2024-03-29T11:28:05Z
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/index/oai
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/435
2009-06-19T10:42:47Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090616 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การจัดการเรียนรู้เรื่องการคูณและการหารตาม
แย้มรุ่ง, ดร.รุ่งทิวา
เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 7-10 ปี มีลักษณะเฉพาะของ
การคิดเชิงคณิตศาสตร์เป็นของตนเองใช้การหยั่งรู้ด้วยตนเอง
สามารถแสดงการคิดโดยธรรมชาติของตนเองได้ทั้งที่เป็นเรื่องที่
ไม่คุ้นเคยและยังไม่ได้เรียนมา โดยนำความรู้เชิงสหัสญาณ
ทักษะและการดำเนินการทางคณิตศาสตร์ที่เคยมีประสบการณ์
มาก่อนมาทำความเข้าใจสถานการณ์ปัญหาที่แปลกใหม่เพื่อ
ค้นหาคำตอบของปัญหาแล้วสร้างข้อสรุปจากข้อมูลหรือ
สถานการณ์ต่างๆ ในลักษณะกรณีทั่วไปอย่างไม่เป็นทางการ
และพบว่าการคิดเชิงคณิตศาสตร์ของเด็กมีทั้งในระดับที่ต่ำ
จนถึงระดับที่สูง ในการดำเนินการแก้ปัญหาของเด็กมีทั้งการใช้
ตัวแบบในการแก้ปัญหาซึ่งเป็นระยะที่ใช้ประสบการณ์ตรงและ
สัมผัสได้ ใช้ การนับในการแก้ปัญหาซึ่งเป็นระยะของการใช้
ภาพเป็นสื่อประกอบการนับ และใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์ใน
การแก้ปัญหาซึ่งเป็นระยะของการสร้างสัญลักษณ์
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/435
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 1 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/436
2009-06-27T20:46:21Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090619 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การให้คำปรึกษา : ตอน รู้เขา รู้เรา
อรรถศิริ, อนุสรณ์
ผลพวงจากยุคโลกาภิวัตน์ถ่ายทอดและหลอมรวมความหลากหลายทางวัฒนธรรม เจตคติและทัศนะวิถีแห่งชีวิตในมุมต่าง ๆ จากสังคมในซีกโลกหนึ่งสู่อีกที่หนึ่ง ทำให้ความแตกต่างระหว่างความเป็นปัจเจกบุคคลมีมากขึ้น อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ให้คำปรึกษาพึงคำนึงและตระหนักต่อการทำความเข้าใจในเรื่องค่านิยม ประสบการณ์เดิม ความเชื่อ และสภาวะจิตใจ ของผู้รับคำปรึกษา ซึ่งเป็นองค์ประกอบพื้นฐานสำคัญที่เป็นบทบาทในกระบวนการให้คำปรึกษา ผู้ให้คำปรึกษาจึงพึงระวังและใส่ใจต่อความคิดเห็น การรับรู้และมุมมองของผู้รับคำปรึกษาเสมือนหนึ่งร่วมสถานการณ์เดียวกัน
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/436
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 1 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/437
2009-06-19T10:52:35Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090619 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
นักเรียนมีทรรศนะกับการเรียนอย่างไร
ยอดกมล, ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุขวสา
การเรียนของนักเรียนจะได้รับผลมากน้อย ต้องมี
องค์ประกอบหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ผู้เรียน บทเรียน
และวิธีเรียน ซึ่งทั้ง 3 องค์ประกอบนี้จะมีผลต่อการเรียนของ นักเรียน ต้องอาศัยแบบการสอนของครูว่า จะสอนด้วยวิธีใดที่
จะให้เด็กได้รับความรู้อย่างเต็มที่ ครูต้องมีการพัฒนาวิธีการ
สอน โดยสำ รวจจากวิชาที่สอน เนื้อหาในบทเรียน และ
สภาพแวดล้อม มีการวางโครงการออกแบบวิธีสอน และ
ดำเนินการสอนตามขั้นตอน เพื่อให้การสอนมีประสิทธิภาพ
ให้เด็กได้รับความรู้ความเข้าใจ และสามารถนำความรู้ที่ได้ไปใช้
ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/437
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 1 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/438
2009-06-19T10:54:07Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090619 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
วิชาสังคมศึกษา : ศาสตร์แห่งการบูรณาการ
จันทน์สุคนธ์, โชตรัศมิ์
สังคมศึกษาเป็นวิชาที่มีการบูรณาการเนื้อหาแบบสห
วิทยาการอยู่แล้วโดยธรรมชาติ เนื่องจากมีเนื้อหาที่ครอบคลุม
ศาสตร์ในสาขาวิชาต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง อาทิ สังคมศาสตร์
มนุษยศาสตร์ คณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ เป็นต้น
โดยผ่านการใช้แหล่งข้อมูลในการจัดรูปแบบกิจกรรมการเรียน
การสอนและการเรียนรู้ที่หลากหลาย การเรียนการสอนในกลุ่ม
วิชาสังคมศึกษาสามารถบูรณาการได้ทั้งในส่วนของเนื้อหาจาก
ศาสตร์ต่าง ๆ ประสบการณ์จากชีวิตจริง ทั้งที่ต่างเวลา ต่าง
พื้นที่ ต่างสังคม ต่างวัฒนธรรม ที่สามารถเชื่อมโยงองค์
ความรู้จากอดีต ปัจจุบัน และแนวโน้มของอนาคต ทั้งยัง
สามารถบูรณาการด้านการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและ
การใช้สื่อหรือนวัตกรรมการเรียนการสอนได้อย่างไร้ขีดจำกัด
วิชาสังคมศึกษายังสามารถบูรณาการข้ามหลักสูตรได้เป็นอย่าง
ดี ไม่ว่าจะเป็นภาษาไทย ภาษาต่างประเทศ ศิลปศึกษา และ
อื่น ๆ ที่จะช่วยสร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตให้แก่ผู้เรียน
พัฒนาเจตคติและมีพฤติกรรมที่ดีต่อตนเองและสังคม ซึ่งหาก
ครูผู้สอนวิชาสังคมศึกษาเป็นผู้มีความใฝ่รู้ กระตือรือร้นสนใจ
และพัฒนาตนเองในด้านการสอนอยู่เสมอก็จะยิ่งช่วยเพิ่มพูน
บทบาทความสำคัญของครูสอนสังคมและช่วยตอกย้ำถึง
ลักษณะเด่นของวิชาสังคมศึกษาในด้านของความเป็น ศาสตร์
แห่งการบูรณาการอย่างแท้จริง
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/438
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 1 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/439
2009-06-19T11:28:09Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090619 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การพัฒนาการเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างเสริมความสามารถในการทำงานเป็นทีมของนิสิตในระดับอุดมศึกษา
ประดับเวทย์, รัฐพล
สิกขาบัณฑิต, รองศาสตราจารย์ ดร.เสาวณีย์
ศลโกสุม, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุนันท์
วงษ์อินทร์, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.นันทนา
การวิจัยเรื่องนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียน
การสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างเสริมความสามารถ
ในการทำงานเป็นทีมของนิสิตในระดับ อุดมศึกษา เพื่อศึกษา
ประสิทธิภาพของการเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อ
สร้างเสริมความสามารถในการทำงานเป็นทีม และเพื่อศึกษา
ประสิทธิผลของการเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อ
สร้างเสริมความสามารถในการทำงานเป็นทีม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน และความสามารถในการทำงานเป็นทีม การ
พัฒนารูปแบบแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน คือตอนที่ 1 การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนบนเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างเสริมความสามารถในการทำงานเป็น
ทีม ของนิสิตในระดับอุดมศึกษา จากการศึกษาข้อมูล
เบื้องต้น และวิเคราะห์รูปแบบการเรียนการสอน นำผลการ
วิเคราะห์มาสังเคราะห์เป็นรูปแบบการเรียนการสอนบน
เครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างเสริมความสามารถในการ
ทำงานเป็นทีม ประกอบด้วย การกำหนดเป้าหมายในการ
เรียนการสอน การวิเคราะห์สภาพแวดล้อม การวิเคราะห์
เนื้อหา การกำหนดบทบาทผู้สอน การกำหนดกิจกรรมการ
เรียนการสอน การสร้างบทเรียนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
การสร้างแรงจูงใจในการเรียน การดำเนินการเรียนการสอน
บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต กิจกรรมเสริมทักษะ กิจกรรม
พัฒนาการทำงานเป็นทีม การกำหนดช่วงเวลาในการเรียน
การสอน การประเมินผลการเรียนการสอน ข้อมูลป้อนกลับ
เพื่อนำมาปรับปรุง ซึ่งผ่านการประเมินความสอดคล้องของ
องค์ประกอบจากผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน อยู่ในเกณฑ์
เหมาะสม
ตอนที่ 2 ประสิทธิภาพของบทเรียนตามเกณฑ์
มาตรฐาน 90/90 จากการทดลองกับนิสิตระดับปริญญาตรี
มหาวิทยาลัยศรีนคริทรวิโรฒ ที่ลงทะเบียนเรียนวิชา
สารสนเทศและเทคโนโลยีเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์การเรียนรู้ ใน
ภาคการศึกษาที่ 2/2550 จำนวน 39 คน ผลการวิจัยสรุปได้
ว่า การเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างเสริม
ความสามารถในการทำงานเป็นทีมที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ
90.61/90.39 เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน
ตอนที่ 3 ศึกษาประสิทธิผลจากผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน และการประเมินความสามารถในการทำงาน
เป็นทีมของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนการสอนบนเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตเพื่อสร้างเสริมความสามารถในการทำงานเป็น
ทีม ของนิสิตปริญญาตรี มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่
ลงทะเบียนเรียนวิชาสารสนเทศและเทคโนโลยีเพื่อสร้าง
ปฏิสัมพันธ์การเรียนรู้ ในภาคการศึกษาที่ 2/2550 จำนวน 40
คน ผลการวิจัยสรุปได้ว่า นิสิตมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอยู่
ในระดับดีมาก (88%) และมีความสามารถในการทำงานเป็น
ทีมอยู่ในระดับดี (4.31)
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/439
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 1 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/440
2009-06-19T11:29:40Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090619 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบบSPARPS เพื่อเสริมสร้างทักษะทางภาษาของเด็กปฐมวัย
พันธุ์สีดา, ภัทรดรา
ชัชพงศ์, อาจารย์ ดร. พัฒนา
ขจรรุ่งศิลป์, อาจารย์ ดร. สุจินดา
บุญประกอบ, ว่าที่ร้อยตรี อาจารย์ ดร. มนัส
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้าง ทดสอบ
ประสิทธิภาพ และเผยแพร่รูปแบบการเรียนการสอนแบบ
SPARPS ในการเสริมสร้างทักษะทางภาษาของเด็กปฐมวัย
วิธีดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 3 ระยะ 6 ขั้น ดังนี้
ระยะที่ 1 การสร้างรูปแบบการเรียนการสอนแบบ
SPARPS ขั้นที่ 1 สังเคราะห์รูปแบบการเรียนการสอนแบบ
SPARPS จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
รูปแบบการเรียนการสอนแบบ SPARPS ประกอบด้วยขั้นการ
เรียนการสอน 6 ขั้น คือ ขั้นกระตุ้นเร้า (Stimulus : S) ขั้น
วางแผน (Plan : P) ขั้นเรียนรู้ (Active Learning : A) ขั้นซ้ำย้ำ
ทวน (Repeat : R) ขั้นนำเสนอ (Presentation : P) และขั้น
แบ่งปัน (Share Ideas : S) ขั้นที่ 2 ประเมินรูปแบบการเรียน
การสอนแบบ SPARPS โดยผู้เชี่ยวชาญ ผลการสร้างรูปแบบการเรียนการสอนแบบ SPARPS ตามความคิดเห็นของ
ผู้เชี่ยวชาญมีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากถึงมากที่สุด มี
ค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 4.00-4.60 ขั้นที่ 3 สร้างเครื่องมือประกอบการ
ใช้รูปแบบการเรียนการสอนแบบ SPARPS คือแผนการจัด
ประสบการณ์ แบบสังเกตทักษะทางภาษา และแบบทดสอบ
วัดทักษะทางภาษา และขั้นที่ 4 ทดลองนำร่องรูปแบบการ
เรียนการสอนแบบ SPARPS โดยทดลองสอนกับเด็กปฐมวัย
ที่มีอายุระหว่าง 5-6 ปี จำนวน 27 คน เป็นเวลา 1 สัปดาห์
ระยะที่ 2 การทดสอบประสิทธิภาพรูปแบบการ
เรียนการสอนแบบ SPARPS ขั้นที่ 5 ทดลองใช้รูปแบบการ
เรียนการสอนแบบ SPARPS เป็นเวลา 6 สัปดาห์ โดย
กำ หนดแบบแผนการทดลองเป็นแบบ Randomized
Control-Group Pretest-Posttest Design กลุ่มตัวอย่างเป็น
เด็กปฐมวัยที่มีอายุระหว่าง 5-6 ปี โรงเรียนอนุบาลวัดนาง
นอง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา กรุงเทพมหานคร
เขต 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 ที่ได้จากการสุ่มแบบ
แบ่งกลุ่มจากประชากร เป็นกลุ่มทดลอง จำนวน 1 ห้องเรียน
และกลุ่มควบคุม จำนวน 1 ห้องเรียน ห้องเรียนละ 25 คน
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ t-test for dependent
samples และ independent samples ผลการทดสอบ
ประสิทธิภาพรูปแบบการเรียนการสอนแบบ SPARPS ดังนี้
1) เด็กปฐมวัยมีทักษะทางภาษาเพิ่มขึ้นหลังจากได้รับการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดของรูปแบบการเรียนการสอน
แบบ SPARPS อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทั้งด้าน
การฟัง การพูด การอ่าน การเขียน และโดยรวมทั้ง 4 ด้าน 2)
เด็กปฐมวัยมีทักษะทางภาษาด้านการฟังเพิ่มขึ้นหลังจาก
ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดของรูปแบบการ
เรียนการสอนแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3) เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิด
ของรูปแบบการเรียนการสอนแบบ SPARPS และเด็กปฐมวัย
ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดของรูปแบบการ
เรียนการสอนแบบปกติมีทักษะทางภาษาก่อนการทดลอง
แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ทั้งด้านการฟัง การ
พูด การอ่าน การเขียน และโดยรวมทั้ง 4 ด้าน 4) เด็ก
ปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดของ
รูปแบบการเรียนการสอนแบบ SPARPS มีทักษะทางภาษา
หลังการทดลองเพิ่มขึ้นมากกว่าเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดของรูปแบบการเรียนการสอน
แบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทั้งด้านการ
ฟัง การพูด การอ่าน การเขียน และโดยรวมทั้ง 4 ด้าน
ระยะที่ 3 การเผยแพร่รูปแบบการเรียนการสอน
แบบ SPARPS ขั้นที่ 6 เผยแพร่รูปแบบการเรียนการสอนแบบ
SPARPS โดยครูปฐมวัยที่ปฏิบัติงานสอนอยู่ในชั้นเรียนของ
เด็กปฐมวัยที่มีอายุระหว่าง 3-4 ปี 4-5 ปี และ 5-6 ปี จำนวน
6 คน ชั้นเรียนละ 2 คน โรงเรียนวัดหนัง สังกัดสำนักงานเขต
พื้นที่การศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 3 ภาคเรียนที่ 2 ปี
การศึกษา 2550 ที่สมัครใจนำรูปแบบการเรียนการสอนแบบ
SPARPS ไปทดลองใช้ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ผลการเผยแพร่
รูปแบบการเรียนการสอนแบบ SPARPS ตามความคิดเห็น
ของครูปฐมวัยที่ปฏิบัติงานสอนอยู่ในชั้นเรียนของเด็กปฐมวัย
ที่มีอายุระหว่าง 4-5 ปี มีความเหมาะสมอยู่ในระดับมากถึง
มากที่สุด มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.50-5.00 และความคิดเห็นของ
ครูปฐมวัยที่ปฏิบัติงานสอนอยู่ในชั้นเรียนของเด็กปฐมวัยที่มี
อายุระหว่าง 3-4 ปี และ 5-6 ปี มีความเหมาะสมอยู่ในระดับ
มาก มีค่าเฉลี่ยตั้งแต่ 3.50-4.00
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/440
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 1 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/441
2009-06-19T11:30:39Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090619 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ผลการใช้บทเรียนวีดิทัศน์ที่เน้นการฝึกทักษะปฏิบัติ เรื่อง การปั้นลวดลายไทยวิชาทัศนศิลป์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะสำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 3
เอมทิม, ประสิทธิ์
ศิระวงษ์, อาจารย์ ดร.นฤมล
บุญส่ง, ผู้ช่วยศาสตราจารย์จิราภรณ์
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อพัฒนาบทเรียนวีดิทัศน์
เรื่อง การปั้นลวดลายไทย 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะปฏิบัติการ
ปั้นลวดลายไทยระหว่างการใช้บทเรียนวีดิทัศน์ที่เน้นทักษะการ
ฝึกปฏิบัติกับการเรียนตามแผน การจัดการเรียนรู้ของครู 3) เพื่อ
ศึกษาความพึงพอใจในการเรียนที่มีต่อบทเรียนวีดิทัศน์เรื่อง การ
ปั้นลวดลายไทย กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนของโรงเรียนมัธยมวัดดุ
สิตาราม ช่วงชั้นที่ 3 (มัธยมศึกษาปีที่ 1) จำนวน 70 คน โดย
แบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 35 คน และกลุ่มควบคุม 35 คน เครื่องมือ
ที่ใช้ในการวิจัยคือ บทเรียนวีดิทัศน์ที่เน้นทักษะการฝึกปฏิบัติ
เรื่อง การปั้นลวดลายไทย แบบประเมินทักษะปฏิบัติ แบบ
ประเมินคุณภาพบทเรียนวีดิทัศน์ที่เน้นทักษะการฝึกปฏิบัติเรื่อง
การปั้นลวดลายไทยแผนการจัดการเรียนรู้ของครูและ
แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้บทเรียน
วีดิทัศน์ที่เน้นการฝึกทักษะปฏิบัติ เรื่องการปั้นลวดลายไทย
สถิติที่ใช้คือค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ t-test
ผลของการวิจัย 1) ได้บทเรียนวีดิทัศน์ที่เน้นการฝึกทักษะ
ปฏิบัติเรื่องการปั้นลวดลายไทยที่มีคุณภาพด้านเนื้อหาอยู่ใน
ระดับดีมากและมีคุณภาพด้านเทคโนโลยีอยู่ในระดับดีและมี
ประสิทธิภาพ 86.23/87.33 2) นักเรียนที่เรียนจากบทเรียนวีดิทัศน์
เรื่องการปั้นลวดลายไทยกับการเรียนตามแผนการจัดการ
เรียนรู้ของครู มีผลทักษะปฏิบัติการปั้นลวดลายไทยแตกต่าง
กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 3) นักเรียนมีความพึง
พอใจมากที่สุดต่อการเรียนจากบทเรียนวีดิทัศน์เรื่องการปั้น
ลวดลายไทย
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/441
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 1 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/442
2009-06-19T11:31:31Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090619 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การพัฒนาบทเรียนบนเว็บตามแนวทฤษฏีการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญา เรื่องการสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ปลอดแก้ว, กิตติยา
ศรีฟ้า, ดร. ไพฑูรย์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและหา
ประสิทธิภาพของบทเรียนบนเว็บตามแนวทฤษฏีการเรียนรู้เพื่อ
สร้างสรรค์ด้วยปัญญา เรื่อง การสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ 2)
เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี
ที่ 1 หลังการเรียนจากบทเรียนบนเว็บตามแนวทฤษฏีการเรียนรู้
เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญา เรื่อง การสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
และ 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
1 หลังการเรียนจากบทเรียน บนเว็บตามแนวทฤษฏีการ
เรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญา เรื่อง การสร้างหนังสือ
อิเล็กทรอนิกส์
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือนักเรียน
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนจุฬาภรณราชวิทยาลัย
นครศรีธรรมราช ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 35
คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการ
วิจัยได้แก่ บทเรียนบนเว็บตามแนวทฤษฏีการเรียนรู้เพื่อ
สร้างสรรค์ด้วยปัญญา เรื่อง การสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
แบบประเมินคุณภาพบทเรียนบนเว็บสำหรับผู้เชี่ยวชาญ
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถาม
ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อบทเรียนบนเว็บตามแนว
ทฤษฏีการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญา เรื่อง การสร้าง
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่
ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test
ผลการวิจัยพบว่า 1) บทเรียนบนเว็บตามแนว
ทฤษฏีการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญาเรื่อง การสร้าง
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ มีประสิทธิภาพ 85.45/84.85 ซึ่งสูง
กว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนของนักเรียนหลังการเรียนจากบทเรียนบนเว็บตามแนว
ทฤษฏีการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญาเรื่อง การสร้าง
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทาง
สถิติที่ระดับ .05 และ 3) ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อ
บทเรียนบนเว็บ อยู่ในระดับดี
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/442
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 1 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/443
2009-06-19T11:33:20Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090619 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การใช้ปัญหาปลายเปิดเพื่อส่งเสริมทักษะการให้เหตุผลและทักษะการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
ชอบเอียด, จิตติมา
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบ
ทักษะการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้โดยการใช้ ปัญหาปลายเปิดและเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบทักษะการ
สื่อสารทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
หลังจากการจัดการเรียนรู้โดยการใช้ปัญหาปลายเปิดกับเกณฑ์
กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2550 โรงเรียนศรีบุณยานนท์ จังหวัดนนทบุรี ที่ได้ จากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) 1
ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 45 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ครั้งนี้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้โดยการใช้ปัญหาปลายเปิด
เรื่อง การประยุกต์ 2 แบบทดสอบวัดทักษะการให้เหตุผลทาง คณิตศาสตร์ และแบบสังเกตทักษะการสื่อสารทางคณิตศาสตร์
ดำเนินการสอนโดยใช้การจัดการเรียนรู้โดยการใช้ปัญหา
ปลายเปิด เรื่อง การประยุกต์ 2 จำนวน 15 คาบ ทดสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียนจำนวน 3 ชั่วโมง แบบแผนการวิจัยเป็นแบบ
One-Group Pretest-Posttest Design วิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้ค่าสถิติ t-test for dependent samples และค่าสถิติ
t-test for one samples ผลการศึกษาพบว่า
1. ทักษะการให้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังการจัดการเรียนรู้โดยการ ใช้ปัญหาปลายเปิดสูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้โดยการใช้
ปัญหาปลายเปิด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .012.
