหว่างสิ่งที่มุ่งหวังและการป้องกันและการรับรู้ด้านจิตวิทยาที่มีต่อรอยเลื่อนของแผ่นดิน มีความสัมพันธ์ในทางบวก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์คือ ด้านการเข้าข้างตัวเอง (r = .364) ด้านการโยนความผิดหรือโทษคนอื่น (r = .275) ด้านการเก็บกดและการถดถอย (r = .307)
คำสำคัญ: ผลกระทบด้านจิตวิทยา, รอยเลื่อน, เขื่อน
Abstract
The study on Psychological Impacts of Fault in Dam Areas in Kanchanaburi Province is aimed at 1) investigating the faults of the psychological impacts of dam areas, Kanchanaburi Province 2) comparing the psychological perception on fault regarding sex, occupational background and residential areas 3) examining the relations between situation and psychological perception towards fault and 4) studying the relations between expectation and earthquake safety and psychological perception towards fault, respectively. The samples were 400 residents in Kanchanaburi Province. To collect data, the five-scaled questionnaire on psychological behaviour based on Sigmund Freud’s Psychoanalytic Theory in three aspects, namely defense mechanism, projection, and repression and regression was developed by the researchers by using focus group discussion. The panel of experts by Delphi method was applied for content validity of the questionnaire. The overall reliability of the questionnaire was .0922. Statistics applied for data analysis were namely percentage, mean, standard deviation, t-test, F-test and correlation coefficienty. The findings revealed that
1. Most respondents were female residing in watersheds below the dam and had acknowledged information on fault in Kanchanaburi Province. The preparation for earthquake safety includes the preparation of daily personnel belongings, active follow-up of earthquake alarm or warning news, and search for shelter or safety places.
2. The respondents had a moderate overall psychological perception on fault. By considering each aspect, it was found that their perception on defense mechanism and projection was moderate whereas their perception on repression and regression was low.
3. The respondents had a moderate overall psychological perception on fault situation. They also perceived the expectation and earthquake safety at a moderate level.
4. The respondents based on sex and occupational backgrounds had no difference on psychological perception in all aspects on fault.
5. The respondents based on occupational backgrounds had difference on psychological perception on defense mechanism and projection at .05 level of statistical significance. But they had no difference on psychological perception on repression and regression.
6. The respondents based on occupational backgrounds had no difference on psychological perception on fault situation.
7. The respondents based on occupational backgrounds had difference on psychological perception on repression and regression at .05 level of statistical significance.
8. The respondents based on residential areas had difference on psychological perception on fault at .05 level of statistical significance. It was noted that they had no difference on psychological perception on defense mechanism whereas they had difference on psychological perception on projection and repression and regression at .05 level of statistical significance.
9. The respondents based on residential areas had no difference on psychological perception on fault situation.
10. The respondents based on residential areas had no difference on psychological perception on expectation and earth quake safety from fault.
11. The respondents based on preparation for earth quake safety had difference on psychological impacts on repression and regression and expectation and earth quake safety.
12. There was positive correlation between situation and psychological perception on fault at .05 level of statistical significance with correlation coefficient of defense mechanism of .504, projection of .463, and repression and regression of .421, respectively.
13. There was positive correlation between expectation and protection and psychological perception on fault at .05 level of statistical significance with correlation coefficient of self-defense mechanism of .364, protection of .275, and repression and regression of .307, respectively.
Keyword: Psychological Impacts, Fault, Dam
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1915
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 2 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1916
2012-02-18T14:41:48Z
jindedu:Jreind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
พัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมการประกอบอาชีพอิสระเรื่องการติดตั้งระบบและอุปกรณ์ไฟฟ้าในอาคาร
จิตสงบ, อุดมศักดิ์
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
สุขหวาน, โอภาส
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมการประกอบอาชีพอิสระ เรื่องการติดตั้งระบบและอุปกรณ์ไฟฟ้าในอาคาร และศึกษาประสิทธิภาพของหลักสูตรที่ได้พัฒนาขึ้น การสร้างหลักสูตรการฝึกอบรมการประกอบอาชีพอิสระ เรื่องการติดตั้งระบบและอุปกรณ์ไฟฟ้าในอาคาร สร้างขึ้นจากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยใช้รูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของทาบา โดยมีโครงสร้างของเนื้อหาหลักสูตรมีจำนวน 9 หน่วย ได้แก่ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ใช้ภายในอาคาร หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 พื้นฐานวงจรไฟฟ้าภายในอาคาร หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 การเดินสายไฟภายในอาคาร หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 การติดตั้งอุปกรณ์แผงควบคุมไฟฟ้า หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 ความปลอดภัยในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 หลักการทำงานของเครื่องใช้ไฟฟ้า หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 การติดตั้งอุปกรณ์ส่องสว่าง หน่วยการเรียนรู้ที่ 8 การติดตั้งเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดต่างๆ และหน่วยการเรียนรู้ที่ 9 การประเมินราคา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบด้วยกันสามส่วน ส่วนที่หนึ่ง ได้แก่ แบบทดสอบความรู้ ความเข้าใจ ระหว่างการฝึกอบรม และแบบประเมินทักษะระหว่างการฝึกอบรม ส่วนที่สองได้แก่ แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจหลังการฝึกอบรม และส่วนที่สามแบบสอบถามความคิดเห็นต่อหลักสูตรการฝึกอบรม ข้อกำหนดผู้เข้ารับการฝึกอบรมต้องเป็นผู้ที่สนใจในด้านการติดตั้งระบบและอุปกรณ์ไฟฟ้าในอาคาร จบการศึกษาตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ขึ้นไป และมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป กลุ่มตัวอย่างมีผู้เข้ารับการฝึกอบรมจำนวน 10คน อาศัยอยู่ในเขตจังหวัดนครปฐม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าประสิทธิภาพ E1/E2 และ t-test
ผลการวิจัยพบว่าประสิทธิภาพของหลักสูตรการประกอบอาชีพอิสระ เรื่องการติดตั้งระบบและอุปกรณ์ไฟฟ้าในอาคาร มีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 88.25/88.50 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ โดยมีประสิทธิภาพความรู้และทักษะระหว่างเรียนรวมกันของแต่ละหน่วยดังนี้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 E1= 87.00 หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 E1= 89.47 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 E1= 85.90 หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 E1= 90.52 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 E1= 88.00 หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 E1= 87.00 หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 E1= 88.95 หน่วยการเรียนรู้ที่ 8 E1= 86.50 และหน่วยการเรียนรู้ที่ 9 E1= 90.71 และมีประสิทธิภาพความรู้หลังเรียน E2= 88.50 ผลการประเมินความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักสูตรมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ = 3.96 SD = 0.13 อยู่ในระดับดีและไม่แตกต่างกับเกณฑ์ที่กำหนดอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 t-test = -1.193
คำสำคัญ: การพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรม, การประกอบอาชีพอิสระ, การติดตั้งระบบและอุปกรณ์ไฟฟ้าในอาคาร
Abstract
The purposses of this research were to develop a training curriculum on electrical equipment and system in building installation for self-employment and to study the efficiency of a training curriculum development on electrical equipment and system in building installation for self-employment. This training curriculum was developed from Taba model and the related studies. The contents of this curriculum consists of 9 units there are, Unit 1: Electrical equipments and tools, Unit 2 : Basic of electrical circuit in building, Unit 3 : Wiring in building, Unit 4 : Switchboard Installation, Unit 5 : Safety for electrical operation, Unit 6 : Principle of electrical equipment, Unit 7 : Lighting installation, Unit 8 : Electrical equipment and system installation and Unit 9 : Cost calculation. The tools used for data collection were knowledge/comprehensive tested both during and after the training courses as well as an opinion questionnaire on the training curriculum. The criteria of the trainee is have to finished primary school, age above 18 years and is, interested in electrical equipment and system in building installation for self-employment. The samples were 10 people who live in Nakornprathom province. The statistical tools used to analyzed data were Mean, Standard Deviation, E1/E2 and t-test
The result of the study found that : The efficiency of the training curriculum on electrical equipment and system in building installation for self-employment in terms of knowledge and comprehension E1/E2 were 88.25/88.50 which is higher than the criteria 85/85. The efficiency in each unit were. Unit 1: E1 = 87.00, Unit 2: E1 = 89.47, Unit 3: E1 = 85.90, Unit 4: E1 = 90.52, Unit 5: E1 = 88.00, Unit 6: E1 = 87.00, Unit 7: E1=88.95, Unit 8: E1 = 86.50, Unit 9: E1 = 90.71 and E2 = 88.50. The result on the opinion of training curriculum on electrical equipment and system in building installation for self-employment is in good level and there is no significant difference at 0.05, = 3.96, SD =0.13, t-test = -1.193.
Keyword: Training Curriculum Development, Self-employment, Electrical Equipment and System in Building Installation.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1916
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 2 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1917
2012-02-18T14:45:43Z
jindedu:Jreind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการใช้แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าของผู้ประกอบการในงานอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา จังหวัดราชบุรี
มนูญกิตติกร, ธนภัก
หรดาล, พงศ์
เฉยไสย, สมเดช
บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าของผู้ประกอบการในงานอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา และเพื่อเปรียบเทียบสภาพปัญหาและความต้องการใช้แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่าของผู้ประกอบการในงานอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผาในจังหวัดราชบุรี ที่มีความต้องการใช้แรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า จำนวน 32 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถาม ผลการวิจัยพบว่า ผู้ประกอบการมีความต้องการแรงงานต่างด้าว โดยภาพรวมด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม และด้านการเมือง มีระดับความต้องการอยู่ในระดับมาก เนื่องจากผู้ประกอบการต้องการลดต้น ทุนในการจ้าง แรงงานต่างด้าวมีความขยันและความอดทนในการทำงาน และขาดแคลนแรงงานไทย สภาพปัญหาแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า ด้านเศรษฐกิจ มีสภาพปัญหาอยู่ในระดับมาก เช่น แรงงานชาวพม่ามีค่าจ้างที่ต่ำ เกิดปัญหาการแย่งงานคนไทยและทำให้เกิดโครงสร้างค่า จ้างขั้นต่ำ ปัญหาการไม่พัฒนาทรัพยากรมนุษย์และเทคโนโลยี ปัญหาด้านสังคม มีสภาพปัญหาอยู่ในระดับน้อย ได้แก่ ปัญหาผู้ติดตามและเด็กไร้สัญชาติ แรงงานต่างด้าวตั้งถิ่นฐานเป็นกลุ่มกระจายอยู่ทั่วกลายเป็นแหล่งทรุดโทรม และการนำพาโรคต่างๆ เข้ามาในประเทศไทย ปัญหาด้านการเมืองมีสภาพปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง ได้แก่ ปัญหาจากการที่รัฐบาลไม่มีมาตรการที่ชัดเจนในการควบคุมการเข้ามาของแรงงานต่างด้าว การผ่อนผันให้แรงงานต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรชั่วคราว ซึ่งทางภาครัฐต้องมีนโยบายที่ชัดเจนรัดกุม ในเรื่องการหลบหนีเข้าเมือง และกำหนดบทลงโทษในการทำผิดของผู้ที่มีส่วนร่วมในการหลบหนีเข้าเมืองของคนต่างด้าว
ข้อเสนอแนะของงานวิจัย ควรยกระดับคุณภาพชีวิตคนงาน สวัสดิการต่างๆ ของแต่ละกิจการให้ดีขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพชักจูงแรงงานไทยที่ยังตกงาน ให้เข้าทำงานทดแทนแรงงานต่างด้าว ประชาสัมพันธ์ ให้นายจ้างทราบถึงผลเสียที่เกิดขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของแรงงานต่างด้าวเช่น ปัญหาด้านเศรษฐกิจ ปัญหาด้านสังคม และปัญหาด้านการเมือง
คำสำคัญ: สภาพปัญหา, ความต้องการ, แรงงานต่างด้าว, ผู้ประกอบการ, อุตสาหกรรมเครื่องปั้นดินเผา
Abstract
The objectives of this research were to study the Entrepreneur’s Pottery problems and demands for Myanmar foreign workers employment and to compare the Entrepreneur’s Pottery problems and demands for Myanmar foreign workers employment. A sample of 32 cases were selected from the Entrepreneur of pottery industrial demands for foreign workers of Myanmar employment in Ratchaburi province, using simple random purposive sampling method. The tool used to collect data was questionnaire.
The result of this research found that the Entrepreneurs demand for foreign workers from Myanmar for economy, society and politics purposes are at the high level. The Entrepreneurs demand for the lower cost of Myanmar foreign workers employment, foreign workers were diligent and enduring to do Myanmar laborious work and the scarcity of Thai workers. The economic problems of the foreign workers from was that the foreign worker’s wages were low and replacing Thai workers due to minimum wage, problems on the undeveloped of the human resources and technology. The society problems are at the small level that the problem of and people be without nationality, foreign workers domicile became to deterioration in Thailand and carrier came to Thailand. The politics problems were at the medium level that the Thai laws were still unclear for foreign workers that fled into the country.
The findings suggested that assistance should be increasing quality of life, increasing welfare, replace be Myanmar foreign workers with unemployed Thai workers, the Entrepreneurs know about the impact of increasing foreign workers which are economics problems, society problems and politics problems.
Keyword: Problems, Demands, Myanmar Foreign Workers, Entrepreneur, Pottery.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1917
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 2 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1918
2012-02-18T14:47:38Z
jindedu:Jbookind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
Idea bookshop : ไอเดียรังสรรค์แต่งมุมหนังสือสวย
สมทรัพย์, เถกิง
หนังสือเล่มนี้นำเสนอแนวทางในการตกแต่งมุมหนังสือในร้านหนังสือหรือห้องสมุด โดยใช้การจัดวางหนังสือในรูปแบบต่างๆ เป็นการตกแต่งสิ่งแวดล้อมภายในร้านหรือห้องสมุดโดยใช้หนังสือเพื่อเพิ่มคุณค่าให้หนังสือมากกว่าแค่การมีคุณค่าทางด้านความรู้ หนังสือเล่มนี้ยังประกอบไปด้วยรูปภาพการจัดวางหนังสือและชั้นหนังสือ ผู้อ่านจะได้แนวคิดใหม่ๆ ในการจัดวางหนังสือภายในร้านหรือห้องสมุดเพื่อนำไปปรับใช้กับร้านหรือห้องสมุดของตนเอง
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1918
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 2 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1919
2012-02-18T14:50:04Z
jindedu:Jbookind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
แนะนำหลักสูตร หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารและการจัดการการศึกษา หลักสูตรใหม่ พ.ศ. 2554 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Sukwan, Ophat
หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารและการจัดการการศึกษา
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1919
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 2 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1920
2012-02-18T14:52:36Z
jindedu:Jbookind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
แนะนำหลักสูตร หลักสูตรการศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารและการจัดการการศึกษา หลักสูตรใหม่ พ.ศ. 2554 คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Sukwan, Ophat
หลักสูตรการศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารและการจัดการการศึกษา
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1920
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 2 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1921
2012-02-18T14:55:49Z
jindedu:Jbookind
"120101 2012 eng "
1905-9450
dc
แนะนำหลักสูตรระดับปริญญาโท หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารและการจัดการการศึกษา หลักสูตรใหม่ พ.ศ. 2554 แขนงวิชาการบริหารการอาชีวศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Sukwan, Ophat
หลักสูตรการศึกษามหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารและการจัดการการศึกษา
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-02-18 12:37:23
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1921
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 2 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1922
2012-02-18T14:57:53Z
jindedu:Jbookind
"120101 2012 eng "
1905-9450
dc
แนะนำหลักสูตรระดับปริญญาเอก หลักสูตรการศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารและการจัดการการศึกษา หลักสูตรใหม่ พ.ศ. 2554 แขนงวิชาการบริหารการอาชีวศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Sukwan, Ophat
หลักสูตรการศึกษาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารและการจัดการการศึกษา
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2012-02-18 12:37:23
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1922
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 5 No. 2 (2011): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม-ธันวาคม 2554
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1923
2012-02-18T14:59:53Z
jindedu:Jacind
"100701 2010 eng "
1905-9450
dc
การถ่ายทอดเทคโนโลยี
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
การถ่ายทอดเทคโนโลยี
การถ่ายทอดเทคโนโลยี คือ การมอบ การสอน การบอก การกล่าว ฯลฯ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีจากประเทศหนึ่ง หรือจากแหล่งที่มีระดับเทคโนโลยีสูงกว่าไปสู่ประเทศหรือแหล่งที่มีเทคโนโลยีต่ำกว่า การถ่ายทอดเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรมถือเป็นสิ่งที่ความจำเป็นในการพัฒนาอุตสาหกรรมและพัฒนาประเทศ จะเห็นได้ว่า ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมีความสัมพันธ์กับความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจของประเทศซึ่ง ดังนั้นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสูงก็มักจะเป็นประเทศอุตสาหกรรม และมีเศรษฐกิจดี ประชาชนในประเทศเหล่านี้จะมีความเป็นอยู่ดีกว่าประเทศอื่นๆ วิธีหนึ่งที่จะทำให้เทคโนโลยีในประเทศมีการพัฒนาหรือมีความก้าวหน้ามากขึ้นสามารถทำได้คือการสนับสนุนการพัฒนาและวิจัย (Research and Development) ประเทศไทยจึงต้องมีการพัฒนาและวิจัยให้มากขึ้นเพื่อปรับปรุง เทคโนโลยีและอุตสาหกรรมให้มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้อาจทำได้อีกวิธีหนึ่งคือการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี แล้ว โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการพัฒนาและวิจัย เพียงแต่ใช้กระบวนการถ่ายทอดเทคโนโลยีก็จะช่วยให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมของประเทศได้เร็วขึ้น แต่มีข้อควรระวังคือ การถ่ายทอดเทคโนโลยีทั้งหมดจากประเทศที่มีเทคโนโลยีสูงกว่า อาจไม่ได้ช่วยพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมได้เสมอไป ดังนั้นเราต้องพิจารณาว่าการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากประเทศที่มีเทคโนโลยีสูงกว่า ต้องเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับเราหรือประเทศเรา (Appropriate Technology)
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1923
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1924
2012-02-18T15:03:42Z
jindedu:Jacind
"100701 2010 eng "
1905-9450
dc
พลังงานหมุนเวียน พลังงานชุมชนอนาคต
สนธิโสภณ, พงศ์วรวุฒิ
แนวคิดใหม่สำหรับรูปแบบการใช้พลังงาน และการวางแผนการพัฒนาด้านพลังงานชุมชนเพื่อปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้พลังงานโดยผนวกกับการส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนให้มีบทบาทต่อการใช้ชีวิตประจำวันให้มากขึ้น ก็คือ การนำพลังงานหมุนเวียนมาใช้เป็นพลังงานหลักของชุมชนหรือชุมชนพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Community) ซึ่งถือได้ว่าเป็นแนวความคิดใหม่ที่ถูกคิดขึ้นมาในปี ค.ศ.2005 โดย NREL (National Renewable Energy Laboratory) ในประเทศสหรัฐอเมริกา โดยได้เริ่มศึกษาถึงแนวทางความเป็นไปได้ และอุปสรรคต่างๆ เพื่อการพัฒนาชุมชนพลังงานหมุนเวียน โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการใช้พลังงานสิ้นเปลืองและปัญหาที่เกิดจากการใช้พลังงานจากฟอสซิล และพยายามหาวิธีทางที่จะดำเนินชีวิตในชุมชนโดยลดการใช้พลังงานสำหรับที่อยู่อาศัยและการเดินทางที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้น้อยที่สุด (N. Carlisle, J. Elling , and T. Penney. 2008: 1-18) จากแนวคิดดังกล่าวถือได้ว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งและมีความเหมาะสมกับชุมชนในอนาคตของประเทศไทย
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1924
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1925
2012-02-18T15:06:22Z
jindedu:Jbookind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
การยศาสตร์ (ERGONOMICS)
อินทรานนท์, กิตติ
การยศาสตร์ (Ergonomics) เป็นการประยุกต์หลักการทางวิทยาศาสตร์ รวมทั้งระเบียบวิธี และข้อมูลความรู้ที่มาจากสาขาวิชาการต่างๆ เพื่อพัฒนาระบบวิศวกรรมที่ให้คนมีบทบาทสำคัญ เป็นศูนย์กลางของการออกแบบ การสร้าง การปฏิบัติ การบำรุงรักษา การตัดสินใจ นักการยศาสตร์ ควรที่จะได้มีส่วนร่วมในโครงการตั้งแต่ขั้นแรกของการออกแบบระบบ ซึ่งเริ่มต้นตั้งแต่ความเข้าใจในคุณสมบัติ และบทบาทของบุคคลที่จะกระทบต่อการทำงานของระบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นลูกค้า ผู้ปฏิบัติงาน ช่างบำรุงรักษา หนังสือเล่มนี้ให้ความรู้พื้นฐานของวิชาการยศาสตร์ ระดับปริญญาตรี เพื่อประโยชน์ในการกำหนดภาระงานทั้งทางกายภาพและจิตภาพ โดยพิจารณาจากความสามารถของผู้ปฏิบัติงานเป็นหลัก การใช้ตำราเล่มนี้ให้มีผลสมบูรณ์ ผู้เรียนควรมีพื้นฐานของวิชาคณิตศาสตร์และฟิสิกส์ระดับมัธยมปลายที่เข้มแข็ง สำหรับการเรียนในระดับบัณฑิตศึกษาอาจใช้เป็นหนังสืออ้างอิงเพื่อเป็นพื้นฐานในการวิจัย หรือเพื่อการศึกษาวิชาการออกแบบการทำงานได้
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1925
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1926
2012-02-18T15:10:33Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
การทดลองใช้คู่มืองานซ่อมบำรุงเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับของการรถไฟแห่งประเทศไทย
ชูเกิด, เอกพล
ธีระวิทยเลิศ, ปัญญา
บุญยะผลานันท์, บุญมี
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อทดลองใช้คู่มืองานซ่อมบำรุงเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับของการรถไฟแห่งประเทศไทย และหาประสิทธิภาพของคู่มืองานซ่อมบำรุงเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับของการรถไฟแห่งประเทศไทย ประชากรที่ใช้ในการศึกษาในครั้งนี้ เป็นพนักงานช่างซ่อมบำรุงของการรถไฟแห่งประเทศไทย ฝ่ายซ่อมบำรุงจำนวน 50 คน ได้ทำการอบรมการใช้คู่มืองานซ่อมบำรุงเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ และทำการทดสอบวัดความรู้ E1 จำนวน 25 ข้อ และ E2 จำนวน 25 ข้อ และแบบสอบถามความคิดเห็นของพนักงานฝ่ายซ่อมบำรุงของการรถไฟแห่งประเทศไทย สถิติที่ใช้ คือ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคำนวณหาประสิทธิภาพคู่มือ ใช้ E1/E2 ที่ 80/80
ผลการวิจัยมีดังนี้
ผลการทดลองใช้คู่มืองานซ่อมบำรุงเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับสำหรับพนักงานซ่อมบำรุงของการรถไฟแห่งประเทศไทย มีประสิทธิภาพอยู่ในเกณฑ์ คือ 82.00/85.84 และผลการศึกษาความคิดเห็นของพนักงานซ่อมบำรุงที่มีต่อคู่มืองานซ่อมบำรุงเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ ของการรถไฟแห่งประเทศไทย พบว่าพนักงานที่มีอายุงานน้อยยังไม่มีประสบการณ์กล่าวว่า ทำให้ทราบหลักการซ่อมบำรุงมากยิ่งขึ้น
คำสำคัญ: คู่มืองานซ่อมบำรุงเครื่องกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ
Abstract
The purposes of this research were to Experiment of Alternating Current Maintenance Manual of State Railway of Thailand and its efficiency. The population were 50 maintenance workers of State Railway of Thailand. They had train to used the Alternating Current Maintenance Manual and evaluated the knowledge be E1 there are hare 25 questionnaires and E2 there are 25 questionnaires and also ask the suggestions of the maintenance worker on the Alternating Current Maintenance Manual. The statistical were mean, percentage, Standard deviation and E1/E2 should be above 80/80.
The results as followed:
The results of this research showed that the Experiment of Alternating Current Maintenance Manual of State Railway of Thailand were E1/E2 = 82.00/ 88.84 above the standard. The opinions of the maintenance workers on the Alternating Current Maintenance Manual of State Railway of Thailand found that, the workers who have less experiences learn more about the maintenance techniques.