ทักษะการสื่อสารทางคณิตศาสตร์ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 หลังการจัดการเรียนรู้โดยการใช้ปัญหาปลายเปิดสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ
70 อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 80.67
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/443
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 1 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/444
2009-06-19T11:34:04Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090619 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การพัฒนาชุดการเรียนคณิตศาสตร์โดยใช้หลักการเรียนรู้แบบไตรสิกขา เรื่อง การเสริมทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ศรีสวัสดิ์, สนฤดี
การศึกษาครั้งนี้ มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนาชุดการ
เรียนคณิตศาสตร์โดยใช้หลักการเรียนรู้แบบไตรสิกขา เรื่อง
การเสริมทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เปรียบเทียบทักษะ/กระบวนการทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการ เรียนด้วยชุดการเรียนคณิตศาสตร์ โดยใช้หลักการเรียนรู้แบบ
ไตรสิกขา เรื่อง การเสริมทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์
และเปรียบเทียบทักษะ/กระบวนการทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนด้วยชุดการเรียนคณิตศาสตร์กับเกณฑ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 โรงเรียน จุฬาภรณราชวิทยาลัย เพชรบุรี อำเภอชะอำ จังหวัด
เพชรบุรี โดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) จำนวน 1 ห้องเรียน 31 คน เวลาที่ใช้ในการสอน
18 ชั่วโมง แบบแผนการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบ One- Group Pretest-Posttest Design วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติ
t – test for Dependent Samples และค่าสถิติ ttest for One Sample
ผลการศึกษาพบว่า
1. ชุดการเรียนคณิตศาสตร์ โดยใช้หลักการ เรียนรู้แบบไตรสิกขา เรื่อง การเสริมทักษะกระบวนการทาง
คณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพโดยเฉลี่ย 87.23/86.58 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์
80/80
2. ทักษะ/กระบวนการทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังเรียนด้วยชุดการเรียน คณิตศาสตร์ โดยใช้หลักการเรียนรู้แบบไตรสิกขา เรื่อง การ
เสริมทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์สูงกว่าก่อนเรียน
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3. ทักษะ/กระบวนการทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
3 หลังเรียนด้วยชุดการเรียน คณิตศาสตร์ โดยใช้หลักการเรียนรู้แบบไตรสิกขา เรื่อง การ
เสริมทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ผ่านเกณฑ์ร้อยละ
70 ขึ้นไปอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมี
ค่าเฉลี่ยร้อยละ 82.67
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/444
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 1 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/445
2009-06-19T11:36:18Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090619 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การศึกษาความเครียดและการลดความเครียดในการใช้ชีวิตภายในเรือนจำของผู้ต้องขังโดยการให้คำปรึกษาแบบกลุ่มโดยยึดหลักอริยสัจ 4
หลินภู, พระมหามนตรี
อรรถศิริ, อาจารย์ อนุสรณ์
อ่อนโคกสูง, รองศาสตราจารย์ ชูชีพ
การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความเครียด
และการใช้โปรแกรมการให้คำปรึกษาแบบกลุ่มโดยยึดหลัก
อริยสัจ 4 เพื่อลดความเครียดในการใช้ชีวิตภายในเรือนของ
ผู้ต้องขัง ประชากรที่ศึกษาเป็นผู้ต้องขังชาย คดียาเสพติด
จำนวน 150 คน กลุ่มตัวอย่างคัดเลือกจากประชากรที่มีคะแนน
ความเครียดตั้งแต่ระดับเปอร์เซ็นไทล์ที่ 75 ขึ้นไป จำนวน 18
คน และมีความสมัครใจเข้าร่วมโปรแกรมแล้วสุ่มอย่างง่ายเพื่อ
แบ่งเป็นกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 9 คน เครื่องมือที่
ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามความเครียดในการใช้ชีวิต
ภายในเรือนจำของผู้ต้องขังและโปรแกรมการให้คำปรึกษาแบบ
กลุ่มโดยยึดหลักอริยสัจ 4 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่
สถิติพื้นฐาน t-test และ F-test
ผลการวิจัย พบว่า
1. ผู้ต้องขังมีความเครียดในการใช้ชีวิตไม่
แตกต่างกัน เมื่อจำแนกตามอายุ สถานภาพสมรสและ
กำหนดโทษ
2. ผู้ต้องขังที่เข้าร่วมโปรแกรมการให้คำปรึกษา
แบบกลุ่มโดยยึดหลักอริยสัจ 4 มีความเครียดในการใช้ชีวิต
ภายในเรือนจำลดลง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. ผู้ต้องขังที่เข้าร่วมโปรแกรมการให้คำปรึกษา
แบบกลุ่มโดยยึดหลักอริยสัจ 4 มีความเครียดในการใช้ชีวิต
ภายในเรือนลดลงมากกว่าผู้ต้องขังที่ไม่ได้เข้าร่วมโปรแกรม
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/445
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 1 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/446
2009-06-19T11:37:21Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090619 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ผลสัมฤทธิ์และความคงทนในการจำจากหนังสือการ์ตูนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง มาตราตัวสะกดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนกิตติคุณ
มะโนธรรม, ปารัชญา
ประเสริฐสรวย, รองศาสตราจารย์สุรชัย
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) สร้าง
หนังสือการ์ตูนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง มาตราตัวสะกดที่มีคุณภาพ
จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ 2) เพื่อเปรียบเทียบคะแนน
ทดสอบก่อนเรียนกับคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง
มาตราตัวสะกด จากหนังสือการ์ตูนอิเล็กทรอนิกส์ ของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และ 3) เพื่อศึกษาความคงทนในการจำ
เรื่อง มาตราตัวสะกด จากหนังสือการ์ตูนอิเล็กทรอนิกส์ ของ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน
การวิจัยครั้งนี้ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 / 1 ภาค
เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 โรงเรียนกิตติคุณ ซึ่งใช้เทคนิคการ
สุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) โดยการสุ่มมา
1 ห้องเรียน ซึ่งจัดห้องเรียนแบบคละกันจับสลากออกมาเป็น
กลุ่มตัวอย่าง 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 39 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ 1. หนังสือการ์ตูน
อิเล็กทรอนิกส์ 2. แบบประเมินคุณภาพของเครื่องมือ
สำหรับผู้เชี่ยวชาญ 3. แบบทดสอบก่อนเรียน แบบทดสอบ
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4. แบบทดสอบวัดความคงทน
ในการจำ ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วน
เบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test
ผลการวิจัยพบว่า 1) คุณภาพของหนังสือการ์ตูน
อิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง มาตราตัวสะกดของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญมีคุณภาพอยู่
ในระดับดี 2) คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าคะแนน
ทดสอบก่อนเรียน จากหนังสือการ์ตูนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง
มาตราตัวสะกด แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่
ระดับ .05 และ 3) คะแนนความคงทนในการจำ ที่เรียนจาก
หนังสือการ์ตูนอิเล็กทรอนิกส์ เรื่อง มาตราตัวสะกด สูงกว่า
คะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่
ระดับ .05
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/446
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 1 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/447
2009-06-19T11:44:13Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090619 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ผลของการฝึกพฤติกรรมที่เหมาะสมที่มีต่อการพูดหน้าชั้นเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนทรงวิทยา จังหวัดสมุทรปราการ
เอี่ยมทัศนะ, ธรรมโชติ
จุลรัตน์, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พาสนา
กรีทอง, รองศาสตราจารย์ เวธนี
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาผลของการ
ฝึกพฤติกรรมที่เหมาะสมที่มีต่อการพูดหน้าชั้นเรียนของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนทรงวิทยา จังหวัดสมุทรปราการ
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2550 ที่มีพฤติกรรมการพูดหน้า
ชั้นเรียนไม่เหมาะสม จำนวน 16 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มอย่าง
ง่ายจากประชากร แล้วสุ่มอย่างง่ายอีกครั้งหนึ่งเป็นกลุ่มทดลอง
และกลุ่มควบคุม กลุ่มละ 8 คน กลุ่มทดลองได้รับการฝึก
พฤติกรรมที่เหมาะสม กลุ่มควบคุมได้รับการให้ข้อสนเทศ
เครื่องมือที่ใช้ ในการศึกษา ได้แก่ โปรแกรมการฝึกพฤติกรรมที่เหมาะสม โปรแกรมการให้ข้อสนเทศ และแบบบันทึก
พฤติกรรมการพูดหน้าชั้นเรียน โดยมีแบบแผนการทดลอง
แบบสลับกลับ ABA (ABA Reversal Design) สถิติที่ใช้ใน
การวิเคราะห์ข้อมูล คือ การทดสอบของวิลคอกซัน และการ
ทดสอบของแมนวิทนีย์
ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนทรงวิทยา
จังหวัดสมุทรปราการ มีพฤติกรรมการพูดหน้าชั้นเรียน
เหมาะสมมากขึ้นหลังจากได้รับการฝึกพฤติกรรมที่เหมาะสม
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนทรงวิทยา
จังหวัดสมุทรปราการ มีพฤติกรรมการพูดหน้าชั้นเรียน
เหมาะสมมากขึ้นหลังจากได้รับการให้ข้อสนเทศ อย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. นักเรียนที่ได้รับการฝึกพฤติกรรมที่เหมาะสมมี
พฤติกรรมการพูดหน้าชั้นเรียนเหมาะสมมากขึ้นกว่านักเรียน
ที่ได้รับการให้ข้อสนเทศ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่
ระดับ .01
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/447
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 1 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/448
2009-06-19T11:46:01Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090619 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ปัจจัยที่ส่งผลต่อนิสัยในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนเบญจมราชาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
เพ่งเล็งผล, อัจฉรา
กรีทอง, รองศาสตราจารย์ เวธนี
จุลรัตน์, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พาสนา
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อ
นิสัยในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4
โรงเรียนเบญจมราชาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดย
จำแนกปัจจัยที่ศึกษาเป็น 3 ด้าน คือ ปัจจัยด้านส่วนตัว ได้แก่
ระดับชั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการ
เรียนวิชาคณิตศาสตร์ บุคลิกภาพ และความฉลาดทางอารมณ์
ปัจจัยด้านครอบครัว ได้แก่ ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว
และการสนับสนุนของผู้ปกครองด้านการเรียน และปัจจัยด้าน
สิ่งแวดล้อมในโรงเรียน ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพด้านการ
เรียนวิชาคณิตศาสตร์ สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู และ
สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนช่วงชั้นที่ 4
โรงเรียนเบญจมราชาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ปี
การศึกษา 2550 จำ นวน 244 คน ได้แก่ นักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 83 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
จำนวน 85 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 76 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ แบบสอบถามปัจจัยที่
ส่งผลต่อนิสัยในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของ
เพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ผลการวิจัย พบว่า
1. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับนิสัยในการ
เรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนในช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียน
เบญจมราชาลัย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 7
ปัจจัย ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (X4) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์
ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (X6) บุคลิกภาพ (X7) ความ
ฉลาดทางอารมณ์ (X8) การสนับสนุนของผู้ปกครองด้านการ
เรียน (X9) ลักษณะทางกายภาพทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
(X10) และสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู (X11)
2. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับนิสัยในการ
เรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนในช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียน
เบญจมราชาลัย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 1
ปัจจัย ได้แก่ ระดับชั้น : ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 (X3)
3. ปัจจัยที่ไม่มีความสัมพันธ์กับนิสัยในการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ของนักเรียนในช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนเบญจมราชา
ลัย มี 4 ปัจจัย ได้แก่ ระดับชั้น : ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 (X1)
ระดับชั้น : ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 (X2) ฐานะทางเศรษฐกิจของ
ครอบครัว (X5) และสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน
(X12)
4. ปัจจัยที่สามารถพยากรณ์นิสัยในการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนเบญจมราชาลัย
เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่
ระดับ .01 มี 3 ปัจจัย โดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่มีอิทธิพลมาก
ที่สุดไปหาน้อยที่สุด ได้แก่ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน
วิชาคณิตศาสตร์ (X6) บุคลิกภาพ (X7) และสัมพันธภาพ
ระหว่างนักเรียนกับครู (X11) ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัย นี้ สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนนิสัยในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์
ได้ร้อยละ 63.7
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/448
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 1 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/449
2009-06-19T11:46:38Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090619 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับตัวด้านการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนช่วงชั้นที่3โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม
มุราชัย, นุจรี
กรีทอง, รองศาสตราจารย์ เวธนี
จุลรัตน์, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พาสนา
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผล
ต่อการปรับตัวด้านการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนช่วง
ชั้นที่3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จังหวัด
มหาสารคาม โดยจำแนกปัจจัยที่ศึกษาเป็น 3 ด้าน คือ ปัจจัย
ด้านส่วนตัว ได้แก่ เพศ อายุ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นิสัย
ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ และ เจตคติต่อการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ ปัจจัยด้านครอบครัว ได้แก่ สัมพันธภาพ
ระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครอง และการสนับสนุนด้านการเรียน
ของผู้ปกครอง และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน ได้แก่
ลักษณะทางกายภาพของโรงเรียนสัมพันธภาพระหว่างนักเรียน
กับครู และสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียน
ช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จังหวัด
มหาสารคาม ปีการศึกษา 2550 จำนวนทั้งสิ้น 327 คน
เป็นนักเรียนหญิง 199 คน และนักเรียนชาย 128 คน เป็น
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน121คน เป็นนักเรียน
หญิง 76 คน และนักเรียนชาย 45 คน นักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน102 คน เป็นนักเรียนหญิง 66 คน
และนักเรียนชาย 36 คน และนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
จำนวน 104 คน เป็นนักเรียนหญิง 57 คน และนักเรียนชาย
47 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่
แบบสอบถามปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับตัวด้านการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ ซึ่งแบ่งเป็น 3 ด้าน ได้แก่ ปัจจัยด้านส่วนตัว
ปัจจัยด้านครอบครัว และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์ค่า
สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและการวิเคราะห์การ
ถดถอยพหุคูณ
ผลการวิจัย พบว่า
1. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการปรับตัว
ด้านการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติที่ระดับ .01 ปัจจัย ได้แก่ นิสัยทางการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ (X5) เจตคติต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (X6)
สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครอง (X7) การ
สนับสนุนด้านการเรียนของผู้ปกครอง (X8) ลักษณะทาง
กายภาพของโรงเรียน (X9) สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับ
ครู (X10) และสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน (X11)
2. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับการปรับตัว
ด้านการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติที่ระดับ.01 มี 1 ปัจจัย คือ อายุ (X3)
3. . ปัจจัยที่ไม่มีความสัมพันธ์กับการปรับตัวด้าน
การเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียน มี 3 ปัจจัย ได้แก่ เพศ
ชาย (X1) เพศหญิง (X2) และ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (X6)
4.ปัจจัยที่ส่งผลการปรับตัวด้านการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ของนักเรียนอย่างมีนัยสำ คัญทางสถิติที่
ระดับ.01 มี 1 มี 3 ปัจจัย โดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผล
มากที่สุดไปหาปัจจัยที่ส่งผลน้อยที่สุด ได้แก่ เจตคติต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (X6) นิสัยทางการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ (X5) และสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู
(X10) ซึ่งทั้ง 3 ปัจจัยนี้ สามารถร่วมกันอธิบายความ
แปรปรวนของการปรับตัวด้านการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ได้
ร้อยละ 54.7
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/449
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 1 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/450
2009-06-19T11:47:20Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090619 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการวางแผนการใช้เวลาเรียนที่ เหมาะสมของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนบ้านสำราญ จังหวัดนครพนม
สุพรรณกูล, กันยา
กรีทอง, รองศาสตราจารย์ เวธนี
จุลรัตน์, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พาสนา
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษา ปัจจัยที่ส่งผล
ต่อการวางแผนการใช้เวลาเรียนที่เหมาะสมของนักเรียนช่วงชั้น
ที่ 3 โรงเรียนบ้านสำราญ จังหวัดนครพนม โดยจำแนกปัจจัยที่
ศึกษาเป็น 3 ด้านคือ ปัจจัยด้านส่วนตัว ได้แก่ เพศ ระดับชั้น
นิสัยทางการเรียน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บุคลิกภาพ และ
แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน ปัจจัยด้านครอบครัว ได้แก่
ภาระ งานที่ได้รับมอบหมาย ความคาดหวังของ ผู้ปกครองและ
ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวและปัจจัยทางด้าน
สภาพแวดล้อม ทางการเรียน ได้แก่ การเลียนแบบ อาจารย์
และการ เลียนแบบเพื่อน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนช่วงชั้นที่
3 โรงเรียนบ้านสำราญ จังหวัดนครพนม ปีการศึกษา 2550
จำ นวน 120 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่
แบบสอบถามวางแผนการใช้เวลาเรียนที่เหมาะสมของ
นักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนบ้านสำราญ จังหวัดนครพนม
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์ค่า
สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและการวิเคราะห์การ
ถดถอยพหุคูณ
1. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการวาง
แผนการใช้เวลาเรียนที่เหมาะสมของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3
โรงเรียนบ้านสำราญ จังหวัดนครพนม อย่างมีนัยสำคัญทาง
สถิติที่ระดับ .01 มี 6 ปัจจัย ได้แก่ นิสัยทางการเรียน ( x8)
บุคลิกภาพ (x9) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน ( x10)
ภาระงานที่ได้รับมอบหมายในครอบครัว ( x11) ความ
คาดหวังของผู้ปกครอง ( x12) และการเลียนแบบอาจารย์ (
x13) และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับนักเรียนช่วงชั้น
ที่ 3 โรงเรียนบ้านสำราญ จังหวัดนครพนม อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 ปัจจัย ได้แก่ ระดับชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 1 ( x3)
2. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับการวาง
แผนการใช้เวลาเรียนที่เหมาะสมของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3
โรงเรียนบ้านสำราญ จังหวัดนครพนม อย่างมีนัยสำคัญทาง
สถิติที่ระดับ .05 มี 1 ปัจจัย ได้แก่ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่
2 (x4)
3. ปัจจัยที่ไม่มีความสัมพันธ์กับการวางแผนการใช้
เวลาเรียนที่เหมาะสมของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนบ้าน
สำราญ จังหวัดนครพนม มี 6 ปัจจัย ได้แก่ เพศชาย ( x1)
เพศหญิง ( x2) ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ( x5) ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน (X6) ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว (X7)
และการเลียนแบบเพื่อน (X14)
4. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการวางแผนการใช้เวลาเรียนที่
เหมาะสมของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนบ้านสำราญ
จังหวัดนครพนม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 3
ปัจจัยโดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดไปหาปัจจัย
ที่ส่งผลน้อยที่สุด ได้แก่ การเลียนแบบอาจารย์ ( x14)ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 (x4) และภาระงานที่ได้รับ
มอบหมายในครอบครัว ( x12) ซึ่งปัจจัยทั้ง 3 ปัจจัยนี้
สามารถร่วมกันอธิบายการวางแผนการใช้เวลาเรียนที่
เหมาะสมของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนบ้านสำราญ
จังหวัดนครพนม ได้ร้อยละ 47.6
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/450
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 1 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/452
2009-06-19T11:47:54Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090619 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความรับผิดชอบในการเรียนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนพรหมคีรีพิทยาคม จังหวัดนครศรีธรรมราช
สมคิด, สิรินทิพย์
กรีทอง, รองศาสตราจารย์ เวธนี
จุลรัตน์, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พาสนา
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อ
ความรับผิดชอบในการเรียนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียน
พรหมคีรีพิทยาคม จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยจำแนกปัจจัยที่
ศึกษาเป็น 3 ด้าน คือ ปัจจัยด้านส่วนตัว ได้แก่ เพศ ระดับชั้น
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บุคลิกภาพ นิสัยทางการเรียน และ
แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน ปัจจัยด้านครอบครัว ได้แก่
ฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ปกครอง สัมพันธภาพระหว่างนักเรียน
กับผู้ปกครอง และความคาดหวังของผู้ปกครอง และปัจจัยด้าน
สิ่งแวดล้อมในโรงเรียน ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพด้านการ
เรียน สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู และสัมพันธภาพ
ระหว่างนักเรียนกับเพื่อน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนช่วงชั้นที่
4 โรงเรียนพรหมคีรีพิทยาคม จังหวัดนครศรีธรรมราช ปี
การศึกษา 2550 จำนวน 272 คนเป็นนักเรียนหญิง 200 คน
และนักเรียนชาย 72 ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
จำนวน 91 คน เป็นนักเรียนหญิง 60 คน นักเรียนชาย 31 คน
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 102 คน เป็นนักเรียน
หญิง 72 คน นักเรียนชาย 30 คน นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี
ที่ 6 จำนวน 79 คน เป็นนักเรียนหญิง 68 คน นักเรียนชาย
11 คน เครื่องมือ ที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แ ก่
แบบสอบถามปัจจัยที่ส่งผลความรับผิดชอบในการเรียน สถิติ
ที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์
สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ผลการวิจัย พบว่า
1. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความ
รับผิดชอบในการเรียนของนักเรียนในช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียน
พรหมคีรีพิทยาคม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 8
ปัจจัย ได้แก่ เพศ : หญิง (X2) บุคลิกภาพ (X8) นิสัยทางการ
เ รีย น ( X9 ) แ ร ง จูง ใ จ ใ ฝ่สัม ฤ ท ธิ์ท า ง ก า ร เ รีย น
(X10)สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครอง (X11) ความ
คาดหวังของผู้ปกครอง (X12) สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับ
ครู (X14) และสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน (X15)
และปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความรับผิดชอบใน
การเรียนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนพรหมคีรีพิทยาคม
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 ปัจจัย ได้แก่
ลักษณะทางกายภาพทางการเรียน (X13)
2. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับความ
รับผิดชอบในการเรียนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนพรหม
คีรีพิทยาคม จังหวัดนครศรีธรรมราช อย่างมีนัยสำคัญทาง
สถิติที่ระดับ .01 มี 1 ปัจจัย ได้แก่ เพศ : ชาย (X1)
3.ปัจจัยที่ไม่มีความสัมพันธ์กับความรับผิดชอบ
ในการเรียนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนพรหมคีรีพิทยา
คม จังหวัดนครศรีธรรมราช มี 5 ปัจจัย ได้แก่ ระดับชั้น : ชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 4 (X3) ระดับชั้น : ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 (X4)
ระดับชั้น : ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 (X5) ผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียน (X6) และฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว (X7)
4. ปัจจัยที่สามารถพยากรณ์ความรับผิดชอบใน
การเรียนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนพรหมคีรีพิทยาคม
จังหวัดนครศรีธรรมราช อย่างมีนัยสำ คัญทางสถิติที่
ระดับ .01 มี 5 ปัจจัย โดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผลมาก
ที่สุดไปหาปัจจัยที่ส่งผลน้อยที่สุด ได้แก่ บุคลิกภาพ
(X8)สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครอง (X11) แรงจูงใจ
ใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน (X10) สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับ
ครู (X14) และนิสัยทางการเรียน (X9) ซึ่งทั้ง 5 ปัจจัยนี้
สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของความรับผิดชอบ
ในการเรียนได้ ร้อยละ 49.5
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/452
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 1 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/453
2009-06-19T11:48:45Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090619 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ผลการจัดการเรียนการสอนแบบอริยสัจ 4 ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาและทักษะการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที 5
สมานสินธุ์, บงกชรัตน์
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบความสามารถ
ในการแก้ปัญหาและทักษะการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ก่อน
และหลังการจัดการเรียนการสอนแบบอริยสัจ 4 และ เปรียบเทียบความสามารถในการแก้ปัญหาและทักษะการ
เชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์กับเกณฑ์
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 ของโรงเรียน จุฬาภรณราชวิทยาลัย เพชรบุรี จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งได้มาจากการ
สุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) จำนวน 1
ห้องเรียน นักเรียนทั้งหมด 28 คน ใช้เวลาในการสอน 19 คาบ แบบแผนการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบ One – Group Pretest–Posttest Design
วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติ t-test
dependent samples และค่าสถิติ one sample t-test
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/453
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 1 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 1 ม.ค.-มิ.ย. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/454
2009-06-10T11:54:07Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090610 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
Valuing and Developing Students’ Creativity
Chuchat, Assoc. Prof. Somchai
Creativity and creative teaching are becoming
part of the educational psyche but let’s set the concept
of creativity within some kind of context. The government
is beginning to recognize that young people need to
develop the creative skills that will be necessary in the
workplace of the future. Fast-moving technology and the
increasing demands for flexibility and imagination mean
that all our students need to be able to pose questions
such as ‘what if…?’, ‘why…?’ and ‘why not?’
It is also more than likely that, as young people
start their careers, they will move jobs several times and
will need ability to cope with change so that they can
produce creative solutions to increasingly complex
environments. Creative teaching practices will help
prepare them for this-promoting the ability to solve
problems, think independently and work flexibly.
In Expecting the Unexpected: Developing
Creativity in Primary and Secondary Schools
(www.ofsted.gov.uk) the Office for Standards in
Education (Ofsted) suggests that ‘being creative’ and
‘creative teaching’ are not radical or new concepts-all
that they really involve is a willingness to observe, listen
and work closely with students to help them develop their
ideas in a purposeful way.
Ofsted goes on to suggest that it is vital that
school leadership is committed to promote creativity
because this support and encouragement will permit
both students and teachers to work creatively and
help to ensure that good practice is recognized,
resourced properly and disseminated across the
school. It identifies four characteristics of creativity in
schools:
• thinking and behaving imaginatively
• imaginative activities take place in a purposeful way, i.e. related to a specific objective
• the activity generates something original
• There is value in the activity that is related to the original objective.
I think this is an interesting definition when it is
applied to teaching and learning because it
immediately removes any vague ideas that all
creativity is about is lying on summer lawns thinking
‘creative’ thoughts that are never realized.
To be able to develop students’ creativity we
need to begin with a review of our own attitudes and
beliefs and then come up with ideas and specific
activities inspiring creativity; these may be
complemented with ideas of other people (e.g.
exchange ideas, talk to other teachers, go to workshops,
read books).
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-10 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/454
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 3 (2550): ปี่ที่ 8 ฉบับที่ 3 ก.ย.-ธ.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/455
2009-06-10T11:54:07Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090610 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การบูรณาการรายวิชาในหลักสูตรการอุดมศึกษา
เจียระนัย, ดร.วินิดา
ตลอดศตวรรษที่ 20 การบูรณาการรายวิชา ใน หลักสูตรการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษาได้มีการพัฒนาบาง
รายวิชาให้มีลักษณะของการบูรณาการ ในปัจจุบัน จึงมีหลาย
รายวิชาที่จัดการเรียนการสอนให้นิสิตเรียนรู้หลายสาขาวิชา
เพิ่มขึ้น โดยพัฒนาอาจารย์ให้มีความรู้กว้างขวางในเนื้อหาวิชา
อื่น หรืออาจารย์บางท่านพยายามติดต่อกับอาจารย์สาขาวิชา
อื่นเพื่อให้ความรู้ในบางหัวข้อกับนิสิต และมีการวางแผนจัดการ
สอนที่แบ่งปันความรู้ร่วมกันและการเข้าร่วมชั้นเรียนกับอาจารย์
ที่สอนวิชาอื่น ดังนั้น คณาจารย์จึงพบกันทุกสัปดาห์ตลอดปี
เพื่อวางแผนการสอนและปรับปรุงรายวิชา ในที่สุด เส้นกั้น
พรมแดนระหว่างรายวิชาก็หายไป และให้ความสนใจกับ
โครงสร้างความเข้าใจในเรียนรู้ของนิสิตแบบใหม่ ผลสุดท้าย
นิสิตได้ใช้เวลาเล็กน้อยในการเรียนรู้วิชาเฉพาะสาขาและ
ขอบข่ายของสาขาวิชาความรู้ที่เกี่ยวข้องด้วยการบูรณาการการ
เรียนรู้ที่สูงขึ้น
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-10 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/455
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 3 (2550): ปี่ที่ 8 ฉบับที่ 3 ก.ย.-ธ.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/456
2009-06-16T15:12:28Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090616 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ความแตกต่างระหว่างเทคโนโลยีการศึกษากับเทคโนโลยีสารสนเทศ
โศภีรักข์, รองศาสตราจารย์ ดร.สาโรช
บทบาทสมมติ เป็นรูปแบบการเรียนการสอนอย่างหนึ่งที่ช่วยสะท้อนความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ที่อยู่ภายในของผู้เรียนออกมา ทำให้สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่เปิดเผยออกมา และนำมาซึ่งการศึกษาทำความเข้าใจกันได้ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับตนเอง เกิดการเข้าใจในตนเอง ในขณะเดียวกัน การที่ผู้เรียนสวมบทบาทของผู้อื่น ก็สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในความคิด ค่านิยม และพฤติกรรมของผู้อื่นได้เช่นเดียวกัน นำมาซึ่งการปรับเปลี่ยนเจตคติ ค่านิยม และพฤติกรรมของตน ให้เป็นไปในทางที่เหมาะสม ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ของบทบาทสมมติสอดคล้องกับเนื้อหาวิชาการเรียนการสอนในกลุ่มวิชาสังคมศึกษาอยู่อย่างมากในหลายหัวข้อข้อเนื้อหาวิชา ไม่ว่าจะเป็น เนื้อหาการเรียนการสอนที่เกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมืองตามระบอบประชาธิปไตยกฎหมายที่ควรรู้ในชีวิตประจำวัน บุคคลสำคัญและเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ ซึ่งสามารถใช้กิจกรรมการเรียนการสอนแบบแสดงบทบาทสมมติมาช่วยสะท้อนความรู้ ความคิดพฤติกรรมการแสดงออกในตัวผู้เรียนผ่านเนื้อหาบทเรียนที่นำมาจัดแสดงเป็นบทบาทสมติได้เป็นอย่างดียิ่ง เราจึงไม่ควรมองข้ามคุณสมบัติและความสำคัญของการสอนด้วยวิธีการนี้ไปได้เลยแม้ว่าปัจจุบันเราจะมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษาที่ก้าวไกลไปเพียงใดก็ตาม เพราะเรายังเชื่อมั่นว่าการเรียนการสอนด้วยรูปแบบที่มีมาแล้วแต่ดั้งเดิมอย่างเช่นบทบาทสมมตินี้ ก็ยังคงนำพาให้ผู้สอนให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการสอนที่ดีมีประสิทธิผลได้
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-10 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/456
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 3 (2550): ปี่ที่ 8 ฉบับที่ 3 ก.ย.-ธ.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/457
2009-06-16T15:18:19Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090616 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
บทบาทสมมติ บทบาทที่ไม่ควรมองข้าม : กรณีศึกษาการเรียนการสอนกลุ่มวิชาสังคมศึกษา
จันทน์สุคนธ์, โชตรัศมิ์
บทบาทสมมติ เป็นรูปแบบการเรียนการสอนอย่างหนึ่งที่ช่วยสะท้อนความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ที่อยู่ภายในของผู้เรียนออกมา ทำให้สิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่เปิดเผยออกมา และนำมาซึ่งการศึกษาทำความเข้าใจกันได้ ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับตนเอง เกิดการเข้าใจในตนเอง ในขณะเดียวกัน การที่ผู้เรียนสวมบทบาทของผู้อื่น ก็สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจในความคิด ค่านิยม และพฤติกรรมของผู้อื่นได้เช่นเดียวกัน นำมาซึ่งการปรับเปลี่ยนเจตคติ ค่านิยม และพฤติกรรมของตน ให้เป็นไปในทางที่เหมาะสม ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ของบทบาทสมมติสอดคล้องกับเนื้อหาวิชาการเรียนการสอนในกลุ่มวิชาสังคมศึกษาอยู่อย่างมากในหลายหัวข้อข้อเนื้อหาวิชา ไม่ว่าจะเป็น เนื้อหาการเรียนการสอนที่เกี่ยวกับคุณธรรม จริยธรรม หน้าที่พลเมืองตามระบอบประชาธิปไตยกฎหมายที่ควรรู้ในชีวิตประจำวัน บุคคลสำคัญและเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ ซึ่งสามารถใช้กิจกรรมการเรียนการสอนแบบแสดงบทบาทสมมติมาช่วยสะท้อนความรู้ ความคิดพฤติกรรมการแสดงออกในตัวผู้เรียนผ่านเนื้อหาบทเรียนที่นำมาจัดแสดงเป็นบทบาทสมติได้เป็นอย่างดียิ่ง เราจึงไม่ควรมองข้ามคุณสมบัติและความสำคัญของการสอนด้วยวิธีการนี้ไปได้เลยแม้ว่าปัจจุบันเราจะมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการศึกษาที่ก้าวไกลไปเพียงใดก็ตาม เพราะเรายังเชื่อมั่นว่าการเรียนการสอนด้วยรูปแบบที่มีมาแล้วแต่ดั้งเดิมอย่างเช่นบทบาทสมมตินี้ ก็ยังคงนำพาให้ผู้สอนให้สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการสอนที่ดีมีประสิทธิผลได้
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-10 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/457
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 3 (2550): ปี่ที่ 8 ฉบับที่ 3 ก.ย.-ธ.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/458
2009-06-16T15:21:18Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090616 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ความพึงพอใจต่อการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ประกอบการเรียนวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน
จั่นแดง, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. อังสนา
วรรณโชติ, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คเณศวร์
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนและความพึงพอใจต่อการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
วิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน(แคลคูลัส 2) เรื่อง ฟังก์ชันหลายตัว
แปร อนุพันธ์ย่อย และการประยุกต์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักศึกษา
ที่ลงทะเบียนเรียนวิชาแคลคูลัส 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา
2547 ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
จำนวน 159 คน ได้จากการสุ่มอย่างง่าย จากการประเมิน
วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการตอบแบบสอบถาม
ความพึงพอใจต่อการใช้บทเรียน พบว่า นักศึกษามีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นักศึกษามีความพึงพอใจต่อ
การใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนประกอบการเรียนอยู่ใน
ระดับดี แต่ระดับความพึงพอใจต่อการใช้บทเรียนมี
สหสัมพันธ์ทางลบกับผลสัมฤทธิ์หลังเรียน อย่างมีนัยสำคัญทาง
สถิติที่ระดับ .05
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-10 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/458
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 3 (2550): ปี่ที่ 8 ฉบับที่ 3 ก.ย.-ธ.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/459
2009-06-16T15:23:13Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090616 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ระบบบำบัดน้ำเสียที่เหมาะสมในสถานศึกษา : แหล่งเรียนรู้ด้านสิ่งแวดล้อมศึกษาสำหรับโรงเรียนขยายโอกาส สังกัดกรุงเทพมหานคร
ทองปาน, ดร.สนอง
การวิจัยครั้งนี้ มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาประสิทธิภาพของระบบบำบัดน้ำเสียที่เหมาะสมสำหรับโรงเรียนขยายโอกาสสังกัดกรุงเทพมหานครตามค่าพารามิเตอร์ 5 ค่า และเพื่อศึกษาประสิทธิภาพของบทปฏิบัติการเรื่องการบำบัดน้ำเสียในการศึกษาตามความมุ่งหมายดังกล่าว ผู้วิจัยได้สร้างระบบบำบัดนํ้าเสียขึ้นในพื้นที่ของโรงอาหารในโรงเรียนวัดปุรณาวาส กรุงเทพมหานคร ระบบบำบัดฯ.ที่สร้างขึ้นสามารถบำบัดน้ำเสียได้วันละประมาณ 23.8 ลบ.ม. ผู้วิจัยได้ใช้ระบบบำบัดฯ. ดังกล่าวทดลองบำบัดน้ำเสียจากโรงอาหารโรงเรียนวัดปุรณาวาส ในระหว่าง วันที่ 5 กุมภาพันธุ์ 2550 ถึง วันที่ 3มีนาคม 2550ผลการศึกษาพบว่า คุณภาพของน้ำที่ผ่านการบำบัดมีค่าเฉลี่ยตามค่าพารามิเตอร์ที่ศึกษาคือ ค่าพีเอช ค่าบีโอดี ค่าซีโอดี ปริมาณสารแขวนลอย และน้ำมันและไขมัน เท่ากับ 7.40,12.45 mg/l, 72.63 mg/l, 25.75 mg/l และ 7.64 mg/lตามลำดับ ค่าดังกล่าวเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม 2537ประสิทธิภาพของบทปฏิบัติการเรื่องการบำบัดน้ำเสียมีค่า IC เท่ากับ 0.70 ซึ่งมีค่าสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนดไว้ที่ 0.50
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-10 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/459
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 3 (2550): ปี่ที่ 8 ฉบับที่ 3 ก.ย.-ธ.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/460
2009-06-16T15:31:09Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090616 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ปัจจัยที่ส่งผลต่อสมาธิในการเรียนของนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร
สารธมฺโม, พระธีราภิสุทธิ์
พลอยเลื่อมแสง, ผศ.พรรณรัตน์
กรีทอง, รศ.เวธนี
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่
ส่งผลต่อสมาธิในการเรียนของนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 3 โรง
เรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา
กรุงเทพมหานคร ปัจจัยที่ศึกษาแบ่งเป็น 3 ปัจจัย ได้แก่ ปัจจัย
ด้านส่วนตัว ได้แก่ เพศ ระดับชั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
บุคลิกภาพ นิสัยทางการเรียน และ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์
ทางการเรียน ปัจจัยด้านครอบครัว ได้แก่ สภาพครอบครัว
ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว และสัมพันธภาพระหว่าง
นักเรียนกับผู้ปกครองด้านการเรียน และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม
ทางการเรียน ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพทางการเรียน
สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู และสัมพันธภาพระหว่าง
นักเรียนกับเพื่อนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนระดับช่วง
ชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล
เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2549 จำนวน
337 คน เป็นนักเรียนชาย 157 คน และนักเรียนหญิง 180
คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ แบบสอบถาม
ปัจจัยที่ส่งผลต่อสมาธิในการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์
ข้อมูล คือ การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์
สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ผลการศึกษา พบว่า
1. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับสมาธิใน
การเรียนของนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินท
ราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา
กรุงเทพมหานคร มีดังนี้
1.1 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับสมาธิใน
การเรียนของนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 3 อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติที่ระดับ .05 มี 2 ปัจจัย ได้แก่ เพศ : นักเรียนหญิง
(X2) และระดับชั้น : มัธยมศึกษาปีที่ 1 (X3)
1.2 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับสมาธิใน
การเรียนของนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 3 อย่างมีนัยสำคัญทาง
สถิติที่ระดับ .01 มี 8 ปัจจัย ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
(X6) บุคลิกภาพ (X11) นิสัยทางการเรียน (X12) แรงจูงใจใฝ่
สัมฤทธิ์ทางการเรียน (X13) สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับ
ผู้ปกครองด้านการเรียน(X14) ลักษณะทางกายภาพทางการ
เรียน (X15) สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู และ
สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน( X17)
2. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับสมาธิในการ
เรียนของนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ
สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา กรุงเทพมหานคร มี
ดังนี้
2.1 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับสมาธิ
ในการเรียนของนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนนวมินท
ราชินูทิศ สตรีวิทยา พุทธมณฑล เขตทวีวัฒนา
กรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี
1 ปัจจัย ได้แก่ เพศ : นักเรียนชาย ( X1)
2.2 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับสมาธิ
ในการเรียนของนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 1 ปัจจัย ได้แก่ ระดับชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 2
3. ปัจจัยที่มีไม่มีความสัมพันธ์กับสมาธิในการเรียน
ของนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 3 5 ปัจจัย ได้แก่ ระดับชั้น :
มัธยมศึกษาปีที่ 3 (X5) ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว
(X7) สภาพครอบครัว : บิดามารดาอยู่ด้วยกัน (X8)สภาพ
ครอบครัว : บิดามารดาหย่าร้างกัน (X9) และสภาพ
ครอบครัว : บิดามารดาถึงแก่กรรม (X10)
4. ปัจจัยที่ส่งผลต่อสมาธิในการเรียนของนักเรียน
ในระดับช่วงชั้นที่ 3 อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
มี 5 ปัจจัยโดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุด ไปหา
ปัจจัยที่ส่งผลน้อยที่สุด ได้แก่ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการ
เรียน(X13) นิสัยทางการเรียน (X12) สัมพันธภาพระหว่าง
นักเรียนกับครู (X16) บุคลิกภาพ (X11) และสัมพันธภาพ
ระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครอง(X14) โดยทั้ง 5 ปัจจัยนี้
สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนสมาธิในการเรียนของ
นักเรียนช่วงชั้นที่ 3 ได้ร้อยละ 60.50
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-10 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/460
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 3 (2550): ปี่ที่ 8 ฉบับที่ 3 ก.ย.-ธ.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/461
2009-06-16T15:32:35Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090616 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ปัจจัยที่ส่งผลต่อปัญหาในการเรียนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เขตภาษีเจริญ
พุฒหอม, พระมหาเดชจำลอง
กรีทอง, รองศาสตราจารย์เวธนี
เผ่ามหานาคะ, อาจารย์นันทวิทย์
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่
ส่งผลต่อปัญหาในการเรียนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนวัด
นวลนรดิศ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ปัจจัยที่ศึกษา
แบ่งเป็น 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยด้านส่วนตัว ปัจจัยด้านครอบครัว
และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในการเรียน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนช่วงชั้น
ที่ 4 โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ปี
การศึกษา 2549 จำนวน 327 คน เป็นนักเรียนชาย 188 คน
และนักเรียนหญิง 139 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น
(Stratified Random Sampling) โดยใช้ระดับชั้นและเพศเป็น
ชั้น (Strata) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม
ปัจจัยที่ส่งผลต่อปัญหาในการเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์
ข้อมูล คือ การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน
และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ผลการวิจัยพบว่า
1. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับปัญหาใน
การเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 ปัจจัย
ได้แก่ เพศ : ชาย
2. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับปัญหาในการ
เรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 2 ปัจจัย
ได้แก่ เพศ : หญิง และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และปัจจัย
ที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับปัญหาในการเรียน อย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 4 ปัจจัย ได้แก่ นิสัย
ทางการเรียน การสนับสนุนด้านการเรียนของผู้ปกครอง
สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู และสัมพันธภาพ
ระหว่าง นักเรียนกับเพื่อน
3. ปัจจัยที่ไม่มีความสัมพันธ์กับปัญหาในการเรียน
มี 6 ปัจจัย ได้แก่ ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปีที่ 4 ระดับชั้น :
มัธยมศึกษาปีที่ 5 ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปีที่ 6 ฐานะทาง
เศรษฐกิจของผู้ปกครอง บุคลิกภาพ และลักษณะทาง
กายภาพของการเรียน
4. ปัจจัยที่ส่งผลต่อปัญหาในการเรียน อย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 4 ปัจจัย โดยเรียงลำดับ
จากปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดไปหาปัจจัยที่ส่งผลน้อยที่สุด
ได้แก่ นิสัยทางการเรียน สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับ
เพื่อน การสนับสนุนด้านการเรียนของผู้ปกครอง และฐานะ
ทางเศรษฐกิจของผู้ปกครอง ซึ่งปัจจัยทั้ง 4 ปัจจัยนี้
สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของปัญหาในการ
เรียนของ นักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เขต
ภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร ได้ร้อยละ 42.70
5. สมการพยากรณ์ปัญหาในการเรียนของนักเรียน
ช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนวัดนวลนรดิศ เขตภาษีเจริญ
กรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี
ดังนี้
5.1 สมการพยากรณ์ปัญหาในการเรียน ในรูป
คะแนนดิบ ได้แก่
Ŷ = 4.894 - .406X9 - .257X13 + .089X10 - .016X7
5.2 สมการพยากรณ์ปัญหาในการเรียน ในรูป
คะแนนมาตรฐาน ได้แก่
Z = -.499X9 - .403X13 + .158X10 - .115X7
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-10 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/461
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 3 (2550): ปี่ที่ 8 ฉบับที่ 3 ก.ย.-ธ.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/462
2009-06-16T15:34:30Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090616 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การวิเคราะห์คุณภาพของนโยบายการให้บริการสาธารณะของกรมที่ดิน กรณีศึกษาสำนักงานที่ดินจังหวัดนนทบุรี สาขาปากเกร็ด
แย้มรุ่ง, สนทรรศน์
มีมาก, รองศาสตราจารย์ ดร.วรพิทย์
ฉายาชวลิต, อาจารย์ชีวินทร์
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมุ่งศึกษาถึงการ
วิเคราะห์คุณภาพของนโยบายการให้บริการสาธารณะของกรม
ที่ดิน กรณีศึกษาสำนักงานที่ดิน สาขาปากเกร็ด
กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่เข้ารับบริการ
จำนวน 300 คน โดยใช้การสุ่มแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified
Random Sampling) และเจ้าหน้าที่ของสำนักงานที่ดิน จังหวัด
นนทบุรี สาขาปากเกร็ด จำนวน 40 คน เครื่องมือที่ใช้ใน
การศึกษาค้นคว้า ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์
ข้อมูลคือ t-Test, one way ANOVA และ Regression
ผลการศึกษา พบว่า
1. ปัจจัยส่วนบุคคลของประชาชน ได้แก่ อายุ
และรายได้ ที่แตกต่างกัน ทำให้ความคิดเห็นในเรื่องการ
ให้บริการสาธารณะของสำนักงานที่ดิน จังหวัดนนทบุรี สาขา
ปากเกร็ด แตกต่างกัน ขณะที่ปัจจัยส่วนบุคคลของเจ้าหน้าที่มี
เฉพาะอายุ ที่แตกต่างกัน เท่านั้น ที่ทำให้ความคิดเห็นในเรื่อง
การให้บริการสาธารณะของสำนักงานที่ดิน จังหวัดนนทบุรี
สาขาปากเกร็ด แตกต่างกัน 2. ผลลัพธ์ของการเข้ารับบริการสาธารณะของ
สำนักงานที่ดิน จังหวัดนนทบุรี สาขา ปากเกร็ดของ
ประชาชน ในด้านระบบมาตรฐานคุณภาพ ด้านระบบข้อมูล,
ระบบการสื่อสาร, ระบบการตัดสินใจ, ระบบการพัฒนา
บุคลากร, ระบบการมีส่วนร่วม, ระบบการประเมินผล, ระบบ
การ คาดคะเนและแก้ไขวิกฤต, ระบบวัฒนธรรมและ
จรรยาวิชาชีพ, เป้าหมายและความพึงพอใจของผู้บริโภค,
การบริหารกระบวนการคุณภาพ และภาวะผู้นำ มีอิทธิพลต่อ
คุณภาพของนโยบายการให้บริการสาธารณะ ส่วนผลลัพธ์
ของการให้บริการสาธารณะของสำนักงานที่ดิน จังหวัด
นนทบุรี สาขาปากเกร็ด ของเจ้าหน้าที่ ในด้านระบบ
มาตรฐานคุณภาพ ด้านระบบคาดคะเนและแก้ไขวิกฤต และ
การบริหารกระบวนการคุณภาพมีอิทธิพลต่อคุณภาพของ
นโยบายการให้บริการสาธารณะ
3. ประสิทธิผลด้านความคุ้มค่ามีอิทธิพลต่อ
คุณภาพของนโยบายการให้บริการสาธารณะ
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-10 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/462
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 3 (2550): ปี่ที่ 8 ฉบับที่ 3 ก.ย.-ธ.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/463
2009-06-16T15:35:55Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090616 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ผลลัพธ์การปฏิบัติราชการของกรุงเทพมหานคร : ศึกษาเปรียบเทียบการบริหารรัฐกิจแบบเดิมกับ
ชั้นไพศาลศิลป์, พงศธร
มีมาก, รองศาสตราจารย์ ดร.วรพิทย์
ฉายาชวลิต, อาจารย์ชีวินทร์
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบการ
ให้บริการของกรุงเทพมหานครเพื่อตอบสนองความต้องการของ
ประชาชนภายใต้การบริหารราชการแบบเดิมกับการให้บริการ
ของกรุงเทพมหานครเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชน
ในปัจจุบันที่มีการนำ New Public Management มาใช้ปฏิรูป
ระบบการบริหารราชการของกรุงเทพมหานครแล้ว
กลุ่มตัวอย่าง คือ ประชาชนที่อาศัยอยู่ภายใน
พื้นที่ของกรุงเทพมหานครและมีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป จำนวน
400 คน ได้มาจากการสุ่มแบบชั้นภูมิสัดส่วน เครื่องมือที่ใช้ใน
การศึกษาค้นคว้า ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์
ข้อมูลคือ t-Test, one way ANOVA และ Chi-squareผลการศึกษา พบว่า
1. ปัจจัยส่วนบุคคลส่วนใหญ่ ได้แก่ เพศ, อายุ,
รายได้ และบริการที่ใช้ไม่มีผลต่อทัศนคติของประชาชนที่มี
ต่อการพัฒนาการบริหารงานของกรุงเทพมหานคร ส่วน
ระดับการศึกษา และสถานที่ที่ใช้บริการมีผลต่อทัศนคติของ
ประชาชนที่มีต่อการพัฒนาการบริหารงานของกรุงเทพมหานคร
2. ผลลัพธ์การพัฒนาการบริหารงานของ
กรุงเทพมหานคร ในด้านการพัฒนาองค์กร สูงที่สุด
รองลงมา คือ ด้านคุณภาพการให้บริการ และในด้าน
ประสิทธิผลตามพันธกิจ ต่ำที่สุด
3. ข้อมูลทุติยภูมิ พบว่า
ประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ และการ
พัฒนาองค์กรของกรุงเทพมหานครมีแนวโน้มลดลง ส่วน
ประสิทธิผลตามพันธกิจ และคุณภาพการให้บริการของ
กรุงเทพมหานครมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
4. การเปรียบเทียบข้อมูลที่เก็บจากแบบสอบถาม
กับข้อมูลทุติยภูมิ
ประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ และการ
พัฒนาองค์กร นั้นไม่สามารถจะสรุปได้ว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง
ส่วนประสิทธิผลตามพันธกิจ และคุณภาพการให้บริการนั้น
สามารถจะสรุปได้ว่าเพิ่มขึ้น
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-10 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/463
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 3 (2550): ปี่ที่ 8 ฉบับที่ 3 ก.ย.-ธ.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/464
2009-06-16T15:37:20Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090616 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทร์บุรี อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี
ช่างประดับ, อาจารีย์
กรีทอง, รองศาสตราจารย์เวธนี
จุลรัตน์, อาจารย์ ดร.พาสนา
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาองค์ประกอบ
ที่มีอิทธิพลต่อสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อนของ
นักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทร์บุรี อำเภออินทร์บุรี จังหวัด
สิงห์บุรี องค์ประกอบที่ศึกษาแบ่งเป็น 3 องค์ประกอบ คือ
องค์ประกอบด้านส่วนตัว ได้แก่ เพศ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
บุคลิกภาพ อัตมโนทัศน์ ทัศนคติต่อการคบเพื่อน และ
สุขภาพจิต องค์ประกอบด้านครอบครัว ได้แก่ ฐานะทาง
เศรษฐกิจของครอบครัว สภาพครอบครัว และสัมพันธภาพ
ระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครอง และองค์ประกอบด้านสิ่งแวดล้อม
ในโรงเรียน ได้แก่ สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู และ
ลักษณะทางกายภาพด้านการเรียน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียน
ช่วงชั้นที่ 3 ปีการศึกษา 2549 ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียน
อินทร์บุรี อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี จำนวนทั้งสิ้น 267 คน
เป็นนักเรียนชาย 127 คน และ นักเรียนหญิง 140 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ แบบสอบถามองค์ประกอบที่
มีอิทธิพลต่อสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน ของ
นักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทร์บุรี อำเภออินทร์บุรี จังหวัด
สิงห์บุรี สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์ค่า
สัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การ
ถดถอยพหุคูณ
ผลการศึกษา
1. องค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับ
สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3
โรงเรียนอินทร์บุรี อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี มีรายละเอียด ดังนี้
1.1 องค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์ทางบวก
กับสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน ของนักเรียนช่วง
ชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทร์บุรี อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 2 องค์ประกอบ
ได้แก่ ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว ( X4) และสภาพ
ครอบครัว : บิดามารดาอยู่ด้วยกัน (X5)
1.2 องค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับ
สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน ของนักเรียนช่วงชั้นที่
3 โรงเรียนอินทร์บุรี อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี อย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 8 องค์ประกอบ ได้แก่
เพศ : หญิง( X2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ( X3)
บุคลิกภาพ ( X8) อัตมโนทัศน์ ( X9) ทัศนคติต่อการคบ
เพื่อน ( X10) สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครอง ( X12)
สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู ( X13) และลักษณะทาง
กายภาพด้านการเรียน ( X14)
2. องค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับ
สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3
โรงเรียนอินทร์บุรี อำ เภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี มี
รายละเอียดดังนี้
2.1 องค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์ทางลบ
กับสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนช่วงชั้น
ที่ 3 โรงเรียนอินทร์บุรี อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี อย่าง
มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 2 องค์ประกอบ ได้แก่
สภาพครอบครัว : บิดามารดาหย่าร้างกัน ( X6) และ
สุขภาพจิต( X11)
2.2 องค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับ
สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3
โรงเรียนอินทร์บุรี อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี อย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 1 องค์ประกอบ ได้แก่
เพศ : ชาย ( X1)
3. อ ง ค์ป ร ะ กอ บ ที่ไ ม่มีคว า มสัม พัน ธ์กับ
สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3
โรงเรียนอินทร์บุรี อำ เภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรีมี 1
องค์ประกอบ ได้แก่ สภาพครอบครัว : บิดาหรือมารดาถึงแก่
กรรม ( X7)
4. องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อสัมพันธภาพระหว่าง
นักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทร์บุรี
อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่
ระดับ .01 มี 5 องค์ประกอบ โดยเรียงลำ ดับจาก
องค์ประกอบที่มีอิทธิพลมากที่สุด ไปหาองค์ประกอบที่มี
อิทธิพลน้อยที่สุด ได้แก่ ทัศนคติต่อการคบเพื่อน (X10) อัต
มโนทัศน์ (X9) สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครอง
(X12) สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู (X13) และ
ลักษณะทางกายภาพด้านการเรียน (X14) ซึ่งองค์ประกอบ
ทั้ง 5 องค์ประกอบ สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวน
สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3
โรงเรียนอินทร์บุรี อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ได้ร้อยละ
51.40
5. สมการพยากรณ์สัมพันธภาพระหว่างนักเรียน
กับเพื่อนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทร์บุรี อำเภอ
อินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี มีดังนี้
5.1 สมการพยากรณ์สัมพันธภาพระหว่าง
นักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทร์บุรี
อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ในรูปคะแนนดิบ ได้แก่
Ŷ = .369 + .397 X10 + .257 X9 + .204X12 + .153X13 + .090X14
5.2 สมการพยากรณ์สัมพันธภาพระหว่าง
นักเรียนกับเพื่อนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนอินทร์บุรี
อำเภออินทร์บุรี จังหวัดสิงห์บุรี ในรูปคะแนนมาตรฐาน
ได้แก่
Z = .319 X10 + .224 X9 + .215X12 + .149X13 + .114X14
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-10 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/464
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 3 (2550): ปี่ที่ 8 ฉบับที่ 3 ก.ย.-ธ.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/465
2009-06-16T15:38:21Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090616 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อความสามารถในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4โรงเรียนพิบูลมังสาหาร อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี.
สำเภา, นพรัตน์
พงษ์โสภา, อาจารย์วิไลลักษณ์
เผ่ามหานาคะ, อาจารย์นันทวิทย์
ก า ร วิจัย ค รั้ง นี้มีจุด มุ่ง ห ม า ย เ พื่อ ศึก ษ า
องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อความสามารถในการเรียนรู้วิชา
คณิตศาสตร์ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนพิบูลมังสาหาร
อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี องค์ประกอบที่
ศึกษาแบ่งเป็น 3 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบด้านส่วนตัว
ได้แก่ ได้แก่ เพศ ระดับชั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แรงจูงใจ
ใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ นิสัยทางการเรียน
ความวิตกกังวลต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ บุคลิกภาพ และ
สุขภาพจิต องค์ประกอบด้านครอบครัว ได้แก่ สภาพครอบครัว
ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว แ ล ะ ก า ร ส นับ ส นุน ข อ ง
ผู้ปกครองด้านการเรียน และองค์ประกอบด้านสิ่งแวดล้อมใน
โรงเรียนเรียน ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพด้านการเรียน
สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู และสัมพันธภาพระหว่าง
นักเรียนกับเพื่อน
กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 ปีการศึกษา 2549
ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนพิบูลมังสาหาร อำเภอพิบูลมังสาหารจังหวัดอุบลราชธานี จำนวนทั้งสิ้น 423 คน เป็นนักเรียนชาย
156 คน และนักเรียนหญิง 267 คน เครื่องมือที่ใช้ใน
การศึกษาค้นคว้า เป็นแบบสอบถามองค์ประกอบที่มีอทิธิพล
ต่อความสามารถในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ และ
แบบทดสอบความความสามารถในการเรียนรู้วิชา
คณิตศาสตร์ ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนพิบูลมังสาหาร
อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี สถิติที่ใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ผลการวิจัยพบว่า