Keyword: Alternating Current Maintenance Manual.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1926
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1927
2012-02-18T15:13:15Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาใบมีดตัด สำหรับเครื่องตัดเนื้อปลาแผ่นอบแห้ง
ชัยสถาพร, วิเชียร
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
คูวัฒนะศิริ, กาญจนา
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาใบมีดตัด สำหรับเครื่องตัดเนื้อปลาแผ่นอบแห้ง และศึกษาประสิทธิภาพและสมรรถนะของใบมีดตัดสำหรับเครื่องตัดเนื้อปลาแผ่นอบแห้ง โดยผู้วิจัยได้ทำการออกแบบใบมีดตัด สำหรับเครื่องตัดเนื้อปลาแผ่นอบแห้ง เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบประเมินศึกษาประสิทธิภาพ และแบบประเมิน สมรรถนะ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า
1. ใบมีดตัดที่พัฒนาขึ้นสำหรับเครื่องตัดเนื้อปลาแผ่นอบแห้ง พบว่ามีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดคือสามารถลดของเสีย จากการผลิตก่อนที่จะมีการพัฒนาใบมีดตัดสำหรับเครื่องตัดเนื้อปลาแผ่นอบแห้ง ปรากฏว่ามีปริมาณร้อยละของเนื้อปลาแผ่นอบแห้งที่ไม่ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 28.00 เมื่อนำใบมีดตัดสำหรับเครื่องตัดเนื้อปลาแผ่นอบแห้ง ที่ผู้วิจัยได้พัฒนาขึ้นมาใช้แทน ปรากฏว่ามีปริมาณของเสียลดลงเหลือปริมาณเพียงร้อยละ 9.4 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานว่าใบมีดตัดที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ สามารถตัดเนื้อปลาแผ่นอบแห้งได้ดีขึ้นกว่าเดิมมากกว่าร้อยละ 5
2. การประเมินสมรรถนะของใบมีดตัดสำหรับเครื่องตัดเนื้อปลาแผ่นอบแห้งโดยผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 คน โดยรวมทุกด้านอยู่ในเกณฑ์ระดับดี (=4.00) และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าสมรรถนะของใบมีดตัดสำหรับเครื่องตัดเนื้อปลาแผ่นอบแห้งด้านลักษณะการออกแบบอยู่ในเกณฑ์ระดับดี ( = 4.00) ด้านการนำไปใช้งานอยู่ในเกณฑ์ระดับดี ( = 4.00) ด้านลักษณะทางกายภาพอยู่ในเกณฑ์ระดับดี ( = 4.00) ด้านการบำรุงรักษาอยู่ในเกณฑ์ระดับดี ( = 4.00)
คำสำคัญ: การพัฒนา, ใบมีดตัด, เนื้อปลาแผ่นอบแห้ง
Abstract
The objectives of this research were to develop the cutter mold for dried fish cutting machine and study the efficiency and performance of the cutter mold for dried fish cutting machine. The evaluation form was used to measure the efficiency of the cutter mold for dried fish cutting machine and the questionnaires were used to measure the performance of the cutter mold for dried fish cutting machine. The statistics used to analyze the data were percentage, mean and standard deviation.
The results were as followed:
1. The development of cutter mold for dried fish cutting machine had the efficiency. It was able to reduce the defected dried fish by cutting mold from 28 percent to 9.4 percent.
2. The competency of the developed cutter mold for dried fish cutting machine have good competency. When considering each aspect, it was found that design, performance, appearance and maintenance of the developed cutter mold for dried fish cutting machine had a good level in aspects.
Keyword: Development, Cutter Mold, Dried Fish.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1927
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1928
2012-02-18T15:16:39Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
การรับรู้บรรยากาศองค์กรที่ส่งผลต่อความผูกพันขององค์กรของพนักงานระดับปฏิบัติการในฝ่ายการผลิตของบริษัทกรุงเทพอิเลคทรอนิคส์
ศรีปราโมช, พัฒธนพงศ์
หรดาล, พงศ์
เฉยไสย, สมเดช
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบระดับการรับรู้บรรยากาศองค์กรของพนักงานจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบระดับความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล 3) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของระดับการรับรู้บรรยากาศองค์กรที่มีต่อระดับความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน
กลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานระดับปฏิบัติการในฝ่ายการผลิตของบริษัทกรุงเทพอิเลคทรอนิคส์ จำกัด จำนวนทั้งสิ้น 352 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย แบบสอบถามข้อมูลลักษณะส่วนบุคคล แบบสอบถามวัดการรับรู้บรรยากาศองค์กร และแบบสอบถามวัดความผูกพันต่อองค์กร สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความแปรปรวนทางเดียว การทดสอบรายคู่โดยวิธีของเชฟเฟ่ การทดสอบเปรียบเทียบโดยค่าที และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน วิเคราะห์ผลทั้งหมดโดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทางสถิติ
ผลการศึกษาพบว่าพนักงานมีระดับการรับรู้บรรยากาศองค์กรและความผูกพันต่อองค์กรในระดับปานกลาง พนักงานที่มีอายุ ระดับการศึกษา อายุงาน และฝ่ายงานที่สังกัดแตกต่างกันมีระดับการรับรู้บรรยากาศองค์กรและความผูกพันต่อองค์กรไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 การรับรู้บรรยากาศองค์กรมีความสัมพันธ์ในเชิงบวกกับความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
คำสำคัญ: การรับรู้บรรยากาศองค์กร, ความผูกพันต่อองค์กร
Abstract
The objectives of this survey research were to comparing perception of organizational climate of employees based on their individual factors, comparing organizational commitment of employees based on their individual factors , and finding the relationship between perception of organization climate and organizational commitment of employees.
The samples included 352 production employees working in Krung Thep Electronics Company Limited. The questionnaire composed of three parts: a 4-item questionnaire inquiring individual factors, a 45-item questionnaire measuring perception of organization climate and a 17-item questionnaire measuring organizational commitment. The statistics used in this study were frequency, percentage and standard diviation. Hypothesis were tested by One-way ANOVA, Scheffe’, t-test and Pearson’s Product Moment Correlation.
The analysis results indicated that employees perceived organizational climate at a medium level and had a medium level of organizational commitment. The employees who were different in age, level of education, period of working time and division, had not different perception of organizational climate and organizational commitment with statistical significance at .05. There was positive relationship between the perception of organizational climate and organizational commitment with statistical significance at .05.
Keyword: Organizational Climate, Organizational Commitment
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1928
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1929
2012-02-18T15:22:59Z
jindedu:Jreind
"110101 2011 eng "
1905-9450
dc
การศึกษาปัญหาการจัดทำระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม (HACCP) ของ บริษัท บีทาเกน จำกัด
อรรถสกุลชัย, จันทกานต์
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
รัตนธรรมมา, ธวัชชัย
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาปัญหาการจัดทำระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม (HACCP) ของ บริษัท บีทาเกน จำกัด โดยประชากรที่ใช้ในการศึกษาเป็นบุคลากรที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ในการทำระบบวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม (HACCP) ของบริษัท บีทาเกน จำกัด จำนวน 40 คน ตัวแปรอิสระ ที่ใช้ในการศึกษา คือ ขั้นตอนที่1 การจัดทำคณะทำงาน HACCP ขั้นตอนที่ 2 การบรรยายรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ ขั้นตอนที่ 3 การระบุวิธีการนำไปใช้ ขั้นตอนที่ 4 การสร้างแผนภูมิการผลิต ขั้นตอนที่ 5 ขั้นทวนสอบแผนภูมิที่จุดการผลิตจริง ขั้นตอนที่ 6การระบุอันตรายทั้งหมดที่มีโอกาสเกิดขึ้นในแต่ละขั้นตอนการผลิต วิเคราะห์อันตรายและพิจารณามาตรการป้องกัน เพื่อควบคุมอันตรายที่ระบุไว้ ขั้นตอนที่ 7 การกำหนดจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม ขั้นตอนที่ 8 การกำหนดค่าวิกฤตสำหรับจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมแต่ละจุด ขั้นตอนที่ 9 การจัดทำระบบตรวจติดตามสำหรับจุดวิกฤตที่ต้องควบคุมแต่ละจุด ขั้นตอนที่ 10 การกำหนดวิธีการแก้ไข ขั้นตอนที่ 11 กำหนดกระบวนการทวนสอบ ขั้นตอนที่ 12 ทำระบบเอกสารและการเก็บบันทึก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม สถิติทีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Z-test
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวนรวมทั้งสิ้น 40 คน จำแนกตามอายุ อายุต่ำกว่า 25 ปีมีจำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 7.5 อายุ 25-30 ปีมีจำนวน 21 คน คิดเป็นร้อยละ 52.5 อายุ 31-35 ปีมีจำนวน 10 คน คิดเป็นร้อยละ 25 อายุ 36-40 ปีมีจำนวน 5 คน คิดเป็นร้อยละ 12.5 อายุ 41-45 ปีมีจำนวน 1 คน คิดเป็นร้อยละ 2.5 จำแนกตามวุฒิการศึกษา วุฒิการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรีมีจำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 5 วุฒิการศึกษาปริญญาตรีมีจำนวน 36 คน คิดเป็นร้อยละ 90 สูงกว่าปริญญาตรีมีจำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ5 จำแนกตามประสบการณ์การทำงานโรงงานอุตสาหกรรมน้อยกว่า 1 ปีมีจำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ5 ประสบการณ์ ระหว่าง 1-2 ปีมีจำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 10 ระหว่าง 3-5 ปีมีจำนวน 12 คน คิดเป็นร้อยละ 30 มากกว่า 5 ปีขึ้นไปมีจำนวน 22 คน คิดเป็นร้อยละ 55 จำแนกตามการได้รับการอบรมหรือสัมมนาเกี่ยวกับระบบ HACCP เคยได้รับการอบรมมีจำนวน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 75
2. ปัญหาในการดำเนินการขอรับรองระบบวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม (HACCP) ของโรงงาน 12 ขั้นตอน มีปัญหาอยู่ในระดับปานกลาง
3. วิเคราะห์ข้อมูลคำถามปลายเปิดการจัดทำระบบการวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤต มีดังนี้คือ ต้องการให้จัดอบรม อย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ต้องการให้มีรางวัลแก่แผนกที่จัดทำระบบและผ่านการรับรอง ต้องการให้มีเจ้าหน้าที่ให้คำปรึกษาและแนะนำ รัฐบาลควรประกาศเป็นกฎหมายบังคับใช้ให้มีมาตรฐานเดียวกัน
คำสำคัญ: การวิเคราะห์อันตรายและจุดวิกฤตที่ต้องควบคุม (HACCP)
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1929
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1930
2012-02-18T15:25:47Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
การสร้างชุดฝึกอบรมการบำรุงรักษาเครื่องพิมพ์ด้วยตนเอง: กรณีศึกษาบริษัท ฐานการพิมพ์ จำกัด
ศรีวุฒิชาญ, สิทธิชัย
หรดาล, พงค์
รัตนธรรมมา, ธวัชชัย
บทคัดย่อ
การวิจัยเรื่อง การสร้างชุดฝึกอบรมการบำรุงรักษาเครื่องพิมพ์ด้วยตนเอง มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาชุดฝึกอบรมและหาประสิทธิภาพของชุดฝึกอบรมโดยใช้ทฤษฎีความรู้เบื้องต้นเรื่องหลักการพื้นฐานของ TPM (Total Productive Maintenance) เรื่องการบำรุงรักษาด้วยตนเอง โดยตั้งสมมติฐานในการวิจัยครั้งนี้คือ ชุดฝึกอบรมมีประสิทธิภาพไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ 80/80 และผลสัมฤทธิ์ของผู้เข้ารับการอบรมสูงกว่าก่อนการอบรมที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ พนักงานฝ่ายผลิตและหัวหน้างาน ที่รับผิดชอบเครื่องพิมพ์ของบริษัทฐานการพิมพ์จำกัด จำนวน 12 คน โดยใช้วิธีการเลือกตัวอย่างแบบเจาะจงในการทดลองใช้ชุดฝึกอบรม
การสร้างชุดฝึกอบรม ผู้วิจัยได้ทำการสร้างชุดฝึกอบรมและแบบทดสอบที่สร้างขึ้นมีความเชื่อถือได้ ผลการวิจัยพบว่า ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความรู้เรื่องการบำรุงรักษาเครื่องพิมพ์สูงกว่าก่อนการอบรมอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05 ชุดฝึกอบรมมีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.50/89.58 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้
คำสำคัญ: ชุดฝึกอบรม, การบำรุงรักษาเครื่องพิมพ์ด้วยตนเอง
Abstract
The objectives of this research were to construct the Printing Offset Self Maintenance Training Module and it’s efficiency on the basic knowledge of fundamental of TPM (Total Productive Maintenance) on self-maintenance. The efficiency of Autonomous Maintenance Training Module should not less than 80/80 and the achievement between before and after training should be significant difference at 0.05 levels. The purposive sampling was used and the samples were 12 production staffs and supervisors.
The researcher construction of Autonomous Maintenance Training Modula and test the reliability. There were significant different achievements between before and after training at 0.05 levels. The efficiency of Autonomous Maintenance Training Modula on the basic knowledge of fundamental of TPM (Total Productive Maintenance) on self-maintenance was 87.50/89.58 higher than the criterion of 80/80.
Keyword: Self Maintenance, Training Module.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1930
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1932
2012-02-18T15:31:31Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
การออกแบบงานประดิษฐ์สำหรับกรอบรูปโชว์แขวนผนัง
เลิศวรรณพงษ์, วนิดา
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
คูวัฒนะศิริ, กาญจนา
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบงานประดิษฐ์สำหรับกรอบรูปโชว์ ให้เหมาะสมกับรูปภาพแต่ละประเภท และประเมินคุณภาพของงานประดิษฐ์สำหรับกรอบรูปโชว์ที่ออกแบบขึ้น โดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน ทำการประเมินในด้านความสวยงาม ความคิดสร้างสรรค์ และความแข็งแรง
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็น งานประดิษฐ์สำหรับกรอบรูปโชว์แขวนผนัง จำนวน 6 แบบ โดยวัสดุที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ ได้แก่ วัสดุอบแห้ง ดอกไม้กระดาษ เซรามิค หิน กระดาษสา และแบบผสม เก็บรวบรวมผลโดยใช้แบบประเมินและนำค่าที่ได้มาประมวลผล โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการศึกษาพบว่า การออกแบบงานประดิษฐ์สำหรับกรอบรูปโชว์ที่สร้างขึ้นทั้ง 6 แบบ ผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญและมีคุณภาพอยู่ในระดับคุณภาพที่กำหนดไว้ ได้แก่
1. คุณภาพของงานประดิษฐ์กรอบรูปโชว์แบบเซรามิก มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับคุณภาพดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.50
2. คุณภาพของงานประดิษฐ์กรอบรูปโชว์แบบหิน มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับคุณภาพดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.50
3. คุณภาพของงานประดิษฐ์กรอบรูปโชว์แบบกระดาษสา มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับคุณภาพดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.93
4. คุณภาพของงานประดิษฐ์กรอบรูปโชว์แบบดอกไม้กระดาษสา มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับคุณภาพดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.78
5. คุณภาพของงานประดิษฐ์กรอบรูปโชว์แบบผสมผสาน พบว่า มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับคุณภาพดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.35
6. คุณภาพของงานประดิษฐ์กรอบรูปโชว์แบบวัสดุอบแห้งธรรมชาติ มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับคุณภาพดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.25
คำสำคัญ: การออกแบบงานประดิษฐ์, กรอบรูปโชว์แขวนผนัง
Abstract
The objectives of this study were to design handicraft for wall art frame products and evaluate the quality of handicraft design in three areas; product beauty, creativity and strength.
The researcher designed six patterns from different natural material of handicraft for wall art frame products. The natural materials were dried natural material, paper flowers, ceramic, pebble, saa paper and mix material. Then requested the expert to evaluate all handicraft design for wall art frame products. The statistical tools used to analyze the evaluated the results were, mean and standard deviation.
The results of this study were as follows:
1. The quality of handicraft design for wall art frame products using dried natural material as a whole was at a good level.
2. The quality of handicraft design for wall art frame products using as paper flowers a whole was at a good level.
3. The quality of handicraft design for wall art frame products using ceramic as a whole was at a good level.
4. The quality of handicraft design for wall art frame products using pebble as a whole was at a good level.
5. The quality of handicraft design for wall art frame products using saa paper as a whole was at a good level.
6. The quality of handicraft design for wall art frame products using mix material as a whole was at a good level.
Keyword: Handicraft Design, Wall Art Frame.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1932
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1933
2012-02-18T15:34:32Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
การออกแบบสติกเกอร์สำหรับเครื่องมือวัดในงานอุตสาหกรรม
เทพแก้ว, ณัชภัค
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
คูวัฒนะศิริ, กาญจนา
บทคัดย่อ
การวิจัยเรื่องนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อการออกแบบสติกเกอร์สำหรับเครื่องมืดวัดในงานอุตสาหกรรมจำนวน 3 ชนิด ได้แก่ เครื่องมือวัดแรงดันกระแสและกำลังไฟฟ้า เครื่องมือวัดและควบคุมอุณหภูมิ และเครื่องป้องกันและควบคุมแรงดันไฟฟ้าระบบสามเฟส ผู้วิจัยได้ทำการออกแบบเครื่องมืดวัดในงานอุตสาหกรรม ชนิดละ 3 แบบ และสติกเกอร์ที่ทำการออกแบบจะทำการประเมินสมรรถนะ 4 ด้าน ได้แก่ ด้านหน้าที่ใช้สอย ด้านความแข็งแรง ด้านความสะดวกสบายในการใช้งาน และด้านความสวยงาม ผู้วิจัยได้เรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านอุตสาหกรรม จำนวน 3 ท่าน เพื่อทำการประเมินสมรรถนะของสติกเกอร์ โดยผลประเมินดังนี้
1. สมรรถนะของสติกเกอร์สำหรับเครื่องมือวัดแรงดัน, กระแส, และกำลังไฟฟ้าที่ดีที่สุด ได้แก่ สติกเกอร์แบบ A พบว่า สมรรถนะด้านหน้าที่ใช้สอย มีค่าเฉลี่ย = 4.71, S.D. = 0.143 ด้านความแข็งแรงมีค่าเฉลี่ย = 4.73, S.D. = 0.462 ด้านความสะดวกสบายในการใช้ มีค่าเฉลี่ย = 4.71, S.D. = 0.495 ด้านความสวยงามมีค่าเฉลี่ย = 4.08, S.D. = 0.473 โดยมีค่าเฉลี่ยรวม = 4.53, S.D. = 0.334 ในภาพรวมสรุปได้ว่ามีสมรรถนะอยู่ในระดับดีมาก
2. สมรรถนะของสติเกอร์สำหรับเครื่องมือวัดและควบคุมอุณหภูมิที่ดีที่สุด ได้แก่ สติกเกอร์แบบ A พบว่า ด้านหน้าที่ใช้สอยมีค่าเฉลี่ย = 4.76, S.D. = 0.4124 ด้านความแข็งแรงมีค่าเฉลี่ย = 4.73, S.D. = 0.4619 ด้านความสะดวกสบายในการใช้มีค่าเฉลี่ย = 4.76, S.D. = 0.4124 ด้านความสวยงามมีค่าเฉลี่ย = 4.62, S.D. = 0.13608 โดยค่าเฉลี่ยรวม = 4.62, S.D. = 0.4063 ในภาพรวมสรุปได้ว่ามีสมรรถนะอยู่ในระดับดีมาก
3. สมรรถนะของสติกเกอร์สำหรับเครื่องป้องกันและควบคุมแรงดันไฟฟ้าระบบสามเฟส ที่ดีที่สุด ได้แก่ สติกเกอร์แบบ C พบว่า ด้านหน้าที่ใช้สอยมีค่าเฉลี่ย = 4.52, S.D. = 0.412 ด้านความแข็งแรงมีค่าเฉลี่ย = 4.73, S.D. = 0.462 ด้านความสะดวกสบายในการใช้มีค่าเฉลี่ย = 4.67, S.D. = 0.360 ด้านความสวยงามมีค่าเฉลี่ย = 4.21, S.D. = 0.191 โดยค่าเฉลี่ยรวม = 4.51, S.D. = 0.247 ในภาพรวมสรุปได้ว่ามีสมรรถนะค่าเฉลี่ยรวมอยู่ในระดับดี
คำสำคัญ: การออกแบบสติกเกอร์, เครื่องมืดวัดในงานอุตสาหกรรม
Abstract
The objectiver of this research were to Stickers Design for Industrial Control Devices in 3 kinds. These were Volt-Amp-Watt Meter, Temperature Controller and Voltage ProtectionMeter and each kind will design 3 styles. These stickers will be evaluated in 4 areas, Function, Strength, Convenience and Appearance by 3 experts.
The results of this research as follow:
1. The Competent of the sticker for volt-amp-watt meter. The best performance is types A. The performance of Function is average = 4.71, S.D. = 0.143, Construction is average = 4.73, S.D. = 0.462, Ergonomics is average = 4.71, S.D. = 0.495, Aesthetics or scales appeal is average = 4.08, S.D. = 0.473, the average totals up = 4.53, S.D. = 0.334 that is also in a high level.
2. The Competent of the sticker for Temperature controller. The best performance is types A. The performance of Function is average = 4.76, S.D. = 0.4124, Construction is average = 4.73, S.D. = 0.4619, Ergonomics is average = 4.76, S.D. = 0.4124, Aesthetics or scales appeal is average = 4.62, S.D. = 0.13608, the average totals up = 4.62, S.D. = 0.4063, that is also in a high level.
3. The Competent of the sticker for voltage protection meter 3-phase. The best performance is types C. The performance of Function is average = 4.52, S.D. = 0.412, Construction is average = 4.73, S.D. = 0.462, Ergonomics is average = 4.67, S.D. = 0.360, Aesthetics or scales appeal is average = 4.21, S.D. = 0.191, the average totals up = 4.51, S.D. = 0.247, that is also in a good level.
Keyword: Design Stickers, Industrial Control Devices
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1933
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1934
2012-02-18T15:37:02Z
jindedu:Jreind
"100701 2010 eng "
1905-9450
dc
ความต้องการปรับปรุงคุณภาพข่ายสายโทรศัพท์บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน)
บินยะฟัล, มาโนช
หรดาล, พงศ์
รัตนธรรมมา, ธวัชชัย
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการปรับปรุงคุณภาพข่ายสายโทรศัพท์และเปรียบเทียบคุณภาพของข่ายสายของแต่ละพื้นที่ย่อยเพื่อที่จะนำมาเป็นข้อมูลในการปรับปรุงคุณภาพให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นซึ่งจะมีผลต่อการใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ในเขตพื้นที่ชุมสายสาธุประดิษฐ์ กรุงเทพมหานคร
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา เป็นผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ของบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) ในเขตพื้นที่สาธุประดิษฐ์ กรุงเทพมหานคร จำนวน 244 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่าที ผลการวิจัยพบว่า
1. ผู้ใช้บริการมีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยในการใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) อยู่ในระดับปานกลางผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าสอดคล้องกับสมมติฐาน
2. ปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการในด้านเพศ ระดับการศึกษา สถานที่ใช้บริการ และประเภทความเร็วของ ADSL ที่แตกต่างกันมีผลต่อความต้องการในการปรับปรุงข่ายสายโทรศัพท์ ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) แตกต่างกัน ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ ส่วนปัจจัยส่วนบุคคลด้านอายุที่แตกต่างกันมีผลต่อความต้องการในการปรับปรุงข่ายสายโทรศัพท์ ไม่แตกต่างกัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้
คำสำคัญ: การปรับปรุงคุณภาพ, ข่ายสายโทรศัพท์
Abstract
This study aims to improve the quality of cable network and compare the quality of the cable network to each sub-region to bring the information to improve quality to increase efficiency that will affect service. The company's high-speed Internet TOT Public Company Limited in the area Exchance Sathu Pradit Bangkok
The samples were 244 customers who used high-speed Internet of TOT Public Company Limited in the area Sathu Pradit BANGKOK 244. The tools to collect data were questionnaires. Statistics used to data analize the data were, cost, frequency, average, percentage, standard deviation. The research found that:
1 User commented that the factors in the use of broadband Internet services company TOT Public Company Limited in the medium of data analysis found that consistent with the hypothesis
2 Users with different personal factors influencing the use of broadband Internet services company TOT Plc different results of data analysis found that factors in the status of sex education. Test results found inconsistent with the hypothesis that the factors of age, profession and average revenue per month, found that test results consistent with the hypothesis
Keyword: Quality Improvement, Cable Network.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1934
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1935
2012-02-18T15:40:09Z
jindedu:Jreind
"100701 2010 eng "
1905-9450
dc
ความพึงพอใจของตัวแทนจำหน่ายแผ่นยิปซัมที่มีต่อแผ่นยิปซัมและบริการ
แก้วบุตร, วาสนา
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
คูวัฒนะศิริ, กาญจนา
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจของตัวแทนจำหน่ายแผ่นยิปซัมที่มีต่อแผ่นยิปซัมและบริการ โดยจำแนกตามตัวแปรอิสระดังนี้ รูปแบบธุรกิจ การทำสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่าย ระดับมูลค่ายอดขายรวม ระดับมูลค่าการสั่งซื้อ และตัวแปรตามคือ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด และด้านการบริการ จำนวนตัวอย่างที่ผู้วิจัยทำการสำรวจ คือตัวแทนจำหน่าย จำนวน 315 แห่ง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาเป็นแบบสอบถามที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นประกอบด้วย 4 ส่วน ส่วนที่ 1 แบบสอบถามเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนที่ 2 แบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่วไปของตัวแทนจำหน่าย ส่วนที่ 3 แบบถามเกี่ยวกับความพึงพอใจของตัวแทนจำหน่ายแผ่นยิปซัม ส่วนที่ 4 ข้อเสนอแนะของตัวแทนจำหน่าย ซึ่งผู้วิจัยทำการประมวลผลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสหสัมพันธ์ และการวิเคราะห์ความแปรปรวนด้วยการทดสอบค่า F-test
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีตำแหน่งผู้ที่ได้รับมอบหมายในการจัดซื้อ มีการศึกษาระดับปริญญาตรี มีประการณ์การทำงาน 5-10 ปี และมีระยะเวลาการเปิดดำเนินการ 5-10 ปี
2. ข้อมูลทั่วไปของตัวแทนจำหน่าย พบว่า ส่วนใหญ่เป็นบริษัทจำกัด ไม่มีสัญญา มีมูลค่ายอดขายสินค้า 5,000,001-10,000,000 บาท/เดือน และมีมูลค่าการสั่งซื้อแผ่นยิปซัม 5,001-10,000 แผ่น/เดือน
3. ตัวแทนจำหน่ายแผ่นยิปซัมที่มีต่อแผ่นยิปซัมและบริการ โดยภาพรวม อยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ความพึงพอใจมีค่าเฉลี่ยของความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง คือ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการจัดจำหน่าย ด้านการบริการ ด้านการส่งเสริมการตลาด และ ด้านราคา
4. รูปแบบธุรกิจ การทำสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่าย ระดับมูลค่ายอดขายรวม ระดับมูลค่าการสั่งซื้อ ไม่มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจกับด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด แต่ด้านการบริการ มีความสัมพันธ์กับรูปแบบธุรกิจ การทำสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่าย ระดับมูลค่ายอดขายรวม ระดับมูลค่าการสั่งซื้อ
คำสำคัญ: ความพึงพอใจ, ตัวแทนจำหน่าย, แผ่นยิปซัม, บริการ
Abstract
The objective of this research was to study gypsum dealers satisfaction towards gypsum board and services. The population were 315 dealers in Thailand. The independent variables were type of business, dealer contract, sales volume, gypsum volume. The dependent variables were product, price, place, promotion and services. The questionnaires and statistical tool were used to analyzed the data were percentage, mean, standard deviation, Pearson product moment correlation and F-test.
The results were as follows:
1. The employees who involved with dealers were take responsibility to purchase. Mostly are finish Bachelor degree, have experience between five to ten years, and mostly operated between five to ten years.
2. The dealers mostly were company limited and have no contact with factories. Mostly sale volume are five to ten million baht per month and buy gypsum board between five to ten thousand sheets per month.
3. The dealer satisfied product, price, place, promotion and services at a modulate level.
4. There are no significant relationship between dealers satisfaction and product, price, place, promotion but there is significant services at 0.05 level.
Keyword: Dealers, Satisfaction, Gypsum Board, Services.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1935
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1936
2012-02-18T15:43:45Z
jindedu:Jreind
"100701 2010 eng "
1905-9450
dc
ความรู้และความตระหนักของพนักงานสำนักงาน บริษัท สยามเฟอร์โร อินดัสทรี จำกัดเรื่องการอนุรักษ์พลังงาน
ลีสวัสดิ์ตระกูล, สมเดช
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
คูวัฒนะศิริ, กาญจนา
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความรู้และความตระหนักของพนักงานสำนักงาน บริษัท สยามเฟอร์โรอินดัสทรี จำกัด เรื่องการอนุรักษ์พลังงาน และศึกษาความสัมพันธ์ของสถานภาพของพนักงาน กับ ความรู้และความตระหนัก เรื่องการอนุรักษ์พลังงาน กลุ่มประชากร คือพนักงานสำนักงาน บริษัท สยามเฟอร์โร อินดัสทรี จำกัด จำนวนทั้งหมด 54 คน ตัวแปรอิสระ คือ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์การการทำงาน ประสบการณ์การเข้าร่วมอบรมการอนุรักษ์พลังงาน ตัวแปรตาม คือความรู้และความตระหนัก ของพนักงานสำนักงาน บริษัท สยามเฟอร์โรอินดัสทรี จำกัด เรื่องการอนุรักษ์พลังงาน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบประเมิน สถิติทีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ค่าสหสัมพันธ์
ผลการวิจัยพบว่า
1. พนักงานสำนักงาน บริษัท สยามเฟอร์โรอินดัสทรี จำกัด ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 21-30 ปี จำนวน 30 คน คิดเป็นร้อยละ 55.56 ส่วนใหญ่จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือ ป.ว.ช. จำนวน 28 คน คิดเป็นร้อยละ 51.85 ส่วนใหญ่ไม่เคยได้รับการอบรมการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 40 คน คิดเป็นร้อยละ 74.07 ส่วนใหญ่มีประสบการณ์การทำงานต่ำกว่า 5 ปี จำนวน 20 คน คิดเป็นร้อยละ 37.04
2. พนักงานสำนักงาน บริษัท สยามเฟอร์โรอินดัสทรี จำกัด มีความรู้เกี่ยวกับการการอนุรักษ์พลังงาน ในภาพรวมอยู่ในระดับมีความรู้มาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 70.36
3. พนักงานสำนักงาน บริษัท สยามเฟอร์โรอินดัสทรี จำกัด มีความตระหนัก ต่อการอนุรักษ์พลังงาน ในภาพรวมอยู่ในระดับตระหนักมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.08
4. สถานภาพของพนักงานสำนักงาน บริษัท สยามเฟอร์โร อินดัสทรี จำกัด คือ ระดับการศึกษา รายได้ ประสบการณ์การทำงาน และจำนวนครั้งที่ท่านได้รับการอบรมเรื่องการอนุรักษ์พลังงาน มีความสัมพันธ์กับความรู้และความตระหนัก เรื่องการอนุรักษ์พลังงาน อย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05
คำสำคัญ: ความรู้, ความตระหนัก, การอนุรักษ์พลังงาน
Abstract
The objectives of this research were to study knowledge and awareness of office employees of Siam Ferro Industrial Limited on energy saving. The population were 54 office employees of Siam Ferro Industrial Limited. The independent variables were age, education attainment, work experience and energy saving training experience. The dependent variables were knowledge and awareness on energy saving. Questionnaires were used to evaluated the knowledge and awareness on energy saving. The statistical tool were used to analyze the data, percentage, mean, standard deviation and simple correlation.
The result were as followed:
1. Most office employees of Siam Ferro Industrial Limited age between 20-30 or 55.56 percent and 51.85 percent of office employees of Siam Ferro Industrial Limited are vocational graduate and work experience are less than 5 years or 37.04 percent and 74.07 percent have no training experience on energy saving.
2. The office employees of Siam Ferro Industrial Limited have high knowledge on energy saving or 70.36 percent.
3. The office employees of Siam Ferro Industrial Limited were aware on the energy saving the average of 4.08.
4. There are significant relation ship between office employee status and knowledge and awareness on energy saving at the significant of .05 level.
Keyword: Knowledge, Awareness, Energy Saving.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1936
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1937
2012-02-18T15:50:44Z
jindedu:Jreind
"120218 2012 eng "
1905-9450
dc
ความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้วัฒนธรรมองค์การกับความผูกพันต่อองค์การกรณีศึกษา บริษัทสยามเฟอร์โร อินดัสทรี้ จำกัด
ศรีนุรัตน์, จินตนา
หรดาล, พงศ์
เฉยไสย, สมเดช
บทคัดย่อ
งานวิจัยฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับการรับรู้วัฒนธรรมองค์การ ความผูกพันต่อองค์การ ศึกษาเปรียบเทียบความผูกพันต่อองค์การของพนักงานจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคลและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้วัฒนธรรมองค์การกับความผูกพันต่อองค์การของพนักงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็น พนักงานบริษัทสยามเฟอร์โร อินดัสทรี้ จำกัด จำนวน 178 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างด้วยวิธีการสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แบบสอบถามปัจจัยส่วนบุคคล แบบสอบถามการรับรู้วัฒนธรรมองค์การมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.9102 และแบบสอบถามความผูกพันต่อองค์การมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.9548 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์หาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน
ผลการวิจัยพบว่า พนักงานมีระดับการรับรู้วัฒนธรรมองค์การโดยรวมอยู่ในระดับสูง มีความผูกพันต่อองค์การอยู่ในระดับสูง พนักงานที่มี เพศ อายุ อายุงาน และระดับการศึกษาต่างกันมีความผูกพันต่อองค์การไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนพนักงานที่มีภูมิลำเนาต่างกันมีความผูกพันต่อองค์การแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 การรับรู้วัฒนธรรมองค์การมีความสัมพันธ์เชิงบวกกับความผูกพันต่อองค์การของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
คำสำคัญ: การรับรู้วัฒนธรรมองค์การ, ความผูกพันต่อองค์การ
Abstract
The purposes of this research were to study the level of perception of organizational culture and organizational commitment, compare organizational commitment of employees who have different personal factors, study relationship between perception of organizational culture and organizational commitment of employees. The samples of this study were 178 employees who were chosen by simply random sampling. Research questionnaire contained 3 parts: personal characteristics, perception of organizational culture and organizational commitment. The reliability of perception of organizational culture and organizational commitment was 0.9102 and 0.9548 respectively. The statistics used in the research were percentage, means, standard deviation, t-test, one - way ANOVA and Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient.
The followings are the results of this research. Employees had perceived organizational culture at high level, had organizational commitment at high level. Employees with different gender, age, period of work time and education level had no different organizational commitment. However, those who had different domicile had different organizational commitment with a statistical significance at 0.05. There was a positive relationship between overall perception of organizational culture and organizational commitment with a statistical significance at 0.05 levels.
Keyword: Perceptions of Organizational Culture, Organizational Commitment.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1937
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1938
2012-02-18T15:57:59Z
jindedu:Jreind
"100701 2010 eng "
1905-9450
dc
ความสัมพันธ์ระหว่างความภาคภูมิใจในองค์กรกับขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของพนักงานบริษัทธนบุรี เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด
จักรีมงคล, อภิชัย
หรดาล, พงศ์
เฉยไสย, สมเดช
บทคัดย่อ
การวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาระดับความภาคภูมิใจในองค์กรกับขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของพนักงาน ศึกษาเปรียบเทียบขวัญในการปฏิบัติงานของพนักงานโดยจำแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา และอายุงาน ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความภาคภูมิใจในองค์กรกับขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของพนักงาน กลุ่มตัวอย่างสำหรับการวิจัยครั้งนี้ คือ พนักงานในบริษัทธนบุรี เอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด จำนวน 225 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามมีทั้งหมด 3 ส่วน ประกอบด้วย 1. ด้านปัจจัยส่วนบุคคล 2. ด้านความภูมิใจในองค์กร 3. ด้านขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของพนักงาน สถิติที่ใช้ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน
ผลการวิจัย พบว่า พนักงานส่วนใหญ่มีความภาคภูมิใจในองค์กรอยู่ในระดับปานกลาง และขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานอยู่ในระดับสูง พนักงานที่มี เพศ อายุ และสถานภาพสมรส ต่างกัน จะมีขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ความภาคภูมิใจในองค์กรมีความสัมพันธ์ทางบวก (r = .813) กับขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงานของพนักงานอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
คำสำคัญ: ความภาคภูมิใจในองค์กร, ขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน
Abstract
The purposes of this research were to study the level of organizational pride and work morale of employees. and to compare work morale of employees according to their personal factors; gender, age, marital status, level of education, and years of work, and to investigate the relationship between organizational pride and work morale of employees.
The samples were 225 employees at Thonburi Entertainment Co., Ltd., selected by the proportional stratified random sampling. Data were collected by using questionnaire which had 3 parts: information regarding personal factors, organizational pride, and work morale of employees. Statistics for data analysis were percentage, mean, standard deviation, t-test, one-way ANOVA, and Pearson’s Product Moment Correlation Coefficient.
The results of the study were as follows: Most employees had moderate level of organizational pride. And work morale in high Lavel. Employees who had different gender, age, and marital status had significant difference of work morale with a statistical significance at .01 level. There were a positive relationship between organizational pride and work morale of employees with a statistical significance at .01 level.
Keyword: Organization Pride, Work Morale of Employees.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1938
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1939
2012-02-18T16:01:35Z
jindedu:Jreind
"100701 2010 eng "
1905-9450
dc
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานพนักงานประจำสาขาของธนาคารทีเอ็มบี แบงก์ จำกัด (มหาชน) สาขาสามพราน จ.นครปฐม
ศิริรวิพัฒน์, ประวัติ
หรดาล, พงศ์
เฉยไสย, สมเดช
บทคัดย่อ
วิทยานิพนธ์นี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาสภาพขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของพนักงานประจำสาขาของธนาคารทีเอ็มบี แบงก์ จำกัด (มหาชน) สาขาสามพราน จ.นครปฐม และเปรียบเทียบขวัญกำลังใจ ตามสถานภาพส่วนบุคคล คือ อายุ เงินเดือน เพศ ระดับการศึกษา และระยะเวลาการทำงาน กลุ่มประชากร เป็นพนักงานประจำสาขาของธนาคารทีเอ็มบี แบงก์ จำกัด (มหาชน) สาขาสามพราน จ.นครปฐม จำนวนทั้งสิ้น 68 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นแบบสอบถามเพื่อวัดขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของพนักงานประจำสาขา สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าความถี่ ค่าร้อยละ และการทดสอบเปรียบเทียบโดยค่าซี วิเคราะห์ผลทั้งหมดโดยโปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติด้วยคอมพิวเตอร์
ผลการศึกษาพบว่า ขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานของพนักงานประจำสาขาโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาในรายด้านพบว่า พนักงานประจำสาขามีขวัญกำลังใจด้านนโยบายการบริหารงานขององค์กร ด้านสภาพแวดล้อมในการทำงาน ด้านการดูแลสุขภาพและด้านสวัสดิการในหน่วยงาน อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนขวัญกำลังใจในด้านสัมพันธภาพกับผู้บังคับบัญชา ด้านความพึงพอใจในงานที่ปฏิบัติ อยู่ในระดับสูง พนักงานประจำสาขาของธนาคารที่มีสถานภาพส่วนตัวต่างกัน คือ อายุ เงินเดือน เพศ ระดับการศึกษา และระยะเวลาร่วมงานกับองค์กรต่างกัน มีขวัญกำลังใจในการทำงานไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
คำสำคัญ: ขวัญกำลังใจ, การปฏิบัติงาน
Abstract
The purposes of this research were to study conditions on the morale of staff operations branch of TMB Bank Limited (PCL) and compare the morale of employer. Personal status is based on salary, age, gender, level of education. The duration of staff working population is a branch of Bank TMB Bank Limited (PCL), The sample were 68 peoples. The questionnaires were use tomeasure morale in the work of field staff. Statistics used in research, including the standard deviation of percentage frequency values and test values compared with C.
The results showed that. Morale in the work of field staff in the overall average. Given the revenue side found. Branch staff morale in the administration of corporate policies. Environmental work. Health care and welfare of the unit. In the medium. The morale in the relationship with superiors. Satisfaction in work practices. Is high. Branch staff are different personal status are age, gender, education level salary. And time to work with different organizations. The morale in the work does not differ statistically significant at 0.05 level.
Suggestions of research. Should study other independent variables. More more groups of employees such as marital status, etc. Because this research is a research survey. Therefore, to study results can be applied usefully and to extend the study to more. Should study more comparable with the research methodology to other participants in the study. To study the environmental conditions that can explain or morale will occur as to the theory or not.
Keyword: Morale, Operations
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1939
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1940
2012-02-18T16:04:40Z
jindedu:Jreind
"100701 2010 eng "
1905-9450
dc
ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการต่ออายุประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจของลูกค้า บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด
ท่อนทอง, อนุวัตร
หรดาล, พงศ์
รัตนธรรมมา, ธวัชชัย
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการต่ออายุประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจของลูกค้าบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด และ เปรียบเทียบความสำคัญของปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการต่ออายุประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจของลูกค้าบริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (สาขาวิภาวดี) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ได้แก่ ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการต่ออายุประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจที่สำนักงานสาขาวิภาวดี โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามเพื่อการวิจัย สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่า z (z-test) และค่า F (F-test) ค่าความแปรปรวนแบบทิศทางเดียว (One way ANOVA)
ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ใช้รถเก๋งมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 61.9 เลือกทำประกันภัยภาคสมัครใจประเภท 1 คิดเป็นร้อยละ 51.9 และส่วนใหญ่ทำประกันภัยต่อเนื่องกับบริษัทเป็นระยะเวลา 2 – 3 ปี คิดเป็นร้อยละ 38.3 ด้านปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดบริการทุกปัจจัยมีความสำคัญต่อการตัดสินใจเลือกใช้บริการต่ออายุประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก โดยเรียงลำดับดังนี้ ปัจจัยด้านบุคลากรที่ให้บริการ ปัจจัยด้านการให้บริการ ปัจจัยด้านราคา ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์และบริการ ปัจจัยด้านการส่งเสริมการขายและนำเสนอลักษณะทางกายภาพ ปัจจัยด้านสถานที่ให้บริการและช่องทางการจัดจำหน่าย ตามลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐาน
คำสำคัญ: ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจ, ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ
Abstract
The objectives of this study were to: study of factor affecting to customer’s decision to continue car insurance and compare the factor is affecting to customer’s decision to continue car insurance of the Viriyah Insurance Company (Viphavadee branch). The sample of this study was 400 customers who using continue car insuranc.
The questionnaires were used and statistic used to analyzed the data were frequency, percentage, mean and standard deviation. z-test, F-test.
The results of this study found that the majority use car (= 61.9), the most of respondents choose the first party insurance (type 1) (= 51.9) and most continue wing car insurance with company 2 – 3 year (= 38.3). Regarding the factors affecting the decision to continue car insurance, most respondents ranked Service Marketing factors at a high level, there were in the following People, order-Process, Price, Product & Services, Promotion & Physical Evidence & Presentation and Place that accordingly agree which the hypothesis.
Keyword: Factor decision, Continue car insurance
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1940
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1941
2012-02-18T16:07:54Z
jindedu:Jreind
"100701 2010 eng "
1905-9450
dc
ปัจจัยในการตัดสินใจเลือกใช้พลังงานทดแทนในรถยนต์ กรณีศึกษาแก๊สแอลพีจีในเขตกรุงเทพมหานคร
สุขพัฒน์, นารากร
หมื่นสายญาติ, สมชาย
รัตนธรรมมา, ธวัชชัย
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ของการวิจัยมีดังนี้ 1) เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบระดับของปัจจัยในการตัดสินใจเลือกใช้พลังงานทดแทนในรถยนต์ กรณีศึกษาแก๊สแอลพีจี ในเขตกรุงเทพมหานคร จำแนกตามเพศ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน และ 2) เพื่อศึกษาระดับปัญหาในการใช้แก๊สแอลพีจีในรถยนต์ ของผู้ใช้ในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นผู้ครอบครองรถยนต์ที่ตัดสินใจติดตั้งแก๊สแอลพีจี ที่นำรถยนต์เข้าทำการตรวจเช็คกับศูนย์บริการการติดตั้งแก๊สแอลพีจีในเขตกรุงเทพมหานคร และจากสถานที่ต่าง ๆ จำนวน 386 คน เครื่องมือใช้รวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหา ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐานได้แก่ ค่า t-test และ ค่า F-test และการทดสอบความแตกต่างเป็นรายคู่ด้วยวิธี Least Significant Difference (LSD) ผลการวิจัย พบว่า
1. กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ เป็นเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 63.5 มีอายุระหว่าง 26 - 30 ปี คิดเป็นร้อยละ 27.2 จบการศึกษาในระดับปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 60.1 มีสถานภาพโสด คิดเป็นร้อยละ 54.4 มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน คิดเป็นร้อยละ 46.1 มีรายได้ตั้งแต่ 10,001 – 30,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 53.4 ประมาณครึ่งหนึ่งของกลุ่มตัวอย่างใช้รถยนต์ที่ติดตั้งระบบแก๊สแอลพีจีมาแล้ว 1 – 2 ปี ใช้เวลาศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจ 1 – 3 เดือน โดยได้ข้อมูลและคำแนะนำจากเพื่อนร่วมงานมากที่สุด ติดตั้งแก๊สแอลพีจีในรถยนต์เป็นระบบหัวฉีดมากกว่าระบบดูด ใช้รถยนต์ที่ติดตั้งระบบแก๊สแอลพีจี จำนวน 1 คัน มีอายุการใช้งานมาแล้ว 1 – 5 ปี มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่ 8.01 – 10 กิโลเมตร/ลิตร ระยะทางการใช้งานโดยเฉลี่ยต่อวัน 10.01 - 50 กิโลเมตร/วัน
2. ค่าเฉลี่ยของระดับของปัจจัยในการตัดสินใจเลือกใช้แก๊สแอลพีจีในรถยนต์ โดยรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก เรียงลำดับจากมากไปหาน้อย คือ ปัจจัยด้านราคาแก๊สแอลพีจี ด้านเชื้อเพลิงแก๊สแอลพีจี ด้านศูนย์บริการการติดตั้ง ด้านสถานีบริการจำหน่ายแก๊ส และด้านการส่งเสริมการตลาด เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อ โดยรวม 3 อันดับที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดได้แก่ 1) เมื่อใช้แก๊สแอลพีจีแล้วสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่า 2) ราคาของแก๊สแอลพีจีถูกกว่าเมื่อเทียบกับน้ำมันเชื้อเพลิง และ 3) แก๊สแอลพีจีสามารถใช้ทดแทนพลังงานน้ำมันเชื้อเพลิงอื่น ๆ ในรถยนต์ได้ ส่วนอันดับสุดท้ายคือ การมีบริการสินเชื่อเพื่อการติดตั้งแก๊สแอลพีจี
3. ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ผู้ใช้รถยนต์ที่ตัดสินใจติดตั้งแก๊สแอลพีจี ที่มีสถานภาพส่วนบุคคลแตกต่างกัน ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา สถานภาพ อาชีพ และรายได้ต่อเดือน ยกเว้นเพศ มีระดับของปัจจัยในการตัดสินใจติดตั้งแก๊สแอลพีจีในรถยนต์ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
4. ระดับของปัญหาในการใช้แก๊สแอลพีจีในรถยนต์ โดยรวมและรายข้อเกือบทุกข้อ อยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบเป็นรายข้อ พบว่า ระดับของปัญหาในการใช้แก๊สแอลพีจีในรถยนต์ 3 อันดับแรก คือ 1) ราคาแก๊สแอลพีจีที่สูงขึ้น 2) คุณภาพของการบริการจากสถานีจำหน่ายแก๊สแอลพีจีที่ต่างกันและ 3) การได้รับข้อมูลเกี่ยวกับแก๊สแอลพีจีอย่างไม่ถูกต้องและไม่เพียงพอ ส่วนอันดับสุดท้ายคือ ความรู้สึกว่าผู้ใช้มีสุขภาพที่แย่ลงจากการใช้แก๊สแอลพีจีในรถยนต์ ซึ่งอยู่ในระดับน้อย
คำสำคัญ: พลังงานทดแทน, รถยนต์, แก๊สแอลพีจี
Abstract
This study aimed to 1) study and compare factors in the decision making to use the alternative energy in automobile: a case study of LPG in Bangkok, according to gender, age, education level, marital status, occupation, and monthly income, and 2) study problems of using LPG-fuelled cars. The samples of this study were 386 individuals who owned LPG-fuelled cars to have services in the maintenance centers of the LPG installation centers in Bangkok. Also, those, who owned the LPG-fuelled cars, located in different areas in Bangkok, were included in this study. Data were collected by using questionnaire and analyzed by statistic, such as frequency, percentage, means, standard deviation, while hypothesis testing were t-test and F-test at significant level 0.05, and different analysis testing was Least Significant Difference (LSD).
Research findings were as follows:
1. 63.5% of the samples were male, 27.2% were between 26 - 30 years old, and 60.1% have Bachelor’s degree level. Most of the samples (54.4%) were married and were the business office’ employees (46.1%), and earned between 10 – 30 thousand baht a month (53.4%). Most of them (51.6%) had experience of driving the LPG-fuelled cars for 1-2 years, spent 1-3 months before making decision, relying on colleague's advice. Most of the samples (65%) installed the LPG injection system to the cars instead of the LPG mixer system. By average, they had one car with the age of 1-5 years old, fuel economy of 8 – 10 kilometers per liter, and run 10 to 50 kilometers per day.
2. All means of factors affecting the decision making to use the LPG system in automobile of users in Bangkok were at a high level. Those factors were, in ordering from high to low level: the factors of LPG’s price, LPG product, LPG installation center, LPG station, and promotion. Three highest means included: 1) saving more money after installing the LPG system, 2) much cheaper of LPG than petrol, and 3) generating energy for vehicles of LPG as of petrol. The least mean’ factor was the offer of down payments after installing the LPG system.
3. The hypothesis testings were indicated that LPG-fuelled car’ users with different age, education level, marital status, occupation, and monthly income made different decision of installing the LPG system in car at 0.05 level of significance. No difference was found in users’ decision making in installing with different gender.
4. Problems of using LPG-fuelled cars were found at the moderate level. Those problems were, in ordering from high to low level: higher LPG’s price, different qualities of services of the LPG station, and inaccurate and inadequate LPG information. The least problem was the effects of the LPG on human health.