1.องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อความสามารถใน
การเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
โรงเรียนพิบูลมังสาหาร อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัด
อุบลราชธานีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 4
องค์ประกอบโดยเรียงลำดับจากองค์ประกอบที่มีอิทธิพลมาก
ที่สุดไปหาองค์ประกอบที่มีอิทธิพลน้อยที่สุด ได้แก่ ลักษณะ
ทางกายภาพด้านการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (X17) แรงจูงใจ
ใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (X11) สุขภาพจิต
(X15) และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (X6) ซึ่งองค์ประกอบทั้ง
4 องค์ประกอบ สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวน
ความสามารถในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนพิบูลมังสาหาร อำเภอพิบูลมังสา
หาร จังหวัดอุบลราชธานี ได้ร้อยละ 50.70 จึงนำค่า
สัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณ์มาเขียนสมการได้ดังนี้
สมการพยากรณ์ความสามารถในการเรียนรู้วิชา
คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน
พิบูลมังสาหาร อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
ในรูปคะแนนดิบ ได้แก่
Ŷ1 = 18.922 - 5.768 X17 + 3.004 X11 - 2.01 X15 + 3.216 X6
สมการพยากรณ์ความสามารถในการเรียนรู้วิชา
คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน
พิบูลมังสาหาร อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
ในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้แก่
Z1 = -.542 X17 + .299 X11 - .196 X15 + .182 X6
2. องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อความสามารถใน
การเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
โรงเรียนพิบูลมังสาหาร อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 2
องค์ประกอบโดยเรียงลำดับจากองค์ประกอบที่มีอิทธิพลมาก
ที่สุดไปหาองค์ประกอบที่มีอิทธิพลน้อยที่สุด ได้แก่
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน(X6) สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับ
เพื่อน (X19) ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 2 องค์ประกอบ สามารถ
ร่วมกันอธิบายความแปรปรวนความสามารถในการเรียนรู้
วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน
พิบูลมังสาหาร อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
ได้ร้อยละ 12.90 จึงนำค่าสัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณ์มา
เขียนสมการได้ดังนี้
สมการพยากรณ์ความสามารถในการเรียนรู้วิชา
คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน
พิบูลมังสาหาร อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
ในรูปคะแนนดิบ ได้แก่
Ŷ2 = 16.882 + 1.995 X6 -1.787 X19
สมการพยากรณ์ความสามารถในการเรียนรู้วิชา
คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน
พิบูลมังสาหาร อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
ในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้แก่
Z 2 = .295 X6 -.244 X19
3. องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อความสามารถใน
การเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
โรงเรียนพิบูลมังสาหาร อำ เภอพิบูลมังสาหาร จังหวัด
อุบลราชธานีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 3
องค์ประกอบโดยเรียงลำดับจากองค์ประกอบที่มีอิทธิพลมาก
ที่สุดไปหาองค์ประกอบที่มีอิทธิพลน้อยที่สุด ได้แก่ แรงจูงใจ
ใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (X11) การสนับสนุน
ของผู้ปกครองด้านการเรียน(X16) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
(X6) ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 3 องค์ประกอบ สามารถร่วมกัน
อธิบายความแปรปรวนความสามารถในการเรียนรู้วิชา
คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน
พิบูลมังสาหาร อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
ได้ร้อยละ 12.50 จึงนำค่าสัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณ์มา
เขียนสมการได้ดังนี้
สมการพยากรณ์ความสามารถในการเรียนรู้วิชา
คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนพิบูลมังสาหาร อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
ในรูปคะแนนดิบ ได้แก่
Ŷ3 = .182 + 3.315 X11 -1.664 X16 + 4.027 X6
สมการพยากรณ์ความสามารถในการเรียนรู้วิชา
คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียน
พิบูลมังสาหาร อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี
ในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้แก่
Z3 = .230 X11 -.181 X 16 +.174 X
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-10 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/465
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 3 (2550): ปี่ที่ 8 ฉบับที่ 3 ก.ย.-ธ.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/466
2009-06-16T15:40:23Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090616 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ผลรัตนไพบูลย์, สุพัตรา
พงษ์โสภา, อาจารย์วิไลลักษณ์
กรีทอง, รองศาสตราจารย์เวธนี
การวิจัยเรื่องปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียน
วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อ
พฤติกรรมการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3
โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปัจจัยที่ศึกษา
แบ่งเป็น 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยด้านส่วนตัว ได้แก่ เพศ ระดับชั้น
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ บุคลิกภาพ และ
ทัศนคติต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ปัจจัยด้านครอบครัว
ได้แก่ ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว และสัมพันธภาพ
ระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครอง และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมใน
โรงเรียน ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพทางการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู และ
สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนระดับ
ช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ปี
การศึกษา 2549 จำนวน 337 คน เป็นนักเรียนชาย 125 คน
และนักเรียนหญิง 212 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
ได้แก่ แบบสอบถามปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียน
วิชาคณิตศาสตร์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การ
วิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการ
วิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ผลการศึกษา พบว่า
1. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรม
การเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุ
ราษฎร์พิทยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อย่างมีนัยสำคัญทาง
สถิติที่ระดับ .01 มี 5 ปัจจัย ได้แก่ บุคลิกภาพ ( X8)
ทัศนคติต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (X9) สัมพันธภาพ
ระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครอง (X10) ลักษณะทางกายภาพ
ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ (X11) และสัมพันธภาพ
ระหว่างนักเรียนกับครู ( X12)
2. ปัจจัยที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการ
เรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนช่วงชั้น ที่ 3 โรงเรียนสุ
ราษฎร์พิทยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี มี 8 ปัจจัย ได้แก่ เพศ :
ชาย (X1) เพศ : หญิง (X2) ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปีที่ 1
(X3) ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปีที่ 2 (X4) ระดับชั้น :
มัธยมศึกษาปีที่ 3 (X5) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (X6) ฐานะ
ทางเศรษฐกิจของครอบครัว (X7) และสัมพันธภาพระหว่าง
นักเรียนกับเพื่อน (X13)
3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียน สุราษฎร์พิทยา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี
5 ปัจจัยโดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุด ไปหา
ปัจจัยที่ส่งผลน้อยที่สุด ได้แก่ ทัศนคติต่อการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ (X9) ลักษณะทางกายภาพในโรงเรียน (X11)
บุคลิกภาพ (X8) สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน (X13)
และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (X6) ซึ่งปัจจัยทั้ง 5 ปัจจัย
สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนพฤติกรรมการเรียน
วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา
อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ร้อยละ 47.90
4. สมการพยากรณ์พฤติกรรมการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี มีดังนี้
4.1 สมการพยากรณ์พฤติกรรมการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในรูปคะแนนดิบ ได้แก่
Ŷ = -.183 + .699 X9 + .310 X11 + .238 X8 - .160 X13 - .089 X6
Ŷ = -.183 + .699 X9 (ทัศนคติต่อการ
เรียนวิชาคณิตศาสตร์ ) + .310 X11 (ลักษณะทางกายภาพ
ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ) + .238 X8 (บุคลิกภาพ ) -
.160 X13 (สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน ) - .089 X6
( ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน )
4.2 สมการพยากรณ์พฤติกรรมการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนสุราษฎร์พิทยา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้แก่
Z = .512 X9 + .237 X11 + .193 X8 - .147 X13 - .091 X6
Z = .512 X9 (ทัศนคติต่อการเรียนวิชา
คณิตศาสตร์ )+ .237 X11 (ลักษณะทางกายภาพทางการ
เรียนวิชาคณิตศาสตร์ ) + .193 X8 (บุคลิกภาพ ) - .147 X13
(สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน ) - .091 X6 (
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน )
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-10 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/466
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 3 (2550): ปี่ที่ 8 ฉบับที่ 3 ก.ย.-ธ.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/467
2009-06-16T15:41:51Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090616 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 3
ซูกูล, สุภา
กรีทอง, รองศาสตราจารย์เวธนี
จุลรัตน์, อาจารย์ ดร. พาสนา
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผล
ต่อการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของ
นักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว อำเภอบาง
พลี จังหวัดสมุทรปราการ ปัจจัยที่ศึกษาแบ่งเป็น 3 ปัจจัย คือ
ปัจจัยด้านส่วนตัว ได้แก่ เพศ ระดับชั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
และทัศนคติต่อวิชาภาษาอังกฤษ ปัจจัยด้านครอบครัว ได้แก่
ฐานะทาง เศรษฐกิจของครอบครัว ความคาดหวังของผู้ปกครอง
ที่มีต่อนักเรียน และการสนับสนุนของผู้ปกครอง ที่มีต่อนักเรียน
และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน ได้แก่ ลักษณะทาง
กายภาพของโรงเรียน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียน
ช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว ปีการศึกษา 2549 จำนวนทั้งสิ้น
180 คน ครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบสอบถามปัจจัยที่
ส่งผลต่อการเลือกเรียน MINI ENGLISH PROGRAMME สถิติที่ใช้
วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน(The Pearson Product Moment Correlation Coefficient)
และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Stepwise Multiple
Regression Analysis)
ผลการศึกษาพบว่า
1. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเลือกเรียน MINI
ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 3
โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว อำ เภอบางพลี จังหวัด
สมุทรปราการ มีดังนี้
1.1 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการเลือก
เรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับ
ช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว อำเภอบางพลี จังหวัด
สมุทรปราการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05มี 1 ปัจจัย
ได้แก่ การสนับสนุนของผู้ปกครองที่มีต่อนักเรียน ( X10)
1.2ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการเลือก
เรียน MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับ
ช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว อำเภอบางพลี จังหวัด
สมุทรปราการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 4
ปัจจัย ได้แก่ ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปีที่ 3 ( X3) ทัศนคติต่อ
วิชาภาษาอังกฤษ ( X8) ความคาดหวังของผู้ปกครองที่มีต่อ
นักเรียน ( X9) และ ลักษณะทางกายภาพของโรงเรียน ( X11)
2. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับการเลือกเรียน
MINI ENGLISH PROGRAMME ของของนักเรียนระดับช่วง
ชั้นที่ 3 โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว อำเภอบางพลี จังหวัด
สมุทรปราการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1
ปัจจัย ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปีที่ 1 ( X3)
3. ปัจจัยที่ไม่มีความสัมพันธ์กับการเลือกเรียน
MINI ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับช่วงชั้นที่
3 โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว อำ เภอบางพลี จังหวัด
สมุทรปราการ มี 5 ปัจจัย ได้แก่ เพศ : ชาย ( X1) เพศ :
หญิง ( X2) ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปีที่ 2 ( X4) ผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน ( X6) และ ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว (
X7)
4. ปัจจัยที่ส่งต่อการเลือกเรียน MINI ENGLISH
PROGRAMME ของนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนราช
วินิตบางแก้ว อำเภอ บางพลี จังหวัด สมุทรปราการ อย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 2 ปัจจัย โดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดไปหาปัจจัยที่ส่งผลน้อยที่สุด
ได้แก่ ทัศนคติต่อวิชาภาษาอังกฤษ (X8) และ ความคาดหวัง
ของผู้ปกครองที่มีต่อตัวนักเรียน (X9) ซึ่งปัจจัยทั้ง 2 ปัจจัยนี้
สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของการเลือกเรียน
MINI ENGLISH PROGRAMME ของของนักเรียนระดับช่วง
ชั้นที่ 3 โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว อำเภอบางพลี จังหวัด
สมุทรปราการ ได้ร้อยละ 28.80
5. สมการพยากรณ์การเลือกเรียน MINI
ENGLISH PROGRAMME ของนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 3
โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว อำ เภอบางพลี จังหวัด
สมุทรปราการ ในรูปคะแนนดิบ ได้แก่
Ŷ = .735 + .621 X8 + .197X9
สมการพยากรณ์การเลือกเรียน MINI ENGLISH
PROGRAMME ของนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนราช
วินิตบางแก้ว อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ ในรูป
คะแนนมาตรฐาน ได้แก่
Z = .481X8 + .140 X9
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-10 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/467
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 3 (2550): ปี่ที่ 8 ฉบับที่ 3 ก.ย.-ธ.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/468
2009-06-16T15:43:57Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090616 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการประหยัด ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยเขตพระนครกรุงเทพมหานคร
มโนธรรม, เอริสา
แสนคำเครือ, ผู้ช่วยศาสตราจารย์พรหมธิดา
กรีทอง, รองศาสตราจารย์เวธนี
การวิจัยครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อ
การประหยัด ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบ
วิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยมีปัจจัยที่ศึกษา
ประกอบไปด้วย ปัจจัยด้านส่วนตัว ได้แก่ ระดับชั้น
บุคลิกภาพ และความมีวินัย ปัจจัยด้านครอบครัว ได้แก่ สภาพ
ครอบครัว ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว และการเลียนแบบ
ผู้ปกครองในการประหยัด ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน
ได้แก่ การเลียนแบบครูในการประหยัด และการเลียนแบบเพื่อน
ในการประหยัด และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในสังคม ได้แก่ การ
เลียนแบบสื่อในการประหยัด กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับ
ช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร
กรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2549 ประกอบด้วยนักเรียน
ชายระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 100 คน นักเรียนชาย
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 100 คน และนักเรียนชายระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 106 คน รวมทั้งสิ้น
จำนวน 306 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่
แบบสอบถามปัจจัยที่ส่งผลต่อการประหยัด สถิติที่ใช้ในการ
วิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์
ของเพียร์สัน (The Pearson Product Moment Correlation
Coefficient) แ ล ะ ก า ร วิเ ค ร า ะ ห์ก า ร ถ ด ถ อ ย พ หุคูณ
(Stepwise Multiple Regression Analysis)
ผลการศึกษาพบว่า
1. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการ
ประหยัดของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบ
วิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร มีดังนี้ 1.1 )ปัจจัยที่
มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการประหยัดของนักเรียนช่วงชั้น
ที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร
กรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 2
ปัจจัย ได้แก่ ระดับชั้น: มัธยมศึกษาปีที่ 6 (X3) และ
บุคลิกภาพ (X8) 1.2) ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับ
การประหยัดของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบ
วิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติที่ระดับ .01 มี 5 ปัจจัย ได้แก่ ความมีวินัย (X9),
การเลียนแบบผู้ปกครองในการประหยัด (X10), การ
เลียนแบบครูในการประหยัด(X11), การเลียนแบบเพื่อนในการ
ประหยัด (X12) และการเลียนแบบสื่อในการประหยัด (X13)
2. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับการใช้เงิน
อย่างประหยัดของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบ
วิทยาลัย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 ปัจจัย ได้แก่ ระดับชั้น: มัธยมศึกษา
ปีที่ 4 (X1)
3. ปัจจัยที่ไม่มีความสัมพันธ์กับการประหยัด
ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขต
พระนคร กรุงเทพมหานคร มี 5 ปัจจัย ได้แก่ ระดับชั้น:
มัธยมศึกษาปีที่ 5 (X2), สภาพครอบครัว: บิดามารดาอยู่
ร่วมกัน (X4), สภาพครอบครัว: บิดาหรือมารดาหย่าร้างกัน
(X5), สภาพครอบครัว: บิดาหรือมารดาถึงแก่กรรม(X6) และ
ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว(X7)
4. ปัจจัยที่ส่งต่อการประหยัดของนักเรียนช่วงชั้น
ที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนครกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 5
ปัจจัย โดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดไปหาปัจจัย
ที่ส่งผลน้อยที่สุด ได้แก่ การเลียนแบบสื่อในการประหยัด
(X13), ความมีวินัย (X9), การเลียนแบบเพื่อนในการประหยัด
(X12), ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว (X7) และการ
เลียนแบบผู้ปกครองในการประหยัด (X11) ซึ่งปัจจัยทั้ง 5
ปัจจัยนี้ สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนการประหยัด
ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขต
พระนคร กรุงเทพมหานคร ได้ร้อยละ 26.50
5. สมการพยากรณ์การประหยัดของนักเรียนช่วง
ชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร
กรุงเทพมหานคร มีดังนี้ 5.1) สมการพยากรณ์การประหยัด
ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย
Ŷ = 1.351 + .165 X13 + .165 X9 + .115 X12 + .095 X7+ .082 X11
5.2) สมการพยากรณ์การประหยัดของนักเรียน
ช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เขตพระนคร
กรุงเทพมหานคร ในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้แก่
Z = .237 X13 + .223 X9 + .133 X12 + .117 X7+ .113 X11
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-10 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/468
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 3 (2550): ปี่ที่ 8 ฉบับที่ 3 ก.ย.-ธ.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/469
2009-06-16T15:45:07Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090616 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการรับรู้วิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ ชีวภาพของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนราชดำริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร
สนโต, อารยา
กรีทอง, รองศาสตราจารย์เวธนี
จุลรัตน์, อาจารย์ ดร.พาสนา
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผล
ต่อความสามารถในการรับรู้วิชา วิทยาศาสตร์กายภาพ ชีวภาพ
ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนราชดำ ริ เขตประเวศ
กรุงเทพมหานคร ปัจจัยที่ศึกษาแบ่งออกเป็น 3 ปัจจัย คือ ปัจจัย
ด้านส่วนตัว ได้แก่ เพศ อายุ ระดับชั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
วิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ ชีวภาพ และนิสัยทางการเรียนวิชา
วิทยาศาสตร์กายภาพชีวภาพ ปัจจัยด้านครอบครัว ได้แก่ การ
สนับสนุนการสนับสนุนด้านการเรียนของผู้ปกครอง และ ฐานะ
ทางเศรษฐกิจของครอบครัว ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน
ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพด้านการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์
กายภาพ ชีวภาพ สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู และ
สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็น นักเรียนช่วง
ชั้นที่ 4 ยกเว้นแผนวิทย์-คณิตปีการศึกษา 2549 โรงเรียนราช
ดำริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร รวมทั้งสิ้นจำนวน 250 คน
เป็นนักเรียนชาย 111 คน และนักเรียนหญิง 139 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถามปัจจัยที่
ส่งผลต่อความสามารถในการรับรู้วิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ
ชีวภาพของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนราชดำริ เขตประเวศ
กรุงเทพมหานคร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การ
วิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ (Stepwise Multiple
Regression Analysis)
ผลการศึกษา พบว่า
1. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการรับรู้
วิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ ชีวภาพ ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนราชดำ ริ เขต ประเวศ
กรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01 มี 2
ปัจจัย โดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดไปหาปัจจัย
ที่ส่งผลน้อยที่สุด ได้แก่ การสนับสนุนด้านการเรียนของ
ผู้ปกครอง(X5) และสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู( X7)
ซึ่งปัจจัยทั้ง 2 ปัจจัยนี้สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวน
ของความสามารถในการรับรู้วิชา วิทยาศาสตร์กายภาพ
ชีวภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนราชดำริ
เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ได้ร้อยละ 22 จึงนำค่า
สัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณ์มาเขียนสมการได้ดังนี้
สมการพยากรณ์ความสามารถในการรับรู้วิชา
วิทยาศาสตร์กายภาพ ชีวภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี
ที่ 4 โรงเรียนราชดำริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ในรูป
คะแนนดิบ ได้แก่
Ŷ = 1.756 + .300 X5+ .159 X7
สมการพยากรณ์ความสามารถในการรับรู้วิชา
วิทยาศาสตร์กายภาพ ชีวภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี
ที่ 4 โรงเรียนราชดำริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานครในรูป
คะแนนมาตรฐาน ได้แก่
Z = .400 X5 + .189 X7
2. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการ
รับรู้วิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ ชีวภาพ ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียน ราชดำ ริ เขตประเวศกรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี
2 ปัจจัยโดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดไปหา
ปัจจัยที่ส่งผลน้อยที่สุด ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพด้าน
การเรียนวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ ชีวภาพ (X6) และการ
สนับสนุนด้านการเรียนของผู้ปกครอง(X5) ซึ่งปัจจัยทั้ง 2
ปัจจัยนี้ สามารถร่วมกันอธิบาย ความแปรปรวนของ
ความสามารถในการรับรู้วิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ ชีวภาพ
ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนราชดำริ เขต
ประเวศ กรุงเทพมหานคร ได้ร้อยละ 23.6 จึงนำค่า
สัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณ์มาเขียนสมการได้ดังนี้
สมการพยากรณ์ความสามารถในการรับรู้วิชา
วิทยาศาสตร์กายภาพ ชีวภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
5 โรงเรียนราชดำริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ในรูป
คะแนนดิบ ได้แก่
Ŷ = 1.632+.288 X6 +.214 X5
สมการพยากรณ์ความสามารถในการรับรู้วิชา
วิทยาศาสตร์กายภาพ ชีวภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
5 โรงเรียนราชดำริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานครในรูป
คะแนนมาตรฐาน ได้แก่
Z = .341X6 +.326X5
3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสามารถในการรับรู้
วิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ ชีวภาพ ของนักเรียนชั้น
มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนราชดำ ริ เขตประเวศ
กรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 3
ปัจจัยโดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดไปหาปัจจัยที่
ส่งผลน้อยที่สุด ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพด้านการเรียน
วิชาวิทยาศาสตร์กายภาพ ชีวภาพ(X6) สัมพันธภาพระหว่าง
นักเรียนกับครู(X7) และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
วิทยาศาสตร์กายภาพ ชีวภาพ(X2) ซึ่งปัจจัยทั้ง 3 ปัจจัยนี้
สามารถร่วมกันอธิบาย ความสามารถในการรับรู้วิชา
วิทยาศาสตร์กายภาพ ชีวภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่
6 โรงเรียนราชดำริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ได้ร้อยละ
52.60 จึงนำค่าสัมประสิทธิ์ของตัวพยากรณ์มาเขียนสมการ
ได้ดังนี้
สมการพยากรณ์ความสามารถในการรับรู้วิชา
วิทยาศาสตร์กายภาพ ชีวภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่6 โรงเรียนราชดำริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานคร ในรูป
คะแนนดิบ ได้แก่
Ŷ = .115 +.502 X6 +.323 X7 +.192 X2
สมการพยากรณ์ความสามารถในการรับรู้วิชา
วิทยาศาสตร์กายภาพ ชีวภาพของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปี
ที่ 6 โรงเรียนราชดำริ เขตประเวศ กรุงเทพมหานครในรูป
คะแนนมาตรฐาน ได้แก่
Z = .402 X 6+.349 X7+.193 X2
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-10 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/469
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 3 (2550): ปี่ที่ 8 ฉบับที่ 3 ก.ย.-ธ.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/470
2009-06-16T15:46:10Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090616 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อ พฤติกรรมการทะเลาะวิวาท ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนขนอมพิทยา อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช.
สมทรง, พิชญา
พงษ์โสภา, อาจารย์วิไลลักษณ์
กรีทอง, รองศาสตราจารย์เวธนี
ก า ร วิจัย ค รั้ง นี้มีจุด มุ่ง ห ม า ย เ พื่อ ศึก ษ า
องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของ
นักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนขนอมพิทยา อำเภอขนอม จังหวัด
นครศรีธรรมราช. องค์ประกอบที่ศึกษาแบ่งเป็น 3
องค์ประกอบคือ องค์ประกอบด้านส่วนตัว ได้แก่ เพศ อายุ
ระดับชั้น บุคลิกภาพ สุขภาพจิต และความฉลาดทางอารมณ์
องค์ประกอบด้านครอบครัว ได้แก่ อาชีพของผู้ปกครอง
สถานภาพสมรสของผู้ปกครอง ฐานะทางเศรษฐกิจของ
ครอบครัว และสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับผู้ปกครอง
องค์ประกอบด้านสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน ได้แก่ ลักษณะทาง
กายภาพทางการเรียน สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู และ
สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน
กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาช่วง
ชั้นที่4 ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียน ขนอมพิทยา อำเภอ
ขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ปีการศึกษา 2549 จำนวน
188 คน เป็นนักเรียนชาย 68 คน และนักเรียนหญิง 120 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ แบบสอบถาม
องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของ
นักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนขนอมพิทยา อำเภอขนอม
จังหวัดนครศรีธรรมราช สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ
การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการ
วิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ผลการศึกษา พบว่า
1. องค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับ
พฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียน
ขนอมพิทยา อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช อย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 องค์ประกอบ ได้แก่
สุขภาพจิต ( X16)
2. องค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับ
พฤติกรรมการทะเลาะวิวาทของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียน
ขนอมพิทยา อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช อย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่
ความฉลาดทางอารมณ์ ( X17) สัมพันธภาพระหว่างนักเรียน
กับผู้ปกครอง (X18) ลักษณะทางกายภาพทางการเรียน
( X19) สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู( X20) และ
สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน( X21)
3.องค์ประกอบที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม
การทะเลาะวิวาทของนักเรียนช่วงชั้นที่4 โรงเรียนขนอม
พิทยา อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช มี 15
องค์ประกอบ ได้แก่ เพศชาย ( X1) เพศหญิง ( X2) อายุ
( X3) ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปีที่ 4 ( X4) ระดับชั้น :
มัธยมศึกษาปีที่ 5 ( X5) ระดับชั้น : มัธยมศึกษาปีที่6(X6)
อาชีพของผู้ปกครอง: ข้าราชการพนักงานรัฐวิสาหกิจ(X7)
อาชีพของผู้ปกครอง: เกษตรกรรม( X8) อาชีพของ
ผู้ปกครอง: ค้าขาย หรือธุรกิจส่วนตัว( X9) อาชีพของ
ผู้ปกครอง: รับจ้าง ( X10) สถานภาพสมรสของบิดามารดา:
บิดามารดาอยู่ด้วยกัน ( X11) สถานภาพสมรสของบิดา
มารดา: บิดามารดาแยกกันอยู่ ( X12) สถานภาพสมรสของบิดามารดา: บิดามารดาถึงแก่กรรม ( X13) ฐานะทาง
เศรษฐกิจของครอบครัว ( X14) และ บุคลิกภาพ ( X15)
4. องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการ
ทะเลาะวิวาทของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนขนอมพิทยา
อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติที่ระดับ .01 มี 3 องค์ประกอบโดยเรียงลำดับจาก
องค์ประกอบที่มีอิทธิพลมากที่สุดไปหาองค์ประกอบที่มี
อิทธิพลน้อยที่สุด ได้แก่ สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับ
เพื่อน (X21) สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู(X20) และ
บุคลิกภาพ (X15) ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 3 องค์ประกอบ
สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนพฤติกรรมการทะเลาะ
วิวาทของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนขนอมพิทยา อำเภอ
ขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้ร้อยละ 39.10
5. สมการพยากรณ์พฤติกรรมการทะเลาะ
วิวาทของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียนขนอมพิทยา
อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช มีดังนี้
5.1 สมการพยากรณ์พฤติกรรมการ
ทะเลาะวิวาทของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียน ขนอม
พิทยา อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ในรูปคะแนน
ดิบ ได้แก่
Ŷ = 4.772 - .569 X21 - .336 X20 + .244 X15
5.2 สมการพยากรณ์พฤติกรรมการ
ทะเลาะวิวาทของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 โรงเรียน ขนอมพิทยา
อำเภอขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ในรูปคะแนนมาตรฐาน
ได้แก่
Z = -.498 X21 - .205 X20 + .147 X15
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-10 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/470
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 3 (2550): ปี่ที่ 8 ฉบับที่ 3 ก.ย.-ธ.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/471
2009-06-16T15:47:11Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090616 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ปัจจัยที่ส่งผลต่อแรงจูงใจในการมาเรียนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 1 โรงเรียนธนากรสงเคราะห์ จังหวัดหนองคาย
ดีกลาง, ปิยะรัตน์
พลอยเลื่อมแสง, ผู้ช่วยศาสตราจารย์พรรณรัตน์
กรีทอง, รองศาสตราจารย์เวธนี
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่
ส่งผลต่อแรงจูงใจในการมาเรียนของนักเรียนช่วงชั้นที่ 1
โรงเรียนธนากรสงเคราะห์ จังหวัดหนองคาย ปัจจัยที่ศึกษา
แบ่งเป็น 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยด้านส่วนตัว ได้แก่ เพศ อายุ
ระดับชั้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน บุคลิกภาพ สุขภาพจิต
และความศรัทธาต่อโรงเรียน ปัจจัยด้านครอบครัว ได้แก่
ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว ความคาดหวังของผู้ปกครอง
ในด้านการเรียน และระดับการศึกษาของผู้ปกครอง ปัจจัย
ด้านสิ่งแวดล้อมทางการเรียน ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพ
ทางด้านการเรียน สัมพันธภาพระหว่างครูกับนักเรียน และ
สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน
กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 1
โรงเรียนธนากรสงเคราะห์ จังหวัดหนองคาย ปีการศึกษา
2549 จำนวน 140 คน เป็นนักเรียนชาย 71 คน และ
นักเรียนหญิง 69 คน ซึ่งใช้เป็นตัวอย่างทั้งหมด เครื่องมือที่ใช้
ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ แบบสอบถามปัจจัยที่ส่งผลต่อ
แรงจูงใจในการมาเรียนของนักเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์
ข้อมูล คือ การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน
และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ผลการศึกษา พบว่า
1. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับแรงจูงใจ
ใ น ก า ร ม า เ รียน ข อ ง นัก เ รีย น ใ น ร ะ ดับ ช่ว ง ชั้น ที่ 1
โรงเรียนธนากรสงเคราะห์ จังหวัดหนองคาย มีดังนี้
1.1 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับ
แรงจูงใจในการมาเรียนของนักเรียนในระดับช่วงชั้นที่ 1
โรงเรียนธนากรสงเคราะห์ จังหวัดหนองคาย อย่างมีนัยสำคัญ
ทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 ปัจจัย ได้แก่ เพศ : ชาย ( X1)
1.2 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการ
มาเรียนของนักเรียนในระดับช่วงชั้นที่ 1 โรงเรียนธนากร
สงเคราะห์ จังหวัดหนองคาย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่
ระดับ .01 มี 5 ปัจจัย ได้แก่ ระดับชั้น : ประถมศึกษาปีที่ 1
( X4) ความศรัทธาต่อโรงเรียน ( X14) ลักษณะทางกายภาพ
ทางด้านการเรียน ( X16) สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครู
(X17) และสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน ( X18)
2. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับแรงจูงใจใน
การมาเรียนของนักเรียนในระดับช่วงชั้น ที่ 1 โรงเรียนธนากร
สงเคราะห์ จังหวัดหนองคาย มีดังนี้
2.1 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับ
แรงจูงใจในการมาเรียนของนักเรียนในระดับช่วงชั้นที่ 1
โรงเรียนธนากรสงเคราะห์ จังหวัดหนองคาย อย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 2 ปัจจัย ได้แก่ ระดับชั้น :
ประถมศึกษาปีที่ 2 ( X5) และระดับการศึกษาผู้ปกครอง :
ปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ( X10)
2.2 ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับ
แรงจูงใจในการมาเรียนของนักเรียนในระดับช่วงชั้นที่ 1
โรงเรียนธนากรสงเคราะห์ จังหวัดหนองคาย อย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 2 ปัจจัย ได้แก่ อายุ ( X3)
และระดับชั้น : ประถมศึกษาปีที่ 3 ( X6)
3. ปัจจัยที่ไม่มีความสัมพันธ์กับแรงจูงใจในการ
มาเรียนของนักเรียนในระดับช่วงชั้นที่ 1 โรงเรียนธนากรสง
เคราะห์ จังหวัดหนองคาย มี 7 ปัจจัย ได้แก่ เพศ : หญิง ( X2)
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน( X7) ฐานะทางเศรษฐกิจของ
ครอบครัว( X8) ระดับการศึกษาผู้ปกครอง : ต่ำกว่าปริญญา
ตรี( X11) บุคลิกภาพ( X12) สุขภาพจิต( X13) และความ
คาดหวังของผู้ปกครองต่อการเรียนของนักเรียน( X15)
4. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการแรงจูงในการมาเรียนของ
นักเรียนในระดับช่วงชั้นที่ 1 โรงเรียน ธนากรสงเคราะห์
จังหวัดหนองคาย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี
4 ปัจจัย โดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดไปหา
น้อยที่สุด ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพทางด้านการเรียน
( X16) ความศรัทธาต่อโรงเรียน ( X14) สัมพันธภาพระหว่าง
นักเรียนกับครู( X17) และฐานะทางเศรษฐกิจของ
ครอบครัว ( X8) ซึ่งปัจจัยทั้ง 4 ปัจจัยนี้ สามารถร่วมกัน
อธิบายความแปรปรวนการแรงจูงใจในการมาเรียนของ
นักเรียนในระดับช่วงชั้นที่ 1 โรงเรียน ธนากรสงเคราะห์
จังหวัดหนองคาย ได้ร้อยละ 50.90
5. สมการพยากรณ์แรงจูงใจในการมาเรียนของ
นักเรียนในระดับช่วงชั้นที่ 1 โรงเรียน ธนากรสงเคราะห์
จังหวัดหนองคาย มีดังนี้
5.1 สมการพยากรณ์แรงจูงใจในการมาเรียน
ของนักเรียนในระดับช่วงชั้นที่ 1 โรงเรียน ธนากรสง
เคราะห์ จังหวัดหนองคาย ในรูปคะแนนดิบ ได้แก่
Ŷ = .398 + .358X16 + .301X14 + .270X17+.046 X8
5.2 สมการพยากรณ์แรงจูงใจในการมาเรียน
ของนักเรียนในระดับช่วงชั้นที่ 1 โรงเรียน ธนากรสงเคราะห์
จังหวัดหนองคาย ในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้แก่
Z = .359X16 + .342 X14 + .255X17+.129 X8
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-10 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/471
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 3 (2550): ปี่ที่ 8 ฉบับที่ 3 ก.ย.-ธ.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/472
2009-06-16T15:48:11Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090616 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การพัฒนาโปรแกรมซ่อมเสริมคณิตศาสตร์สำหรับเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
โปร่งสันเทียะ, อาจารย์สิริลักษณ์
การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาโปรแกรมซ่อมเสริมคณิตศาสตร์สำหรับ เด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ ด้วยการดำเนินการวิจัยและพัฒนาเป็น 3 ขั้นตอนดังนี้ขั้นตอนที่ 1 สร้างโปรแกรมซ่อมเสริมคณิตศาสตร์สำหรับเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ ขั้นตอนที่ 2 ศึกษา ประสิทธิผลของโปรแกรมซ่อมเสริมคณิตศาสตร์สำหรับเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ ขั้นตอนที่ 3 ประเมินความเหมาะสมของโปรแกรมซ่อมเสริมคณิตศาสตร์สำหรับเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้และปรับปรุงโปรแกรม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการสร้างเครื่องมือคัดแยกเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ด้านคณิตศาสตร์ เป็นนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 2 และ 3 ที่ได้จากการคัดกรองเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้โดยแบบสำรวจปัญหาทางการเรียนรู้จำนวน 199 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการจัดกิจกรรมซ่อมเสริมคณิตศาสตร์ การประเมินความสามารถทางคณิตศาสตร์ และการทดสอบการ รับรู้ความสามารถตนเองด้านคณิตศาสตร์ เป็นนักเรียนที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ระดับประถมศึกษาปีที่ 2 และ 3เลือกมาโดยวิธีเจาะจง จำนวน 23 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มี 4 ชนิด คือ แบบคัดแยกเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ด้านคณิตศาสตร์ แบบประเมินความสามารถทางคณิตศาสตร์แบบวัดการรับรู้ความสามารถของตนด้านคณิตศาสตร์ และแผนการจัดกิจกรรมซ่อมเสริมคณิตศาสตร์ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติคำนวณ ค่ามัธยฐาน ค่าพิสัยควอไทล์ สถิติทดสอบThe Wilcoxon Matched – Pairs Signed – Rank Test และสถิติวิเคราะห์คุณภาพของเครื่องมือวัดผลการศึกษา1. โปรแกรมซ่อมเสริมคณิตศาสตร์สำหรับเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ ประกอบด้วย(1) แบบคัดแยกเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ด้านคณิตศาสตร์ ที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.98 (2) แผนการจัดกิจกรรมซ่อมเสริมคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมปีที่ 2 และ 3 ด้านการจำแนกทางสายตา การนับ การแทนค่าประจำหลัก การบวก การลบ และการแก้โจทย์ปัญหา (3)แบบประเมินความสามารถทางคณิตศาสตร์ที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 ค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินรายด้าน อยู่ระหว่าง 0.54 ถึง 0.86 มีค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง0.34 – 0.80 และค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.22 ถึง 0.88และ (4) แบบวัดการรับรู้ความสามารถของตนด้านคณิตศาสตร์ ที่มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.92 โปรแกรมซ่อมเสริมคณิตศาสตร์สำหรับเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ มีความเหมาะสมในระดับดีมาก2. ป ร ะ สิท ธิผ ล ข อ ง โ ป ร แ ก ร ม ซ่อ ม เ ส ริมคณิตศาสตร์สำหรับเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้ ด้าน (1)ความสามารถทางคณิตศาสตร์ของเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้หลังการจัดกิจกรรมซ่อมเสริมคณิตศาสตร์ อยู่ในระดับดีมาก และ (2) การรับรู้ความสามารถของตนด้านคณิตศาสตร์ของเด็กที่ทีปัญหาทางการเรียนรู้ หลังการจัดกิจกรรมซ่อมเสริมคณิตศาสตร์สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-10 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/472
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 3 (2550): ปี่ที่ 8 ฉบับที่ 3 ก.ย.-ธ.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/500
2009-06-24T10:37:48Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090624 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ความผิดพลาดในการคำนวณค่าสถิติในรายงานการวิจัย
บุญเรืองรัตน์, ศาสตราจารย์ ดร.สำเริง
การวิจัยเริ่มจากการคิดปัญหาที่ทำวิจัยต้องใหม่และก้าวไกลไปจากเดิม กำหนดตัวแปรในการทำวิจัย เครื่องมือที่วัดตัวแปรต้องเที่ยงตรง และมีความเชื่อมั่นสูง มีวิธีการวัดตัวแปรและเก็บข้อมูลอย่างดี จากนั้นก็วิเคราะห์ข้อมูลคำนวณค่าสถิติต่างๆผมมีข้อสังเกตที่พบจากรายงานการวิจัยต่างๆ ทั้งงานวิจัยที่เสนอเพื่อขอตำแหน่งทางวิชาการ งานวิจัยที่ทำเสนอขอรับปริญญานิพนธ์ ระดับปริญญาโท และปริญญาเอก ตัวอย่างดังต่อไปนี้
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/500
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 5 No. 1 (2547): ปีที่ 5 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.–ธ.ค. 2547
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/501
2009-06-24T10:39:49Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090624 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
หลักการ และแนวทาง การจัดการศึกษาแบบเรียนรวม : กรณีศึกษาโรงเรียนประถมศึกษา เขตปกครองพิเศษ ฮ่องกง
ตรีทิเพนทร์, สมศรี
การศึกษาแบบเรียนรวม (Inclusive Education) ได้ทวีความสำคัญมากขึ้นในระดับสากลและมีความสำคัญต่อระบบการจัดการศึกษาในปัจจุบัน หลายประเทศได้กำหนดเป็นนโยบายในแผนการศึกษาชาติ อันมีที่มาจากปรัชญาและแนวคิดสำคัญ ด้านมนุษยนิยม สิทธิ และความเสมอภาค ในการอยู่ร่วมกันของเด็กให้ได้รับการจัดการศึกษาอย่างเหมาะสม รัฐจึงต้องถือเป็นหน้าที่ในการจัดการศึกษาแก่เด็กทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน สำหรับประเทศไทย พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มีนโยบายให้ความสำคัญต่อการจัดการศึกษาแก่เด็กทุกคนให้ได้รับสิทธิและความเสมอภาคเท่าเทียมกันในการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ครอบคลุมถึงเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ที่มีลักษณะความบกพร่องทุกประเภทด้วยเช่นกัน
ในโอกาสที่ข้าพเจ้าและคณะเดินทางไปศึกษาดูงาน การจัดการศึกษาแบบเรียนรวม สำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ ระดับประถมศึกษา ณ เมืองฮ่องกง คือ Our Lady of China Catholic Primary School ซึ่งมีนโยบายจัดให้เด็กที่มีความบกพร่องแตกต่างหลายประเภทเรียนร่วมในชั้นเรียนปกติ และ Hong Chi Tsui LamMorninghill School โรงเรียนการศึกษาพิเศษในเครือข่าย ที่ให้การสนับสนุนและความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ ที่จำเป็นในการจัดการศึกษาแก่เด็กพิเศษ อาทิ ให้ความรู้ คำปรึกษาแก่ครู และผู้ปกครอง เพื่อเตรียมเด็กพิเศษก่อนเข้าเรียน สื่อ อุปกรณ์ ในการสอน และติดตามผลในระยะแรกที่เข้าเรียนในโรงเรียนปกติ รวมทั้งได้ศึกษา เยี่ยมชม คณะศึกษาศาสตร์ (Faculty of Education) ของมหาวิทยาลัยแห่งฮ่องกง (The University of Hong Kong: HKU) ที่มีบทบาทสำคัญด้านการศึกษาวิจัย และพัฒนาการจัดการศึกษาในเมืองฮ่องกงร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการโรงเรียน และหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ผู้เขียนมีโอกาส สนทนา แลกเปลี่ยนความคิดเห็นในด้านการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม ซึ่งกล่าวได้ว่า การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษในฮ่องกงเป็นระยะเปลี่ยนผ่านที่สำคัญเช่นเดียวกับหลายๆประเทศที่กำลังมีการเคลื่อนไหว และมองหาแนวทางที่เหมาะสมในการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม ขณะที่หลายประเทศกำลังอยู่ระหว่างการเริ่มต้นพร้อม ๆ กับความขัดแย้ง
บทความนี้ จึงมีจุดประสงค์ที่จะนำเสนอความรู้ที่ได้รับจากแนวทางการจัดการศึกษาแบบเรียนรวม ตามบริบทของเมืองฮ่องกง ซึ่งเป็นประเทศในแถบเอเชียด้วยกัน รวมทั้งนำเสนอความหมาย ความเป็นมาของการจัดการเรียนรวมข้อคิดและทัศนะบางประการเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ของการจัดการเรียนรวมสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ แก่ผู้สนใจในบทความนี้ด้วย
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/501
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 5 No. 1 (2547): ปีที่ 5 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.–ธ.ค. 2547
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/502
2009-06-24T10:41:09Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090624 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งงานและการศึกษาไทย
สู้รักษา, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. นันทา
ในยุคข่าวสารข้อมูลนี้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้โลกแห่งงานมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก หลายอาชีพต้องสูญพันธุ์ ในขณะที่อีกหลายอาชีพมีการเกิดขึ้นใหม่ตามวัฏจักรแห่งพัฒนาการทางเทคโนโลยี นักการศึกษาจึงควรเตรียมความพร้อมและพัฒนาองค์ความรู้ทั้งเชิงลึกในวิชาชีพและความรู้รอบตัวทันโลก รวมถึงทักษะทางการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้บริการแก่นักเรียน นิสิต และนักศึกษาอย่างดีที่สุด
อนึ่ง การให้การศึกษาแก่คนไทยนั้น ควรคำนึงถึงบริบทและเงื่อนไขชีวิตแบบไทย ๆ ด้วย เพราะการที่รับเอาวิธีการแบบตะวันตกซึ่งเป็นผู้นำทางวิทยาการมาใช้โดยไม่มีการดัดแปลงให้เข้ากับวัฒนธรรมของไทยนั้นจะทำให้การศึกษาขาดความกลมกลืนและไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรจะเป็นดังนั้น บทความนี้จึงมุ่งประเด็นถึงข้อควรคำนึงในการจัดการศึกษาไทยให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงในโลกแห่งงานที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/502
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 5 No. 1 (2547): ปีที่ 5 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.–ธ.ค. 2547
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/503
2009-06-24T10:41:47Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090624 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนซ่อมเสริมวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ช่วงชั้นที่ 3 โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบมัลติมีเดีย
ฤกษนันทน์, ศิริวรรณ
การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนซ่อมเสริมวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง สมบัติของจำนวนนับ โดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบมัลติมีเดียกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ช่วงชั้นที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม)เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2546 จำนวน 30 คน โดยใช้แบบแผนการวิจัยแบบ One Group Pretest – Posttest Design และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการทดสอบค่าสถิติ t – test แบบ Dependent ผลการวิจัยปรากฏว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนซ่อมเสริมวิชาคณิตศาสตร์ก่อนเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบมัลติมีเดียกับหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบมัลติมีเดียเรื่องสมบัติของจำนวนนับ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.01นั่น คือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนซ่อมเสริมวิชาคณิตศาสตร์เรื่อง สมบัติของจำนวนนับ หลังจากเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบมัลติมีเดียสูงกว่าก่อนเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/503
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 5 No. 1 (2547): ปีที่ 5 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.–ธ.ค. 2547
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/504
2009-06-24T10:43:31Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090624 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
พฤติกรรมการใช้บริการอาหารกลางวันและความพึงพอใจที่มีต่อโครงการอาหารกลางวันของนักเรียนโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม)
สุขรอด, สุรางค์
งานวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาพฤติกรรมการใช้บริการอาหารกลางวัน 2) เพื่อศึกษาการจัดลำดับปัญหาการบริการอาหารกลางวัน 3)เพื่อศึกษาระดับความพึงพอใจที่มีต่อโครงการอาหารกลางวัน 4) เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจที่มีต่อโครงการอาหารกลางวันระหว่างนักเรียนที่มีเพศและระดับชั้นเรียนต่างกัน และ 5) เพื่อสรุปข้อเสนอแนะการจัดโครงการอาหารกลางวัน
กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-6 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) ภาคเรียนที่ 2 ประจำปีการศึกษา 2546 จำนวน 359 คน แบ่งเป็น นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 179 คน ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย 180 คน เป็นนักเรียนชาย 180 คน นักเรียนหญิง 179 คน การเก็บรวบรวมข้อมูลใช้แบบสอบถาม ซึ่งแบ่งเป็น 3 ตอน คือ ตอนที่ 1 แบบสอบถามข้อมูลส่วนตัว ตอนที่ 2 แบบสอบถามพฤติกรรมการใช้บริการอาหารกลางวัน และตอนที่ 3 แบบสอบถามความพึงพอใจที่มีต่อโครงการอาหารกลางวัน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติพรรณนา คือ ความถี่ ร้อยละ X และS.D. และสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานคือ สถิติทดสอบ t (t - Test)
ผลการวิจัยมีดังนี้
1. นักเรียนทั้งในกลุ่มรวมและกลุ่มย่อยจำแนกตามเพศและระดับชั้นเรียน มีพฤติกรรมการใช้บริการอาหารกลางวันทั้งในด้านการแสดงออกและความคิดเห็นดังนี้นักเรียนส่วนมากรับประทานอาหารกลางวันของโรงเรียนทุกวันโดยใช้เวลารับประทานประมาณ 10 - 20 นาที นักเรียนส่วนมากต้องการอาหารจานเดียวสัปดาห์ละ 2 วันและทางโรงเรียนให้ปริมาณอาหารเพียงพอ อาหารมีความสะอาดไม่พบหนอนหรือแมลงในอาหาร
2. นักเรียนส่วนมากเห็นว่าปัญหาการบริการอาหารกลางวันอันดับ 1 คือ ปัญหาด้านสถานที่และสภาพแวดล้อม รองลงมาคือ ด้านมารยาทและความเป็นระเบียบของนักเรียน
3. นักเรียนทุกกลุ่มมีความพึงพอใจต่อโครงการอาหารกลางวันในระดับปานกลางนักเรียนชายและหญิงมีความพึงพอใจต่อโครงการอาหารกลางวันทั้งภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน แต่นักเรียนที่เรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายมีความพึงพอใจต่อโครงการอาหารกลางวันทั้งภาพรวมและรายด้านมากกว่านักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น นักเรียนชายและนักเรียนหญิงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายต้องการไอศกรีมเป็นของหวาน ในเรื่องรสชาติอาหารส่วนมากเห็นว่ารสชาติดีแล้ว
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/504
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 5 No. 1 (2547): ปีที่ 5 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.–ธ.ค. 2547
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/505
2009-06-24T10:44:01Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090624 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การศึกษาลักษณะความเป็นผู้นำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2546 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (ฝ่ายมัธยม)
กอมณี, สมคิด
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาลักษณะความเป็นผู้นำและเปรียบเทียบลักษณะความเป็นผู้นำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2546 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม ) ในภาพรวมและ 4 ด้าน คือด้านความรับผิดชอบ ด้านมนุษยสัมพันธ์ ด้านความสามารถในการตัดสินใจ และด้านความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ โดยจำแนกตามเพศ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เป็นกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 286 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมานค่า 5 ระดับ จำนวน 40 ข้อ วัดระดับการปฏิบัติเกี่ยวกับลักษณะความเป็นผู้นำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ใน 4 ด้านดังกล่าว สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือค่าร้อยละ ค่าคะแนนเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและ t- test ผลการศึกษาลักษณะความเป็นผู้นำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2546 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) พบว่า
1. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2546 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) มีลักษณะความเป็นผู้นำโดยรวมและรายด้านทุกด้าน อยู่ในระดับมาก
2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ปีการศึกษา 2546 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร(ฝ่ายมัธยม) ที่มีเพศต่างกัน มีลักษณะความเป็นผู้นำโดยรวม และรายด้านทุกด้านไม่แตกต่างกัน
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/505
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 5 No. 1 (2547): ปีที่ 5 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.–ธ.ค. 2547
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/506
2009-06-24T10:44:48Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090624 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การศึกษาผลของการสอนโดยใช้ชุดการสอนมินิคอร์สกับการสอนตามคู่มือครูของ สสวท. มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ความเชื่อมั่นในตนเองในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์และเจตคติต่อวิชา
รุ่งสุวรรณ, นภาลักษณ์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการสอนโดยใช้ชุดการสอนมินิคอร์สกับการสอนตามคู่มือครูของ สสวท.มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ความเชื่อมั่นในตนเองในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ และเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2547 ของโรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน กรุงเทพมหานคร จำนวน 54 คน โดยแบ่งกลุ่มตัวอย่างออกเป็น 2 กลุ่ม โดยกลุ่มทดลองมี 27 คน ได้รับการสอนโดยใช้ชุดการสอนมินิคอร์ส และกลุ่มควบคุมมี 27 คน ได้รับการสอนตามคู่มือครูของ สสวท.และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติการวิเคราะห์ความแปรปรวนร่วม ( Analysis of Covariance ) ผลการวิจัยพบว่า
1. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่สอนโดยใช้ชุดการสอนมินิคอร์สกับการสอนตามคู่มือครูของ สสวท. ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้
2. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบความเชื่อมั่นในตนเองในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่สอนโดยชุดการสอนมินิคอร์สกับการสอนตามคู่มือครูของสสวท. แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ซึ่งสอดคล้องกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้
3. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบความเชื่อมั่นในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมก่อนและหลังการสอนโดยใช้ชุดการสอนมินิคอร์สกับการสอนตามคู่มือครูของ สสวท.ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้
4. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนที่สอนโดยชุดการสอนมินิคอร์สกับการสอนตามคู่มือครูของ สสวท. ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้
5. ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนภายในกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุม ก่อนและหลังการสอน โดยใช้ชุดการสอนมินิคอร์สกับการสอนตามคู่มือครูของ สสวท. ไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสมมุติฐานที่ตั้งไว้
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-19 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/506
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 5 No. 1 (2547): ปีที่ 5 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.–ธ.ค. 2547
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/507
2009-06-26T17:59:51Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090626 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ชีวิตและงานของโฮเวิร์ด การ์ดเนอร์
เดชะคุปต์, รองศาสตราจารย์ ดร.เยาวพา
โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ ศาสตราจารย์ทางการศึกษา และจิตวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้พัฒนาแนวคิดทฤษฎีพหุปัญญาซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปการศึกษาที่เน้นการพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ คำนึงถึงผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยการส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพความถนัดของผู้เรียนตามความถนัดของแต่ละบุคคล
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-26 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/507
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 6 No. 1 (2548): ปีที่ 6 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.-ธ.ค. 2548
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/508
2009-06-26T18:03:39Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090626 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
แนวคิดของรอเจอร์สกับการเรียนการสอนทัศนศิลป์แบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
สารวิจิตร, วิบูลลักษณ์
รอเจอร์ส ( Carl R. Rogers ) เป็นนักจิตวิทยาในด้านให้บริการปรึกษาแบบผู้รับบริการเป็นศูนย์กลาง (Client-Centered ) ที่มีแนวคิดและจุดประสงค์ในการให้บริการปรึกษาโดยยึดตัวผู้รับบริการเป็นสำคัญ กล่าวคือรอเจอร์สมีมุมมองเกี่ยวกับมนุษย์ว่า มนุษย์ทุกคนมีความสามารถ มีสติปัญญา มีพื้นฐานเป็นคนดี น่าเชื่อถือ มีโลกเป็นของตนเอง ต้องการความรักความอบอุ่น และต้องการพัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพจากแนวคิดของรอเจอร์สดังกล่าว นักการศึกษาได้นำมาประยุกต์กับการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง(Child-Centered) ซึ่งรูปแบบการเรียนการสอนดังกล่าว สามารถพัฒนาและสร้างผู้เรียนให้มีคุณลักษณะเป็นผู้เฉลียวฉลาด มีความคิดสร้างสรรค์ มองกว้าง คิดไกล มีวินัยในตนเอง มีทักษะในการแสวงหาความรู้รู้จักสร้างความรู้ด้วยตนเอง รู้จักพัฒนาตนเอง รู้จักตนเองในแง่มุมต่างๆ รู้จักการวิเคราะห์และเลือกรับข้อมูลจากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ มีทักษะในการเผชิญปัญหา สามารถดำรงชีวิตอย่างมีความสุข ปลอดภัยในโลกยุคโลกาภิวัตน์ กิจกรรมการเรียนการสอนทัศนศิลป์เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้รูปแบบหนึ่งที่ช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาศักยภาพ มีความสามารถและพัฒนาตนเองให้พึ่งตนเองได้นำตนเองไปสู่ความดีงาม มีความรู้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลก และทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคม อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิตและการศึกษาได้
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-26 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/508
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 6 No. 1 (2548): ปีที่ 6 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.-ธ.ค. 2548
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/509
2009-06-26T18:05:52Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090626 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การจัด“สัปดาห์แสนสนุกสุขหรรษา”ตามหลักสูตร Fun Find Focus ของโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม
วิรัตน์โยสินทร์, ซ่อนกลิ่น
การจัดสัปดาห์แสนสนุกสุขหรรษานี้ เป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม ซึ่งจัดให้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 - 2 เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เลือกเรียนตามความสนใจ ทำให้ผู้เรียนมีความพึงพอใจในการเรียน และมีกิจกรรมที่หลากหลาย จัดประสบการณ์การเรียนรู้แบบบูรณาการ โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ กิจกรรมดังกล่าวได้ทดลองใช้และปรับปรุง เพื่อให้นักเรียนได้เรียนอย่างสนุกสนาน แนวทางนี้จะมีประโยชน์ต่อครูผู้สอนในการนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับสถานศึกษา ทั้งยังได้ค้นพบความสนใจ และความสามารถของนักเรียนอันจะนำไปสู่การวางแผนการจัดกิจกรรมครั้งต่อ ๆ ไป เพื่อให้นักเรียนได้เรียนอย่างมีความสุข และได้พัฒนาศักยภาพของตนเอง ทั้งนี้แนวทางดังกล่าวยังได้นำไปเผยแพร่ขยายผลสู่โรงเรียนเครือข่ายรวม 57โรงเรียน เพื่อให้เด็กไทยมีการพัฒนาคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-26 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/509
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 6 No. 1 (2548): ปีที่ 6 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.-ธ.ค. 2548
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/510
2009-06-26T18:24:25Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090626 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การจัดบริการอาหารกลางวันในโรงเรียนให้ปลอดภัย
พัวจินดาเนตร, จรัสศรี
บทความนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ (1) เสนอให้โรงเรียนหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดบริการอาหารกลางวันให้แก่นักเรียน เพื่อใช้เป็นแนวทางการจัดอาหารให้ปลอดภัยต่อสุขภาพอนามัยของ นักเรียน และการตระหนักถึงปัญหาและสาเหตุของการปนเปื้อนที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ และ (2) เสนอแนวทางการป้องกันต่างๆและข้อเสนอแนะการจัดบริการอาหารกลางวันในโรงเรียนให้ปลอดภัย
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-26 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/510
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 6 No. 1 (2548): ปีที่ 6 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.-ธ.ค. 2548