Keyword: The Alternative Energy, Automobile, LPG
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1941
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1942
2012-02-18T16:10:58Z
jindedu:Jreind
"100701 2010 eng "
1905-9450
dc
ผลของการทดลองปรับเพิ่มอุณหภูมิน้ำเย็นด้านจ่ายออกระบบปรับอากาศ ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน
บุญชู, สัมฤทธิ์
ธีระวิทยเลิศ, ปัญญา
บุญยะผลานันท์, บุญมี
บทคัดย่อ
การศึกษาวิจัยเรื่อง ผลของการทดลองปรับเพิ่มอุณหภูมิน้ำเย็นด้านจ่ายออกระบบปรับอากาศ ที่มีต่อการประหยัดพลังงาน มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา การทดลองเปรียบเทียบการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศที่มีการปรับเพิ่มอุณหภูมิน้ำเย็นด้านจ่ายออก กับเครื่องปรับอากาศที่ใช้งานปกติ และเพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติในการลดพลังงานไฟฟ้าของระบบปรับอากาศ วิธีดำเนินการวิจัย รวบรวมข้อมูลในระบบปรับอากาศ ออกแบบวิธีการวิจัยและติดตั้งอุปกรณ์ทดลอง ทดลองเดินเครื่องพร้อมกันทั้ง 2 เครื่อง บันทึกข้อมูลก่อนและหลังปรับเพิ่มอุณหภูมิน้ำเย็น เปรียบเทียบการใช้พลังงานไฟฟ้าของเครื่องปรับอากาศ และการศึกษาทดลองครั้งนี้ใช้เวลาในการทดลอง 24 วัน และการทดลองจะทำการทดลองในช่วงเวลากลางคืนระหว่างเวลา 22.00 – 08.00 น. เนื่องจากเวลากลางวันมีอากาศแปรปรวนตลอด เช่น บางช่วงจะมีฝนตกและบางช่วงแดดออกทำให้อุณหภูมิภายนอกอาคารแตกต่างกันมาก ซึ่งจะมีผลต่อการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศ
ผลการวิจัยพบว่า กรณีทดลองปรับเพิ่มอุณหภูมิน้ำเย็นด้านจ่ายออกที่ 46 OF (7.77 OC) ทดลอง 4 วัน วันละ 11 ชั่วโมง เครื่องปรับอากาศ Ch.1 ใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 20.33 บาท/ห้อง และเครื่องปรับอากาศ Ch.2 ใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 24.10 บาท/ห้อง เมื่อเปรียบเทียบการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศ Ch.1 และเครื่องปรับอากาศ Ch.2 ค่าพลังงานไฟฟ้าลดลงเท่ากับ 3.57 บาท/ห้อง
กรณีทดลองปรับเพิ่มอุณหภูมิน้ำเย็นด้านจ่ายออกที่ 47 OF (8.33 OC) ทดลอง 4 วัน วันละ 11 ชั่วโมง เครื่องปรับอากาศ Ch.1 ใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 21.21 บาท/ห้อง และเครื่องปรับอากาศ Ch.2 ใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 27.70 บาท/ห้อง เมื่อเปรียบเทียบการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศ Ch.1 และเครื่องปรับอากาศ Ch.2 ค่าพลังงานไฟฟ้าลดลงเท่ากับ 6.49 บาท/ห้อง
กรณีทดลองปรับเพิ่มอุณหภูมิน้ำเย็นด้านจ่ายออกที่ 48 OF (8.88 OC) ทดลอง 4 วัน วันละ 11 ชั่วโมง เครื่องปรับอากาศ Ch.1 ใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 21.15 บาท/ห้อง และเครื่องปรับอากาศ Ch.2 ใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 25.81 บาท/ห้อง เมื่อเปรียบเทียบการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศ Ch.1 และเครื่องปรับอากาศ Ch.2 ค่าพลังงานไฟฟ้าลดลงเท่ากับ 4.66 บาท/ห้อง
กรณีทดลองปรับเพิ่มอุณหภูมิน้ำเย็นด้านจ่ายออกที่ 49 OF (9.44 OC) ทดลอง 4 วัน วันละ 11 ชั่วโมง เครื่องปรับอากาศ Ch.1 ใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 17.18 บาท/ห้อง เครื่องปรับอากาศ Ch.2 ใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 23.10 บาท/ห้อง เมื่อเปรียบเทียบการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศ Ch.1 และเครื่องปรับอากาศ Ch.2 ค่าพลังงานไฟฟ้าลดลงเท่ากับ 5.92 บาท/ห้อง
กรณีทดลองปรับเพิ่มอุณหภูมิน้ำเย็นด้านจ่ายออกที่ 50 OF (10 OC) ทดลอง 4 วัน วันละ 11 ชั่วโมง เครื่องปรับอากาศ Ch.1 ใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 16 บาท/ห้อง และเครื่องปรับอากาศ Ch.2 ใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 22.55 บาท/ห้อง เมื่อเปรียบเทียบการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศ Ch.1 และเครื่องปรับอากาศ Ch.2 ค่าพลังงานไฟฟ้าลดลงเท่ากับ 6.55 บาท/ห้อง
กรณีทดลองปรับเพิ่มอุณหภูมิน้ำเย็นด้านจ่ายออกที่ 51 OF (10.55 OC) ทดลอง 4 วัน วันละ 11 ชั่วโมง เครื่องปรับอากาศ Ch.1 ใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 14 บาท/ห้อง เครื่องปรับอากาศ Ch.2 ใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยต่อปีเท่ากับ 21.65 บาท/ห้อง เมื่อเปรียบเทียบการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศ Ch.1 และเครื่องปรับอากาศ Ch.2 ค่าพลังงานไฟฟ้าลดลงเท่ากับ 7.65 บาท/ห้อง
คำสำคัญ: อุณหภูมิน้ำเย็น, ระบบปรับอากาศ, การประหยัดพลังงาน
Abstract
Research on the experiment of adds temperature in air conditioning system affecting energy reduction. Objectives: The experiments to compare the energy of air conditioners with cooling water temperature increase to pay out, with the normal air. Which a way to practice reduce the power of the air-conditioner systems.
The ways to research, I have to collect data on air-conditioning systems. Take the designs and set up equipments for the experiment research. And test the both air conditioners, recorded before and after cold water temperatures increase. And compare the using of electric air conditioners. And these research studies take the time 24 day for experiment. And take the experiments only in the night between 22.00 - 08.00 pm. Through, during of daytime the air varies always such as; sometimes has a rain and sunlight, so the weather around the building has difference temperatures. It’s had affected to the using energy of air conditioners.
The research results has found that try increasing the case temperature of cold water from a pay 46OF (7.77OC) trial 4 days, 11 hours per day. The air conditioners Ch.1 used electric energy average a year equal to 20.33 baht / room. And the Ch.2 used electric energy average a year equal to 24.10 bath/room. When compared using energy of the air conditioners Ch.1 and Ch.2 has values of electric energy decreased as 3.57 bath/room.
Experimental cases of cold water temperatures increase the payout as 47 OF (8.33 OC) trial 4 days, 11 hours per day. The air conditioner Ch.1 used electric energy and average per year equal to 21.21 bath/room. And The Ch.2 used electric energy and average per year equal to 27.70 bath/room. When compared the using energy of air conditioners Ch.1 and Ch.2 the electric energy decreased as 6.49 bath/room.
Experimental cases of cold water temperatures increase the pay as 48 OF (8.88 OC )trial 4 days, 11 hours per day. The air conditioner Ch.1 used electric energy and average per year equal to 25.81 bath/room. And the Ch.2 used electric energy average annual equal to 25.81 baht/ room. When compared the using energy of air conditioners Ch.1 and Ch.2 the electric energy decreased as 4.66 bath/room.
Experimental cases of cold water temperatures increase the pay as 49 OF (9.44 OC) 4 days, 11 hours per day. The air conditioner Ch.1 used electric energy and average per year equal to 17.18 bath/room. The Ch.2 used electric energy and average per year equal to 23.10 bath/room. When compared the using energy of air conditioners Ch.1and Ch.2 the electric energy decreased as 5.92 bath/room.
Experimental cases of cold water temperatures increase the pay as 50 OF (10 OC) trial 4 days,11 hours per day. The air conditioner ch.1 used electric energy and average per year equal to 16 bath/ room. The Ch.2 used electric energy and average per year equal to 22.55 baht/room. When compared the using Ch.1 energy of air conditioners and Ch.2 the energy electric decreased as 6.55 bath/room.
In these testing, experimental cases of cold water temperatures increase the pay as 51 OF (10.55 OC) trial 4 days,11 hours per day. The air conditioner Ch.1 had used electric energy and average per year equal to 14 Bath/Room. The Ch.2 used the energy electric and average per year equal to 21.65 Bath/Room. When compared the using Ch.1 energy of air conditioners and Ch.2 the energy electric decreased as 7.65 bath/ room.
Keyword: Temperature, Air conditioning system, Energy saving.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1942
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1943
2012-02-18T16:13:29Z
jindedu:Jreind
"100701 2010 eng "
1905-9450
dc
รูปแบบการฝึกทักษะพื้นฐานฟุตบอล
สวัสดี, วีระยุทธ
หรดาล, พงศ์
ตันติกุล, สุณี
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษารูปแบบการฝึกทักษะพื้นฐานฟุตบอลโดยใช้กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต1 ที่เรียนวิชาฟุตบอล จำนวน 105 คน ใช้เครื่องมือที่ประยุกต์มาจากรูปแบบต่างๆ ประกอบด้วย การเดาะลูกฟุตบอล การส่งลูกฟุตบอล การโหม่งลูกฟุตบอล การรับลูกฟุตบอล การเลี้ยงลูกฟุตบอล และการยิงประตูลูกฟุตบอล วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหารค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และคะแนนที (T-Score)
ผลการวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานทักษะกีฬาฟุตบอลของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่1 ในรายการเดาะฟุตบอล มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 73 และ 23 ครั้ง การส่งลูกฟุตบอลเท่ากับ 5 และ 1 ครั้ง การโหม่งลูกฟุตบอล มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 5 และ 1 ครั้ง การรับลูกฟุตบอล มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8 และ 1 ครั้ง การเลี้ยงลูกฟุตบอล มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 38.22 และ 3.67 วินาที และการยิงประตูฟุตบอล มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 9 และ 1 ตามลำดับ
ระดับทักษะกีฬาฟุตบอลของนักเรียนชายชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต1 ปีการศึกษา 2552 ระดับสูงมากมีคะแนนทีที่ 60 และ ระดับต่ำมากมีคะแนนทีที่ 40 ลงมา
คำสำคัญ: ทักษะ, ฟุตบอล
Abstract
The Aim of the research was to establish football fundamental skills by using 7th grade students in Bangkok education service area office 1 whom take football course in the amount of one hundred and five male the application will be use in various forms. Composed of bouncing a ball, passing a ball, heading, controlling, dribbling, and goal shooting. Then data were analyzed by mean, standard deviation, and T-Score.
The results revealed that: football skill by using 7th grade on bouncing were 73 and 23 times, passing a ball were 20 and 4 times, heading were 5 and 1 times, controlling were 8 and 1 times, dribbling were 38.22 and 3.67 seconds, and goal shooting were 9 and 1 time, respectively.
The highest football skill level of Mathayom Suksa 1 male students was at more than T score of 60, the high level was at T score of 55 – 58, the moderate level was at T score of 46 – 54, the low level was at T score of 42 – 45, and the lowest one was at lower than T score of 40.
Keyword: Skill, Football.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1943
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1944
2012-02-18T16:16:05Z
jindedu:Jreind
"100701 2010 eng "
1905-9450
dc
ออกแบบสร้างชุดทำน้ำอุ่นจากเครื่องปรับอากาศ
วังวรรณรัตน์, อรุณี
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
คูวัฒนะศิริ, กาญจนา
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อออกแบบสร้างชุดทำน้ำอุ่นจากเครื่องปรับอากาศและประเมินประสิทธิภาพโดยอุณหภูมิน้ำเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยมากกว่า 10 องศาเซลเซียส และประเมินลักษณะทางกายภาพทั้ง 5 ด้านคือ ด้านการนำไปใช้งาน ด้านความแข็งแรง ด้านความทนทาน ด้านการบำรุงรักษา และด้านความปลอดภัย
วิธีการดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยได้ใช้เครื่องปรับอากาศแบบติดผนัง (Wall Type) ขนาด 13,000 Btu/hr. มีค่าประสิทธิภาพการให้ความเย็น Energy Efficiency Ratio (EER) ที่ 11.38 มาทำการออกแบบสร้างชุดระบายความร้อนด้วยน้ำชนิดแบบท่อสองชั้น ต่อขนานสอดทะลุผ่านท่อทองแดงความยาวท่อขนาด 2 เมตร ท่อทองแดงของสารทำความเย็นจะมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 3/8 นิ้ว ท่อทองแดงของน้ำจะมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 5/8 นิ้ว และ 3/4 นิ้ว พร้อมหุ้มฉนวนยางหุ้มท่อสารทำความเย็นเส้นผ่านศูนย์กลาง 3/8 นิ้ว ใช้ถังเก็บน้ำสแตนเลส ขนาดบรรจุ 150 ลิตร หนา 0.6 มิลลิเมตร พร้อมหุ้มฉนวนกันความร้อนหนา 8 มิลลิเมตร การทดลองทำเป็นสี่กรณี คือ กรณีที่ 1 คือการเปิดเครื่องปรับอากาศโดยการใช้พัดลมระบายความร้อน กรณีที่ 2 คือการเปิดเครื่องปรับอากาศโดยระบายด้วยน้ำผ่านท่อเส้นผ่านศูนย์กลาง 5/8 นิ้ว กรณีที่ 3 คือการเปิดเครื่องปรับอากาศโดยระบายด้วยน้ำผ่านท่อเส้นผ่านศูนย์กลาง 3/4 นิ้ว กรณีที่ 4 คือการเปิดเครื่องปรับอากาศโดยระบายด้วยน้ำผ่านสองท่อ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5/8 นิ้ว และ ท่อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3/4 นิ้ว พร้อมกัน
ผลการวิจัยพบว่า
1. กรณีที่1 คือการเปิดเครื่องปรับอากาศโดยการใช้พัดลมระบายความร้อนโดยใช้เป็นข้อมูลพื้นฐาน กรณีที่ 2 เปิดเครื่องปรับอากาศโดยระบายด้วยน้ำผ่านท่อเส้นผ่านศูนย์กลาง 5/8 นิ้ว น้ำเข้าที่อุณหภูมิ 28 องศาเซลเซียส สามารถทำน้ำอุ่นได้มากกว่า 10 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 27 นาที กรณีที่ 3 เปิดเครื่องปรับอากาศโดยระบายด้วยน้ำผ่านท่อเส้นผ่านศูนย์กลาง 3/4 นิ้ว น้ำเข้าที่อุณหภูมิ 28 องศาเซลเซียส สามารถทำน้ำอุ่นได้มากกว่า 10 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 1 ชั่วโมง กรณีที่ 4 คือการเปิดเครื่องปรับอากาศโดยระบายด้วยน้ำผ่านสองท่อ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 5/8 นิ้ว และ ท่อขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3/4 นิ้ว พร้อมกัน น้ำเข้าที่อุณหภูมิ 28 องศาเซลเซียส สามารถทำน้ำอุ่นได้มากกว่า 10 องศาเซลเซียส ใช้เวลา 45 นาที และเมื่อวิเคราะห์ในเชิงเศรษฐศาสตร์พบว่า สามารถประหยัดค่าพลังงานไฟฟ้าได้เมื่อเปรียบเทียบกับการทำน้ำอุ่นในปีแรก 3,193.00 บาท
2. ลักษณะทางกายภาพโดยรวมทั้ง 5 ด้าน อยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.46 เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ด้านการนำไปใช้งานอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.47 ด้านความแข็งแรงอยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.53 ด้านความทนทานอยู่ในระดับดีมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.40 ด้านการบำรุงรักษาอยู่ในระดับดี มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.25 และด้านความปลอดภัย อยู่ในระดับดีมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.67
คำสำคัญ: ชุดทำน้ำอุ่น, เครื่องปรับอากาศ
Abstract
The objectives of this research were to design and construct water heat set from an air conditioner and study its efficiency by testing the temperature of water change more than 10 degrees Celsius and its appearances in five aspects: performance, strength, reliabilty, maintenance and safety.
The researcher used wall-type air conditioner model capacity 13,000 Btu/hr. which gives energy efficiency ratio 11.38 and designed the condenser by using concentric tube with 2 meters long and 3/8 inch diameter of refrigerant. The diameter of water pipe would be 5/8 and 3/4 inch covered with insulation. The 150-litre stainless steel water tank covered with 8 millimeter insulation. There were four experiments: the first experiment, using an electric fan for releasing the heat, the second experiment, using water with the pipe of 5/8 inches, the third experiment, using water with the pipe of 3/4 inches, and the fourth experiment, using water with the pipe of 5/8 and 3/4 inches.
\ The results were as follows:
1. The first experiment, using an electric fan for releasing the heat was used as a basic data. The second experiment, using water with the pipe of 5/8 inches, the water temperature increased up to 10 degrees Celsius and took around 1 hour and 27 minutes. The third experiment, using water with the pipe of 3/4 inches, the water temperature, increased up to 10 degrees Celsius and took around 1 hour. The fourth experiment, using water with the pipe of 5/8 and 3/4 inches, the water temperature increased up to 10 degrees Celsius and took around 45 minutes. Moreover, in an economic aspect, this experiment could save 3,193.00 baht/year when comparing with using water heater.
2. The five aspects of the system were considered at good level with an average of 4.46 points. Each aspect revealed the following results: the system performance was at a good level with an average of 4.47 points, the system strength was at a very good level with an average of 4.53 points, the system reliability was at a good level with an average of 4.40 points, the system maintenance was at a good level with an average of 4.25 points, and the system safety was at a very good level with an average of 4.67 points.
Keyword: Water Heat Set, Air Conditioner.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2010-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1944
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 4 No. 1 (2010): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2553
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1945
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jacind
"120218 2012 eng "
1905-9450
dc
เศรษฐกิจพอเพียงกับการพัฒนาด้านอาชีวศึกษา
Sukwan, Ophat
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชพระราชทานเพื่อชี้นำการดำเนินชีวิตและปฏิบัติตนของประชาชนมาตลอดกว่า 30 ปี โดยมุ่งดำเนินไปบนทางสายกลางบนพื้นฐานของความพอมี พอกิน พอใช้ คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรอบรู้ ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจและการกระทำ
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1945
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1946
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jbookind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
108 อาชีพ 76 จังหวัดไทย ชุดภาคตะวันออก-อีสาน
ชวลิตนิธิผลลาภ, เตชินี
หนังสือเล่มนี้เป็นหนึ่งในหนังสือชุด 108 อาชีพ 76 จังหวัดไทย เล่มนี้จะรวบรวมเรื่องราวและประสบการณ์ในการประกอบอาชีพที่เป็นของดีของแต่ละจังหวัดในภาคตะวันออกและภาคอีสาน
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1946
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1947
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
การจัดการกิจกรรมคุณภาพ 5 ส ของบริษัท เค ที ซี โฮม จำกัด
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
รัตนธรรมมา, ธวัชชัย
ชัยขวัญงาม, พิณพร
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาการจัดการกิจกรรมคุณภาพ 5 ส ของบริษัท เค ที ซี โฮม จำกัด โดยศึกษาจากพนักงาน บริษัท เค ที ซี โฮม จำกัด จำนวน 65 คน ตัวแปรอิสระ ที่ใช้ในการศึกษา คือ สถานภาพของพนักงาน บริษัท เค ที ซี โฮม จำกัด ได้แก่ อายุระดับการศึกษา ประสบการณ์เกี่ยวกับการ จัดการกิจกรรมคุณภาพ 5 ส ตัวแปรตาม ได้แก่ การจัดการกิจกรรมคุณภาพ 5 ส 5 ด้าน ประกอบด้วย การรับรู้เรื่องข่าวสารเกี่ยวกับกิจกรรม 5ส ความรู้ความเข้าใจในกิจกรรม 5ส การมีส่วนร่วมในกิจกรรม5ส การสนับสนุนจากผู้บังคับบัญชา ประโยชน์จากกิจกรรม 5ส เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม สถิติทีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Z-test และสหสัมพันธ์
ผลการวิจัยพบว่า
1. พนักงานบริษัท เค ที ซี โฮม จำกัด ส่วนใหญ๋มีอายุระหว่าง 21-25 ปี ส่วนใหญ๋มีการศึกษาระดับประถมศึกษา คิดเป็นร้อยละ 61.44 มีประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดการกิจกรรม 5 ส ส่วนใหญ๋ต่ำกว่า 1 ปี คิดเป็นร้อยละ 76.92
2. ผลของการจัดการกิจกรรมคุณภาพ 5 ส ของพนักงานบริษัท เค ที ซี โฮม จำกัด โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า การรับรู้เรื่องข่าวสารเกี่ยวกับกิจกรรม 5ส มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด อยู่ในระดับมาก รองลงมาคือ การสนับสนุนจากผู้บังคับบัญชา อยู่ในระดับมาก ส่วนการจัดการกิจกรรมคุณภาพ 5 ส เรื่องประโยชน์จากกิจกรรม 5ส มีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด แต่ยังอยู่ในระดับมาก ส่วนความรู้ความเข้าใจในกิจกรรม 5ส อยู่ในระดับมาก การมีส่วนร่วมในกิจกรรม 5ส อยู่ในระดับมาก
3. อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดการกิจกรรมคุณภาพ 5 ส มีความสัมพันธ์ต่อการจัดการกิจกรรมคุณภาพ 5 ส อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05
คำสำคัญ: การจัดการกิจกรรมคุณภาพ 5 ส
Abstract
The objectives of this research were to study the 5‘S Quality Management Activities of KCT Home Company L.T.D. and there relationship. The population were 65 workers. The independent variables were age, education attainment, 5‘S quality management activities training experience. The dependent variables were 5‘S quality management activities. The questionnaires were use to collect the data. The statistical tools were use to analyze the data, percentage, mean, standard deviation, z-test and Pearson product moment correlation.
The result were as follow:
1. The workers of KCT Home Company L.T.D. mostly were 21 – 25 years old. The education attainment mostly finished elementary school. The experience mostly have experience less than 1 year.
2. The 5‘S quality management activities of KCT Home Company L.T.D. as a whole was high level. When consider in each area found that the information of 5‘S quality management was the highest at high level, next was administration support at high level. The lowest was the benefit from the 5‘S quality management activities but still at high level. For the knowledge on 5‘S quality management activities at high level and the participation on 5‘S quality management activities still at high level.
3. There were relationship between age, education attainment and 5‘S quality management activities training experience with 5‘S quality management activities at the significant level of .05.
Keyword: The 5‘S Quality Management Activities.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1947
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1948
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
การจัดการสิ่งแวดล้อมบริษัทสยามราชบุรี อุตสาหกรรม จำกัด
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
รัตนธรรมมา, ธวัชชัย
ไกรพิสิทธิ์กุล, วิวรรธน์
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการจัดการสิ่งแวดล้อมบริษัทสยามราชบุรี อุตสาหกรรม จำกัด ด้านการลดการใช้พลังงานน้ำ ไฟฟ้า กะลาปาล์ม และ/หรือลดของเสียอุตสาหกรรมของบริษัทสยามราชบุรีอุตสาหกรรม จำกัด ประชากรที่ใช้ในการศึกษาเป็นพนักงานบริษัทสยามราชบุรีอุตสาหกรรม จำกัด จำนวน 60 คน ตัวแปรอิสระ คือ อายุ ระดับการศึกษา จำนวนครั้งที่ได้รับการอบรมการจัดการสิ่งแวดล้อม ประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อม และบรรลุเป้าหมายการจัดการสิ่งแวดล้อม ตัวแปรตาม คือ ความรู้ของพนักงานเกี่ยวกับระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม การปฏิบัติงานด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม และผลการปฏิบัติงานด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า
1. พนักงานบริษัทสยามราชบุรีอุตสาหกรรม จำกัด ส่วนใหญ่มีอายุอยู่ระหว่าง 21 - 30 สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ได้รับการอบรมการจัดการสิ่งแวดล้อม 1 ครั้ง และมีประสบการณ์การทำงานต่ำกว่า 5 ปี
2. พนักงานบริษัทสยามราชบุรีอุตสาหกรรม จำกัด มีความรู้เกี่ยวกับระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม ในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐาน
3.พนักงานบริษัทสยามราชบุรีอุตสาหกรรม จำกัด ปฏิบัติงานด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐาน
4. ระดับการศึกษา รายได้ จำนวนครั้งที่ท่านได้รับการอบรมการจัดการสิ่งแวดล้อม ประสบการณ์เกี่ยวกับการจัดการสิ่งแวดล้อม และการบรรลุเป้าหมายการจัดการสิ่งแวดล้อม มีความสัมพันธ์กับ การจัดการสิ่งแวดล้อม คือความรู้ของพนักงานเกี่ยวกับระบบการจัดการสิ่งแวดล้อม การปฏิบัติงานด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม และผลการปฏิบัติงานด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ 0.05
5. บริษัทสยามราชบุรีอุตสาหกรรม จำกัด มีค่าปริมาณการผลิตแต่ละผลิตภัณฑ์ พลังงานน้ำ ไฟฟ้า กะลาปาล์ม และผลรวมค่าใช้จ่าย (บาท)/ลัง ลดลง หลังจากมีการประกาศนโยบายเรื่องการจัดการสิ่งแวดล้อม สามารถลดค่าใช้จ่ายลงได้ 5 สตางค์ต่อลัง หรือคิดเป็นเงิน 12,525 บาท ต่อเดือน หรือปีละ 150,300 บาท ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมติฐาน
คำสำคัญ: การจัดการสิ่งแวดล้อม
Abstract
The objective of this research was to study the environmental management of siam rachaburei industry company, Ltd. The populations of this study were 60 workers. The variables were 1. knowledge on an environmental system, 2. an environmental management practice and 3. an environmental management result. The questionnaires were used for collecting the data. The statistical used to analyze the data were percentage, mean, and standard deviation.
The results were as follows:
1. The workers mostly 21 - 30 years old, mostly finish high school, mostly have the environmental training one time, and mostly have 5 years experience.
2. The workers have an environmental management system knowledge at the highest level.
3. The workers have an environmental management practice at a high level.
4. There are relations among education attainment, income, number of attending the training, environmental experience, environment fulfillment with environmental knowledge, environmental practice, and environmental practice result at 0.05 level.
5. Siam Ratchaburi Industry Company, Ltd. is able to reduce cost on water electric and palm oil shell 0.05 baht per case or 12,525 baht/month or 150,300 Baht/year.