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/511
2009-06-26T18:25:40Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090626 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การประเมินหลักสูตรตามโครงการการสอนภาษาไทยในประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม
นัยพัฒน์, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.องอาจ
เอี่ยมจินดา, ดร.มีชัย
เนตรถนอมศักดิ์, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ธีรชัย
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อประเมินหลักสูตรภาษาไทยที่เปิดสอน ณ สถาบันอุดมศึกษาของรัฐบาลและของเอกชนรวม 4 แห่งในประเทศเวียดนาม โดยประยุกต์ใช้แบบจำลองการประเมินแบบซิป(CIPP model) และแบบเน้นการตอบสนอง (Responsive model) และการศึกษาเฉพาะกรณีที่ใช้ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ ผู้วิจัยได้รายงานผลการวิจัยในด้านบริบท ด้านปัจจัยเบื้องต้น ด้านกระบวนการและ ด้านผลผลิต/ผลลัพธ์ กล่าวโดยสรุป หลักสูตรภาษาไทยที่เปิดสอนในประเทศเวียดนาม อยู่ในระดับมาตรฐานที่ยอมรับได้ อย่างไรก็ตามมีองค์ประกอบที่สำคัญบางประการของหลักสูตรที่จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-26 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/511
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 6 No. 1 (2548): ปีที่ 6 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.-ธ.ค. 2548
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/512
2009-06-26T18:36:31Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090626 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
The Open-Ended Problem Solving in Mathematics Class of Grade 6 Students
Pongpullponsak, Assoc.Adisak
Kulchantawit, Jiraporn
The objective of this research was to study the result of
open-ended problem solving methods in mathematics class
instruction of Grade-6 students. Three open-ended problem
solving activities had been implemented, including those
activities related to geometry, arithmetic and problem solving
skills, with 61 grade-6 students of Wat Chang Lek and Ras
Padung Pol schools. The data collecting tools included
evaluation and scoring criteria form, learning efficiency
evaluation form and mathematic learning attitude evaluation
form. The statistics tools included average value, standard
errors, data presentation (table and descriptive). In learning
efficiency comparison, the statistics term "t" was employed to
compare learning efficiency of two groups of students. The
result indicated that there was no difference in learning
efficiency between two methods while the attitude in
mathematics learning, with open-ended problem solving
method, of the students in the experimental group was in
"strongly agree" level. The thinking behavior, in problem solving by each aspect, of students in the same experimental group (in both small sub groups and individual) was in "good" level.
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-26 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/512
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 6 No. 1 (2548): ปีที่ 6 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.-ธ.ค. 2548
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/513
2009-06-26T18:38:01Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090626 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การศึกษาบทบาทผู้บริหารมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในการสร้างองค์การเรียนรู้ (ระหว่างปี พ.ศ. 2547)
สินอยู่, อัมพร
การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาบทบาทผู้บริหารมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในการสร้างองค์การเรียนรู้ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งทางการบริหาร สายงานที่สังกัด คณะวิชาที่สังกัด อายุหน่วยงาน ระยะเวลาการทำงานที่หน่วยงาน ความคิดอย่างมีวิจารณญาณ และเชาวน์อารมณ์ กับบทบาทผู้บริหารมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒในการสร้างองค์การเรียนรู้ และศึกษาค่าน้ำหนักความสำคัญระหว่างตำแหน่งทางการบริหาร สายงานที่สังกัด คณะวิชาที่สังกัด อายุหน่วยงาน ระยะเวลาการทำงานที่หน่วยงาน ความคิดอย่างมีวิจารณญาณ และเชาวน์อารมณ์ที่ส่งผลบทบาท ผู้บริหาร มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในการสร้างองค์การเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาคือ ผู้ปฏิบัติหน้าที่ ผู้บริหารที่มีการจัดการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ตั้งแต่ระดับปริญญาตรีขึ้นไป จำนวน 10 คณะวิชา จำนวนรวม 169 คนประกอบด้วย คณบดี รองคณบดี หัวหน้าภาควิชา /หัวหน้ากลุ่มวิชา / ประธานคณะกรรมการบริหารหลักสูตร เลขานุการคณะ และหัวหน้างาน ได้มาจากการคัดเลือกตาม เกณฑ์ โดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified random sampling) เครื่องมือเป็นแบบสอบถามาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ การวิเคราะห์สหสัมพันธ์พหุคูณ (Multiple Correlation) แบบขั้น (Stepwise)ผลการวิจัยพบว่า บทบาทผู้บริหารมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในการสร้างองค์การเรียนรู้โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาบทบาทผู้บริหารที่แสดงเป็นรายด้านจะแสดงบทบาท ผู้สอนในระดับมากรองลงมาเป็นบทบาทผู้สนับสนุน และบทบาทผู้เรียนรู้มีระดับการแสดงบทบาทมากใกล้เคียงกัน ส่วนบทบาทผู้ออกแบบ ผู้บริหารแสดงอยู่ในระดับปานกลาง ตัวแปรพยากรณ์ ได้แก่ สายงานที่สังกัด ความคิดอย่างมีวิจารณญาณ และเชาวน์อารมณ์ มีความสัมพันธ์กับบทบาทในการสร้างองค์การเรียนรู้ โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ พหุคุณ เท่ากับ .694 ซึ่งมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และตัวแปรพยากรณ์มีลักษณะวัดร่วมกันกับบทบาทในการสร้าง องค์การเรียนรู้ซึ่งสามารถอธิบายได้ถูกต้อง ร้อยละ 49.1 ค่าน้ำหนักความสำคัญของเชาวน์อารมณ์ และความคิดอย่างมีวิจารณญาณ ส่งผลทางบวกต่อบทบาทในการสร้างองค์การเรียนรู้อย่างมีนัยสำ คัญทางสถิติที่ระดับ.01 มีค่าเท่ากับ.454 และ .279 ตามลำดับ ส่วนค่าน้ำหนักความสำคัญของสายงานที่สังกัดส่งผลทางบวกต่อบทบาทในการสร้างองค์การเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 มีค่าเท่ากับ .111
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-26 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/513
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 6 No. 1 (2548): ปีที่ 6 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.-ธ.ค. 2548
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/514
2009-06-26T18:42:36Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090626 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การประเมินหลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาประสาทวิทยาศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ)
เย็นสุขใจ, จันทิมา
สถาบันวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ดำเนินการประเมินหลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาประสาทวิทยาศาสตร์(หลักสูตรนานาชาติ) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินประสิทธิภาพขอหลักสูตรด้านบริบท ด้านปัจจัยเบื้องต้น ด้านกระบวนการ ด้านผลผลิต และประมวลปัญหาและอุปสรรคของการใช้หลักสูตร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการประเมินครั้งนี้ประกอบด้วยอาจารย์ นักศึกษา ผู้สำเร็จการศึกษา และผู้บังคับบัญชาของบัณฑิตหลักสูตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาประสาทวิทยาศาสตร์(หลักสูตรนานาชาติ) เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินครั้งนี้ใช้แบบสอบถาม ผลการประเมินพบว่า อาจารย์ นักศึกษา ผู้สำเร็จการศึกษา และผู้บังคับบัญชา มีความเห็นสอดคล้องกันว่ามีความเหมาะสมในระดับมาก ในด้านบริบท ปัจจัยเบื้องต้น และผลผลิตส่วนด้านกระบวนการ นักศึกษาและผู้สำเร็จการศึกษามีความเห็นสอดคล้องกันว่ามีความเหมาะสมในระดับปานกลาง แต่ อาจารย์ มีความเห็นว่าเหมาะสมในระดับมาก ผลการประเมินจากแบบสอบถามและข้อเสนอแนะจากแบบสอบถามปลายเปิด สรุปเป็นข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรดังนี้
ควรมีการศึกษารายละเอียดของแต่ละรายวิชาในด้านต่าง ๆ เช่นการจัดการเรียนการสอนการประเมินผล วิธีการจัดการเรียนการสอน เนื้อหารายวิชา : จำนวนชั่วโมง/ควรมีการประเมินรายวิชาเมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอนแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไข ควรมีการพิจารณาเนื้อหาแต่ละรายวิชาเพื่อลดความซ้ำซ้อน/ควรมีการพิจารณาคุณสมบัติของผู้เข้าศึกษาของหลักสูตร/ควรมีการพิจารณาความสอดคล้องของเนื้อหาวิชา :จำนวนหน่วยกิต : ชั่วโมงการเรียน: ทฤษฎี : ชั่วโมงการเรียนปฏิบัติ / ควรแจ้งวัตถุประสงค์ของแต่ละรายวิชาก่อนการเรียนการสอน/นำผลการประเมินพิจารณาร่วมกับข้อมูลอื่น
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-26 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/514
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 6 No. 1 (2548): ปีที่ 6 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.-ธ.ค. 2548
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/515
2009-06-27T15:30:51Z
jedu:SA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
“กรมธรรม์ประกันชีวิต การเรียนการสอน”
มีขันหมาก, ผศ.สนั่น
“ผศ.อลิศรา มาขอร้อง คุยกันฉันพี่น้องให้ช่วยหน่อย
เขียนบทความสักหัวข้อจะรอคอย
จึงค่อยค่อยรับคำนำมาคิด
ด้วยความชอบชื่นใจในคำกานท์
จึงร้อยกรองสนองขานลองลิขิต
เขียนเป็นสื่อสร้างสรรค์บรรณพิทย์
เป็นคอลัมน์จำเพาะกิจแบบคำกลอน”
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-26 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/515
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 7 No. 1 (2549): ปีที่ 7 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.–ธ.ค. 2549
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/531
2009-06-27T15:32:00Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
สุนทรภู่...ยอดกวีมณีแห่งนักคิด สร้างสรรค์
วรรณวนิช, ผศ. ดารกา
หากวันนี้สุนทรภู่ยังมีชีวิตอยู่ท่านก็จะมีอายุถึง 220 ปี (พ.ศ.2329 - 2549) ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ หรือเป็นไปได้ยาก แต่ประเด็นมิได้อยู่ตรงนั้น ประเด็นอยู่ที่ว่าจนถึงปัจจุบันวรรณกรรมสุนทรภู่นั้นยังคงปรากฏอยู่ และจะเป็นเช่นนั้นไปอีกยาวนาน....อะไรที่ทำให้ผลงานแห่งกวีเอกของโลกผู้นี้ยังมีลมหายใจอยู่
เมื่อย้อนกลับไปดูประวัติของสุนทรภู่จะปรากฏเห็นความโดดเด่นอย่างหนึ่งที่กวีผู้นี้มี คือความมีไหวพริบดี หรือที่เรารู้จักกันว่าปฏิภาณกวีเกี่ยวกับเรื่องนี้สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงเล่าไว้ว่า เมื่อสุนทรภู่บวช ครั้งหนึ่งสุนทรภู่ไปจอดเรืออยู่ ณ ที่แห่งหนึ่งมีชาวบ้านนำภัตตาหารมาถวาย แต่ทายกนั้นว่าคำถวายภัตทานไม่เป็น อาราธนาสุนทรภู่ให้ช่วยสอน สุนทรภู่จึงสอนให้ว่าคำถวายภัตทานเป็นคำกลอนว่า";อิมัสมิงริมฝั่ง อิมังปลาร้า กุ้งแห้งแตงกวา อีกปลาดุกย่าง ช่อมะกอก ดอกมะปราง เนื้อย่างยำมะดัน ข้าวสุกค่อนขัน น้ำมันขวดหนึ่ง น้ำผึ้งครึ่งโถ ส้มโอแช่อิ่ม ทับทิมสองผล เป็นยอดกุศล สังฆัสสะเทมิ";1
ความว่องไวทั้งในการคิด การกลั่นกรอง และการเรียงร้อยคำนี้อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กวีผู้นี้มีผลงานออกมามากมาย อีกทั้งยังงดงามในกระบวนแห่งวรรณศิลป์ที่มีเอกลักษณ์..........ซึ่งคุณสมบัติเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าสุนทรภู่นั้นเป็นนักคิดสร้างสรรค์ตัวจริงเสียงจริง
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-26 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/531
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 7 No. 1 (2549): ปีที่ 7 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.–ธ.ค. 2549
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/532
2009-06-27T15:32:48Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ครูแนะแนว และผู้ให้คำปรึกษากับการช่วยเหลือนักเรียนที่มาจากครอบครัวหย่าร้าง
อั๋นประเสริฐ, ไพศาล
สถิติเรื่องการหย่าร้างในสังคมไทยในปัจจุบัน เป็นตัวเลขที่น่าวิตกมาก เพราะการหย่าร้างเป็นเรื่องที่กระทบต่อชีวิตของบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายด้าน เป็นต้นว่า สุขภาพจิตและการปรับตัว ฐานะการเงินความเป็นอยู่ สถานะทางสังคม ยิ่งจำนวนการหย่าร้างเพิ่มมาขึ้นในสังคมมากเท่าไร ก็ยิ่งมีนักเรียนที่มาจากครอบครัวที่หย่าร้างมากขึ้นเท่านั้น จากประสบการณ์ที่ผู้เขียนได้พูดคุยกับครูอาจารย์บางโรงเรียนพบว่า บางห้องเรียนมีนักเรียนที่มาจากครอบครัวที่หย่าร้างมากถึงร้อยละ ๘๐ ผลจากการหย่าร้างทำให้นักเรียนบางคนต้องเลือกที่จะอยู่กับพ่อ หรือกับแม่ หรือ ญาติข้างพ่อ หรือข้างแม่ อาจมีนักเรียนบางคน ไม่มีโอกาสได้เลือกที่จะอยู่กับพ่อหรือแม่ตามความต้องการของตัวเอง แต่ผู้ใหญ่ตัดสินใจเลือกให้เพราะพิจารณาจากความมั่นคงในฐานะและอาชีพของพ่อและแม่ โดยที่การพิจารณาส่วนใหญ่จะคำนึงถึงสวัสดิภาพ อนาคต และโอกาสทางการศึกษาของเด็ก ไม่ว่านักเรียนจะได้มีโอกาสเลือกหรือไม่ได้เลือกที่จะอยู่กับพ่อหรือแม่ตามที่ตนต้องการก็ตาม การหย่าร้างหรือการแยกทางกันของพ่อและแม่นำมาซึ่งความเจ็บปวดทางอารมณ์ของเด็กเป็นอย่างมาก บุคลากรในโรงเรียนซึ่งเป็นบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดนักเรียนจะช่วยนักเรียนกลุ่มนี้ได้อย่างไร
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-26 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/532
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 7 No. 1 (2549): ปีที่ 7 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.–ธ.ค. 2549
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/533
2009-06-27T15:37:36Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางการเรียนรู้
ศักดิ์ศิริผล, ผศ. ดารณี
การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนารูปแบบการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ ของเด็กปฐมวัย ที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางการเรียนรู้ ด้วยการดำเนินการวิจัยพัฒนาเป็น 3 ขั้นตอนดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 สร้างเครื่องมือที่ใช้ในการคัดแยกเด็กที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางการเรียนรู้ ขั้นตอนที่ 2 สร้างแบบประเมินทักษะการเรียนรู้ และขั้นตอนที่ 3 สร้างชุดเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้และการประเมินทักษะการเรียนรู้กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการสร้างเครื่องมือคัดแยกเด็กที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางการเรียนรู้ เป็นเด็กปฐมวัยอายุระหว่าง 5 - 6 ปี กำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กรุงเทพมหานคร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2547 โดยแบ่งโรงเรียนเป็น 3 ขนาด คือ ขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก สุ่มมา 15 %ของโรงเรียนแต่ละขนาด โดยวิธีการสุ่มแบบแบ่งชั้น ได้นักเรียนทั้งหมด 402 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้และการประเมินทักษะการเรียนรู้ เป็นเด็กปฐมวัยที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางการเรียนรู้ ด้านทิศทาง การจำจากการฟัง การจำจากการเห็น การเขียน การเคลื่อนไหวและการจัดกลุ่มสัมพันธ์ มีอายุระหว่าง 5 - 6 ปีกำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2548ของโรงเรียนพิบูลอุปถัมภ์ เลือกมาโดยใช้วิธีเจาะจงเป็นเด็กปฐมวัยที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางการเรียนรู้ด้านละ 6 คน รวม 6 ด้าน เป็นจำนวน 36 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มี 3 ชนิด คือ แบบคัดแยกเด็กปฐมวัยที่มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาทางการเรียนรู้ แบบประเมินทักษะการเรียนรู้ และชุดเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประเมินทักษะการเรียนรู้ ใช้สถิติทดสอบแบบ The Wilcoxon Matched - Pairs Signed - Rank Test ผลการวิจัย พบว่า เครื่องมือที่ใช้ในการคัดแยก และแบบประเมินทักษะการเรียนรู้ที่สร้างขึ้นมีคุณภาพตรงตามเกณฑ์ และเมื่อเปรียบเทียบความ สามารถทางการเรียนรู้ก่อน และหลังการใช้ชุดเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ พบว่าความสามารถทั้ง 6 ด้าน สูงขึ้นอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05ประสิทธิภาพของรูปแบบการเสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ จากการศึกษา พบว่ารูปแบบมีความเหมาะสมอยู่ในระดับดีมาก
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-26 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/533
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 7 No. 1 (2549): ปีที่ 7 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.–ธ.ค. 2549
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/534
2009-06-27T15:38:46Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคเครื่องสำอางของนักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตเพาะช่าง
พุ่มพึ่งพุทธ, ศิริพร
นามสงวน, ผศ. กัลยา
การวิจัยเรื่องปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการบริโภคเครื่องสำอางของนักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตเพาะช่าง มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอาง 2) ศึกษาพฤติกรรมการบริโภคเครื่องสำอาง และ 3) ศึกษาปัญหาจากการใช้เครื่องสำอางกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยคือ นักศึกษามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตเพาะช่างจำนวน 295 คน ประจำปีการศึกษา 2548 โดยเครื่องมือที่ใช้ในการ
วิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ ที่คณะผู้วิจัยสร้างขึ้น จำนวน 20 ข้อ และแบบสอบถามปลายเปิด ซึ่งสถิติที่ใช้ในการวิจัยคือ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ย (⎯X) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ไคสแควร์ (Chi-Square) t-test และ F-test โดยมีค่านัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผลการวิจัยพบว่า
1. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางของนักศึกษา คือ 1) ปัจจัยด้านราคามีผลต่อการตัดสินใจของกลุ่มตัวอย่างอยู่ในระดับมาก 2) ปัจจัยด้านการจัดจำหน่ายสินค้ามีผลต่อการตัดสินใจของกลุ่มตัวอย่างในระดับมาก และ 3) ปัจจัยด้านการส่งเสริมการตลาดมีผลต่อการตัดสินใจของกลุ่ม
ตัวอย่างอยู่ในระดับปานกลาง โดยนักศึกษาเพศชายและเพศหญิงมีความคิดเห็นต่อปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์
มีผลต่อการตัดสินใจซื้อโดยรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ส่วนความคิดเห็นด้านราคา
การจัดจำหน่ายสินค้า และการส่งเสริมการตลาดที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ โดยรวมไม่แตกต่างกัน และ
ความคิดเห็นต่อปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของนักศึกษา จำแนกตามชั้นปี โดยรวมไม่แตกต่างกัน
นอกจากนี้ความคิดเห็นต่อปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อของนักศึกษา จำแนกตามค่าใช้จ่ายที่ได้รับจากผู้ปกครองโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .05 และเมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า มีความคิดเห็นแตกต่างกันคือ ด้านผลิตภัณฑ์ และด้านการส่งเสริมการตลาด
2. พฤติกรรมการบริโภคเครื่องสำอางของนักศึกษา คือ พฤติกรรมการซื้อจากร้านขายของชำใกล้บ้าน ซูปเปอร์มาเก็ตและเคาเตอร์ตามห้างสรรพสินค้า และจากที่อื่นๆ มีความสัมพันธ์กับเพศ ส่วนพฤติกรรมการซื้อจากผู้ค้าส่ง ร้านสะดวกซื้อต่างๆ ระบบขายตรง และร้านขายเครื่องสำอางทั่วๆ ไป ไม่มีความสัมพันธ์กับเพศ ระดับการศึกษาและค่าใช้จ่ายที่ได้รับจากผู้ปกครองต่อเดือน
3. สาเหตุที่จำเป็นที่ต้องใช้เครื่องสำอางของนักศึกษา คือ เพื่อเสริมบุคลิกภาพ เพิ่มความมั่นใจในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมและเพื่อต้องการบำรุงผิวพรรณเพื่อสุขภาพผิวมีความสัมพันธ์กับเพศ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าเครื่องสำอางสำหรับการประทินโฉมเพื่อให้เกิดความสวยงามเป็นที่นิยมในกลุ่มตัวอย่างเพศหญิงเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่กลุ่มตัวอย่างเพศชายโดยธรรมชาติจะไม่ให้ความสำคัญในสิ่งเหล่านี้ส่วนสาเหตุที่จำเป็นที่ต้องใช้เครื่องสำอางคือ เพื่อพบปะผู้คน และสาเหตุอื่นๆ ไม่มีความสัมพันธ์กับเพศ ส่วนความจำเป็นที่ต้องพบปะผู้คน เพื่อเสริมบุคลิกภาพ เพิ่มความมั่นใจในการอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคม เพื่อต้องการบำรุงผิวพรรณเพื่อสุขภาพผิวที่ดีและสาเหตุอื่นๆ ไม่มีความสัมพันธ์กับระดับการศึกษา
4. ปัญหาจากการใช้เครื่องสำอาง คือ การเปลี่ยนชนิดของเครื่องสำอางบ่อย การใช้เครื่องสำอางร่วมกับผู้อื่น และก่อนใช้ไม่ได้ทดสอบเครื่องสำอางก่อนว่าแพ้หรือไม่ เป็นสาเหตุที่ทำให้แพ้เครื่องสำอางซึ่งมีความสัมพันธ์กับเพศ ทั้งนี้เป็นเพราะว่าเครื่องสำอางที่ใช้แล้วเกิดการแพ้นั้นเป็นเครื่องสำอางเฉพาะที่ ซึ่งเครื่องสำอางประเภทนี้นิยมใช้ในกลุ่มเพศหญิงเป็นส่วนใหญ่ ส่วนสารเคมีซึ่งเป็นส่วนผสมของเครื่องสำอาง การใช้เครื่องสำอางที่หมดอายุ การเก็บรักษาเครื่องสำอางไม่ถูกวิธี การทำความสะอาดไม่ดี ไม่ระมัดระวังเรื่องความสะอาดการใช้เครื่องสำอางราคาถูกเกินไป ใช้เครื่องสำอางไม่ได้คุณภาพและมาตรฐานเครื่องสำอางเนื่องจากไม่ผ่านการรับรองของ อย. และปัจจัยอื่นๆ เป็นสาเหตุที่ทำให้แพ้เครื่องสำอางไม่มีความสัมพันธ์กับเพศ นั่นคือการแพ้เครื่องสำอางเกิดขึ้นได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-26 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/534
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 7 No. 1 (2549): ปีที่ 7 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.–ธ.ค. 2549
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/535
2009-06-27T15:44:26Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจในงานและความผูกพันต่อองค์การของบุคลากร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์
หุตะจูฑะ, ผศ.ดวงพร
นามสงวน, ผศ.กัลยา
โหรา, จารุวรรณ
การศึกษาวิจัยเรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจในงานและความผูกพันต่อองค์การของบุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาระดับของความพึงพอใจในงานและความผูกพันต่อองค์การของบุคลากร 2)เพื่อเปรียบเทียบความพึงพอใจในงานของบุคลากรที่มีปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างกัน 3) เพื่อเปรียบเทียบความผูกพันต่อองค์การของบุคลากรที่มีปัจจัยส่วนบุคคลแตกต่างกัน และ 4) เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจในงานและความผูกพันต่อองค์การของบุคลากร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยคือ บุคลากรมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตเพาะช่าง วิทยาเขตบพิตรพิมุขจักรวรรดิ วิทยาเขตศาลายา และวิทยาเขตวังไกลกังวล ประจำปีการศึกษา 2548 จำนวน 206 คน
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-26 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/535
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 7 No. 1 (2549): ปีที่ 7 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.–ธ.ค. 2549
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/536
2009-06-27T15:48:59Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ปัจจัยบางประการที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ
คทวณิช, ผศ. เติมศักดิ์
การวิจัยในครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยบางประการที่เกี่ยวข้องกับผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนของนักศึกษาระดับปริญญาตรีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ โดยมีปัจจัยที่ศึกษาประกอบไปด้วย ปัจจัยด้านส่วนตัว ได้แก่ ความเชื่อในความสามารถของตนในการเรียน แรงจูงใจ ใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน บุคลิกภาพความภาคภูมิใจในตนเอง ปัจจัยด้านครอบครัว ได้แก่ สัมพันธภาพระหว่างนักศึกษากับผู้ปกครอง ความคาดหวังของผู้ปกครองในตัวนักศึกษา ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทาง การเรียน ได้แก่บรรยากาศในการเรียนการสอน สัมพันธภาพระหว่างนักศึกษากับครูผู้สอนสัมพันธภาพระหว่างรุ่นพี่กับนักศึกษา และสัมพันธภาพระหว่างนักศึกษากับเพื่อน กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลกรุงเทพ ปีการศึกษา 2548 จำนวน 801 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ แบบสอบถามข้อมูลด้านส่วนตัว แบบสอบถามความเชื่อในความสามารถของตนในการเรียน แบบสอบถามแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนแบบสอบถามบุคลิกภาพ แบบสอบถามความภาคภูมิใจในตนเอง แบบสอบถามสัมพันธภาพระหว่างนักศึกษากับผู้ปกครอง แบบสอบถามความคาดหวังของผู้ปกครองในตัวนักศึกษา แบบสอบถามบรรยากาศทางการเรียนการสอน แบบสอบถามสัมพันธภาพระหว่างนักศึกษากับครูผู้สอน แบบสอบถามสัมพันธภาพระหว่างรุ่นพี่กับนักศึกษา และแบบสอบถามสัมพันธภาพระหว่างนักศึกษากับเพื่อน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ การวิเคราะห์ค่าสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน(Pearson Product Moment Correlation Coefficient) และ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ(Multiple Regression Analysis) แบบ Stepwise
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-26 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/536
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 7 No. 1 (2549): ปีที่ 7 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.–ธ.ค. 2549
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/537
2009-06-27T15:49:46Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
Effects of Teaching Summary Writing to English Majors
Laosooksri, Tuanta
งานวิจัยนี้ศึกษาผลการสอนรายวิชา Reading and Summary ( การอ่านและสรุปความ)ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2548 ของนิสิตวิชาเอกภาษาอังกฤษ ชั้นปีที่ 3 จำนวน 15 คน ระยะเวลาในการทดลอง 12 สัปดาห์ จากการวิเคราะห์คะแนนสอบก่อนการสอนและหลังการสอนพบว่า นิสิตเขียนสรุปความมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในระดับที่ .01 นิสิตคัดลอกต้นฉบับน้อยกว่าในการสอบหลังการสอนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติในระดับที่ .01 ความเข้าใจในการอ่านของนิสิตบิดเบือนจากต้นฉบับอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิตินิสิตสามารถเขียนได้ถูกต้อง (errors-free t-units)ไม่แตกต่างกัน ทั้งก่อนการสอนและหลังการสอนสรุปได้ว่านิสิตสามารถเขียนสรุปความได้ดีขึ้นโดยไม่คัดลอกต้นฉบับ อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบผลคะแนนก่อนการสอนและหลังการสอน พบว่านิสิตพัฒนาการอ่านเพื่อความเข้าใจและความสามารถด้านโครงสร้างประโยคได้ไม่สูงมากนัก ทั้งนี้เนื่องจากระยะเวลาในการทดลองมีจำกัด
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-26 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/537
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 7 No. 1 (2549): ปีที่ 7 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.–ธ.ค. 2549
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/538
2009-06-27T15:52:12Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
TRANSLATION QUALITY: A COMPARATIVE STUDY OF TWO TRANSLATED VERSIONS OF THE LONELY LADY
Sriduandao, Kornkamon
Suksaeresup, Dr. Nitaya
การศึกษานี้มีจุดมุ่งหมายเปรียบเทียบงานแปลในนวนิยายเรื่อง The lonely lady ของ Harold Robbins เพื่อประเมินคุณภาพงานแปลนวนิยายสองฉบับได้แก่ เจริลีจอมโลกีย์ โดยประมูล อุณหธูป และ เดียวดาย โดย ";นิดา” การเปรียบเทียบผลงานแปลสองฉบับใช้ทฤษฎี Seven standards of textuality ของ de Beaugrande and Dressler (1981) ซึ่งประกอบด้วย Cohesion,Coherence,Intentionality, Situationality, Informativity, Intertextuality และ Acceptability การวิเคราะห์บทแปลทั้งสองฉบับใช้วิธีการเปรียบเทียบเฉพาะบทที่ 2 (เมืองเล็ก) บทที่ 3 (เมืองใหญ่) และบทที่ 19 (เมืองใหญ่) ของบทแปลทั้งสองฉบับกับต้นฉบับแบบประโยคต่อประโยคเพื่อหาความคลาดเคลื่อนในการแปลจากต้นฉบับภาษาอังกฤษเป็นภาษาไทย ผลการศึกษาพบความคลาดเคลื่อน 11 แห่งในบทแปลของประมูล อุณหธูป และ18 แห่งในบทแปลของ ";นิดา"; จึงกล่าวได้ว่าผลงานแปลนวนิยายเรื่อง The Lonely Lady ของประมูล อุณหธูป น่าจะมีคุณภาพตามทฤษฎี Seven standards of textuality ของ de Beaugrande and Dressler (1981) มากกว่า
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-26 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/538
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 7 No. 1 (2549): ปีที่ 7 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.–ธ.ค. 2549
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/539
2009-06-27T15:53:04Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องเรขาคณิตวิเคราะห์ในปริภูมิสามมิติ สำหรับ
เศรษฐีชัยชนะ, พัชรินทร์
วิทยานิพนธ์เรื่องนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ศึกษาเจตคติต่อวิชาคณิตศาสตร์ ทั้งโดยภาพรวมและจำแนกตามระดับผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เก่ง ปานกลางอ่อนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษาเป็นเนื้อหานอกหลักสูตรปกติ คือ เรื่อง เรขาคณิตวิเคราะห์ในปริภูมิสามมิติ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2548 ของโรงเรียนบางมดวิทยา ";สีสุกหวาดจวนอุปถัมภ์"; จำนวน 54 คนได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงและแบบมีชั้นภูมิการประเมินผลพิจารณาจากผลการทดสอบระหว่างเรียนและหลังเรียน ผลการวิจัยปรากฏว่า นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 60 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการเรียนสูงกว่าก่อนการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เมื่อพิจารณาตามระดับผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เก่ง ปานกลาง อ่อนของนักเรียน พบว่า ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 80 70 และ 60 ตามลำดับ นอกจากนี้นักเรียนมีเจตคติต่อการเรียนเรื่อง เรขาคณิตวิเคราะห์ในปริภูมิสามมิติ ด้านสาระการเรียนรู้ในระดับ ";ปานกลาง"; ด้านกิจกรรมการเรียนรู้ ด้านสื่อการเรียนรู้ ด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ในระดับ ";มาก";
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-26 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/539
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 7 No. 1 (2549): ปีที่ 7 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.–ธ.ค. 2549
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/540
2009-06-27T15:54:26Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ผลการวิจัยเชิงประเมินโครงการภายใต้แผนงานพัฒนาเด็กเล็กและเยาวชนในถิ่น
นัยพัฒน์, ผศ. องอาจ
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาเฉพาะกรณีเชิงประเมินโครงการพัฒนา 8 โครงการภายใต้แผนงานพัฒนาเด็กเล็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ออกแบบการวิจัยโดยการผสมผสานวิธีการ เชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลโดยใช้การสังเกตสัมภาษณ์เจาะลึกรายบุคคล การสนทนากลุ่ม และการวิเคราะห์เอกสาร ผลการวิจัยพบว่า โครงการส่วนใหญ่ประสบผลสำเร็จในระดับที่น่าพอใจและปานกลาง ปัจจัยสนับสนุนที่พบบ่อย ได้แก่ การประสานความร่วมมือที่ดีระหว่างผู้นำโครงการกับทีมของครู สำหรับปัจจัยที่เป็นอุปสรรค คือ การขาดงบประมาณ และ ภาระงานที่หนักของครู และของหัวหน้าโครงการ ทั้งได้ให้ข้อเสนอแนะของแต่ละโครงการโดยละเอียด
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-26 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/540
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 7 No. 1 (2549): ปีที่ 7 ฉบับที่ 1-3 ม.ค.–ธ.ค. 2549
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/541
2009-06-27T16:46:01Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การวิจัยศิลปะลายลาวที่ปรากฏอยู่ที่พระธาตุอิงฮัง แขวงสะหวันนะเขต
ทิมวัฒนบรรเทิง, ผศ. สาธิต
คงโภคานันทน์, ภูธิปนิธิศร์
ขุดตะวา, ท้าวทอนเพชร