Keyword: The Environmental Management
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1948
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1949
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
การผลิตรายการโทรทัศน์ เรื่องพระประวัติ พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนพระบิดาแห่งกองทัพเรือ
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
รัตนธรรมมา, ธวัชชัย
ดุสิดา, จิตราภรณ์
บทคัดย่อ
การวิจัยเรื่อง การผลิตรายการโทรทัศน์ เรื่องพระประวัติ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ตอนพระบิดาแห่งกองทัพเรือ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ผลิตรายการโทรทัศน์ เรื่องพระประวัติพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนพระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย 2) ศึกษาคุณภาพของรายการโทรทัศน์ เรื่องพระประวัติพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนพระบิดาแห่งกองทัพเรือไทย การเลือกกลุ่มตัวอย่างใช้วิธีกำหนดกลุ่มตัวอย่างอย่างง่าย โดยเลือกเป็นนักเรียนโรงเรียนทหารนาวิกโยธิน ศูนย์การฝึกหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน สัตหีบ จำนวนทั้งหมด 40 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือ รายการโทรทัศน์เรื่อง “พระประวัติพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ตอนพระบิดาแห่งกองทัพเรือ” ความยาว 5 นาที และแบบประเมินคุณภาพของรายการโทรทัศน์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบค่า Z (Z-test)
ผลการวิจัยพบว่า คุณภาพของรายการโทรทัศน์อยู่ในระดับคุณภาพดีทั้ง 4 ด้าน คือ ด้านเนื้อหา (=4.45) ด้านภาษาและเสียงบรรยาย (=4.38) ด้านเทคนิคการผลิต (=4.39) และด้านผู้ดำเนินรายการ (=4.46) ซึ่งตรงกับสมมติฐานที่ได้กำหนดไว้
คำสำคัญ: การผลิตรายการโทรทัศน์
Abstract
This research were“Production of Television Program on The Biography of His Royal Highness, Admiral Prince of Jumborn: the Father of Royal Thai Navy” aims to : 1) produce the television program on the Biography of His Royal Highness, Admiral Prince of Jumborn: The Father of Royal Thai Navy, 2) study of quality of the produced television program. Samples for this study by Simple random sampling used for salacity.
The instruments used for. This study were television program on “Production of Television Program on The Biography of His Royal Highness, Admiral Prince of Jumborn: and a quality assessment of the television program. Frequency, percentage, mean and standard deviation were used to analyze data. Also, z-test used to test hypothesis.
The results of the study found that the television program have a good quality is all 4 aspects: contents (=4.45), language and narration (=4.38), production technique (=4.39) and commentator (=4.46) which were accordance with the hypothesis.
Keyword: Production of Television Program.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1949
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1950
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาชุดฝึกอบรมงานบริการระบบลิฟต์รุ่น วีเอฟเอส.
ธีระวิทยเลิศ, ปัญญา
ประเสริฐวงษ์, ภักตรา
อ่อนประเสริฐ, ปฏิยุทธ์
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาชุดฝึกอบรมงานบริการระบบลิฟต์รุ่น วีเอฟเอส และหาประสิทธิภาพของชุดฝึกอบรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นพนักงานบริการระบบลิฟต์ บริษัทบางกอกฮิตาชิเอลลิเวเตอร์เซอร์วิสจำกัด จำนวน 30 คน มีการทดสอบก่อนและหลัง การศึกษาชุดฝึกอบรม
เนื้อหาของชุดฝึกอบรมงานบริการลิฟต์รุ่น วีเอฟเอส ที่พัฒนาขึ้นเพื่องานวิจัยครั้งนี้ประกอบด้วย 2 ภาค คือภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ พร้อมแบบทดสอบก่อนการอบรมและหลังการอบรม ซึ่งได้นำเสนอผู้ทรงคุณวุฒิด้านเนื้อหาและด้านมัลติมีเดียในการผลิตตามกระบวนการวิจัยเพื่อให้ได้ชุดฝึกอบรมที่มีความสมบูรณ์ที่สุด
ผลการวิจัยพบว่าชุดฝึกอบรมงานบริการลิฟต์รุ่น วีเอฟเอส ที่พัฒนาขึ้นมานี้มีประสิทธิภาพ 85.75/86.88 เป็นตามเกณฑ์ที่กำหนด และพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการอบรมของกลุ่มตัวอย่างมีค่าสูงกว่าก่อนรับการอบรม
คำสำคัญ: การพัฒนาชุดฝึกอบรม
Abstract
The purposes of this research were to develop a training set on the Elevator (Model VFS). The sample group for this study was 30 Elevator service staff of Bangkok Hitachi Elevator Service Co.,Ltd.
The content of the training set consisted of two parts: - the Elevator theoretical information and training part, the pre and post test of the learning efficiency of the sample group. This training set was commented by the expert on the Elevator function and application and the expert on the multimedia applied.
The research result was found that this training set reached the 85.75/86.88 effective criterion set, and it was found that the post-test score of the sample group was higher than the pre-test score.
Keyword: The develop a training
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1950
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1951
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาชุดสื่อการสอนงานบันไดเลื่อน รุ่น1200 CX-EN
ธีระวิทยเลิศ, ปัญญา
ประเสริฐวงษ์, ภักตรา
เกตุผ่อง, อุทัย
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาพนักงานและหาประสิทธิภาพของบทเรียนงานบันไดเลื่อนช่วยสอนตามเกณฑ์ 80/80 และหาค่าดัชนีประสิทธิผลไม่ต่ำกว่า 0.50 โดยตั้งสมมติฐานในการวิจัยครั้งนี้เป็นพนักงานบริการที่บำรุงรักษางานบันไดเลื่อนของบริษัท บางกอกฮิตาชิเอลลิเวเตอร์เซอร์วิส จำกัดจำนวน 30 คน
การพัฒนาชุดสื่อการสอนงานบันไดเลื่อนนี้ได้คัดเลือกเนื้อหาให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทั่วไปและวัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม โดยจัดแบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 ชุด แยกออกเป็นภาคทฤษฎี, ชุด ซีดีและแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน โดยนำเสนอผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านเนื้อหาและทางด้านมัลติมีเดียในการผลิตกระบวนการวิจัยเพื่อให้ได้บทเรียนที่มีความสมบูรณ์ที่สุด
ผลการวิจัยปรากฏว่าบทเรียนงานบันไดเลื่อนช่วยสอนมีประสิทธิภาพ 75.93/79.53และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.50
คำสำคัญ: สื่อการสอนงานบันใดเลื่อน
Abstract
The purposes of this research were to develop a teaching media on the Elevator Model 1200 CX-EN., and to fine the efficiency of the teaching media with the efficiency 80/80. The teaching media, with criterion value set higher than 0.50. The sample group for this study were 30 elevator service staff of Bangkok Hitachi Elevator Service Co., Ltd.
The content of the teaching media consisted of two parts:- the elevator theoretical information and the pre and pot test of the learning efficiency of the sample group. This teaching media was commented by the expert on elevator function and application and the expert on the multimedia applied.
The research result was found that efficiency teaching media higher then 80/80 effective criterion. The efficiency criterion found was at 0.57 levels, and it was found that the post-test score of the sample group was higher than the pre-test score statistical significant at 0.50 level.
Keyword: Teaching media on the elevator.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1951
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1952
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
การศึกษาความคิดเห็นของพนักงานเกี่ยวกับการดำเนินงานโดยใช้ระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2000 บริษัท ซี แอนด์ ที เมทอล โปรดักส์ จำกัด
ประเสริฐวงษ์, ภักตรา
เชิดชูชาติ, ประหยัด
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1. ศึกษาความคิดเห็นของพนักงานเกี่ยวกับการดำเนินงาน โดยใช้ระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2000 และ.เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นจากการนำระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2000 มาใช้ในการดำเนินงาน จำแนกตามตัวแปร ปัจจัยส่วนบุคคลคือ.ระดับการศึกษา.ตำแหน่งงาน .ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง และ.การเข้าร่วมการฝึกอบรม กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย เป็น พนักงานที่ปฏิบัติงานในบริษัท ซี แอนด์ ที เมทอล โปรดักส์ จำกัด จำนวน 95 คน และเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็นของพนักงานของบริษัท การวิเคราะห์ข้อมูล ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป โดยค่าสถิติที่ใช้ในการประมวลข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ทดสอบสมมติฐานการวิจัยโดยใช้ t-test และ F-test
ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ความคิดเห็น เกี่ยวกับการดำเนินงาน โดยใช้ระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2000 ของพนักงานโดยภาพรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า พนักงานส่วนใหญ่ ได้รับทราบนโยบายขององค์กร ด้านการดำเนินงานตามขั้นตอน ด้านผลของงาน/คุณภาพงานที่เกิดขึ้น ด้านการฝึกอบรมก่อนดำเนินการ และด้านการศึกษาคู่มือคุณภาพ ในระดับมาก จากการเปรียบเทียบความคิดเห็นของพนักงานเกี่ยวกับการดำเนินงาน โดยใช้ระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2000 จำแนกตาม ปัจจัยส่วนบุคคล พบว่า พนักงานที่มีระดับการศึกษา ตำแหน่งงาน ระยะเวลาดำรงตำแหน่ง และ การเข้าร่วมการฝึกอบรม แตกต่างกัน มีความคิดเห็น เกี่ยวกับการดำเนินงาน โดยใช้ระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2000 โดยภาพรวม และรายด้าน แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
คำสำคัญ: ระบบบริหารคุณภาพ ISO 9001:2000
Abstract
The objectives of this research aimed to 1.study the C&T Metal Product Co.,Ltd. employees’ opinion towards utilizing ISO 9001:2000 for quality management in 6 aspects a. The policy, b. The training, c. The manual, d. The working process and e. the quality of the job done.
This research was a survey research with a 95 sample group of the employees of C&T Metal Product Company Ltd. A research questionnaire was utilized to collect the data. Computer programs were used to find the frequency, percentage, means, and standard deviation. The t-test and F-test were applied to test the research hypothesis.
The research results were as follows: The mean of the employees’ opinion towards utilizing the ISO 9001:2000, for all five categories, was at high level. Comparing the employees’ opinion according to personal variables, with differences of the personal variable: - level of education graduated, job and period of position, and training participation, the finding was that the mean of the opinion was significantly different at .o1level of significant.
Keyword: Quality management system ISO 9001:2000
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1952
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1953
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
การศึกษาความคิดเห็นของพนักงานเกี่ยวกับคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารบริษัท ซี เอช สตาร์ จำกัด
ประเสริฐวงษ์, ภักตรา
เชิดชูชาติ, จิตติมา
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความคิดเห็นของพนักงานเกี่ยวกับคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหารบริษัท ซี เอช สตาร์ จำกัด โดยจำแนกตามตัวแปรปัจจัยส่วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม ด้าน เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน ตำแหน่งงาน และระยะเวลาดำรงตำแหน่ง โดยใช้วิธีการวิจัยเชิงสำรวจซึ่งมีแบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการวิจัย เก็บข้อมูลจากพนักงานบริษัท ซี เอช สตาร์ จำกัด จำนวน 93 คน
ผลการวิจัยพบว่า 1) ผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเพศชาย จำนวน 55 คน คิดเป็นร้อยละ 59.14 และเพศหญิง จำนวน 38 คน มีอายุระหว่าง 20-30 ปี จำนวน 43 คน มีการศึกษาระดับ ม.3-ม.6 หรือเทียบเท่า จำนวน 49 คน มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,000 บาทขึ้นไป จำนวน 37 คน จำนวน 37 คน มีอายุงาน 5 ปี ขึ้นไป จำนวน 72 คน 2) ความคิดเห็นของพนักงาน เกี่ยวกับคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหาร บริษัท ซี เอช สตาร์ จำกัด อยู่ในระดับมากทุกด้าน 3) ความคิดเห็น ของพนักงาน พบว่า เพศชายและเพศหญิง มีความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหาร ด้านความรู้ความสามารถในการบริหาร ด้านบุคลิกภาพ ด้านภาวะความเป็นผู้นำ ด้านมนุษยสัมพันธ์ ด้านสภาวะอารมณ์และการปรับตัว แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สำหรับตัวแปรด้านอายุ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และระยะเวลาในการดำรงตำแหน่ง ที่แตกต่างกันนั้น พบว่าพนักงานมีความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหาร โดยรวม และรายด้าน แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนตำแหน่งงานในบริษัท พบว่า พนักงานที่มีตำแหน่งงานในบริษัท แตกต่างกัน มีความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหาร โดยรวม และรายด้าน แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนด้านความรู้ความสามารถในการบริหาร ไม่แตกต่างกัน
คำสำคัญ: คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้บริหาร
Abstract
This survey research was aimed to study and to compare the C H Star Co., Ltd. personnel’s opinion towards executive director’s 6 desirable characteristics (leadership norm, ethical & vitreous, knowledge & ability in administration, emotional status and flexibility and relationship) according to personals’ variables (sex, age, level of education, monthly salary, job position, and period of working). The research questionnaire was used to get the data from a group of 93 personnel. The computerized program was applied to compute the statistical data: frequency, percentage, means, standard deviation and testing the research hypothesis using t-test.
The results of the study were 1) 55 personnel were male and 38 were female, they were 43 personnel age 20-30 years old, they high school graduated at mathayom 3 - 6, they were 37 personnel salary at 10,000 up, they were 37 personnel work experience more than 5 years. 2) The mean of the personnel’s opinion towards executive director’s desirable characteristics were at high evel for all aspects. 3) comparing the personnel’s opinion towards executive director’s desirable characteristics according to sex variable, it was found that male and female had significantly different opinion of 5 aspectsat .01level of significant. According to different age, education level, salary, years of taking position, it was found that the personnel’s opinion towards executive director’s desirable characteristics of 6 aspects was different at .01 level of significant. However, according to the different of job position, it was found that the personnel’s opinion towards executive director’s desirable characteristics of total all aspects and 5 aspects was different at .01 level of significant, but for the administration know how aspect was not different.
Keyword: The personnel’s opinion towards executive director’s desirable characteristics.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1953
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1954
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
การสรรหาและคัดเลือกบุคลากรในงานอุตสาหกรรม บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารศรีสยาม จำกัด
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
คูวัฒนะศิริ, กาญจนา
ธนิตลิมปะพงศ์, ธวัชพงศ์
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาการสรรหาและคัดเลือกบุคลากรในงานอุตสาหกรรม บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารศรีสยาม จำกัด จากผู้ที่เกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องกับการสรรหาและการคัดเลือกบุคลากร จำนวน 48 คน ตัวแปรอิสระที่ใช้ในการศึกษา คือ สถานภาพของพนักงานที่เกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องกับการสรรหาและการคัดเลือกบุคลากร ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในหน้าที่ด้านการสรรหาบุคคล และระบบการสรรหา ตัวแปรตาม ได้แก่ ด้านนโยบายองค์กร ด้านการให้ผลตอบแทน/ สภาพการจ้าง ด้านอัตรากำลังคนที่ต้องการ ด้านการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ด้านความไม่เอื้ออำนวยของกฎหมาย ด้านอัตราการว่างงานในตลาดแรงงาน ด้านสภาพปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองในปัจจุบัน ด้านคุณสมบัติในวิชาชีพของผู้ทำหน้าที่สรรหา ด้านการตัดสินใจเลือกองค์กรของผู้สมัครงาน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสหสัมพันธ์
ผลการวิจัยพบว่า
1. สถานภาพทั่วไปของผู้ที่เกี่ยวข้องหรือเคยเกี่ยวข้องกับการสรรหาและการคัดเลือกบุคลากร บริษัท ผลิตภัณฑ์อาหารศรีสยาม จำกัด จำนวน 48 คน ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 25-35 ปี จบการศึกษา ต่ำกว่าปริญญาตรี มีประสบการณ์ในหน้าที่ด้านการสรรหาน้อยกว่า 5 ปี และใช้ระบบคุณธรรมในการสรรหาพนักงาน
2. การสรรหาบุคลากรให้กับองค์กร ผลิตภัณฑ์อาหารศรีสยาม จำกัด ในภาพรวมแล้ว พบว่า มีระบบการสรรหาในระดับมาก
3. ผลการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของสถานภาพทั่วไปคือ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์ในหน้าที่ด้านการสรรหา และ ระบบที่ใช้ในการสรรหา มีความสัมพันธ์กับการสรรหาบุคลากรในภาพรวม มีค่าสหสัมพันธ์เท่ากับ 0.298* 0.354* 0.321* 0.280* ตามลำดับ
4. ความคิดเห็นเพิ่มเติมจากแบบสอบถามปลายเปิด พบว่า บริษัทควรจัดประชาสัมพันธ์การเปิดรับบุคลากรในสื่อต่างๆ เพื่อจะได้พนักงานที่มีความรู้ความสามารถ และควรมีแผนการพัฒนาบุคลากรที่เด่นชัดเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการรักษาบุคลากรให้คงอยู่กับองค์กร
คำสำคัญ: การสรรหาและคัดเลือกบุคลากรในงานอุตสาหกรรม
Abstract
The objective of this research were to study the recruitment and selection of personnel in Industry of Srisiam Foods Product Co., Ltd. The population were 48 employees who involved with recruitment of the company. The independent variables were age, education attainment, recruitment experience, recruitment system. The dependent variables were policy, payment, manpower need, technology, law, labor force, economic and politic, recruitment qualification, and organization decide. The questionnaires and statistical tool were used to analyze the data were percentage, mean, standard deviation and Pearson product moment correlation.
The results were as follows:
1. The employees who involved with recruitment of Srisiam Foods Product Co.,Ltd. Mostly are 25-35 years old, mostly finish lower than Bachelor degree, have experience less than five years in recruitment, and mostly use merit system.
2. The recruitment of Srisiam Foods Product Co., Ltd. as a whole is high level.
3. There are significant relationship among age, educational attainment, recruitment experience, recruitment system and recruitment at 0.05 level.
4. They suggested that the company should give some information to the public for position available, so the interested person may come to apply. The company should provide a training plan for personel development in order to hold the employees.
Keyword: The Recruitment and Selection of Personnel in Industry
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1954
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1955
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
การออกแบบ และสร้างเครื่องยกฝาบ่อ และดึงลากสายเคเบิล โทรศัพท์
ธีระวิทยเลิศ, ปัญญา
บุญยะผลานันท์, บุญมี
วัฒนเสย, ลิขิต
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างและ ประเมินประสิทธิภาพเครื่องยกฝาบ่อและดึงลากสายเคเบิลโทรศัพท์ ทางด้านวิศวกรรม โดยมีสมมติฐานของการวิจัยคือเครื่องยกฝาบ่อและดึงลากสายเคเบิลโทรศัพท์ที่สร้างขึ้นสามารถนำไปยกฝาบ่อคอนกรีตหนัก 110 กิโลกรัม และดึงลากสายเคเบิลโทรศัพท์หนัก 500 กิโลกรัมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีการดำเนินการวิจัย ผู้วิจัยได้นำเครื่องยกฝาบ่อและดึงลากสายเคเบิลโทรศัพท์ไปทดลองใช้งานกับพนักงานช่างประจำส่วนปฏิบัติงานระบบตอนนอกที่1.2 นครหลวงที่ 1 จำนวน 10 คน ทดลองยกฝาบ่อและดึงลากสายเคเบิลโทรศัพท์ เมื่อจบการทดลองแล้วให้พนักงานประเมินความพึงพอใจด้านการใช้งาน
ผลการวิจัยพบว่า ประสิทธิภาพเครื่องยกฝาบ่อและดึงลากสายเคเบิลโทรศัพท์ ทางด้านวิศวกรรม ด้านวิศวกรรมเครื่องกล ด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและด้านวิศวกรรมอุตสาหการ เฉลี่ย 4.29 อยู่ในระดับดี ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.68 ความพึงพอใจด้านการใช้งานของพนักงานเฉลี่ย 4.39 อยู่ในระดับดี ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.52 ยกฝาบ่อจำนวน 20 ครั้ง ผ่าน 100 เปอร์เซ็นต์ และดึงลากสายเคเบิล จำนวน 3 ครั้ง ผ่าน 100 เปอร์เซ็นต์
คำสำคัญ: เครื่องยกฝาบ่อและดึงลากสายเคเบิลโทรศัพท์
Abstract
The objective of this research were to construct and evaluate the efficiency of lift concrete cover and pull telephone cable machine in Engineering. Hence,hypothesis of this research, the lift concrete cover and pull telephone cable machine can be effectively practical for lifting 110 Kilograms of concrete and pulling 550 Kilograms of telephone cable.
Research procedure: this research was carried out with 10 workers of 1.2 outside operation department of Bangkok 1 by testing of lifting concrete cover and pulling telephone cable. After experiment, it was evaluated satisfaction in practice by workers.
The result indicated that the efficiency of this machine in operation of Mechanical Engineering, Electrical Engineering and Industrial Engineering is 4.29 by average, standard deviation (S.D.) is 0.68, that is a good level. Satisfaction of testing of workers is 4.39 by average, standard deviation (S.D.) is 0.52, that is a good level. The machine lifted concrete cover 20 times that passed 100 percent and pulled telephone cable 3 times that passed 100 percent.
Keyword: Construct and evaluate the efficiency of lift concrete cover and pull telephone cable.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1955
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1956
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
การออกแบบบ้านสำเร็จรูปโดยใช้โครงสร้างเหล็ก
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
ประเสริฐวงษ์, ภักตรา
เชิดชูชาติ, ธารทิพย์
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาออกแบบบ้านสำเร็จรูปโดยใช้โครงสร้างเหล็ก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสำรวจความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการสร้างบ้านสำเร็จรูปโดยใช้โครงสร้างเหล็ก การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ และการประเมินแบบบ้านสำเร็จรูปโดยผู้เชี่ยวชาญเพื่อความสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผู้ตอบแบบสอบถามเป็นเพศชาย ร้อยละ 61.54 และ เพศหญิง ร้อยละ 38.46 ส่วนใหย๋มีอายุระหว่าง 36-45 ปี ส่วนใหย๋มีมีสถานภาพโสด ส่วนใหย๋มีมีระดับการศึกษาปริญญาตรี ส่วนใหย๋มีเป็นพนักงานบริษัท ส่วนใหย๋มีมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 35,001-45,000บาท และ ส่วนใหย๋มีมีสมาชิกในครอบครัว 1-3 คน มีความต้องการบ้านสำเร็จรูปโดยใช้โครงสร้างเหล็กที่สามารถเคลื่อนย้าย และถอดประกอบได้ มีพื้นที่การใช้สอยภายในบ้าน มากกว่า 55 ตารางเมตร มีจำนวน 1ห้องนอน 1ห้องน้ำ มีห้องรับแขก มีห้องครัวสำหรับทำอาหาร มีพื้นที่ระเบียง ราคาของบ้านสำเร็จรูปโดยใช้โครงสร้างเหล็ก ควรมีราคา 14,000 บาท/ตารางเมตร
2. แบบบ้านสำเร็จรูปที่ใช้โครงสร้างเหล็กที่ผู้วิจัยออกแบบมีพื้นที่ทั้งหมด 57 ตารางเมตร มี 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องทำงาน มีระเบียง และสวนหย่อมเล็กๆ บริเวณรอบบ้าน ราคาสิ่งก่อสร้างอยู่ที่ 15,000 บาท/ตารางเมตร หลังคาทำด้วยโครงสร้างเหล็กรีดร้อนขึ้นรูป ประกอบยึดกันด้วยน็อต และประกอบ ผนัง ประตู หน้าต่าง โดยใช้ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานมีความมั่นคงแข็งแรง สามารถยกเคลื่อนย้ายด้วยเครื่องจักรได้ และผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ ได้ประเมินแบบบ้านสำเร็จรูปโดยใช้โครงสร้างเหล็กว่ามีความสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค
คำสำคัญ: การออกแบบบ้านสำเร็จรูป
Abstract
The objectives of this research was to design prefabricated house by using steel structure. The questionnaires were use as a tool for gather the information of the customers and used that information to design prefabricated houses by using steel structure. The data were analyzed by frequency, percentage, arithmetic mean, standard deviation and t-test.
The results of this study were as follows:
1. The sampling were 61.54% male and 38.46% female the average age were 36-45 years, most were single and most were finished bachelor degree, most were employed of private company, most income were about 35,001-45,000 Baht/monthly and most their family were 1-3 person of who want to have instance houses that use metal structure, also it must be moveable in order to draw off and draw in easily. The space of interior were more than 55 square meters which one bedroom one bathroom one dinning room, kitchen and space for balcony. The price of the instance houses which used the metal structure should be 14,000 Baht/square meter.
2. The design prefabricated houses using steel structure were 57 square meters, 1 bedroom, 1 bathroom, 1 family room, 1 working room and space of balcony and garden clump. The estimated price is 15,000 Baht/square meter. Roof made of galvanized steel struck by nut and combined with ceiling, door, window made by strength standard products; also it must be moveable with machines. The experts evaluated the design prefabricated house by used steel structure were appropriate to the need of customers.
Keyword: Design Prefabricated Houses
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1956
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1957
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jreind
"120218 2012 eng "
1905-9450
dc
การออกแบบและผลิตประตูอัลลอย
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
รัตนธรรมมา, ธวัชชัย
ภูเบศอรรถวิชญ์, ณัฎฐ์ดนัย
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อออกแบบและผลิตประตูอัลลอยและศึกษาประสิทธิภาพของประตูอัลลอยตามเกณฑ์มาตรฐานมอก.1500-2541 ผู้วิจัยได้ออกแบบประตูอัลลอยขนาดกว้าง 4 เมตร ความสูง 2 เมตร จำนวน 3 แบบ ผู้เชี่ยวชาญได้ประเมินเลือกแบบประตูอัลลอยที่ดีที่สุดเพียง 1 แบบ แล้วนำแบบไปผลิตประตูอัลลอย ทำการทดสอบประสิทธิภาพโดยผู้เชี่ยวชาญ ผลของการทดสอบพบว่า
ด้านลักษณะทั่วไป ประตูอัลลอยปราศจากส่วนแหลมคมที่เป็นอันตราย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.00 ผ่านเกณฑ์
ด้านผลต่างของเส้นทแยงมุม ประตูอัลลอยมีผลต่างของเส้นทแยงมุมของบานประตูรั้วไม่เกิน 6.0 มิลลิเมตร มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.00 ผ่านเกณฑ์
ด้านความแข็งแรง ประตูอัลลอยรับแรงในแนวดิ่ง ประตูรั้วต้องมีผลการรับแรงในแนวดิ่ง ระยะแอ่นตัวที่ตำแหน่งแรงกระทำต้องไม่เกิน 5 มิลลิเมตร และไม่ฉีกขาด ไม่แตก ไม่เสียหายหลุดออกจากกัน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.00 ผ่านเกณฑ์ การรับแรงในแนวระดับ ประตูอัลลอยสามารถรับแรงในแนวระดับด้วยแรง 150 นิวตัน และไม่พลิกคว่ำหรือหลุดออกนอกแนวราง มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.00 ผ่านเกณฑ์ ความรับแรงกระแทก ประตูอัลลอยสามารถรับแรงกระแทก เมื่อทดสอบด้วยแรง 200 นิวตัน ประตูรั้วสามารถรับความทนแรงกระแทกเมื่อทดสอบแล้วประตูรั้วไม่แตกหัก เสียหายหรือหลุดออกจากกัน และสีที่เคลือบไม่เสียหาย มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.00 ผ่านเกณฑ์
ด้านผิวเคลือบประตูอัลลอย ผิวเคลือบประตูติดแน่นโดยผิวเคลือบสีไม่ร้าวมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.00 ผ่านเกณฑ์
ด้านรอยเชื่อม ประตูอัลลอยทดสอบแล้ว รอยเชื่อมไม่เกิดสนิม และผิวเคลือบไม่มีการลอยตัว ไม่ร่อนเป็นแผ่น มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 1.00 ผ่านเกณฑ์
คำสำคัญ: ออกแบบและผลิตประตูอัลลอย
Abstract
The objectives of this research were to Design and Production of Alloy Gate and evaluated the efficiency according to the ISO 1500 – 2541. The researcher designed 3 types of an alloy gate with 4 meter width and 2 meter high and let the experts choose one type of the design and used that chosen design to produce an alloy gate.
The results were as followed:
1. The general appearance of the alloy gate have no any dangerous sharp, the experts evaluated the gate pass the standard required, have the average of 1.00.
2.The difference of the diagonals alloy gate should not more than 6.0 m.m., the experts evaluated the gate pass the standard required, have the average of 1.00.
3. The strength of the alloy gate able to stand the press force with out any bench of 5.0 m.m. and able to stand the force of 150 Newton and 200 Newton, the experts evaluated the gate pass the standard required, have the average of 1.00.
4. The surface of the alloy gate have no crack, the experts evaluated the gate pass the standard required, have the average of 1.00.
5. The welding spot of the alloy gate have no rust and the welding spot were strong, the experts evaluated the gate pass the standard required, have the average of 1.00
Keyword: Design and Production of Alloy Gate
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1957
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1958
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
การออกแบบและสร้างเครื่องตั้งลูกกอล์ฟโดยระบบกลไก
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
สุขหวาน, โอภาส
คำคอนสาร, ไพทูล
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการส่งเสริมและพัฒนาการฝึกซ้อมนักกีฬาและผู้สนใจในกีฬากอล์ฟ โดยการออกแบบและสร้างเครื่องตั้งลูกกอล์ฟโดยระบบกลไก เพื่อใช้สำหรับฝึกซ้อมกีฬากอล์ฟ และหาสมรรถนะของเครื่องตั้งลูกกอล์ฟโดยระบบกลไกที่สร้างขึ้นผู้วิจัยทำการออกแบบสร้างเครื่องตั้งลูกกอล์ฟโดยระบบกลไก สำหรับฝึกซ้อมกอล์ฟ ขนาดกว้าง 24 ยาว 37 สูง 26 เซ็นติเมตร สามารถบรรจุลูกกอล์ฟในปริมาณมาตรฐานการฝึกซ้อมคือ ครั้งละ 40 ลูก หรือ 1 ถาด ต่อครั้ง โดยมีส่วนประกอบหลักที่สำคัญของเครื่องตั้งลูกกอล์ฟโดยระบบกลไก มีดังนี้
1) โครงหน้ากาก เครื่องตั้งลูกกอล์ฟโดยระบบกลไก เป็นส่วนประกอบที่ปกปิดระบบกลไกการทำงานของเครื่องที่ยึดกับฐาน ด้านหน้ามีช่องสำหรับปล่อยลูกมายังตัวป้อนลูกด้านบนมีช่องสำหรับให้ลูกไหลลงเป็นพื้นเรียบลาดเอียงเพื่อรองรับลูกกอล์ฟที่จะทำการฝึกซ้อม
2) ตัวป้อนลูก เป็นตัวป้อนลูกยึดติดกับฐานเมื่อแป้นกดถูกกดตัวป้อนลูกจะทำงาน
3) รางลำเลียงลูก เป็นตัวลำเลียงลูกไปยังกระเดื่อง
4) กระเดื่องวางลูก เป็นขั้นตอนสุดท้ายในกระบวนการทั้งหมดทำหน้าที่วางลูกกอล์ฟไว้บนทียางได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ
5) ตัวส่งลูก เป็นตัวส่งลูกกอล์ฟไปยังกระเดื่องเชื่อมยึดติดกับฐานโครงสร้าง
6) ฐานโครงสร้าง เป็นตัวกำหนดขนาด ความกว้าง ความยาว ความสูง ของเครื่อง เป็นตัวยึดชิ้นส่วนและระบบกลไกทั้งหมดของเครื่อง
7) แป้นกด เป็นตัวควบคุมการทำงานทั้งระบบ เชื่อมติดกับตัวป้อนลูกและตัวส่งลูก
ผู้วิจัยทำการประเมินเครื่องตั้งลูกกอล์ฟโดยระบบกลไกโดยแบ่งการวิจัยออกเป็น 2 ตอน คือ
ตอนที่ 1 การประเมินการออกแบบเครื่องตั้งลูกกอล์ฟโดยระบบกลไกทั้ง 3 แบบ การออกแบบเครื่องตั้งลูกกอล์ฟโดยระบบกลไก (แบบ ก) มีค่าเฉลี่ยในภาพรวม = 2.33 อยู่ในระดับความเป็นไปได้ต่ำซึ่งไม่สามารถนำไปสร้างเป็นเครื่องต้นแบบได้ ส่วนการออกแบบเครื่องตั้งลูกกอล์ฟโดยระบบกลไก (แบบ ข) มีค่าเฉลี่ยในภาพรวม = 2.57 สามารถนำไปสร้างเป็นเครื่องต้นแบบได้ และการออกแบบเครื่องตั้งลูกกอล์ฟโดยระบบกลไก (แบบ ค) มีค่าเฉลี่ยในภาพรวม = 2.85 สรุปว่า (แบบ ค) มีค่าเฉลี่ยสูงสุด ผู้วิจัยจึงนำเอาผลการประเมินการออกแบบเครื่องตั้งลูกกอล์ฟโดยระบบกลไก (แบบ ค) มาสร้างเครื่องตั้งลูกกอล์ฟโดยระบบกลไกในครั้งนี้
ตอนที่ 2 การประเมินสมรรถนะเครื่องตั้งลูกกอล์ฟโดยระบบกลไก โดยการปประเมินสมรรถนะ 4 ด้าน
ผลวิจัยพบว่า สมรรถนะโดยภาพรวม = 4.59 อยู่ในระดับดีมาก และการวิเคราะห์สมรรถนะโดยใช้ค่า t-test พบว่า สมรรถนะของเครื่องส่งลูกกอล์ฟโดยระบบกลไก (แบบ ค) มีสมรรถนะอยู่ในเกณฑ์ดีมาก และมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และมีสมรรถนะด้านความสามารถในการใช้งาน = 4.56 ค่า t= 4.707* อยู่ในระดับดีมาก และมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ด้านการติดตั้งสมรรถนะอยู่ในเกณฑ์ดีมาก =4.70 ค่า t= 6.139* และมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 ด้านความแข็งแรงสมรรถนะอยู่ในเกณฑ์ดีมาก =4.54 ค่า t=4.630 และมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ด้านการบำรุงรักษาสมรรถนะอยู่ในเกณฑ์ดีมาก =4.56 ค่า t= 6.424* และมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
คำสำคัญ: การออกแบบและสร้างเครื่องตั้งลูกกอล์ฟโดยระบบกลไก
Abstract
The objectives of this thesis were to design and construction of a mechanic golf ball teeing and to determine the device’s performance. The researcher designed and constructed the device with the width x length x height of 24 x 37 x 26 cms.,respectively ,which could contain a maximum of 40 golf balls a tray at a time. The main parts of this golf ball teeing device ware as follows:
1) Body Frame. This is a four-sided iron wall to cover the inside machines. It’s bottom is attached to the Base Frame. At the front, there is a hole to deliver a golf ball.
2) Ball Feeder. This is also attached to the Base Frame and it will work when the Pressing Pad is pressed.
3) An Assembly Rail. This will carry golf balls to the Ball Dispenser.
4) Ball Dispenser. This final part will put a golf ball onto a rubber tee pad accurately and properly.
5) Ball Pusher. This will push a golf ball to the Dispenser.
6) Base Frame. This Base Frame determines width, and height of the device and supports all parts of the device.
7) Pressing Pad. This part is attached between the Ball Feeder and the Ball Pusher, and it will contron the overall system of the device.
The researcher, evaluated the performance of the mechanic golf ball teeing device. The evaluation procedures consisted of 2 parts as shown below:
Part 1. The evaluated the three design of mechanic golf ball teeing device (design A, B and C). The average values () of the evaluative opinions for design A, B and C were 2.33, 2.57 and 2.85 respectively. Then the researcher therefore constructed the device following design C which was evaluated as the most feasible design.
Part 2. Was assessing the device’s performance in five categories. The following results were found. The overall performance of the mechanic golf ball teeing device (design C) was at excellent level with statistically significant level at.05. Its working performance was at excellent level ( =4.58,t=4.707*and p<0.05). The installment performance was at excellent level (=4.70,t=6.139* and p<0.05). The strength performance was at excellent level (=4.54,t=4.630 and p<0.05). The maintenance performance was at excellent level (=4.56,t=6.424* and p<0.05)
Keyword: Design and Construction of A Mechanic Golf Ball Teeing Device.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1958
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1959
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
ความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อการใช้จานดาวเทียมพีเอสไอ
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
ประเสริฐวงษ์, ภักตรา
ประเสริฐวงษ์, ภักตรา
อึ้งสมรรถโกษา, กมลวรรณ
อึ้งสมรรถโกษา, กมลวรรณ
บทคัดย่อ
วัตถุประสงค์ของการวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้บริโภค ที่มีต่อการใช้จานดาวเทียมพีเอสไอ ในด้านเพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน จำนวนสมาชิกในครอบครัว จำชั่วโมงที่ดูโทรทัศน์ใน1จำแนกตาม ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านส่งเสริมการขาย ด้านบุคคล ด้านการบริการ ด้านลักษณะทางกายภาพกลุ่มตัวอย่างได้แก่ลูกค้า จำนวน 356 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงแบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐานได้แก่ การวิเคราะห์ความแตกต่างด้วยค่า Z-test ผลการวิจัยพบว่า
1. จากการศึกษาข้อมูลทั่วไปพบว่า ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงคิดเป็นร้อยละ 75.49 ส่วนใหญ่มีอายุ 26 - 35 ปี คิดเป็นร้อยละ 45.40 ส่วนใหญ่มีการศึกษาในปริญญาตรีคิดเป็นร้อยละ 60.72 ส่วนใหญ่มีมีอาชีพเป็นพนักงานรับจ้าง / พนักงานบริษัทเอกชน คิดเป็นร้อยละ 28.97 ส่วนใหญ่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 15,001 - 25,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 38.16 ลูกค้าส่วนใหญ่มีจำนวนสมาชิกในครอบครัว 1- 3 คนคิดเป็นร้อยละ 66.02 ลูกค้าส่วนใหญ่มีจำนวนชั่วโมงเฉลี่ยที่ดูโทรทัศน์คือ 5 - 6 ชั่วโมง คิดเป็นร้อยละ 53.48
2. ความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อการใช้จานดาวเทียมพีเอสไอ ตามส่วนประสมทางการตลาด 7 ด้านได้แก่เพศ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ จำนวนสมาชิกในครอบครัว และจำนวนชั่วโมงในการดูโทรทัศน์ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ดังนี้
2.1 ลูกค้าที่มีเพศแตกต่างกันจะมีความพึงพอใจต่อส่วนประสมทางการตลาดทั้ง 7 ด้านไม่แตกต่างกันซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้
2.2 ลูกค้าที่ระดับช่วงอายุที่แตกต่างกัน มีความพึงพอใจในจานดาวเทียมพีเอสไอแตกต่างกัน ในด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการขาย ด้านบุคคลซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้
2.3 ลูกค้าที่ระดับการศึกษาที่แตกต่างกัน มีความพึงใจในจานดาวเทียมพีเอสไอแตกต่างกัน ในด้านผลิตภัณฑ์ และ ด้านราคาลูกค้าที่อาชีพ ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้
2.4 ลูกค้าที่อาชีพที่แตกต่างกัน มีความพึงใจในจานดาวเทียมพีเอสไอ ไม่แตกต่างกัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้
2.5 ลูกค้าที่มีระดับรายได้ที่แตกต่างกัน มีความพึงใจในจานดาวเทียมพีเอสไอแตกต่างกัน ในด้านบุคคล ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้
2.6 ลูกค้าที่มีจำนวนสมาชิกในครอบครัวที่แตกต่างกัน มีความพึงใจในจานดาวเทียม พีเอสไอ ไม่แตกต่างกันซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้
2.7 ลูกค้าที่มีจำนวนชั่วโมงในการดูโทรทัศน์ที่แตกต่างกัน มีความพึงใจในจานดาวเทียมพีเอสไอ แตกต่างกัน ในด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายและกิจกรรมส่งเสริมการขาย ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้
3. ความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อการใช้จานดาวเทียมพีเอสไอ ตามส่วนประสมทางการตลาดโดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 3.40)
คำสำคัญ: ความพึงพอใจของผู้บริโภคม จานดาวเทียม
Abstract
The objective of this study was to study the consumer satisfaction on PSI satellite. The independent variables were sex, age, education, occupation, income, family members, and hour of watching T.V. The dependent variables were product, price, place, promotion, personal, service, and physical characteristic. The sampling were 356 consumers and questionnaires were use as a tool to collect data and statistical techniques use to analyzed the data were: percentage, mean, standard deviation, z-test, and one-way ANOVA.
The results were as followed.
1. The customers mostly were female or 75.49 percent mostly were 26-35 years Old or 45.40 percent, mostly finish bachelor degree or 60.72 percent, mostly were working in the private company or 28.97 percent, mostly have income between 15,000-25,000 baht or 38.16 percent, mostly have 1-3 family members or 66.02 percent, mostly watching T.V. 5-6 hours a day or 53.48 percent.
2. The comparison of different customers as followed.
2.1 The different genders of customers were differently satisfied on PSI satellite which was related to the assumption.
2.2 The different ages of customers were differently satisfied on PSI satellite in the scope of product, price, distribution, promotion and individual interests, which was related to the assumption.
2.3 The different education of customers were differently satisfied in PSI satellite in the scope of product and price which was related to the bachelors degree graduated customer were the most satisfied because this group of customer might want to consume today news. differently
2.4 The different occupation of customers were not differently satisfied on PSI satellite which was not related to the assumption.
2.5 The different income of customers were differently satisfied on PSI satellite based on each individual which was related to the assumption.
2.6 The different family members of customers were not differently satisfied on PSI satellite and the statistics result was only 0.05 which was not related to the assumption.
2.7 The different hour of watching T.V. of customers were differently satisfied on PSI satellite which was related to the assumption.
3. The satisfaction of the customers on PSI satellite as a whole were high level.
Keyword: Study the consumer satisfaction., Satellite
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1959
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1960
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
ความรู้และความตระหนักของอาจารย์ที่มีต่อการประกอบอาชีพอิสระของนักศึกษา
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
ประเสริฐวงษ์, ภักตรา
วีระพัฒน์, วิมล
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาความรู้และความตระหนักของอาจารย์ที่มีต่อการประกอบอาชีพอิสระของนักศึกษา โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างโรงเรียนแบบเจาะจง คือโรงเรียนสหะพาณิชย์ จำนวนครูทั้งหมด 50 คน ตัวแปรอิสระที่ใช้ในการศึกษา คือ สถานภาพของอาจารย์ อายุ วุฒิการศึกษา ประสบการณ์ในการทำงาน การประกอบอาชีพเสริมที่เป็นอาชีพอิสระ ตัวแปรตามได้แก่ ความรู้และความตระหนักของอาจารย์ที่มีต่อการประกอบอาชีพอิสระของนักศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม สถิติทีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Z -test
ผลการวิจัยพบว่า
1. อาจารย์ส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 20-30 ปี มีจำนวนร้อยละ 36 มีวุฒิการศึกษาในระดับปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 80 มีประสบการณ์ในการทำงานน้อยกว่า 5 ปี คิดเป็นร้อยละ 40 และไม่ได้ประกอบอาชีพอิสระนอกเหนือจากการสอน คิดเป็นร้อยละ 70
2. อาจารย์มีความรู้เกี่ยวกับการประกอบอาชีพอิสระในภาพรวมอยู่ในระดับมีความรู้ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.61 เมื่อมองเป็นรายความรู้จะเห็นว่าอาจารย์มีความรู้เรื่องการตลาดสูงสุด ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.78 อยู่ในเกณฑ์ระดับมีความรู้ อาจารย์ตอบว่าอาจารย์มีความรู้ในเรื่องความรู้ทั่วไปทางธุรกิจ มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.64 มีความรู้เรื่องการจัดการการผลิต มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.56มีความรู้เรื่องกฎหมายและภาษีอากร มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.55 และความรู้เรื่องการเงิน มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.53
3. อาจารย์มีความตระหนักมากต่อการประกอบอาชีพอิสระของนักศึกษา ซึ่งมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.63
คำสำคัญ: การประกอบอาชีพอิสระ
Abstract
The objective of this research were to study the Knowledge and Awareness of the Teachers on the Self – Employment of Students. The researcher make a specific school for the sampling. The Sahapanit School was the school that chosen and the sampling were 50 teachers. The independent variables were age education attainment, work experience and self employment experience. The dependent variables were knowledge and awareness of the teachers on the self – employment of students. The questionnaires were used to collect the data. The statistical tool were used to analyze the data were percentage, mean, standard deviation and Z-test.
The result were as followed:
1. A most of the teacher are 20-30 years old or 36 percent. Eighty percent of the teachers are bachelor degree holder and work experience are less than 5 years and seventy percent of the teacher have no experience on self employment.
2. The teachers as a whole have knowledge on the self – employment of students. When consider in each area, found that, the teachers have knowledge highest on marketing.
3. The teachers are aware on the self – employment of students at the high level at the average of 3.63.
Keyword: The Self – Employment
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1960
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1961
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าในที่พักอาศัยของผู้ปกครองนักเรียน
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
ประเสริฐวงษ์, ภักตรา
วีระพัฒน์, ชมพูนุช
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าในที่พักอาศัยของผู้ปกครองนักเรียน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างโรงเรียนแบบเจาะจง คือ โรงเรียนสหะพาณิชย์ จำนวนตัวอย่าง 400 คน ตัวแปรอิสระที่ใช้ในการศึกษา คือ สถานภาพของผู้ปกครองนักเรียน ได้แก่ ระดับการศึกษา รายได้ ขนาดครอบครัว ตัวแปรตาม ได้แก่ พฤติกรรมการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าในที่พักอาศัย 3 ด้าน ประกอบด้วย ด้านการเลือกซื้อ ด้านวิธีการใช้ ด้านการบำรุงรักษา เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสหสัมพันธ์
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผู้ปกครองนักเรียน ส่วนใหญ่มีการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 54 รองลงมาคือต่ำกว่าปริญญาตรี คิดเป็นร้อยละ 40 และที่มีจำนวนน้อยที่สุดคือสูงกว่าปริญญาตรีคิดเป็นร้อยละ 6
2. รายได้ ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงสูงกว่า 20,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 55 รองลงมาคือ 10,001-20,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 40 และต่ำกว่า 10,000 บาท คิดเป็นร้อยละ 5 ตามลำดับ
3. ขนาดครอบครัว ส่วนใหญ่มีสมาชิกอาศัยอยู่รวมกันจำนวน 4 คน คิดเป็นร้อยละ 35 อาศัยอยู่จำนวน 3 คน คิดเป็นร้อยละ 31 อาศัยอยู่จำนวนมากกว่า 4 คน คิดเป็นร้อยละ 29 และอาศัยอยู่จำนวน 2 คน คิดเป็นร้อยละ 5 ตามลำดับ
4. ผู้ปกครองนักเรียน มีพฤติกรรมการอนุรักษ์ไฟฟ้าในที่พักอาศัยในภาพรวมอยู่ในระดับมาก
5. ระดับการศึกษา รายได้ และขนาดครอบครัว มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าในที่พักอาศัยของผู้ปกครองนักเรียนโดยรวม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
คำสำคัญ: การอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้า
Abstract
The objective of this research was to study the factors related to the electrical energy conservation behavior of the parents. The researcher selected a specific school for the sampling. That was Sahapanit School and they were 400 parents. The independent variables were education level, income and family size. The dependent variables was energy saving behavior. The energy saving behavior would be consider in 3 areas:choosing, using and maintenance. The questionnaire were used for collecting data. The statistic used to analyze the data were percentage, mean, standard deviation, and Pearson product moment correlation.
The results were as followed:
1. The 54 percent of parents have bachelor degree, 40 percent of parents are lower bachelor degree, and only 6 percent of parents are higher than bachelor degree.
2. The 55 percent of parents have income higher than 20,000 baht, 40 percent of parents have income between 10,001-20,000 baht, 5 percent of parents have income lower than 10,000 baht.
3. The 35 percent of parents have family size of 4 persons, 31 percent of parents have family size of 3 persons, 29 percent of parents have family size of more than 4 persons, and 5 percent of parents have family size of 2 persons.
4. The energy saving behavior of the parents as a whole were high level.
5. The education level, income and family size of the parents were related to energy saving behavior at 0.05 level of significance.
Keyword: The electrical energy conservation
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1961
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1963
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jreind
"100101 2010 eng "
1905-9450
dc
ปัจจัยที่มีผลต่อการใช้บริการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ในเขตพื้นที่ลาดพร้าว กรุงเทพมหานครฯ
หรดาล, พงศ์
รัตนธรรมมา, ธวัชชัย
พิกุลแย้ม, สมชาติ
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการใช้บริการอินเทอร์เน็ตความ เร็วสูงของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ในเขตพื้นที่ลาดพร้าว กรุงเทพมหานครกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา เป็นผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ในเขตพื้นที่ลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร จำนวน 282 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลคือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานโดยการทดสอบ ค่าซี ทดสอบค่าเอฟ
ผลการศึกษาพบว่า 1) ผู้ใช้บริการ ความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยในการใช้บริการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) อยู่ในระดับมากผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าสอดคล้องกับสมมติฐาน 2) ผู้ใช้บริการที่มีปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างกัน มีผลต่อการใช้บริการติดตั้งอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) แตกต่างกันผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าปัจจัยด้านเพศ ด้านอายุ ด้านอาชีพ ด้านรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ผลการทดสอบพบว่าสอดคล้องกับสมมติฐาน โดย ปัจจัยด้านสถานะภาพ ด้านระดับการศึกษา ผลการทดสอบพบว่าไม่สอดคล้องกับสมมติฐาน
คำสำคัญ: อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
Abstract
The purpose of this research was to study the factors affection to the hi-speed internet of TOT Public Company Limited, in Lat Phrao District, Bangkok. The sample group were 282 customers who using hi-speed internet of TOT Public Company Limited, in Lat Phrao District Bangkok. The questionnaire were used as a research tool. The statistal tool used were frequency, percentage, mean, standard deviation, and testing hypothesis by Z-test and F-test. The research outcomes can be concluded as follows;
1) The opinion of customers for the factors affection to the Hi-speed internet of TOT Public Company Limited, the result was in a high level is accordingly to the hypothesis.
2) The customer’s determinant personal are effect on choosing Hi-speed internet of TOT Public Company Limited, the result was found that genders, age, career, monthly income, was found that accordingly agree which the hypothesis, by situation, education not agree with the hypothesis.