พระธาตุอิงฮัง เมืองคันทะบุรี แขวงสะหวันนะเขตสะหวันนะเขต เป็นหัวเมืองตอนกลางของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว คำว่า “สะหวันนะเขต” เป็นภาษาบาลีที่มาจากคำว่า สวณณ แปลว่าทอง และ เขต แปลว่า นา เมื่อสองคำมาสนธิกันเป็น“สวัณณาเขต” มีความหมายว่า นาทองคำ ภายหลัง“สวัณณาเขต” จึงเพี้ยนเสียงเป็น “สะหวันนะเขต”ในขณะที่ราชการไทยเรียก “สุวรรณเขต”
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/541
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 1 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 ม.ค.-เม.ย. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/542
2009-06-27T17:01:46Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การศึกษาผลการพัฒนาความมีวินัยและความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยใช้ชุดกิจกรรมโฮมรูม
รุ่งเรือง, ผศ. กิตติคุณ
แจ่มจำรัส, ผศ. นิรมล
พงศ์กล่ำ, ผศ. สุดใจ
ศิริมัย, นที
การศึกษาวิจัยผลการพัฒนาความมีวินัยและความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ โดยใช้ชุดกิจกรรมโฮมรูม ครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาผลการพัฒนาความมีวินัยและความฉลาดทางอารมณ์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นโดยใช้ชุดกิจกรรมโฮมรูม กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายมัธยม) ที่เรียนใน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2548 จำนวน 230 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นชุดกิจกรรมโฮมรูม แบบวัดความมีวินัย และแบบวัดความฉลาดทางอารมณ์ ตัวแปรอิสระที่ใช้ในการศึกษา คือ ชุดกิจกรรมโฮมรูม ตัวแปรตาม คือ ความมีวินัย และความฉลาดทางอารมณ์ โดยใช้แบบแผนการวิจัยแบบ One Group Pretest – Posttest Designสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ t-test แบบ Dependentผลการวิจัยพบว่า ความมีวินัยและความฉลาดทางอารมณ์ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 หลังการใช้ชุดกิจกรรมโฮมรูมสูงกว่าก่อนการใช้ชุดกิจกรรมโฮมรูม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/542
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 1 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 ม.ค.-เม.ย. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/543
2009-06-27T17:02:41Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
สมบัติผู้ดี : ประเด็นบางประการที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพตามการรับรู้ของนิสิตชั้นปีที่ 1หลักสูตรการศึกษาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 3
เจริญพิทย์, รศ.ดร. ณัฏฐพงษ์
บทความนี้เสนอข้อสนเทศสังเขปจากงานวิจัยเรื่อง ";สมบัติผู้ดี : ประเด็นบางประการที่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพตามการรับรู้ของนิสิตชั้นปีที่ 1หลักสูตรการศึกษาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒและนักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 3"; ซึ่งมีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาระดับการรับรู้ 7 ประเด็น เกี่ยวกับสมบัติผู้ดี 10 ด้าน และเพื่อเปรียบเทียบการรับรู้ตามนัยดังกล่าวของนิสิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ และนักเรียนเตรียมทหาร แหล่งข้อมูล ได้แก่ นิสิตหลักสูตร กศ.บ.สังกัดคณะศึกษาศาสตร์ 134 คน นอกสังกัดคณะศึกษาศาสตร์ 118 คน และนักเรียนเตรียมทหาร 160 คนผลการวิจัยที่สำคัญ พบว่า 1) ระดับการรับรู้ 7 ประเด็นเกี่ยวกับสมบัติผู้ดีทั้ง 10 ด้าน อยู่ในระดับสูงเป็นส่วนใหญ่และ 2) ผู้เรียนทั้ง 3 กลุ่ม มีการรับรู้สมบัติผู้ดีแตกต่างกันในหลายด้าน
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/543
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 1 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 ม.ค.-เม.ย. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/544
2009-06-27T17:03:47Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การศึกษาผลการใช้สารแพคโคบิวทราโซลกับต้น กล้วยไม้สกุลหวายพันธุ์บอมโจ Dendrobium Sonia “Bomjo” เพื่อทำไม้แคระ
ทองปาน, ดร. สนอง
การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาผลการใช้สารแพคโคบิวทราโซลกับต้นกล้วยไม้สกุลหวาย พันธุ์บอมโจ Dendrobium Sonia ";Bomjo"; เพื่อทำไม้แคระ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความสูงและขนาดของทรงพุ่มของต้นกล้วยไม้ โดยวิธีการฉีดพ่นทางใบเพียงครั้งเดียว ในระดับความเข้มข้น 200, 300 , 400 และ 500 มิลลิกรัมต่อลิตร และโดยวิธีการรดลงบนวัสดุปลูกเพียงครั้งเดียวในระดับความเข้มข้น 200, 300 , 400 และ 500มิลลิกรัมต่อลิตรโดยต้นกล้วยไม้ที่ใช้ในการทดลองครั้งนี้มีอายุ 6 เดือน ผลการศึกษาพบว่าการให้สารโดยวิธีการรดลงบนวัสดุปลูกทำให้ความสูงเฉลี่ยของลำต้นเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดมีค่า 0.33 เซนติเมตร หรือร้อยละความสูงของลำต้นที่เพิ่มขึ้นมีค่า 23.91ที่ระดับความเข้มข้น 500มิลลิกรัมต่อลิตร ส่วนขนาดความกว้างของทรงพุ่มเฉลี่ยเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดมีค่า 0.50 เซนติเมตร หรือร้อยละความกว้างของทรงพุ่มมีค่า 40.32 ที่ระดับความเข้มข้น 400 มิลลิกรัมต่อลิตร เมื่อเปรียบเทียบกับต้นที่ไม่ได้รับสารและหลังจากรดสารได้ 3 เดือน โดยสารนี้จะมีผลยับยั้งการเจริญเติบโตได้ 3 เดือน หลังจากได้รับสาร เมื่อถึงเดือนที่ 4 อัตราการเจริญเติบโตจะกลับมาเป็นปกติ ส่วนการให้สารโดยการฉีดพ่นทางใบทำให้ความสูงเฉลี่ยของลำต้นเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดมีค่า 0.67 เซนติเมตร หรือร้อยละความสูงของลำต้นที่เพิ่มขึ้นมีค่า 30.45 ส่วนขนาดความกว้างของทรงพุ่มเฉลี่ยของลำต้นเพิ่มขึ้นน้อยที่สุดมีค่า 1.02 เซนติเมตร หรือร้อยละความกว้างของทรงพุ่มมีค่า52.57 ที่ระดับความเข้มข้น 400 มิลลิกรัมต่อลิตร เมื่อเปรียบเทียบกับต้นที่ไม่ได้รับสารและหลังจากการฉีดพ่นสารได้ 1 เดือน โดยวิธีการฉีดพ่นทางใบจะยับยั้งการเจริญเติบโตได้ 1 เดือน หลังจากได้รับสารเมื่อถึงเดือนที่ 2 ต้นกล้วยไม้จะมีการเจริญเติบโตเป็นปกติ
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/544
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 1 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 ม.ค.-เม.ย. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/545
2009-06-27T17:04:45Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การศึกษาประสิทธิภาพของถังบำบัดน้ำเสียโดยกระบวนการอิเล็กโตรลิซิส
ทองปาน, ดร. สนอง
ชาติตระกูล, ชาติชาย
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของการบำบัดน้ำเสียโดยกระบวนการอิเล็กโตรลิซิสโดยใช้ถังบำบัดน้ำเสียปริมาตร 80 ลิตร ในการบำบัดบีโอดีซีโอดี และสารแขวนลอย ในน้ำเสียจากโรงอาหารของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในการบำบัดน้ำเสียใช้ไฟฟ้ากระแสตรง ขนาดแรงดันไฟฟ้า 24 โวลต์กระแสไฟฟ้า 30 แอมแปร์ จ่ายผ่านแผ่นอิเล็กโตรดที่ทำจากแผ่นอลูมิเนียม งานวิจัยแบ่งการศึกษาออกเป็น 2ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการบำบัดซีโอดี จากการทดลองพบว่า ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพการบำบัดซีโอดี ได้แก่ ระยะห่างระหว่างแผ่นอิเล็กโตรด จำนวนแผ่นอิเล็กโตรด และการจัดเรียงแผ่นอิเล็กโตรด ในส่วนที่ 2 ออกแบบถังบำบัดน้ำเสียโดยใช้ระยะห่างระหว่างแผ่นอิเล็กโตรด 2 เซนติเมตรแผ่นอิเล็กโตรดจำนวน 4 คู่ และการจัดเรียงอิเล็กโตรดแบบโมโนโพลาร์แบบขนาน และการศึกษาประสิทธิภาพของการบำบัดน้ำเสีย ภายในระยะเวลา 2.5 ชั่วโมงสามารถบำบัดบีโอดีได้ 77.24 % บำบัดซีโอดีได้ 96.32 % บำบัดสารแขวนลอยได้ 98.45 % และสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า 296 วัตต์ /ชั่วโมง
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/545
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 1 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 ม.ค.-เม.ย. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/546
2009-06-27T17:05:51Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
รูปแบบการแบ่งแยกเนื้อหาเพื่อการผลิตบทเรียนผ่านระบบเครือข่าย
ศรีประเสริฐภาพ, ขวัญหญิง
สิกขาบัณฑิต, รศ.ดร.เสาวณีย์
ตังคะพิภพ, ผศ.ดร.นิคม
ธนวเสถียร, รศ.ดร.สุชาย
ในการพัฒนาบทเรียน e-Learning ซึ่งมีขั้นตอนประกอบด้วย การแบ่งเนื้อหาเป็นเฟรม การทำออกแบบการเรียนการสอนและการผลิตชิ้นส่วนบทเรียน และการประกอบเป็นบทเรียน e-Learning และทดสอบใช้งาน ซึ่งกระบวนการขั้นตอนเหล่านี้เป็นขั้นตอนการทำด้วยมือ (manual) แต่ในการวิจัยชิ้นนี้ได้ศึกษาถึงกระบวนการแบ่งแยกเนื้อหาเป็นเฟรม จากนั้นได้ออกแบบกรรมวิธีและขั้นตอน (Algorithm) ที่สามารถนำมาพัฒนาเป็นซอฟต์แวร์ที่สามารถนำมาตัดแบ่งเนื้อหาอัตโนมัติ (ACD Segmentation) กระบวนการขั้นตอน ACD (Automatic Content Decomposition) นั้นเป็นแบบ 2 รอบ (2-pass) รอบแรก อ่านบทความทั้งเล่มแล้วสร้างฐานข้อมูลโครงสร้างเนื้อหาซึ่งจดจำข้อมูลย่อหน้าหัวบรรทัดและข้อมูลอื่น ๆ ที่สามารถเป็นตัวบ่งบอกขอบเขตของเนื้อหา(Paragraph Boundary) หลังจากนั้นในรอบที่ 2 ก็จะนำ ข้อมูลตัวแปรที่กำ หนดโดยผู้ใช้ เช่นจำนวนบรรทัดต่อหน้าที่ใช้แบ่งแยกข้อความเป็นเฟรม โดยเฟรมที่ได้นั้นจะเสมือนแบ่งแยกเนื้อหาด้วยมือ รายละเอียดกรรมวิธีการแบ่งแยกเนื้อหาของ ACD นั้น จะใช้ขั้นตอนแบบ Heuristic ประกอบด้วย การอ่านบรรทัดและกฎการตัด ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้สามารถทำงานได้รวดเร็วแล้วได้ผลลัพธ์การตัดแบ่งที่น่าพึงพอใจ
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/546
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 1 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 ม.ค.-เม.ย. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/547
2009-06-27T17:07:52Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การปรับตัวให้ชีวิตมีความสุขในภาวะวิกฤต
พงษ์โสภา, วิไลลักษณ์
คนในสังคมทุกวันนี้ต้องเผชิญกับการดำเนินชีวิตที่สับสนวุ่นวาย ผู้คนไม่มีเวลาถ้อยทีถ้อยอาศัยกันเหมือนเมื่อก่อน เมืองไทยปัจจุบันกำลังจะกลายเป็นสยามเมืองที่ยิ้มไม่ออก เพราะผู้คนมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวรุนแรงมากขึ้นสภาพชีวิตท่ามกลางความเคร่งเครียด รีบเร่งแข่งขันกันหาทางเอารัดเอาเปรียบกัน ทำให้คนเห็นแก่ตัวกันมากขึ้นต่างคนต่างทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอดจนขาดความเอื้ออาทรต่อกัน ยิ่งสังคมใดมีความเจริญทางด้านวัตถุมากและรวดเร็วเกินไป แต่ขาดการดูแลจัดการที่ดีก็จะทำให้มีผลกระทบผกผันกับการพัฒนาทางความรู้สึกนึกคิดและจิตใจของคนในสังคมนั้น โดยเฉพาะถ้าคนในสังคมนั้นไม่เข้มแข็งพอและสังคมนั้นไม่มีมาตรการใดที่จะช่วยเหลือหรือมีเครื่องยึดเหนี่ยวที่ดีพอ สังคมจะดีหรือเลวย่อมขึ้นอยู่กับคุณภาพของคนในสังคมนั้น ถ้าสมาชิกของสังคมเป็นคนเก่ง คนดี มีคุณภาพ ก็ย่อมจะร่วมมือร่วมใจกันสร้างสรรค์เพื่อปรับตัวเองและมุ่งพัฒนาสังคมให้เจริญก้าวหน้าไปได้ ไม่ว่าสังคมนั้นจะมีปัญหายุ่งยากเพียงใด
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/547
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 1 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 ม.ค.-เม.ย. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/548
2009-06-27T17:08:44Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ความเฉลียวฉลาดทางด้านต่าง ๆ ที่ทุกคนพึงมี
คูศิริวิเชียร, ผศ.เพ็ญพิมล
สังคมทุกวันนี้มีการเชื่อมโยง ซับซ้อน เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนในสังคมทุกระดับ เพราะไม่สามารถเผชิญกับความซับซ้อนและความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วได้ ทำให้เกิดสภาวะวิกฤต เช่น ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความยากจน การไม่มีงานทำ ความเครียด การฆ่าตัวตายและอื่น ๆ จึงไม่สามารถจัดระบบชีวิต และสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขได้ บุคคลใดก็ตามที่สามารถรับรู้และสามารถเผชิญปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้วก็จะช่วยให้ปัญหาและความยุ่งยากใจที่เกิดขึ้นบรรเทาเบาบางลงได้จนสามารถสร้างดุลยภาพแห่งชีวิตของตนได้ (นิภา นิธยายน. 2520 : 14) ส่วนบุคคลที่ไม่สามารถเผชิญปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ก็จะเกิดปัญหาทางอารมณ์ตั้งแต่เล็กน้อยจนกระทั่งถึงขั้นรุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อตนเอง คนรอบข้าง และอาจกลายเป็นภาระต่อสังคมต่อไปในที่สุด (วาสนา แฉล้มเขต. 2525 : 12) ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้บุคคลสามารถจัดระบบชีวิตให้สามารถดำเนินอยู่ได้ในสภาพสังคมที่มีการเชื่อมโยงซับซ้อน เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วต้องอาศัยความเฉลียวฉลาดทั้งทางด้านสติปัญญา (IQ) ทางด้านอารมณ์ (EQ) ทางด้านจิตใจและความรู้สึกภายใน (SQ)ทางด้านคุณธรรม (MQ) และทางด้านการเอาชนะอุปสรรคหรือทางด้านการฝ่าวิกฤต (AQ) มาประกอบกัน จึงจะนับได้ว่าเป็นบุคคลที่สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างสมบูรณ์
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/548
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 1 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 1 ม.ค.-เม.ย. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/549
2009-06-27T19:58:44Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ภาษาเพื่อพัฒนาปัญญา
พานทอง, ผศ. ดร.บังอร
บทความนี้มีความมุ่งหมายที่จะเสนอแนวการจัดการเรียนรู้ภาษาต่าง ๆโดยเฉพาะ เพื่อเสนอแนะครูผู้สอนหรือผู้อ่านเกี่ยวกับแนวทางการจัดการเรียนรู้หรือการสอนที่แน้นการสอนที่มีประสิทธิภาพ ผู้สอนต้องเข้าใจผู้เรียนซึ่งเป็นเด็กเล็ก ทำอย่างไรจึงจะสามารถเข้าใจผู้เรียนได้ดี กิจกรรมการเรียนรู้ต่าง ๆ ซึ่งครูผู้สอนจัดขึ้นอย่างเหมาะสมเป็นอย่างไร เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพผู้สอนภาษาเด็กระดับเริ่มต้นหรือเด็กเล็ก ต้องมีความเข้าใจทั้งด้านทฤษฎีการสอนภาษาและทฤษฎีการเรียนรู้ การเพิ่มพูนความรู้ความสามารถหรือคุณภาพด้านการใช้ภาษาที่กำลังสอน และการเข้าใจผู้เรียน ผู้สอนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการสอนเด็กเล็กควรเป็นสิ่งที่ง่าย ๆ ตรงไปตรงมาไม่ซับซ้อน แต่ในทางตรงข้ามเด็กทุกคนมีความรู้และประสบการณ์มากพอควร ผู้สอนจึงควรเข้าใจเทคนิควิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนว่าทำความเข้าใจสิ่งที่เรียนได้อย่างไร เด็กมีศักยภาพและความสามารถที่จะคิดหรือทำในสิ่งที่ผู้ใหญ่ไม่คาดคิดครูผู้สอนจึงควรให้การสนับสนุนเพื่อให้เกิดการพัฒนาการใช้ภาษาทั้งในชั้นเรียนและชีวิตประจำวัน การที่เด็กสามารถใช้ภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพและถูกต้อง ทักษะการสื่อสารและศักยภาพในการเรียนรู้จะพัฒนาอย่างรวดเร็วเป็นพื้นฐานของการเรียนรู้ต่อไปในอนาคต
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/549
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 2 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 พ.ค-ส.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/550
2009-06-27T19:59:39Z
jedu:AA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
จิตวิทยาเพื่อการติดต่อสื่อสารและเข้าใจผู้อื่น
ศรียงค์, รศ. มุกดา
จิตวิทยาการสื่อสารและเข้าใจผู้อื่นมีจุดมุ่งหมายให้ผู้สื่อสารสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิผล โดยใช้ทักษะและกลยุทธ์ในการสื่อสารเพื่อช่วยให้ผู้ส่งสารและผู้รับสารมีความเข้าใจถูกต้องตรงกัน จิตวิทยาสื่อสารจึงทำหน้าที่เสมือนเป็นกุญแจสำคัญที่ใช้ไขสู่ความสำเร็จในการทำงานและอาชีพ ตลอดจนการมีปฎิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในสังคม
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/550
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 2 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 พ.ค-ส.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/551
2009-06-27T20:02:05Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การพัฒนาค่าดัชนีพลังงานจำเพาะของการใช้พลังงานไฟฟ้าในที่อยู่อาศัยโดยพิจารณาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและปัจจัยเชิงพฤติกรรม
สุขหวาน, โอภาส
เทอดโยธิน, อภิชิต
วงศ์ยุทธไกร, ดร. ไพรัช
จุดประสงค์ของการวิจัยในครั้งนี้ เพื่อพัฒนาค่าดัชนีพลังงานจำเพาะที่เหมาะสมของการใช้พลังงานไฟฟ้าในที่อยู่อาศัยโดย
พิจารณาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างและปัจจัยเชิงพฤติกรรม เพื่อสนองตอบต่อแนวทางในการอนุรักษ์พลังงานไฟฟ้าในที่อยู่อาศัยขอบเขตของการวิจัยเป็นการศึกษาการใช้พลังงานไฟฟ้าในบ้านที่อยู่อาศัยแบบบ้านเดี่ยวในเขตกรุงเทพมหานครและ ปริมณฑล ข้อมูลพลังงานที่ศึกษาคือพลังงานไฟฟ้าซึ่งได้จากการรวบรวมข้อมูลใบแจ้งค่าไฟฟ้าของการไฟฟ้านครหลวง ข้อมูลที่ได้ใช้ข้อมูลในรอบเดือนเดียวกันและย้อนหลังอีก 6 เดือนเพื่อหาค่าเฉลี่ยการใช้พลังงานไฟฟ้าของครัวเรือน ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ศึกษาประกอบด้วย สถานภาพของครอบครัว การเลือกใช้แหล่งพลังงานที่สามารถทดแทนการใช้พลังงาน
ไฟฟ้า ลักษณะทางกายภาพของบ้านที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และการใช้อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า ปัจจัยเชิงพฤติกรรมที่ศึกษาประกอบด้วย ลักษณะการใช้พลังงานไฟฟ้า จิตสำนึกในการประหยัดพลังงาน การตอบสนองต่อสถานการณ์พลังงานไฟฟ้าในปัจจุบัน ลักษณะรูปแบบการดำรงชีวิต และความรู้และความเข้าใจเรื่องพลังงานไฟฟ้าประชากรที่ใช้ศึกษาคือผู้อยู่อาศัยในบ้านเดี่ยวในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวนกลุ่มตัวอย่าง 400 ครัวเรือนได้มาจากการสุ่มอย่างมีระบบ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์และพัฒนาค่าดัชนีพลังงานจำเพาะของการใช้พลังงานไฟฟ้าในที่อยู่อาศัยคือค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนฃนมาตรฐาน การวิเคราะห์ถดถอยพหุคูณ ผลการวิจัยสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการกำหนดมาตรฐานเชิงพฤติกรรมของการใช้พลังงานไฟฟ้าแต่ละชนิดในที่อยู่อาศัยพร้อมกับส่งเสริมและประชาสัมพันธ์เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้พลังงานไฟฟ้า การปรับทัศนคติในการประหยัดพลังงานที่สามารถพัฒนาไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/551
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 2 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 พ.ค-ส.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/552
2009-06-27T20:03:04Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การพัฒนาแบบฝึกเพื่อเสริมสร้างทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติก
จิ๋วพัฒนกุล, พัชรี
อารยะวิญญู, ศาสตราจารย์ ดร. ผดุง
วงษ์อยู่น้อย, รศ.ดร. สมสรร
นัยพัฒน์, ผศ. ดร.องอาจ
การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาแบบฝึกเพื่อเสริมสร้างทักษะทางสังคมสำหรับ เด็กออทิสติก ด้วยการดำเนินการวิจัยพัฒนาเป็น 3 ขั้นตอนดังนี้ ขั้นที่1การสร้างแบบตรวจสอบทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติก ขั้นที่2 การสร้างแบบประเมินทักษะทางสังคมสำหรับ เด็กออทิสติก และขั้นที่3 การเสริมสร้างทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติก กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นเด็กออทิสติกที่มีปัญหาทักษะทางสังคม ด้านการควบคุมคนเอง การสื่อความหมายกับบุคคลอื่น และการทำงานร่วมกับบุคคลอื่น ที่เรียนอยู่ช่วงชั้นที่1ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา2549 โรงเรียนวัดโสมนัส สำนักงานเขตการศึกษากรุงเทพมหานคร เขต 1 สำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐานกระทรวงศึกษาธิการ เลือกโดยวิธีเจาะจง จำนวน 6 คน เครื่องมือที่ที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มี 3 ชนิด คือ แบบตรวจสอบทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติก แบบเสริมสร้างทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติก และแบบประเมินทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติก ใช้รูปแบบการวิจัยทางการศึกษาพิเศษการทดลองกลุ่มตัวอย่างเดี่ยว(Single Subject Design) แบบหลายเส้นฐานระหว่างพฤติกรรม (Multiple Baseline Across Behaviors) แบบ AB-A ผลการที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้คือ
1. แบบฝึกเพื่อเสริมสร้างทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติก ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 ตรวจสอบทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติก โดยใช้แบบตรวจสอบทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติกที่สร้างขึ้นขั้นที่ 2 เสริมสร้างทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติกโดยใช้แบบเสริมสร้างทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติก ที่สร้างขึ้นขั้นที่ 3 ประเมินทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติก โดยใช้แบบประเมินทักษะทางสังคมสำหรับ เด็กออทิสติก ที่สร้างขึ้น
เครื่องมือวิจัยที่สร้างขึ้นทั้ง 3 ชุดนี้ได้ผ่านการตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงพินิจจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว เห็นว่ามีความเหมาะสมอยู่ในระดับดี ซึ่งรายละเอียดของเครื่องมือมีดังนี้
1.1 แบบตรวจสอบทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติกมีลักษณะเป็นแบบตรวจสอบรายการ แบบ 2 ตัวเลือก ใช้ทดสอบเด็กออทิสติกเป็นรายบุคคล มีเนื้อหาครอบคลุมทักษะทางสังคม 3 ด้าน เป็นแบบตรวจสอบรายการทั้งสิ้น 31 ข้อคำถาม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ทักษะทางสังคมด้านที่ 1 การควบคุมคนเอง แยกเป็นทักษะย่อยที่ 1 การรอคอย มีแบบตรวจสอบรายการ 6 ข้อคำถาม ทักษะย่อยที่ 2 การทำตามกติกาที่กำหนด มีแบบตรวจสอบรายการ 7 ข้อคำถามทักษะทางสังคมด้านที่ 2 การสื่อความหมายกับบุคคลอื่นแยกเป็น ด้านย่อยที่ 1 การสบตา มีแบบตรวจสอบรายการ 5 ข้อคำถาม ด้านย่อยที่ 2 การเลียนแบบ มีแบบตรวจสอบรายการ 3 ข้อ คำถาม ด้านย่อยที่ 3 การแสดงความสนใจผู้อื่น มีแบบตรวจสอบรายการ 5 ข้อคำถาม และทักษะทางสังคมด้านที่ 3 การทำงานร่วมกับบุคคลอื่น แยกเป็น ด้านย่อยที่ 1 การแบ่งปัน มีแบบตรวจสอบรายการ 6 ข้อ คำถาม ด้านย่อยที่ 2 การทำตามคำแนะนำ มีแบบตรวจสอบรายการ 4 ข้อคำถาม
1.2 แบบเสริมสร้างทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติก มีลักษณะเป็นแผนการจัดกิจกรรมครอบคลุมทักษะทางสังคม 3 ด้าน รวม 64 กิจกรรม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ทักษะทางสังคมด้านที่ 1 การควบคุมตนเองแยกเป็น ทักษะย่อยที่ 1 การรอคอย มี 11 กิจกรรม ทักษะย่อยที่ 2 การปฏิบัติตามกติกาที่กำหนด มี 11 กิจกรรมทักษะทางสังคมด้านที่ 2 การสื่อความหมายกับบุคคลอื่น แยกเป็นทักษะย่อยที่ 1 การสบตา มี 4 กิจกรรมทักษะย่อยที่ 2 การเลียนแบบ มี 4 กิจกรรม ทักษะย่อยที่ 3 การแสดงความสนใจผู้อื่น มี 16 กิจกรรม ทักษะทางสังคมด้านที่ 3 การทำงานร่วมกับบุคคลอื่น แยกเป็น ทักษะย่อยที่ 1 การแบ่งปันมี 9 กิจกรรม ทักษะย่อยที่ 2 การทำตามคำแนะนำ มี 9 กิจกรรม
1.3 ประเมินทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติก มีลักษณะเป็นแบบสังเกตและบันทึกพฤติกรรมสำหรับเด็กออทิสติกแบบช่วงเวลาของการเกิดพฤติกรรม (Interval Recording) เป็นแผ่นตารางสังเกตและบันทึก
พฤติกรรม (Interval Scoring Sheet) โดยกำหนดการสังเกตและบันทึกพฤติกรรม ครั้งละ 10 นาทีแบ่งเป็น 10ช่วงเวลาๆ ละ 1 นาที ใช้กำหนดการสังเกตและบันทึกพฤติกรรมที่มีเนื้อหาสอดคล้องกับการเสริมสร้างทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติก
2. ประสิทธิภาพของแบบฝึกเพื่อเสริมสร้างทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติก จากการศึกษาพบว่าแบบฝึกนี้มีความเหมาะสมอยู่ในระดับดีมากโดย
2.1 แบบตรวจสอบทักษะทางสังคมสำหรับเด็กออทิสติกมี่ค่าความเที่ยงตรงเชิงพินิจเท่ากับ1.00
2.2 เด็กออทิสติกที่ได้รับการเสริมสร้างทักษะทางสังคม 3 ด้าน มีทักษะทางสังคมสูงขึ้น
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/552
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 2 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 พ.ค-ส.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/553
2009-06-27T20:04:01Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การพัฒนาชุดกิจกรรม เรื่อง น้ำเสียในชุมชน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนมัธยมนาคนาวาอุปถัมภ์
หนูเพ็ชร, เวธกา
ทองปาน, ดร.สนอง
ใจดีเฉย, อาจารย์สมปอง
การวิจัยในครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 2 ประการ คือ1) เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรม เรื่อง น้ำเสียในชุมชนสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ให้มีคุณภาพในระดับดีและมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และ2) เพื่อนำชุดกิจกรรม เรื่อง น้ำเสียในชุมชน ไปทดลองสอนกับนักเรียน โดยศึกษาผลการเรียนรู้ ดังนี้ 2.1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน 2.2) ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังเรียน2.3) ความพึงพอใจที่มีต่อชุดกิจกรรมในการทดลองใช้ชุดกิจกรรมใช้นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการ ศึกษา 2549 โรงเรียนมัธยมนาคนาวาอุปถัมภ์ เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร จำนวน 35 คน เป็นกลุ่มตัวอย่าง ใช้ชุดกิจกรรม จำนวน 4 ชุด คือ1) น้ำมาจากไหนใครได้ใครเสีย 2) ความลับสุดขอบฟ้าที่รอการพิสูจน์ 3) นักวิชาการแห่งลุ่มน้ำบ้านป่า 4) คืนความสดใสให้สายน้ำ
ผลการวิจัยพบว่า ชุดกิจกรรม เรื่อง น้ำเสียในชุมชนที่พัฒนาขึ้นมีคุณภาพอยู่ในระดับดีมากและมีประสิทธิภาพ83.17/81.66 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ผลการทดลองใช้ชุดกิจกรรม ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนและความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมอยู่ในระดับดีมาก
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/553
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 2 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 พ.ค-ส.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/554
2009-06-27T20:28:36Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การพัฒนาชุดกิจกรรม เรื่อง การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
พาหะมาก, สมศักดิ์
ทองปาน, ดร.สนอง
ใจดีเฉย, อาจารย์สมปอง
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 2 ประการ คือ1. เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรม เรื่อง การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำให้มีคุณภาพในระดับดีและเป็นไปตามเกณฑ์ 80/802. เพื่อนำชุดกิจกรรมเรื่อง การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนศรีอยุธยา ในพระอุปถัมภ์ฯ และศึกษาผลการเรียนรู้ดังนี้ 2.1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังปฏิบัติชุดกิจกรรม 2.2) พฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียนระหว่างปฏิบัติชุดกิจกรรม
2.3) ความตระหนักต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำของนักเรียนก่อนและหลังปฏิบัติชุดกิจกรรมในการทดลองชุดกิจกรรมใช้นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2549 โรงเรียนศรีอยุธยาในพระอุปถัมภ์ฯ จำนวน 40 คน เป็นกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้ชุดกิจกรรมจำนวน 5 ชุด คือ 1) น้ำและธรรมชาติของน้ำ 2) แหล่งน้ำและการใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำ 3) ปัญหาเกี่ยวกับทรัพยากรน้ำ 4) การจัดการแหล่งน้ำ 5) การอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ
ผลการวิจัยพบว่า ชุดกิจกรรม เรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำ ที่พัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพ 83.30/82.50 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน พฤติกรรมการทำงานกลุ่มอยู่ในระดับดีมากและความตระหนักต่อการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/554
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 2 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 พ.ค-ส.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/555
2009-06-27T20:29:35Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียนของพระนิสิตคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร
ใหมอ่อน, พระมหาสุชาติ
แสนคำเครือ, ผศ. พรหมธิดา
กรีทอง, รศ.เวธนี
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียนของพระนิสิต คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานครปัจจัยที่ศึกษาแบ่งเป็น 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยด้านส่วนตัว ได้แก่สถานภาพ อายุ ชั้นปีที่ศึกษา บุคลิกภาพ นิสัยทางการเรียนแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน และลักษณะมุ่งอนาคตทางการเรียนปัจจัยด้านครอบครัว ได้แก่ การสนับสนุนการเรียนของผู้ปกครอง และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมทางการเรียน ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพทางการเรียน สัมพันธภาพระหว่างพระนิสิตกับอาจารย์ และสัมพันธภาพระหว่างพระนิสิตกับเพื่อนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นพระนิสิตคณะมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2549 จำนวน 342 รูป เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ แบบสอบถามปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียนของพระนิสิต สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ผลการศึกษา พบว่า
1.ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการเรียนของพระนิสิต คณะมนุษยศาสตร์ อย่างมีนัยสำ คัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 7 ปัจจัย ได้แก่บุคลิกภาพ(X8) นิสัยทางการเรียน(X9) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน(X10) ลักษณะมุ่งอนาคตทางการเรียน(X11) ลักษณะกายภาพทางการเรียน(X13) สัมพันธภาพระหว่างพระนิสิตกับอาจารย์(X14) และสัมพันธภาพระหว่างพระนิสิตกับเพื่อน (X15)
2. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับพฤติกรรมการเรียนของพระนิสิต คณะมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 ปัจจัย ได้แก่ การสนับสนุนทางเรียนของผู้ปกครอง(X12)
3. ปัจจัยที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเรียนของพระนิสิต คณะมนุษยศาสตร์ มี 7 ปัจจัย ได้แก่ สถานภาพ : พระภิกษุ(X1) สถานภาพ : สามเณร(X2) อายุ(X3) ชั้นปีที่ศึกษา : ชั้นปีที่ 1(X4) ชั้นปีที่ศึกษา : ชั้นปีที่2(X5) ชั้นปีที่ศึกษา : ชั้นปีที่ 3(X6) และชั้นปีที่ศึกษา : ชั้นปีที่ 4(X7)
4. ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเรียนของพระนิสิต คณะมนุษยศาสตร์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 5 ปัจจัย โดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดไปหาปัจจัยที่ส่งผลน้อยที่สุด ได้แก่ ลักษณะมุ่งอนาคตทางการเรียน(X11) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน(X10) นิสัยทางการเรียน(X9) สัมพันธภาพระหว่างพระนิสิตกับอาจารย์(X14) และการสนับสนุนการเรียนของผู้ปกครอง(X12) ซึ่งปัจจัยทั้ง 5 ปัจจัยนี้ สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของพฤติกรรมการเรียนของพระนิสิต คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ได้ร้อยละ 53.90
5. สมการพยากรณ์พฤติกรรมการเรียนของพระนิสิต คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร มีดังนี้ 5.1 สมการพยากรณ์พฤติกรรมการเรียนของพระนิสิต คณะมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ในรูปคะแนนดิบ ได้แก่ Ŷ = .644 + .635 X11 - .304 X10 + .284X9+ .201X14- .100 X12Ŷ = .644(ค่าคงที่ของการพยากรณ์) +.635X11 (ลักษณะมุ่งอนาคตทางการเรียน) -.304 X10(แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์) +.284X9 (นิสัยทางการเรียน) +.201X14(สัมพันธภาพระหว่างพระนิสิตกับอาจารย์) - .100 X12(การสนับสนุนการเรียนของผู้ปกครอง) 5.2 สมการพยากรณ์พฤติกรรมการเรียนของพระนิสิตคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้แก่ Z = .590X11 - .292 X10 + .226X9+ .215X14- .149 X12Z = .590X11(ลักษณะมุ่งอนาคตทางการเรียน) - .292 X10 (แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์) +.226X9(นิสัยทางการเรียน) +.215X14(สัมพันธภาพระหว่างพระนิสิตกับอาจารย์) -.149X12 (การสนับสนุนการเรียนของผู้ปกครอง)
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/555
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 2 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 พ.ค-ส.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/556
2009-06-27T20:30:35Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อความรับผิดชอบในการทำงานกลุ่มของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ โรงเรียนพณิชยการสยาม เขตบางพลัดกรุงเทพมหานคร
ขุนภิบาล, พระมหาสมควร
กรีทอง, รศ.เวธนี