Keyword: Hi-speed internet
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1963
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1964
2012-02-18T23:09:06Z
jindedu:Jreind
"120218 2012 eng "
1905-9450
dc
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการยอมรับอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลของพนักงาน บริษัท อเมริกัน บิวเดอร์ จำกัด
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
รัตนธรรมมา, ธวัชชัย
ชัยขวัญงาม, สุรชัย
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ต่อการยอมรับอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลของพนักงาน บริษัท อเมริกัน บิวเดอร์ จำกัด โดยประชากรที่ใช้ในการศึกษาเป็นพนักงาน บริษัท อเมริกัน บิวเดอร์ จำกัด จำนวน 50 คน ตัวแปรอิสระ ที่ใช้ในการศึกษา คือ 1. ปัจจัยสถานภาพส่วนบุคคล ได้แก่ อายุ ระดับการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน 2.ปัจจัยลักษณะจิตวิทยา ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล เจตคติเกี่ยวกับอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล พฤติกรรมเกี่ยวกับการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล พฤติกรรมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมความปลอดภัย 3.ปัจจัยสภาพแวดล้อมในการทำงาน 4. ปัจจัยการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือแบบสอบถาม สถิติทีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสหสัมพันธ์
ผลการวิจัยพบว่า
1. ปัจจัยสถานภาพส่วนบุคคล อายุ ระดับการศึกษา และประสบการณ์ในการทำงานของพนักงาน บริษัท อเมริกัน บิวเดอร์ จำกัด มีความสัมพันธ์ต่อการยอมรับอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05
2. ปัจจัยลักษณะจิตวิทยาของพนักงาน บริษัท อเมริกัน บิวเดอร์ จำกัด มีความสัมพันธ์ต่อการยอมรับอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล คือ ความรู้เกี่ยวกับอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล เจตคติต่อการยอมรับอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล พฤติกรรมการเปิดรับข่าวสารเกี่ยวกับอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล พฤติกรรมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมความปลอดภัย ของพนักงาน บริษัท อเมริกัน บิวเดอร์ จำกัด มีความสัมพันธ์ต่อการยอมรับอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05
3. ปัจจัยสภาพแวดล้อมมีความสัมพันธ์ต่อการยอมรับอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลของพนักงาน บริษัท อเมริกัน บิวเดอร์ จำกัด มีความสัมพันธ์ต่อการยอมรับอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคลอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ 0.05
คำสำคัญ: อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล
Abstract
The objective of this research was to study the Factors Related to the Acceptation of the Personal Safety Equipment of American Builder Company L.T.D. The populations of this study were 50 workers. The independent variables in this study were 1. Personal factors age, educational attainment and work experience. 2. Psychology factors, safety knowledge, safety attitude, safety information, participation behavior. 3. Working environment 4. The use of safety equipment. Questionnaires were used to collected the data. The statistical tool use to analyze the data, percentage, mean, standard deviation and Pearson product Moment Correlation.
The results were as follow:
1. There was significant relationship between personal factors such as age, educational attainment, work experience and the acceptation of safety equipments at 0.05 level.
2. There was significant relationship between psychology factors such as safety knowledge, safety attitude, safety information, Participation behavior and the acceptation of safety equipments at 0.05 level.
3. There was significant relationship between working environment and the acceptation of safety equipments at 0.05 level.
Keyword: The Personal Safety Equipment
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-07-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1964
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 2 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม - ธันวาคม 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1965
2012-02-18T23:18:16Z
jindedu:Jacind
"090701 2009 eng "
1905-9450
dc
ไคติน-ไคโตซาน (Chitin-Chitosan)
คงทอง, สุธิดา
บทคัดย่อ
ไคติน เป็นโพลิเมอร์ชีวภาพที่มีมากเป็นอันดับสองของโลก ซึ่งพบได้จากธรรมชาติ คือจะพบในรูปของสารประกอบเชิงซ้อน ไคตินเป็นสารประกอบพวกคาร์โบไฮเดรตเช่นเดียวกับเซลลูโลสและแป้ง รูปร่างของไคตินจะเป็นเส้นสายยาวๆ มีลักษณะคล้ายลูกประคำที่ประกอบขึ้นมาจาก น้ำตาลโมเลกุลเล็กๆ ที่มีชื่อว่า เอ็น-อะซิทิลกลูโคซามีน(N-acetylglucosamine)
ไคโตซาน (Chitosan) เป็นอนุพันธ์ของไคติน (Chitin) ที่ได้จากการดึงเอาหมู่อะซิทิล (Acetyl Group) ของไคตินออกไป โดยปฏิกิริยาที่เรียกว่า Deacetylation ทำให้โครงสร้างของไคตินที่เป็น N-Acetylglucosamine กลายเป็น Glucosamine ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ Activeพร้อมจะทำปฏิกิริยาได้อย่างรวดเร็วและมีสมบัติละลายได้ในกรดอ่อน
คำสำคัญ: ไคติน-ไคโตซาน, Chitin-Chitosan
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1965
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 1 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1966
2012-02-21T13:19:50Z
jindedu:Jacind
"090701 2009 eng "
1905-9450
dc
ลู่ทางและโอกาสในการลดค่าใช้จ่ายพลังงาน(Energy Costs Saving Opportunities)กรณีศึกษาโรงงานผลิตภัณฑ์สิ่งทอ
กุญชรรัตน์, อัมพร
บทคัดย่อ ปัจจัยผลกระทบที่สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจทางด้านอุตสาหกรรมของประเทศในสภาพการแข่งขันทางการค้าของโลกในปัจจุบัน นอกเหนือจากปัจจัยผลกระทบภายนอก อันได้แก่ สภาพทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมแล้ว ปัจจัยผลกระทบภายในซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ สามารถแข่งขันได้ในระดับสากลก็คือ การควบคุมคุณภาพในการผลิต การเพิ่มผลผลิต และการควบคุมต้นทุนการผลิต สำหรับกระบวนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมนั้นการควบคุมปัจจัยผลกระทบภายนอกของผู้ประกอบการอาจไม่สามารถทำการควบคุมหรือป้องกันได้ แต่สำหรับปัจจัยผลกระทบภายในดังกล่าว ซึ่งเป็นพื้นฐานอันสำคัญในการดำรงอยู่ได้สำหรับการประกอบกิจการด้านอุตสาหกรรมนั้นสามารถควบคุมได้หากโรงงานอุตสาหกรรมมีการเตรียมความพร้อมในการวางแผนเพื่อดำเนินการค้นหาลู่ทางและโอกาสในการลดค่าใช้จ่ายพลังงาน จะมีผลทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงและมีโอกาสได้เปรียบในด้านการแข่งขันทางการค้าได้มาก นอกจากนี้หากโรงงานอุตสาหกรรมทั้งหมดของประเทศให้ความใส่ใจและตระหนักถึงความสำคํญดังกล่าวนอกเหนือจากผู้ประกอบการสามารถได้รับประโยชน์แก่ตนเองแล้ว ผลการประหยัดพลังงานโดยรวมยังส่งผลให้ประเทศชาติสามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในด้านการจัดหาแหล่งพลังงานให้เพียงพอในปัจจุบันและชะลอการสร้างโรงจักรผลิตไฟฟ้าที่เป็นผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมได้ในอนาคตเช่นกัน บทความนี้เป็นกรณีศึกษาการดำเนินการตรวจวิเคราะห์ด้านพลังงานในขั้นเบื้องต้นเพื่อค้นหาลู่ทางและโอกาสในการลดค่าใช้จ่ายพลังงานของโรงงานอุตสาหกรรมประเภทสิ่งทอ โดยโรงงานได้รับผลสำเร็จในการลดค่าใช้จ่ายพลังงานได้ตามเป้าหมาย
คำสำคัญ: ลู่ทางและโอกาสในการลดค่าใช้จ่ายพลังงาน, Energy Costs Saving Opportunities
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1966
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 1 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1967
2012-02-21T13:24:27Z
jindedu:Jreind
"090701 2009 eng "
1905-9450
dc
การบริหารงานของคณะกรรมการ ความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน กับการป้องกัน และลดอุบัติเหตุในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จังหวัดสมุทรปราการ
สุภาจันทรสุข, สมนึก
เทพหัสดิน ณ อยุธยา, ธีระพล
เฉยไสย, สมเดช
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารงานของคณะกรรมการ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน กับการป้องกัน และลดอุบัติเหตุในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ จังหวัดสมุทรปราการ ได้รับแบบสอบถามคืนมา 35 ฉบับ คิดเป็นร้อยละ 67.31 การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูป สถิติที่ใช้ คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ โรงงานมีพนักงาน ตั้งแต่ 1,201 - 1,400 คน จำนวน 16 โรงงาน เป็นโรงงานผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ จำนวน 8 โรงงาน จำนวนคุณวุฒิงานของเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยฯ ที่ผ่านการอบรมจากหน่วยงาน ที่ได้รับการรับรอง จำนวน 21 คน และเจ้าหน้าที่ที่มีวุฒิบัตรการศึกษาด้านความปลอดภัย และอาชีวอนามัย จำนวน 14 คน
การบริหารงานตามบทบาทหน้าที่ สูงกว่ากฎหมายกำหนด คือ การกำหนดระเบียบมาตรฐานด้านความปลอดภัยฯ และเสนอต่อนายจ้าง การรายงานผลประจำปี การสนับสนุนที่มีค่าระดับการสนับสนุนสูง คือ การประกาศใช้นโยบายด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อม และ การสนับสนุนด้านบุคคลกรและทีมงานในหน่วยงาน
ข้อเสนอแนะจากการวิจัย ควรมีการจัดทำกิจกรรมส่งเสริมสนับสนุนกิจการด้านความปลอดภัย ให้มีจำนวนมากครั้งขึ้น มีการแต่งตั้งคณะกรรมการความปลอดภัย และมีการสนับสนุนการพัฒนาเครื่องมือ อุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยที่เหมาะสม และได้มาตรฐานสากลในทุกระบบการทำงาน มีการตรวจสุขภาพ ร่างกายของพนักงานที่เกี่ยวกับการป้องกันโรคเนื่องมาจากการทำงานอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
คำสำคัญ: ความปลอดภัย อาชีวอนามัย
Abstract
The purpose of this research was to Study Relationship between the management of healthy and safety committee and accident prevention and reduction of the large factories in Samutprakan Province. The researcher received 35 completed surveys back for the samples, which were 67.31% SPSS for windows processed program was used for analyzing data. The statistics used are percentage and
mean. There was 21 Committee had safety certificate and 14 Study in safety and health management.
The management role was higher laws; there was standard rule which safety and yearly report. The support was higher, there are safety policy, healthy and environment and personal and staffs support on the jobs.
The suggestion was there is more safety activity; develop safety tools and equipments and the work international system standards, health care to protect work sickness.
Keyword: healthy and safety committee
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1967
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 1 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1968
2012-02-21T13:28:17Z
jindedu:Jreind
"090701 2009 eng "
1905-9450
dc
การผลิตแผ่นซับหน้ามันจากไคโตซานแบบแผ่นฟิล์มและแผ่นกระดาษ
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
สุขหวาน, โอภาส
คงทอง, สุธิดา
บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ ผลิตแผ่นซับหน้ามันจากไคโตซานแบบแผ่นฟิล์ม และ แบบกระดาษ พบว่าสภาวะที่เหมาะสมในการผลิตไคโตซานให้มีความสามารถในการละลายได้ดีโดยใช้ไคโตซาน 1%. ในกรดซิทริก 2% ในอัตราส่วน 5:500(นน./ปริมาตร) สภาวะที่เหมาะสมในการต้มเยื่อชานอ้อยเพื่อให้เยื่อเปื่อยและผลได้ดีเหมาะกับการทำแผ่นซับหน้ามันแบบกระดาษโดยการต้มกับโซเดียมไฮดรอกไซด์ร้อยละ22.5 เวลา 4 ชั่วโมง นอกจากนี้การฟอกเยื่อชานอ้อยด้วยไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ร้อยละ 12 ให้ความสว่างสำหรับอัตราส่วนผสมของแผ่นซับหน้ามันแบบแผ่นฟิล์มที่เหมาะสมประกอบด้วยสารละลายไคโตซาน 25 ml. , PEG6000 0.20 กรัม และ Xylitol 0.25 กรัม และ Talcum 0.75 กรัม แผ่นฟิล์มซับหน้ามันดูดซับน้ำมันได้ 87.24 % สำหรับการผลิตแผ่นซับหน้ามันแบบแผ่นกระดาษ ตำรับที่เหมาะสมประกอบด้วยสารละลายไคโตซาน 25.00 กรัม, เยื่อชานอ้อย0.50 กรัม และ Colloidal Silicon Dioxide จำนวน 0.25 กรัม ซึ่งได้แผ่นกระดาษซับมันที่ดูดซับน้ำมันได้ 60.16% สมบัติแผ่นซับหน้ามันแบบแผ่นฟิล์มและแผ่นกระดาษที่ผลิตจากไคโตซานเมื่อทดสอบกับเกณฑ์มาตรฐานอุตสาหกรรมและกรมวิทยาศาสตร์บริการผ่านเกณฑ์มาตรฐานอุตสาหกรรมในทุกๆ ด้าน
คำสำคัญ : การผลิตแผ่นซับหน้ามันจากไคโตซาน
Abstract The ofjective of the research was to produce of oil blotting sheet and oil blotting paper is from Chitosan type found that the suitable status in Chitosan production for better dissoluted by using 1% Chitosan in 2% in citric acid ratio 5: 500 (Wt / vol). Suitable status of Bagasse softened boiling and good for absorbent paper production, should be boiled with 22.5% Sodium hydroxide for 4 hours. In addition, bleaching bagasse with 12% hydrogen peroxide. Proper composition ratio of absorbent film paper is 25 ml. Chitosan, PEG6000 0.20 grams, Xylitol 0.25 grm. and talcum 0.75 grm. Absorbent film absorbed liquid 87.24%. For absorbent paper, the proper composition25.00 grams Chitosan solution, 0.50 grams Bagasse, 0.25 grams Xylitol and 0.25 grams Colloidal Silicon Dioxide, solution is 60.16 % absorbent paper. Properties of film absorbent and paper absorbent when test with industrial standard they passed industrial standard of all aspects.
Keyword : production of oil blotting is from Chitosan
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1968
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 1 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1969
2012-02-21T13:30:13Z
jindedu:Jreind
"090701 2009 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาคู่มืออิเล็กทรอนิกส์สำหรับรถอเนกประสงค์รุ่น เอ็กซ์พลอเรอร์ - 400 อาร์ ขับเคลื่อนสี่ล้อ.
จินดาปราณีกุล, บูรณ์สม
เทพหัสดิน ณ อยุธยา, ธีระพล
เฉยไสย, สมเดช
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ การพัฒนาคู่มืออิเล็กทรอนิกส์สำหรับรถอเนกประสงค์ รุ่น เอ็กซ์พลอเรอร์ - 400 อาร์ ขับเคลื่อนสี่ล้อ โดยมีเนื้อหา คือ ฟังก์ชั่นการทำงานของรถเอทีวี การเตรียมพร้อมก่อนการขับขี่ และการขับขี่ยวดยานอย่างปลอดภัย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ เจ้าหน้าที่ช่างเทคนิคและบุคลากร ที่ทำหน้าที่ปฏิบัติงานอยู่ในบริษัท ไอ เอ็ม ซี ซี 4คอร์ป จำกัด จำนวน 20 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย คู่มืออิเล็กทรอนิกส์การใช้งาน และแบบวิเคราะห์คุณภาพ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ คือ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้ คุณภาพของคู่มืออิเล็กทรอนิกส์สำหรับรถเอทีวี ด้านเนื้อหา อยู่ในระดับคุณภาพดีมาก ด้านการผลิตสื่อ มีระดับคุณภาพดีมาก และคุณภาพของคู่มืออิเล็กทรอนิกส์สำหรับ รถเอทีวี ผลการวิเคราะห์พบว่า ได้คะแนนเฉลี่ย 4.57 ซึ่งสูงมากกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้
คำสำคัญ: คู่มืออิเล็กทรอนิกส์
Abstract
The purpose of this research was to Development Electronic Manual for All Terrain Vehicle (ATV) Model Explorer-400R 4x4, there are three topics in this research such as operate function, prepare before drive and safe drive. Populations used, in this research were Technical and Operator at IMCC Company, as 20 employees. The instrumentation used in this research was ATV operation electronic manual as a software, quality analysis tests of ATV electronic manual Model Explorer-400R 4x4. Analyzing data: statistics used mean and standard division. The result of the study were ATV operation electronic manual as a software, in content was very high quality and multimedia was very high quality and quality analysis tests of ATV electronic manual was mean=4.57 was high standard.
Keyword: Electronic Manual
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1969
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 1 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1970
2012-02-21T13:32:54Z
jindedu:Jreind
"090701 2009 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาสมรรถภาพนักเรียนประถมศึกษา ชั้นปีที่ 6 ด้านการอนุรักษ์พลังงาน
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
สุขหวาน, โอภาส
สามัญ, ลักขณา
บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาสมรรถภาพนักเรียนประถมศึกษา ชั้นปีที่ 6 ด้านการอนุรักษ์พลังงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ศึกษาในครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนประถมศึกษา ชั้นปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหนองโกวิทยา จำนวน 20 กลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม เครื่องมือวิจัยประกอบด้วย หลักสูตรการพัฒนาสมรรถภาพนักเรียนประถมศึกษา ชั้นปีที่ 6 ด้านการอนุรักษ์ และแบบทดสอบ 3 ด้าน คือ 1.วัดความรู้ ด้านการอนุรักษ์พลังงาน 2.ทักษะการปฏิบัติงาน ด้านการอนุรักษ์พลังงาน 3.ความตระหนัก ด้านการอนุรักษ์พลังงาน สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test เพื่อใช้ทดสอบสมมติฐาน ผลการพัฒนาหลักสูตร เป็นดังนี้ การพัฒนาสมรรถภาพนักเรียนประถมศึกษา ชั้นปีที่ 6 ด้านการอนุรักษ์พลังงานประกอบด้วยเนื้อหา 4 หน่วย คือ 1.พลังงานไฟฟ้า 2.มาช่วยกันประหยัดน้ำมันดีกว่า 3.พลังงานน้ำ 4.ขยะมีคุณค่าถ้าเรานำกลับมาใช้ใหม่ โดยเนื้อหาทั้งหมดผ่านการการวิเคราะห์เนื้อหาจากผู้เชี่ยวชาญในด้านการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 5 ท่านแล้วนำไปทดลองสอนกับกลุ่มตัวอย่าง ผลการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นดังนี้ เมื่อเปรียบเทียบความรู้ ด้านการอนุรักษ์พลังงาน ก่อนฝึกอบรมและหลังฝึกอบรม พบว่านักเรียนมีระดับผลการเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 เมื่อเปรียบเทียบทักษะการปฏิบัติงาน ด้านการอนุรักษ์พลังงานก่อนฝึกอบรมและหลังฝึกอบรม พบว่านักเรียนมีทักษะการปฏิบัติงานไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 และมีทักษะการปฏิบัติงาน ด้านการอนุรักษ์พลังงานอยู่ในระดับดี เมื่อเปรียบเทียบความตระหนัก ด้านการอนุรักษ์พลังงาน ก่อนฝึกอบรมและหลังฝึกอบรม พบว่านักเรียนมีความตระหนัก ด้านการอนุรักษ์พลังงาน สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01
คำสำคัญ: การอนุรักษ์พลังงาน, การพัฒนาสมรรถภาพ
Abstract The purpose of the research was to developed the competency of primary grades six students on energy conservation. The sample were 20 primary grades six students at Baannongkowitaya school by using cluster random sampling. The evaluation consisted of three areas. First, the evaluation of knowledge on energy conservation. Second, the evaluation of performance skill on energy conservation. Third, the awareness on energy conservation. The statistically tool were used to analyzed by mean, standard deviation and t-test.
The result of the Competency Development of Primary Grades Six students on Energy Conservation as follows.
1. The competency development of primary grades six students on Energy Conservation were divided into 4 units as follows: 1. Electricity energy 2. Let’s save patron 3. Water energy 4.Recycled garbage. All 4 units were analyzed by 5 experts, and then bring the curriculum to use with Baannongkowitaya School student.
2. The result of the analysis.
2.1 There is a significant difference between students knowledge on energy conservation before and after training at .01 level.
2.2 There is no significant difference between students performance skill on energy conservation before and after training at .01 level and the students’ performance skill on energy conservation is good level.
2.3 There is a significant difference between students awareness on energy conservation before and after training at .01 level.
Keyword: Energy Conservation, Competency Developed
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1970
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 1 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1971
2012-02-21T13:35:13Z
jindedu:Jreind
"090701 2009 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการใช้เครื่องจักรเป่าถุงพลาสติก
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
สุขหวาน, โอภาส
ชินประดิษฐสุข, ชูเกียรติ
บทคัดย่อ ความมุ่งหมายของการวิจัยครั้งนี้เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการใช้เครื่องจักรเป่าถุงพลาสติกและศึกษาประสิทธิภาพของหลักสูตรฝึกอบรมการใช้เครื่องจักรเป่าถุงพลาสติก รายละเอียดของการฝึกอบรมประกอบด้วย 3 หมวดการเรียนรู้ ได้แก่ หมวดที่ 1 เรื่องความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับอุตสาหกรรมพลาสติก หมวดที่ 2 เรื่องส่วนประกอบ หน้าที่ หลักการทำงานของเครื่องจักรในกระบวนการใช้เครื่องจักรเป่าถุงพลาสติก ความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน และการตรวจสอบคุณภาพเบื้องต้น และหมวดที่ 3 เรื่องขั้นตอนการปฏิบัติงานการใช้เครื่องจักรเป่าถุงพลาสติกและการตรวจสอบคุณภาพ พร้อมทั้งสร้างแบบทดสอบวัดความรู้ในการใช้เครื่องจักรเป่าถุงพลาสติก และแบบประเมินความสามารถการใช้เครื่องจักรเป่าถุงพลาสติก โดยทั้งหมดได้พิจารณาผ่านผู้เชี่ยวชาญเห็นว่ามีความสอดคล้อง และมีความเชื่อมั่นจนสามารถนำไปทดลองกับพนักงานฝ่ายต่างๆที่มีความต้องการเข้าปฏิบัติงานฝ่ายการผลิตส่วนงานเครื่องจักรเป่าถุงพลาสติก ของห้างหุ้นส่วนจำกัดชินะซัพพลาย จำนวน 15 คน ผลการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการใช้เครื่องจักรเป่าถุงพลาสติก เนื้อหาของหลักสูตรมีความสอดคล้องและเหมาะสมกับวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้และเครื่องมือที่ใช้วัดผลด้านความรู้และความสามารถการใช้เครื่องจักรเป่าถุงพลาสติกมีคุณภาพและมีความสอดคล้องกับหลักสูตรฝึกอบรมการใช้เครื่องจักรเป่าถุงพลาสติก ผลสัมฤทธิ์ของการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการใช้เครื่องจักรเป่าถุงพลาสติกที่ทดสอบผู้วิจัยสามารถสรุปประสิทธิภาพของการฝึกอบรมหลักสูตรการใช้เครื่องจักรเป่าถุงพลาสติกได้ตามเกณฑ์ของสมมติฐานการวิจัยได้คือ ประสิทธิภาพของผู้เข้ารับการฝึกอบรมระหว่างการฝึกอบรม เท่ากับ 87.11 มากกว่าเกณฑ์ประสิทธิภาพที่กำหนดไว้คือ 85 และประสิทธิภาพของผู้เข้ารับการฝึกอบรมหลังการฝึกอบรมเท่ากับ 90.73 มากกว่าเกณฑ์ประสิทธิภาพที่กำหนดไว้คือ 85 แสดงว่าหลักสูตรฝึกอบรมการใช้เครื่องจักรเป่าถุงพลาสติกมีประสิทธิภาพสามารถนำไปใช้ฝึกอบรมกับพนักงานได้
คำสำคัญ: หลักสูตรฝึกอบรม, เครื่องจักรเป่าถุงพลาสติก
Abstract The purpose of this research was to develop of a training curriculum on Blown Film machine which studied an efficiency of training curriculum development on Blown Film machine. The details of training course consist of three sections. Section one the basic knowledge of plastic Industry. Section two knowledge of components, duties and principle of the Blown Film machine process. Safety work and the basic methods of quality control. And section three Blown Film machine process and quality control. The researcher constructed the tests for Blown Film machine knowledge and the evaluation forms for using Blown Film machine. An experts consider the curriculum has a reliability and related with the objective requirement and can be try out with fifteen workmen of all department that want to entered to work in Blown Film machine production department of Chena Supply limited partnership. The result of this training curriculum development on Blown Film machine. Detail of the curriculum related and suitable with objective requirement. The Blown Film machine tests and evaluation forms were related with the training curriculum course.The achievement of training curriculum development on Blown Film machine can be summarized that the efficiency of trainee during training course is 87.11 and after training course is 90.73 that higher than the standard efficiency requirement is 85. The achievement shows the training curriculum on Blown Film machine has an efficient and can be use with the workmen. Keyword: Training curriculum , Blown Film Machine
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1971
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 1 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1972
2012-02-21T13:37:30Z
jindedu:Jreind
"090701 2009 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมการออกแบบผลิตภัณฑ์จากกกทอ
สุวคันธกุล, อุปวิทย์
สุขหวาน, โอภาส
เฉลยผล, ผาสุข
บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมการออกแบบผลิตภัณฑ์จากกกทอ และศึกษาประสิทธิภาพของหลักสูตรการฝึกอบรมการออกแบบผลิตภัณฑ์จากกกทอ การสร้างหลักสูตรการฝึกอบรมการออกแบบผลิตภัณฑ์จากกกทอ สร้างขึ้นมาจากการศึกษาข้อมูลจากเอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยใช้รูปแบบในการพัฒนาหลักสูตรของทาบาเป็นแนวทาง โดยมีโครงสร้างของเนื้อหาหลักสูตร ได้แก่ หน่วยที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกก หน่วยที่ 2 การแปรรูปกก หน่วยที่ 3 การออกแบบผลิตภัณฑ์ หน่วยที่ 4 การออกแบบลวดลาย หน่วยที่ 5 การย้อมสีกก หน่วยที่ 6 การทอเป็นผืน หน่วยที่ 7 การประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์จากกกทอ เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลได้แก่ แบบทดสอบความรู้ ความเข้าใจระหว่างฝึกอบรม แบบประเมินทักษะในการปฏิบัติงานระหว่างฝึกอบรม แบบทดสอบความรู้ ความเข้าใจภายหลังการฝึกอบรม แบบประเมินทักษะในการปฏิบัติงานภายหลังการฝึกอบรม และแบบสอบถามความคิดเห็นต่อหลักสูตรการฝึกอบรม กลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลโคกใหม่ละหานทราย จำนวน 30 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า
ประสิทธิภาพของหลักสูตรการฝึกอบรมการออกแบบผลิตภัณฑ์จากกกทอ ในด้านความรู้ ความเข้าใจ มีประสิทธิภาพ 84.09/ 85.22 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ประสิทธิภาพของหลักสูตรการฝึกอบรมการออกแบบผลิตภัณฑ์จากกกทอในด้านทักษะ มีประสิทธิภาพ 83.08 / 86.72 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้
คำสำคัญ : การพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรม การออกแบบผลิตภัณฑ์จากกกทอ
Abstract
The purposes of this research were to develop a training curriculum on reed weaving product
design and to study the efficiency of a training curriculum development on reed weaving product design.
This training curriculum on reed weaving product design was developed through the study from the
related research documents using the curriculum development basing on Taba model as a guide.
Contents of the curriculum consisted of several learning units that are, Unit 1–Basic knowledge about
reeds; Unit 2–Products from reeds; Unit 3–Product Designs; Unit 4–Creative Designs; Unit 5–
Colouring; Unit 6- Weaving and Unit 7–Making of reed products. The tools used for data collection
were Knowledge/comprehensive tests and production skill assessments conducted both during and after
finishing the training courses as well as an opinion questionnaire on the training curriculum. The
samples of this research were 30 students of the third grade in the secondary school level (equivalent to
Grade 9) from Anuban Khogmai Lahansai School. The data collected was analyzed by the statistical
methods of Mean Value and Standard Deviation.
The result of the study indicated that;
The efficiency of the training curriculum on reed weaving product design in terms of knowledge and comprehension was at the value of 84.09 /85.22, which was higher than the criteria. The efficiency of the training curriculum on reed weaving product design in terms of production skill was at the value of 83.08 / 86.72, which was higher than the criteria.
Keyword: A training curriculum development, reed weaving product design
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1972
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 1 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1973
2012-02-21T13:40:14Z
jindedu:Jreind
"090701 2009 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมด้านการทดสอบทางประสาทสัมผัส สำหรับตรวจสอบคุณภาพเบื้องต้น
สุวคันธกุล, อุปวิทย์
สุขหวาน, โอภาส
บุตรสุนทร, อัมพวัน
บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมด้านการทดสอบทางประสาทสัมผัส สำหรับตรวจสอบคุณภาพเบื้องต้น ของ บริษัทโฟร์โมสต์ ฟรีสแลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีขั้นตอนในการดำเนินการวิจัย 3 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ขั้นตอนรวบรวมข้อมูล โดยศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องจากหลักสูตรที่ใช้อยู่เดิมในด้านเนื้อหาหลักสูตรและกระบวนการฝึกอบรม เพื่อนำมาใช้กำหนดกรอบปัญหาในแต่ละด้านของการฝึกอบรมด้านการทดสอบทางประสาทสัมผัส สำหรับตรวจสอลคุณภาพเบื้องต้นและนำข้อมูลที่ได้มาใช้ในการพัฒนาหลักสูตร วิเคราะห์จัดลำดับความสำคัญของปัญหาที่เกิดขึ้นในการฝึกอบรม เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาวาวแผนเพื่อกำหนดโครงสร้างหลักสูตร จุดประสวค์เนื้อหาสาระของวิชาในหลักสูตรตามลำดับความสำคัญ
ขั้นตอนที่ 2 ขั้นของการดำเนินการพัฒนาหลักสูตร หลังจากในขั้นตอนที่ 1นั้นจะให้ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบหลักสูตรทำการตรวจสอบหลักสูตร ซึ่งผู้เชี่ยวชาญที่ใช้ในการตรวจสอบหลักสูตรมีทั้งหมด 3 ด้าน ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาหลักสูตร ผู้เชี่ยวชาญในด้านการทดสอบทางประสาทสัมผัส ผู้เชี่ยวชาญในด้านการวิเคราะห์ด้วยประสาทสัมผัสและทำการแก้ไขตามคำแนะนำของผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญ ขั้นตอนนี้จะเป็นขั้นการดำเนินการพัฒนาหลักสูตรซึ่งกระบวนการที่จะใช้นี้จะนำเทคนิคการฝึกอบรมมาใช้โดยจะเน้นการให้ความรู้จากการบรรยาย โดยวิทยากรผู้มีความรู้และความชำนาญในแต่ละด้านรวมถึงมีการแบ่งกลุ่ม เพื่อให้ผู้เข้าฝึกอบรมได้อภิปรายในแต่ละเรื่องของปัญหา
ขั้นตอนที่ 3 ขั้นดำเนินการประเมินผลหลักสูตร ในส่วนที่สามนี้จะเป็นขั้นการดำเนินการประเมินผลการใช้หลักสูตร ซึ่งลักษณะการประเมินผลจะใช้วิธีการประเมินผลระหว่างการฝึกอบรมและหลังการฝึกอบรมโดยใช้เกณฑ์ 90/90 ซึ่งจากผลท่ได้พบว่าหลักสูตรฝึกอบรมด้านการทดสอบทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 ด้าน คิดเป็นร้อยละ 99.53 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ 90/90 และเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้.
คำสำคัญ : การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม การทดสอบทางประสาทสัมผัส
Abstract The purpose of this thesis was to developed a curriculum on sensory evaluation training program for product quality inspection of Foremost Friesland (Thailand) Public Company Limited. The procedure was divided into three parts. First : Study and gather information Study and review the relevant documents of the existing curriculum and training process; this is to define the range of problem of each area of sensory evaluation training, and to test product quality and bring back the result to help develop the curriculum. Analyzing and ordering the importance of the problem occurring in the training was conducted so as to use the result from the process to plan in order to define the structure, goals and content of curriculum according to the importance. Second : Curriculum development. This step was about applying the curriculum. After that, the curriculum would be looked over by the professional agents. There existed 3 areas in the inspector of curriculum, namely, professional agents in curriculum development, in sensory test and in analyze by using sensation. Thus, this was correct in the way that professional agents had suggested. The process to be applied would bring the training techniques in; it would highlight on the sharing knowledge from the lecture from professional agents in each area, after so the trainees were formed into groups so that they could make the discussion in each topic of the problem. Third : The evaluation of the curriculum development. This step related to the operation of the curriculum after it had been actually used. The population and sample group were the same as in the second step. The evaluation was conducted during the period of training and after the training period as well; the standard was set at 90/90 because this can indicate the progress of trainees and thus the curriculum. According to the result, curriculum of sensory evaluation training program is above the standard of 90/90 and the hypothesis is accepted.
Keyword : Curriculum Development, Sensory Evaluation
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1973
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 1 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1974
2012-02-21T13:42:59Z
jindedu:Jreind
"090701 2009 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเรื่องการบำรุงรักษารถยนต์สำหรับอาสาสมัคร บริษัทเอม มอเตอร์สปอร์ต (2003) จำกัด
สุวคันธกุล, อุปวิทย์
สุขหวาน, โอภาส
เจิมศิริวัฒน์, สรเดช
บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมเรื่องการบำรุงรักษารถยนต์สำหรับอาสาสมัคร บริษัทเอม มอเตอร์สปอร์ต (2003) จำกัด. และศึกษาประสิทธิภาพของหลักสูตร ตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร บริษัท เอม มอเตอร์สปอร์ต (2003) จำกัด และบุคคลที่สนใจทั่วไป เลือกโดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling) จำนวน 20 ผลการศึกษาประสิทธิภาพของหลักสูตรฝึกอบรมเรื่องการบำรุงรักษารถยนต์สำหรับอาสาสมัคร บริษัทเอม มอเตอร์สปอร์ต (2003) จำกัด มีประสิทธิภาพ 86.82/84.30 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ได้ตั้งไว้ตามสมมติฐานการวิจัย ซึ่งสรุปได้ว่าหลักสูตรฝึกอบรมเรื่องการบำรุงรักษารถยนต์สำหรับอาสาสมัคร บริษัทเอม มอเตอร์สปอร์ต (2003) จำกัด สามารถนำไปใช้ฝึกอบรมกับทุกหน่วยงานที่ปฏิบัติงาน
คำสำคัญ : หลักสูตรฝึกอบรมเรื่องการบำรุงรักษารถยนต์สำหรับอาสาสมัคร บริษัทเอม มอเตอร์สปอร์ต (2003) จำกัด
Abstract
This research aimed to development a curriculum on vehicle maintenance for volunteer of Aim Motorsport (2003) Co.,Ltd. and test the efficiency of the curriculum following standard 80/80 The population were the volunteers of Aim Motor Sport (2003) Co., Ltd. and general people. Twenty subjects were selected by simple random sampling. Moreover, the result of a curriculum development on vehicle maintenance for volunteer of Aim Motorsport (2003) Co.,Ltd. was 86.82/84.30 and higher than the criteria at 80/80 as the hypothesis. Thus, it could be concluded that a curriculum development on vehicle maintenance for volunteer of Aim Motorsport (2003) Co.,Ltd. was workable and usable for training in every department.
Keywrrd : curriculum on vehicle maintenance for volunteer of Aim Motorsport (2003) Co.,Ltd.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1974
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 1 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1975
2012-02-21T13:46:32Z
jindedu:Jreind
"090701 2009 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม เรื่องการออกแบบกระเป๋าสตรีในงานอุตสาหกรรม สำหรับนักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขางานอุตสาหกรรมเครื่องหนัง วิทยาลัยศิลปหัตถกรรมกรุงเทพ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
สุวคันทกุล, อุปวิทย์
สุขหวาน, โอภาส
ยืนเพ็ง, รุ้งเพชร
บทคัดย่อ ความมุ่งหมายของการวิจัยครั้งนี้ เพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม เรื่อง การออกแบบกระเป๋าสตรีในงานอุตสาหกรรม สำหรับนักเรียน ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) สาขางานอุตสาหกรรมเครื่องหนัง วิทยาลัยศิลปหัตถกรรมกรุงเทพ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาโดยกำหนดประเด็นในการสร้างหลักสูตรฝึกอบรมจากสภาพปัญหาในการออกแบบกระเป๋าสตรีร่วมกับคณาจารย์ผู้สอนในสาขางานอุตสาหกรรมเครื่องหนัง ซึ่งมีด้วยกันทั้งสิ้น 5 บท ได้แก่ 1) รูปแบบ ลักษณะ และชนิดของกระเป๋าสตรี 2) แนวความคิดในการออกแบบกระเป๋าสตรี 3) การเลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ 4) การใช้เครื่องมือ เครื่องจักร และ 5) ประโยชน์ใช้สอยและการนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน อุตสาหกรรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัย ได้แก่ นักเรียนชั้นปีที่ 3 สาขางานอุตสาหกรรมเครื่องหนัง จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัยได้แก่ แบบทดสอบแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก ได้แก่แบบทดสอบหลังจากจบแต่ละบทรวม 5 บท รวม 35 ข้อ และแบบทดสอบภายหลังเสร็จสิ้นการฝึกอบรมจำนวน 35 ข้อ และแบบสอบถามความคิดเห็นหลังการฝึกอบรม ผลการวิจัยพบว่าหลักสูตรฝึกอบรม เรื่องการออกแบบกระเป๋าสตรีในงานอุตสาหกรรมที่พัฒนาขึ้นนี้มีประสิทธิภาพ 85.42/89.42
คำสำคัญ :การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม,การออกแบบกระเป๋าสตรี
Abstract
This research was aimed at developed the training curriculum on bags design in industrial works for students of the course in vocational education certificate in the major of leather industry of Bangkok Arts & Crafts College, Vocational Education Commission. The issue on developing of the training curriculum was identified from the problems encountered during design of bags with supports from teachers teaching in the leather industry major. There are five chapters in this study as follows; 1) designs, shapes and types of lady’s bags; 2) concept in designing of lady’s bags; 3) selection of materials and equipments; 4) Use of appropriate tools and machines; and 5) Purpose and daily use. The group of samples used in the research was ten students of the Third Year of vocational education certificate course in the leather industry major. The tools used in the research were the tests, with four multiple-choice options, as follows; the test of thirty five questions conducted after each of five chapters and the test of another thirty five questions as well as questionnaires for opinions conducted after the training course ended. From the result of the Research, it was found that the training curriculum on bags design in industrial works has its efficiency score at 85.42/89.42
Keyword: Training Curriculum Development, Bag design
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1975
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 1 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1976
2012-02-21T13:50:33Z
jindedu:Jreind
"090701 2009 eng "
1905-9450
dc
การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมอาชีพอิสระเรื่อง การทำผลิตภัณฑ์จากปูนปลาสเตอร์
วงศ์ยุทธไกร, ไพรัช
สุขหวาน, โอภาส
บุญอินทร์, วีระศักดิ์
บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมอาชีพอิสระเรื่อง การทำผลิตภัณฑ์จากปูนปลาสเตอร์ และทดสอบประสิทธิภาพของหลักสูตรฝึกอบรมอาชีพอิสระเรื่อง การทำผลิตภัณฑ์จากปูนปลาสเตอร์
ผู้วิจัยได้ทำการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมอาชีพอิสระเรื่อง การทำผลิตภัณฑ์จากปูนปลาสเตอร์ โดยกำหนดเนื้อหาหลักสูตรฝึกอบรม 4 หน่วย ได้แก่ 1) ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับปูนปลาสเตอร์ 2) การทำแม่พิมพ์ 3) เทคนิคการผลิต 4) หลักการตลาด การวิจัยครั้งนี้เพื่อศึกษา ความรู้ ความเข้าใจ และทักษะเกี่ยวกับการทำผลิตภัณฑ์จากปูนปลาสเตอร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือบุคคลทั่วไปที่สนใจฝึกอบรมอาชีพอิสระ จำนวน 15 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลพื้นฐาน แบบทดสอบ แบบทดสอบระหว่างเรียน และแบบทดสอบหลังเสร็จสิ้นการฝึกอบรม
ผลการวิจัยพบว่าหลักสูตรฝึกอบรมอมชีพอิสระเรื่อง การทำผลิตภัณฑ์จากปูนปลาสเตอร์ ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ 85.30/81.78 โดยค่าประสิทธิภาพ (E1) เท่ากับ 85.30 ซึ่งแบ่งเป็นการทดสอบความรู้ ความเข้าใจ และการปฏิบัติขณะฝึกอบรมในแต่ละหน่วยดังนี้ ในหน่วยที่ 1 ได้ค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 84.67 ในหน่วยที่ 2 ได้ประสิทธิภาพทางทฤษฎีเท่ากับ 86.67 และทางปฏิบัติเท่ากับ 85.83 ในหน่วยที่ 3 ได้ค่าประสิทธิภาพทางทฤษฎีเท่ากับ 84.00 และทางปฏิบัติเท่ากับ 85.00 ในหน่วยที่ 4 ได้ค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 85.33 ภายหลังเสร็จสิ้นการฝึกอบรมได้ค่าประสิทธิภาพ (E2) เท่ากับ 81.78 และการศึกษาความคิดเห็นเกี่ยวกับหลักสูตรหลังการฝึกอบรมพบว่า กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อการฝึกอบรมในระดับมาก (ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.31) สรุปได้ว่าหลักสูตรฝึกอบรมอาชีพอิสระเรื่อง การทำผลิตภัณฑ์จากปูนปลาสเตอร์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพและสามารถนำไปใช้ฝึกอบรมบุคคลทั่วไปที่สนใจฝึกอบรมอาชีพอิสระเรื่อง การทำผลิตภัณฑ์จากปูนปลาสเตอร์ให้เป็นผู้มีความรู้ ความเข้าใจ ดียิ่งขึ้น
คำสำคัญ: การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมอาชีพอิสระ, ผลิตภัณฑ์จากปูนปลาสเตอร์
Abstract The purpose of this research was to develop self employment curriculum on gypsum plaster product and to test the efficiency of a self employment curriculum on gypsum plaster product
The researcher developed a self employment curriculum on gypsum plaster product by determining the subjects curriculum 4 item for training : 1) General Knowledge on gypsum plaster 2) How to make various kind of mold 3) Production teachnique 4) Principle of marketing. The research was for study knowledge understanding and skill about gypsum plaster product. The sample of research were 15 person who interested in training curriculum. The research instrument were ability test and achievement test after finish the training.
The result reveals that efficiency of training self employment curriculum on gypsum plaster product limit were 85.30/81.78 which the efficiency during the training or E1 was 85.30 which computed from the achievement test after finish each unit. The efficiency of each unit were 87.67 in the unit 1, 86.67 in unit 2, 84.00 in unit 3, 85.33 in unit 4.The practice efficiency were 85.53 in unit 2, 85.00 in unit 3. The effectiveness after finish the training or E2 was 81.78 . The curriculum “s opinion after finish the training found that the sample had satisfied with high level(mean = 4.31) . The curriculum which developed by the researcher have higher efficiency and be used for training the employee or the others for higher knowledge and understanding.
Keyword: develop self employment curriculum, gypsum plaster product and.
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1976
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 1 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1977
2012-02-21T13:56:54Z
jindedu:Jreind
"090701 2009 eng "
1905-9450
dc
การศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพสาขาพาณิชยกรรมเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางการเรียนในโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน กรุงเทพมหานคร
เจริญยิ่งไพศาล, ตติยา
เทพหัสดิน ณ อยุธยา, ธีระพล
ประเสริฐวงษ์, ภักตรา
บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพสาขาพาณิชยกรรม เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางการเรียนโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชนกรุงเทพมหานครมีจำนวน 3 ด้าน คือ ด้านสภาพแวดล้อมเกี่ยวกับวิธีการสอน ด้านสภาพ แวดล้อมเกี่ยวกับวิธีการบริหาร ด้านสภาพแวดล้อมเกี่ยวกับอาคารสถานที่ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพสาขาพาณิชย กรรม เกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางการเรียน ในโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน กรุงเทพมหานครกลุ่มตัวอย่าง นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพสาขาพาณิชยกรรม ชั้นปีที่ 3 ในโรงเรียนอาชีวศึกษาเอกชน กรุงเทพมหานคร จำนวน 211 คน จาก 5 โรงเรียน ลักษณะของแบบสอบถาม เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูปสถิติที่ใช้ คือร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
จากผลของการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า 1) ด้านสภาพแวดล้อมเกี่ยวกับวิธีการสอน ในรายข้อที่นักเรียนมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก คือ ผู้สอนอธิบายลักษณะของรายวิชาในชั่วโมงแรกของการเรียนการสอน และ ผู้สอนมีวิธีการวัดผลที่สอดคล้องกับลักษณะของรายวิชา ส่วนรายข้อที่นักเรียนมีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง คือ ผู้สอนให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการกำหนดแนวทางในการเรียน 2) ด้านสภาพแวดล้อมเกี่ยวกับวิธีการบริหารรายข้อที่นักเรียนมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก คือ ผู้บริหารกำหนดนโยบายให้ผู้สอนปฏิบัติตาม และโรงเรียนมีการประชาสัมพันธ์ข่าวสารเป็นไปอย่างทั่วถึงและเหมาะสม รายข้อที่นักเรียนมี ความคิดเห็นในระดับปานกลาง คือ ผู้บริหารให้นักเรียนมีโอกาสแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการบริหารงานของโรงเรียน 3) ด้านสภาพแวดล้อมเกี่ยวกับอาคารสถานที่ รายข้อที่นักเรียนมีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก คือห้องปฏิบัติการมีจำนวนพอเพียง เครื่องมือและวัสดุฝึกงานมีจำนวนเพียงพอต่อการฝึกงาน รายข้อที่นักเรียนมีความคิดเห็นอยู่ในระดับปานกลาง คือเครื่องมือและวัสดุฝึกงานมีจำนวนเพียงพอต่อการฝึกงาน
คำสำคัญ: สภาพแวดล้อมทางการเรียน
Abstract The ofjective of this research was to study the opinion of the vocational certificate in commerce students, towards the environment in the private vocational schools in Bangkok. Focusing in three main aspects: 1) the teaching methods, 2) the management of the school, and 3) school building and the facilities. The research was conducted through the scale-questionnaires which rating 1 - 5, and the sample group was 211 third year students, randomly chosen from 5 private vocational schools in Bangkok. The data was evaluated by using mathematic software in which attempt to calculate percentage, mean, and the standard deviation.
As a result of the data analysis, it was found that 1) In term of teaching methods the students’ opinion was at high level that the lecturer was clearly outline and given the detail of the subject on their first lecture and also had the method of evaluation that be in line with the subject. The students’ opinion was at average level that the lecturer was given an opportunity for the students to set up the system of learning in each subject. 2) For the management of the school, the students’ opinion was at high level that the management had well established the policy for the lecturers to be followed and had effectively communicated the school news with the students. And the students opinion was at average level that the management had given the students the chance to express the idea about the way school to be managed. 3) The students’ opinion was at high level about the school’s building and other facilities of the classrooms, work shops and learning equipment enough for the students to practices.
From the research result, the private vocational schools’ administrators should provide facilities to get to the high level of learning environments. Keyword: learning environment
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1977
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 1 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2552
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/1978
2012-02-21T13:59:36Z
jindedu:Jreind
"090701 2009 eng "
1905-9450
dc
การศึกษาผลกระทบจากปัจจัยสภาพแวดล้อมและปัจจัยการแข่งขันในอุตสาหกรรมการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของผู้ประกอบการในกรุงเทพมหานคร
ไตรพัฒน์พัชร, ธนิตพงศ์
ธีระวิทยเลิศ, ปัญญา
ภักดีกุล, ประพันธ์
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลกระทบด้านปัจจัยสภาพแวดล้อมและปัจจัยการแข่งขันของอุตสาหกรรมการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับของผู้ประกอบการในกรุงเทพมหานคร งานวิจัยนี้เป็นงานวิจัยเชิงบรรยายแบบเชิงสำรวจศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นผู้ประกอบการไทยซึ่งทำธุรกิจส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นผู้ส่งออกที่ได้จดทะเบียนไว้กับกรมส่งเสริมการส่งออกและมีรายชื่อใน Thailand Exporter Dircetory 2008 โดยกำหนดขนาดตัวอย่างจำนวน 197 ตัวอย่าง จากจำนวนประชากร 388 ราย ด้วยการใช้เครื่องมือเป็นแบบสอบถามโดยถามข้อมูลทั่วไปและสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการเกี่ยวกับปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมและสภาพการแข่งขันที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในการส่งออกในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ผลการวิจัยสรุปได้ว่า ผู้ประกอบการส่วนมากทำธุรกิจประเภทบริษัทจำกัด ส่งสินค้าออกไปต่างประเทศเป็นระยะเวลาตั้งแต่ 3-6 ปีขึ้นไป ส่วนใหญ่ส่งออกในตลาดภูมิภาค เอเชีย อเมริกา และยุโรป ตามลำดับ ในปี พ.ศ. 2551 อัตราการเพิ่มขึ้นของยอดส่งออกประมาณ 10-20 % และในปีพ.ศ. 2552 ประมาณการอัตราการเพิ่มขึ้นของยอดส่งออกน้อยกว่า 3% ปัญหาและอุปสรรคในดำเนินธุรกิจในปีที่ผ่านมา คือ ปัญหาด้านเศรษฐกิจชลอตัวและผู้ประกอบการขาดสภาพคล่อง สำหรับผลกระทบของปัจจัยสภาพแวดล้อมด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม เทคโนโลยี การเมืองและกฎหมาย พบว่ามีผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบในระดับน้อยถึงปานกลาง ส่วนผลกระทบของปัจจัยการแข่งขันด้านการเข้าสู่อุตสาหกรรมของคู่แข่งขันใหม่ พบว่ามีผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบในระดับน้อยถึงปานกลาง ส่วนความรุนแรงของการแข่งขันระหว่างองค์กรธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน การมีสินค้าหรือบริการที่สามารถทดแทนกันได้ อำนาจต่อรองของผู้ซื้อและอำนาจต่อรองของผู้ขายวัตถุดิบ พบว่ามีผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบในระดับน้อย
คำสำคัญ: ผลกระทบ ปัจจัยสภาพแวดล้อม ปัจจัยการแข่งขัน อุตสาหกรรมการส่งออก อัญมณีและเครื่องประดับ ผู้ประกอบการ
Abstract
The objective of this thesis was to study environmental impacts and competitive factors in jewelry-exporting industry of the entrepreneurs in Bangkok. This thesis was a descriptive surveyed thesis studied from samples of jewelry-exporting entrepreneurs in Bangkok, which are registered with Department of Export Promotion and listed in Thailand Exporter Directory 2008. The size of the samples are 197 samples from the total population of 388 companies. The thesis employs questionnaires as tools to survey general information and opinions of the entrepreneurs about environmental impacts and competitive factors that affect exportation in the last 1 year. The study demonstrates that most of the entrepreneurs operate as limited company exporting products overseas for more than 3-6 years, with main destinations to Asia, USA and Europe, respectively. In 2008 the growth rate of total export amount is 10-20%, but will be less than 3% in 2009. The problems and obstacles of business operation in the recent year are economic recession and limited financial liquidation of the entrepreneurs. Impacts from economic environment, society, culture, technology, politics, and legitimate regulations are considered to be both positive and negative with low to medium effect, the entry of competitors into the industry is considered to be both positive and negative with low to medium effect, and intense competition within industry, product and service replacement, customer and supplier negotiation power are considered to be both positive and negative with low effect.
Keyword: environmental impacts and competitive factors in jewelry-exporting industry of the entrepreneurs
ภาควิชาอุตสาหกรรมศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-01-01 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jindedu/article/view/1978
วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา; Vol. 3 No. 1 (2009): วารสารวิชาการอุตสาหกรรมศึกษา ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2552
eng
Copyright (c)
2770868b62dec426bfad333e4d4409bb