เผ่ามหานาคะ, นันทวิทย์
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อความรับผิดชอบในการทำงานกลุ่มของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ โรงเรียนพณิชยการสยามเขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร องค์ประกอบที่ศึกษาแบ่งเป็น 3 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบด้านส่วนตัว ได้แก่ เพศ อายุ บุคลิกภาพ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน การตระหนักรู้แห่งตนและนิสัยทางการเรียน องค์ประกอบด้านครอบครัว ได้แก่ การเลียนแบบตัวแบบความรับผิดชอบภายในครอบครัว และภาระงานที่ได้รับมอบหมายภายในบ้าน และองค์ประกอบด้านสิ่งแวดล้อมทางการเรียน ได้แก่สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน และภาระงานที่ได้รับมอบหมายภายในโรงเรียนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ โรงเรียน พณิชยการสยาม เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ประจำปีการศึกษา 2549 จำนวน 350 คน เป็นนักเรียนชาย 114 คน และนักเรียนหญิง 236 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ แบบสอบถามองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อความรับผิดชอบในการทำงานกลุ่มสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ผลการศึกษา พบว่า
1. องค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความรับผิดชอบในการทำ งานกลุ่มของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ โรงเรียนพณิชยการสยาม เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร มีดังนี้
1.1 องค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับ
ความรับผิดชอบในการทำงานกลุ่มของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ โรงเรียนพณิชยการสยาม เขตบางพลัด
กรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 3 ด้าน 6 องค์ประกอบ ดังนี้ 1.1.1 องค์ประกอบด้านส่วนตัว มี 2 องค์ประกอบ ได้แก่ แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ในการเรียน (X5) และนิสัยทางการเรียน (X7)
1.1.2 องค์ประกอบด้านครอบครัว มี 2 องค์ประกอบ ได้แก่ การเลียนแบบตัวแบบความรับผิดชอบภายในครอบครัว (X8) และภาระงานที่ได้รับมอบหมายภายในบ้าน (X9) และ 1.1.3 องค์ประกอบด้านสิ่งแวดล้อมทางการเรียนมี 2 องค์ประกอบ ได้แก่ สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน(X10) และภาระงานที่ได้รับมอบหมายภายในโรงเรียน(X11)
1.2 องค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความรับผิดชอบในการทำงานกลุ่มของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ โรงเรียนพณิชยการสยาม เขตบางพลัดกรุงเทพมหานครอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1ด้าน 2 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบด้านส่วนตัว ได้แก่ อายุ (X3) และ บุคลิกภาพ (X4)
2. องค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับความรับผิดชอบในการทำงานกลุ่มของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ โรงเรียนพณิชยการสยาม เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 ด้าน 1 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบด้านส่วนตัว ได้แก่ เพศ :ชาย (X1)
3. องค์ประกอบที่ไม่มีความสัมพันธ์กับความรับผิดชอบในการทำงานกลุ่มของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ โรงเรียนพณิชยการสยาม เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร มี 1 ด้าน 2 องค์ประกอบ คือด้านส่วนตัว ได้แก่ เพศ : หญิง (X2) และการตระหนักรู้แห่งตน (X6)
4. องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อความรับผิดชอบในการทำงานกลุ่ม ของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ โรงเรียนพณิชยการสยาม เขตบางพลัด กรุงเทพมหานครอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 5 องค์ประกอบโดยเรียงลำดับจากองค์ประกอบที่มีอิทธิพลมากที่สุดไปหาองค์ประกอบที่มีอิทธิพลน้อยที่สุด ได้แก่ ภาระงานที่ได้รับมอบหมายภายในโรงเรียน (X11) การเลียนแบบตัวแบบความรับผิดชอบภายในครอบครัว (X8) สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน (X10) นิสัยทางการเรียน (X7) และภาระงานทีได้รับมอบหมายภายในบ้าน (X9) องค์ประกอบทั้งห้านี้ สามารถร่วมกันพยากรณ์ความรับผิดชอบในการทำงานกลุ่ม ของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพโรงเรียนพณิชยการสยาม เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ได้ร้อยละ 58.50
5. สมการพยากรณ์ ที่สามารถพยากรณ์ความรับผิดชอบในการทำงานกลุ่ม ของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ โรงเรียนพณิชยการสยาม เขตบางพลัดกรุงเทพมหานคร ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยนำค่าสัมประสิทธิ์การถดถอยของตัวพยากรณ์มาเขียนสมการ ได้ดังนี้
5.1 สมการพยากรณ์ความรับผิดในการทำงานกลุ่มของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพโรงเรียนพณิชยการสยาม เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ในรูปคะแนนดิบ
Ŷ = .098 + .286 X11 +.205 X8 + .167 X10 + .162 X7 +.124 X9
5.2 สมการพยากรณ์ความรับผิดชอบในการทำงานกลุ่ม ของนักเรียนระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพ โรงเรียนพณิชยการสยาม เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้แก่
Z = .333 X11 + .242 X8 + .215 X10 +.206X7 +.146 X9
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/556
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 2 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 พ.ค-ส.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/557
2009-06-27T20:31:35Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับตัวในการทำ งานของข้าราชการครูสายผู้สอน อำเภอสตึก สังกัดเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 จังหวัดบุรีรัมย์
วัชรวิศิษฏ์, มนัสวี
กรีทอง, รศ.เวธนี
จุลรัตน์, ดร. พาสนา
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับตัวในการทำงานของข้าราชการครูสายผู้สอน อำเภอสตึกสังกัดเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 จังหวัดบุรีรัมย์ ปัจจัยที่ศึกษาแบ่งออกเป็น 3 ปัจจัย คือ ปัจจัยด้านส่วนตัว ได้แก่ เพศ อายุ บุคลิกภาพ สุขภาพจิต ลักษณะมุ่งอนาคตและความศรัทธาต่อวิชาชีพครู ปัจจัยด้านครอบครัว ได้แก่ ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวและสัมพันธภาพระหว่างข้าราชการครูกับสมาชิกในครอบครัว และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในการทำงาน ได้แก่ ลักษณะทางกายภาพในที่ทำงาน สัมพันธภาพระหว่างข้าราชการครูกับผู้บังคับบัญชา สัมพันธภาพระหว่างข้าราชการครูกับเพื่อนร่วมงานและสัมพันธภาพระหว่างข้าราชการครูกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นข้าราชการครูสายผู้สอน อำเภอสตึก สังกัดเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4จังหวัดบุรีรัมย์ ปีการศึกษา 2549 จำนวน 298 คน เป็นข้าราชการครูชาย 128 คน และข้าราชการครูหญิง 170 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ แบบสอบถามปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับตัวในการทำงานของข้าราชการครูสายผู้สอน อำเภอสตึกสังกัดเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 จังหวัดบุรีรัมย์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ผลการศึกษา พบว่า
1.ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการปรับตัวในการทำงานของข้าราชการครูสายผู้สอน อำเภอสตึก สังกัดเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 จังหวัดบุรีรัมย์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 11 ปัจจัย ได้แก่ เพศ : หญิง (X2) อายุ (X3) ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัว (X4)บุคลิกภาพ (X5) ลักษณะมุ่งอนาคต (X7) ความศรัทธาต่อวิชาชีพครู (X8) สัมพันธภาพระหว่างข้าราชการครูกับสมาชิกในครอบครัว (X9) ลักษณะทางกายภาพในที่ทำงาน (X10) สัมพันธภาพระหว่างข้าราชการครูกับผู้บังคับบัญชา(X11) สัมพันธภาพระหว่างข้าราชการครูกับเพื่อนร่วมงาน (X12)
และ สัมพันธภาพระหว่างข้าราชการครูกับนักเรียน (X13)
2.ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับการปรับตัวในการทำงานของข้าราชการครูสายผู้สอน อำเภอสตึก สังกัดเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 จังหวัดบุรีรัมย์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 2 ปัจจัย ได้แก่ เพศ : ชาย (X1) และสุขภาพจิต (X6)
3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อการปรับตัวในการทำงานของข้าราชการครูสายผู้สอน อำเภอสตึก สังกัดเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 จังหวัดบุรีรัมย์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 6 ปัจจัย โดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดไปยังปัจจัยที่ส่งผลน้อยที่สุด ได้แก่ สัมพันธภาพระหว่างข้าราชการครูกับนักเรียน (X13) ความศรัทธาต่อวิชาชีพครู (X8) สุขภาพจิต (X6) อายุ (X3) สัมพันธภาพระหว่างข้าราชการครูกับเพื่อนร่วมงาน (X12) และลักษณะมุ่งอนาคต (X7) และปัจจัยทั้ง 6 ปัจจัย ร่วมกันพยากรณ์การปรับตัวในการทำงานของข้าราชการครูสายผู้สอน อำเภอสตึก สังกัดเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ร้อยละ 58.10
4. สมการพยากรณ์การปรับตัวในการทำงานของข้าราชการครูสายผู้สอน อำเภอสตึก สังกัดเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 จังหวัดบุรีรัมย์ มีดังนี้ 4.1 สมการพยากรณ์การปรับตัวในการทำงานของข้าราชการครูสายผู้สอนอำเภอสตึก สังกัดเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 จังหวัดบุรีรัมย์ ในรูปคะแนนดิบ ได้แก่ Ŷ = -.002 + .404 X13 + .187 X8 - . 168 X6+ .113 X3 + . 007 X 12 +.005 X7
4.2 สมการพยากรณ์การปรับตัวในการทำงานของข้าราชการครูสายผู้สอนอำเภอสตึก สังกัดเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 4 จังหวัดบุรีรัมย์ ในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้แก่ Z = .388 X13+ . 176 X8 - . 169 X6 + .131 X3 + . 128 X 12 + . 112 X7
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/557
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 2 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 พ.ค-ส.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/558
2009-06-27T20:32:37Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
รูปแบบการจัดการศึกษาหลังเกษียณอายุสำหรับข้าราชการพลเรือนไทย
สุขสมเพียร, ว่าที่ร้อยโท นภเกตุ
วิมลวัตรเวที, รศ.ดร. ธาดา
ประจนปัจจนึก, รศ.ดร. เพ็ญแข
รักษ์เผ่า, ดร. ละเอียด
การวิจัยครั้งนี้ มุ่งศึกษาความต้องการการศึกษาหลังเกษียณอายุของข้าราชการพลเรือนไทย และสร้างรูปแบบการจัดการศึกษาหลังเกษียณอายุสำหรับข้าราชการพลเรือนไทยตลอดถึงเพื่อประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการศึกษาหลังเกษียณอายุดังกล่าวขั้นตอนการวิจัย ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน คือ
ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาทฤษฎีแนวคิด ผลงานการวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศเกี่ยวกับการเกษียณอายุการทำงาน ความ
ต้องการการศึกษาหลังเกษียณอายุ ตลอดจนรูปแบบแนวทางการจัดการศึกษาหลังเกษียณอายุทั้งในแง่ของแนวคิด ทฤษฎี และรูปแบบการดำเนินงานจัดการศึกษาในทางปฏิบัติ
ขั้นตอนที่ 2 นำข้อมูลจากการศึกษาค้นคว้ามาวิเคราะห์และสังเคราะห์ เพื่อสร้างร่างรูปแบบการจัดการศึกษาหลังเกษียณอายุสำ หรับข้าราชการพลเรือนไทย และจัดทำ เป็นแบบสอบถามเพื่อตรวจสอบความเป็นไปได้ของร่างรูปแบบที่สร้างขึ้น
ขั้นตอนที่ 3 นำแบบสอบถามที่ได้ปรับปรุงแล้วไปเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 3 ท่าน เพื่อพิจารณาตรวจสอบความเที่ยงตรง ถูกต้อง ชัดเจน ของเนื้อหาและนำไปทดลองใช้กับข้าราชการเกษียณอายุกลุ่มอื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นกลุ่มตัวอย่าง
ขั้นตอนที่ 4 ประเมินประสิทธิภาพของรูปแบบ โดยสอบถามความคิดเห็นกลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการพลเรือนสามัญ สังกัด 3 กระทรวงหลัก คือ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงสาธารณสุข ที่เกษียณอายุ
ราชการในปีงบประมาณ 2547 จำนวนทั้งสิ้น 192 คน ที่มีต่อความเป็นไปได้ของร่างรูปแบบที่สร้างขึ้น
ขั้นตอนที่ 5 ดำเนินการตรวจสอบร่างรูปแบบที่ 2 โดยดำเนินการจัดการสนทนาแบบกลุ่ม (Focus Group) กับ
ผู้ทรงคุณวุฒิ จำนวน 15 คน โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของร่างรูปแบบที่นำเสนอ คือ ร่างรูปแบบการจัดการศึกษาหลังเกษียณอายุสำหรับข้าราชการพลเรือนไทย
ขั้นตอนที่ 6 การวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากข้อเสนอแนะและความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิจากการสนทนากลุ่มนำมาปรับปรุงรูปแบบการจัดการศึกษาหลังเกษียณอายุสำหรับข้าราชการพลเรือนไทย ฉบับสมบูรณ์สำหรับผลการวิจัยดังกล่าว สามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
1. ข้าราชการพลเรือนไทยมีความต้องการการศึกษาหลังเกษียณอายุโดยรวมอยู่ในระดับมาก
2. รูปแบบการจัดการศึกษาหลังเกษียณอายุสำหรับข้าราชการพลเรือนไทย มีองค์ประกอบสำคัญด้วยกัน 5ส่วน คือ องค์ประกอบที่ 1 หลักการ/แนวคิด องค์ประกอบที่ 2เป้าหมายการจัดการศึกษา องค์ประกอบที่ 3 เนื้อหาสาระสำคัญ องค์ประกอบที่ 4 แนวทางและวิธีการจัดการศึกษา และองค์ประกอบที่ 5 การติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา
3. องค์ประกอบที่ 1 หลักการ/แนวคิดของรูปแบบการจัดการศึกษาหลังเกษียณอายุสำหรับข้าราชการพลเรือนไทย โดยหลักก็คือ การศึกษามีความจำเป็น เป็นสิทธิพื้นฐานของมนุษย์ และช่วยเพิ่มพูนศักยภาพและพัฒนาการตามวัย
4. องค์ประกอบที่ 2 เป้าหมายในการจัดการศึกษาหลังเกษียณอายุสำหรับข้าราชการพลเรือนไทย โดยหลักก็คือ เพื่อช่วยให้มีการพัฒนาตนอย่างต่อเนื่อง เป็นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และเพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ ขณะเดียวกันจะช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่า สามารถช่วยเหลือสังคมและใช้เวลาหลังเกษียณได้อย่างมีความสุข
5. องค์ประกอบที่ 3 เนื้อหาสาระสำคัญในการจัดการศึกษาหลังเกษียณอายุสำหรับข้าราชการพลเรือนไทย ควรเป็นองค์ประกอบเพื่อส่งเสริมด้านร่างกาย จิตใจ ช่วยในการปรับตัว เชิงเศรษฐกิจและสังคมและตามทันการเปลี่ยนแปลงได้
6. องค์ประกอบที่ 4 แนวทางและวิธีการจัดการศึกษาหลังเกษียณอายุสำหรับข้าราชการพลเรือนไทยควรเป็นการศึกษาในรูปแบบของการศึกษานอกระบบและตามอัธยาศัย โดยมีการจัดการเรียนการสอนในหลากหลายรูปแบบ โดยร่วมกันระหว่างองค์กร หน่วยงานต่าง ๆ
7. องค์ประกอบที่ 5 การติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษาหลังเกษียณอายุสำหรับข้าราชการพลเรือนไทย ควรมีการติดตามผลอย่างเป็นรูปธรรม เข้าใจง่าย มีความครอบคลุมเนื้อหาที่สำคัญ มีการประเมินก่อน-หลังเรียน และควรมีความต่อเนื่องในการติดตามผลด้วย
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/558
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 2 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 พ.ค-ส.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/559
2009-06-27T20:33:30Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการวางแผนด้านการเงินของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์
จันทร์แช่มช้อย, สุดฤทัย
กรีทอง, รศ.เวธนี
แสนคำเครือ, ผศ. พรหมธิดา
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการวางแผนด้านการเงินของนักศึกษาระดับปริญญาตรี
ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์.องค์ประกอบที่ศึกษาแบ่งเป็น 3 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบด้านส่วนตัว ได้แก่ เพศ คณะ รายได้ของนักศึกษา บุคลิกภาพ ลักษณะมุ่งอนาคต และการใช้เวลาว่าง องค์ประกอบด้านครอบครัว ได้แก่อาชีพของผู้ปกครอง ฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ปกครอง และ การสนับสนุนของผู้ปกครองด้านการเรียนของนักศึกษา และองค์ประกอบด้านสิ่งแวดล้อมในมหาวิทยาลัย ได้แก่ การเลียนแบบอาจารย์ และ
การเลียนแบบเพื่อนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ จำนวน 472 คน เป็นนักศึกษาชาย จำนวน 174 คน และนักศึกษาหญิง จำนวน 298 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ได้แก่ แบบสอบถามองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการวางแผนด้านการเงินของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ผลการศึกษา พบว่า
1. องค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการวางแผนด้านการเงินของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 องค์ประกอบ ได้แก่ เพศหญิง และองค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับการวางแผนด้านการเงินของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี อาชีพ:ผู้ปกครองพนักงานบริษัทเอกชน บุคลิกภาพ และลักษณะมุ่งอนาคต
2. องค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับการวางแผนด้านการเงิน ของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 มี 1 องค์ประกอบ ได้แก่ เพศชาย และองค์ประกอบที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับการวางแผนด้านการเงินของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1
มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 6 องค์ประกอบ ได้แก่ คณะเทคโนโลยีการเกษตรและเทคโนโลยีอุตสาหกรรม รายได้ของนักศึกษา ฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ปกครอง การใช้เวลาว่างการเลียนแบบอาจารย์ และการเลียนแบบเพื่อน
3. องค์ประกอบที่ไม่มีความสัมพันธ์กับการวางแผนด้านการเงินของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ มี 6องค์ประกอบ ได้แก่ คณะครุศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ คณะวิทยาการจัดการ อาชีพ: ผู้ปกครองรับราชการ/พนักงานรัฐวิสาหกิจ อาชีพ:ผู้ปกครองค้าขาย/ธุรกิจส่วนตัว และการสนับสนุนของผู้ปกครองด้านการเรียนของนักศึกษา
4. องค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อการวางแผนด้านการเงินของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 4 องค์ประกอบโดยเรียงลำดับจากองค์ประกอบที่มีอิทธิพลมากที่สุดไปหาองค์ประกอบที่มีอิทธิพลน้อยที่สุด ได้แก่ ลักษณะมุ่งอนาคต การเลียนแบบอาจารย์ ฐานะทางเศรษฐกิจของผู้ปกครอง และการสนับสนุนของผู้ปกครองด้านการเรียนของนักศึกษา ซึ่งองค์ประกอบทั้ง 4 องค์ประกอบสามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนการวางแผนด้านการเงินของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ได้ร้อยละ 41.80
5. สมการพยากรณ์การวางแผนด้านการเงินของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ได้แก่ 5.1 สมการพยากรณ์การวางแผนด้านการเงินของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ในรูปคะแนนดิบ ได้แก่
Ŷ = 2.488 + .374 X14 - .072 X17 - 5.514X12 - .071X16
5.2 สมการพยากรณ์การวางแผนด้านการเงินของนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1มหาวิทยาลัยราชภัฏนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ ในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้แก่ Z = .514 X14 - .178 X17 - .133X12 - .093X16
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/559
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 2 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 พ.ค-ส.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/560
2009-06-27T20:34:24Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การพัฒนาชุดฝึกอบรมการเรียนรู้ด้วยการนำตนเองเรื่องแนวทางการผลิตอาหารตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดี
เรืองมณีชัชวาล, สมชาย
วัฒนวงศ์, รศ.ดร.สุวัฒน์
พรสีมา, รศ.ดร.อรพรรณ
ชูชม, รศ.ดร.อรพินทร์
การวิจัยเรื่อง การพัฒนาชุดฝึกอบรมการเรียนรู้ด้วยการนำตนเองเรื่อง การผลิตอาหารตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดี มีจุดมุ่งหมาย 4 การคือ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพ ชุดฝึกอบรมการเรียนรู้ด้วยการนำตนเอง 2) ศึกษาผลการเรียนรู้เรื่องแนวทางการผลิตอาหารตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดี 3) ศึกษาผลการเรียนรู้เรื่องแนวทางการผลิตอาหารตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดี ของกลุ่มที่มีคุณลักษณะการเรียนรู้ด้วยการนำตนเองสูงและต่ำ 4) ศึกษาคุณลักษณะการเรียนรู้ด้วยการนำตนเองระหว่างก่อนและหลังการใช้ชุดฝึกอบรมการเรียนรู้ด้วยการนำตนเองการสร้างชุดฝึกอบรมการเรียนรู้ด้วยการนำตนเองเรื่อง การผลิตอาหารตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดี ผู้วิจัยได้ทดลองใช้กับผู้เข้ารับการฝึกอบรม 1 คนและ 6 คน พบว่าชุดฝึกอบรมการเรียนรู้ด้วยการนำตนเองมีประสิทธิภาพเท่ากับ 80.95 / 84.17 และ 82.20 / 83.47 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้การหาประสิทธิภาพชุดฝึกอบรมการเรียนรู้ด้วยการนำตนเองเรื่อง การผลิตอาหารตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดี กับพนักงานในฝ่ายผลิต ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาหารและผู้เกี่ยวข้องกับระบบคุณภาพด้านอาหาร ของบริษัท ไดโดมอนกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) จำนวน 48 คน ผู้วิจัยได้ให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมเรียนด้วยตนเองจากชุดฝึกอบรมการเรียนรู้ด้วยการนำตนเองเรื่อง การผลิตอาหารตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดี โดยจัดให้มีการพบกลุ่มและวิทยากรเป็นผู้อำนวยความสะดวก คอยให้คำแนะนำ จากนั้นผู้เรียนได้ทำแบบฝึกหัดหลังการฝึกอบรมและแบบทดสอบก่อนและหลังการฝึกอบรม นำข้อมูลที่ได้มาทำการวิเคราะห์ สรุปผล
ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1. ชุดฝึกอบรมการเรียนรู้ด้วยการนำตนเองเรื่อง การผลิตอาหารตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดี มีประสิทธิภาพ 88.39 / 83.18
2. ผลสัมฤทธิ์การฝึกอบรมจากชุดฝึกอบรมการเรียนรู้ด้วยการนำตนเอง หลังการฝึกอบรมสูงกว่าก่อนฝึกอบรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. ผลสัมฤทธิ์การฝึกอบรมจากชุดฝึกอบรมการเรียนรู้ด้วยการนำตนเอง กลุ่มที่มีลักษณะการเรียนรู้ด้วยการนำตนเองมาก สูงกว่ากลุ่มที่มีคุณลักษณะการเรียนรู้ด้วยการนำตนเองปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
4. คุณลักษณะการเรียนรู้ด้วยการนำตนเองของผู้รับการฝึกอบรมหลังการฝึกอบรมจากชุดฝึกอบรมการเรียนรู้ด้วยการนำตนเองสูงกว่าก่อนฝึกอบรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/560
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 2 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 พ.ค-ส.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/561
2009-06-27T20:35:54Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"090627 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การแสดงหลักฐานความเที่ยงตรงของโครงสร้างองค์ประกอบอันดับหนึ่งและอันดับสูงของแบบประเมินการสอนโดยผู้เรียนของมาร์ชฉบับภาษาไทย
เจริญวงศ์ระยับ, อนุ
ศรีไพโรจน์, รศ.นิภา
นัยพัฒน์, ผศ. ดร.องอาจ
แบบประเมินการสอนโดยผู้เรียนของมาร์ชเป็นเครื่องมือที่ใช้ประเมินการสอนของอาจารย์ระดับอุดมศึกษาอย่างแพร่หลาย
เพราะเนื้อหาของแบบประเมินแสดงให้เห็นถึงกระบวนการจัดการเรียนการสอนได้อย่างครอบคลุม จากข้อค้นพบที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าสารสนเทศการประเมินที่ได้จากผู้เรียนสามารถช่วยให้คณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษาพัฒนาการจัดการเรียนการสอนให้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามการนำแบบประเมินการสอนโดยผู้เรียนของมาร์ชมาใช้ในแต่ละบริบทของสังคมควรต้องมีการแสดงหลักฐานก่อนว่าแบบประเมินนั้นมีความเที่ยงตรงหรือไม่เมื่อนำมาใช้ในบริบทที่เปลี่ยนไป การแสดงคุณลักษณะที่ดีของแบบประเมินการสอนโดยผู้เรียนของมาร์ชได้มีการศึกษามาเป็นอย่างดีในหลายประเทศ อย่างไรก็ตามในวัฒนธรรมไทยยังไม่มีศึกษาเชิงประจักษ์ว่าแบบประเมินการสอนโดยผู้เรียนของมาร์ชสามารถนำมาใช้ได้อย่างมีความเที่ยงตรงวัตถุประสงค์ในการวิจัยครั้งนี้เป็นการแสดงหลักฐานความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างองค์ประกอบของแบบประเมินการสอนโดยผู้เรียนของมาร์ช ทั้งองค์ประกอบอันดับหนึ่งจำนวน 9 องค์ประกอบ องค์ประกอบอันดับสองจำนวน 2 โมเดลคือ
โมเดล 2 องค์ประกอบ และโมเดล 4 องค์ประกอบ และองค์ประกอบอันดับสามโมเดล 1 องค์ประกอบผู้ให้ข้อมูลในการศึกษาเป็นผู้เรียนระดับอุดมศึกษาจำนวน 6,432 คน จาก 2 มหาวิทยาลัย เป็นผู้เรียนในมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒร้อยละ 59.81 และผู้เรียนในมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ร้อยละ 40.19
ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบอันดับหนึ่งโมเดล 9 องค์ประกอบ องค์ประกอบอันดับสองโมเดล 2 องค์ประกอบและโมเดล 4 องค์ประกอบ และองค์ประกอบอันดับสามโมเดลภาพรวมการประเมินการสอน มีความกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ในระดับดี นอกจากนี้พบว่าสัมประสิทธิ์องค์ประกอบและค่า R2 ของแต่ละตัวบ่งชี้มีความเที่ยงตรงเชิงลู่เข้าในองค์ประกอบแต่ละองค์ประกอบ ยกเว้นตัวบ่งชี้จำนวนชั่วโมงต่อสัปดาห์ที่ศึกษานอกชั้นเรียนเท่านั้นที่มีความเที่ยงตรงเชิงลู่
เข้าในระดับต่ำ
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-06-27 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/561
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 8 No. 2 (2550): ปีที่ 8 ฉบับที่ 2 พ.ค-ส.ค. 2550
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/804
2009-10-24T23:07:22Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"091024 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนฝึกปฏิบัติทางเทคนิคบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สำหรับนักเรียนอาชีวศึกษา
อนุกูลเวช, อภิชาติ
วงษ์อยู่น้อย, ดร.สมสรร
สิกขาบัณฑิต, ดร.สุรชัย
ฉัตรรัตนา, ดร.สมชาย
โพธิสาร, ดร.ไพฑูรย์
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนฝึกปฏิบัติทางเทคนิคบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สำหรับนักเรียนอาชีวศึกษา 2) ศึกษาประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนการสอนฝึกปฏิบัติทางเทคนิคบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สำหรับนักเรียนอาชีวศึกษา 3) ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนการสอนฝึกปฏิบัติทางเทคนิคบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สำหรับนักเรียนอาชีวศึกษา ดังนี้
3.1) ศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนอาชีวศึกษาที่เรียนจากรูปแบบการเรียนการสอนฝึกปฏิบัติทางเทคนิคบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 3.2) ศึกษาทักษะปฏิบัติของนักเรียนอาชีวศึกษาที่เรียนจากรูปแบบการเรียนการสอนฝึกปฏิบัติทางเทคนิคบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 3.3) ศึกษาความคงทนของทักษะปฏิบัติของนักเรียนอาชีวศึกษาที่เรียนจากรูปแบบการเรียนการสอนฝึกปฏิบัติทางเทคนิคบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต และ 3.4) ศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนอาชีวศึกษาที่มีต่อการเรียนตามรูปแบบการเรียนการสอนฝึกปฏิบัติทางเทคนิคบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในการดำเนินการวิจัยได้พัฒนารูปแบบขึ้นโดยผ่านการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญ แล้วสร้างบทเรียนฝึกปฏิบัติทางเทคนิคบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต วิชางานไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น ตามรูปแบบที่พัฒนาขึ้นและนำ ไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นปีที่ 1 (ปวช .1) แผนกวิชาอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคนิคชลบุรี จำนวน 52 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย และวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติ t-test Dependent
ผลการวิจัยพบว่า
1. รูปแบบการเรียนการสอนฝึกปฏิบัติทางเทคนิคบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สำ หรับนักเรียนอาชีวศึกษาประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ 1) ปัจจัยนำเข้า (Input) 2) กระบวนการเรียนการสอนฝึกปฏิบัติทางเทคนิคบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต (Process) 3) การควบคุม (Control) 4) ผลผลิต(Output) 5) ข้อมูลป้อนกลับ (Feedback)
โดยมี 13องค์ประกอบย่อย คือ 1) กำหนดเป้าหมายในการเรียนการสอน 2) การวิเคราะห์ผู้เรียน 3) การออกแบบเนื้อหาบทเรียน 4) กำหนดกิจกรรมการเรียนการสอน 5) การเตรียมความพร้อมด้านสภาพแวดล้อมทางการเรียน 6) กำหนดบทบาทผู้สอน 7) การสร้างแรงจูงใจในการเรียน 8) การดำเนินการเรียนการสอนฝึกปฏิบัติทางเทคนิค โดยใช้โมเดลซีเอเอ (CAA Model) ประกอบด้วยขั้นตอนการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะปฏิบัติ 3 ขั้นตอน คือ 8.1) ขั้นความรู้ความเข้าใจ (Cognitive Phase) 8.2) ขั้นปฏิบัติ (Associative Phase) 8.3) ขั้นชำนาญ (Autonomous Phase) 9) กิจกรรมเสริมทักษะ 10) การตรวจสอบและควบคุมการเรียนของผู้เรียน 11) การตรวจสอบทักษะปฏิบัติระหว่างเรียน 12) ประเมินผลการเรียนการสอน และ 13) ข้อมูลป้อนกลับเพื่อปรับปรุง ซึ่งผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับเหมาะสมมาก
2. ประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนการสอนฝึกปฏิบัติทางเทคนิคบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเท่ากับ 88.44/85.88 ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด
3. ประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนการสอนฝึกปฏิบัติทางเทคนิคบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต มีดังนี้
3.1 ผลสัมฤทธิ์หลังการเรียนจากรูปแบบการเรียนการสอนฝึกปฏิบัติทางเทคนิคบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตสูงกว่าก่อนการเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3.2 ทักษะปฏิบัติของนักเรียนอาชีวศึกษาที่เรียนจากรูปแบบการเรียนการสอนฝึกปฏิบัติทางเทคนิคบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อยู่ในระดับดี
3.3 ความคงทนของทักษะปฏิบัติของนักเรียนอาชีวศึกษาที่เรียนตามรูปแบบการเรียนการสอนฝึกปฏิบัติทางเทคนิคบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หลังการเรียนผ่านไปแล้ว 2 สัปดาห์ เท่ากับร้อยละ 99.43
3.4 ความคิดเห็นต่อการเรียนตามรูปแบบการเรียนการสอนฝึกปฏิบัติทางเทคนิคบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของนักเรียนอาชีวศึกษา อยู่ในระดับเหมาะสมมาก
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-10-24 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/804
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 2 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 ก.ค.–ธ.ค. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/805
2009-10-24T23:11:34Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"091024 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การพัฒนารูปแบบการสอนบนเว็บโดยใช้กลยุทธ์การจัดการความรู้ รายวิชาเทคโนโลยีการศึกษา ในระดับอุดมศึกษา
คิดการ, รัฐกรณ์
วงษ์อยู่น้อย, ดร. สมสรร
สิกขาบัณฑิต, ดร. สุรชัย
อุดมไพจิตรกุล, ดร. ธำรงค์
ศลโกสุม, ดร. สุนันท์
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการสอนบนเว็บโดยใช้กลยุทธ์การจัดการความรู้รายวิชาเทคโนโลยีการศึกษาในระดับอุดมศึกษา 2) ศึกษาประสิทธิภาพของรูปแบบการสอนบนเว็บโดยใช้กลยุทธ์การจัด การความรู้รายวิชาเทคโนโลยีการศึกษาในระดับอุดมศึกษา 3) ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการสอนบนเว็บ โดยใช้กลยุทธ์การจัดการความรู้รายวิชาเทคโนโลยีการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ในด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ด้านวามสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเอง และด้านความคิดเห็นของนักศึกษา ที่มีต่อการเรียนตามรูปแบบการสอนบนเว็บ โดยใช้กลยุทธ์การจัดการความรู้ราย วิชาเทคโนโลยีการศึกษาในระดับอุดมศึกษาการดำเนินการวิจัยมี 3 ขั้นตอน คือ 1) ขั้นการพัฒนารูปแบบการสอน 2) ขั้นการทดสอบประสิทธิภาพของรูปแบบการสอนบนเว็บ 3) ขั้นการศึกษาประสิทธิผล ของรูปแบบการสอนบนเว็บ กลุ่มตัวอย่าง เป็นนักศึกษาระดับปริญญาตรี ชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาการศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา จำนวน30 คน โดยวิธีการสุ่มอย่างง่าย สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลคือ ttest แบบdependent
ผลการวิจัยพบว่า
1. รูปแบบการสอนบนเว็บ โดยใช้กลยุทธ์การจัดการความรู้ รายวิชาเทคโนโลยีการศึกษา ประกอบด้วย 5 ขั้นตอนเรียกว่า “รูปแบบดัสสุ (DASSU model)” ประกอบด้วย 1. วาดฝัน (Defining: D) 2. ตามหามันให้เจอ (Acquisition: A) 3. ฉันและเธอร่วมสร้าง (Sharing: S) 4. อย่าทิ้งขว้างต้องเก็บไว้ (Storage: S) 5. รู้จักใช้เมื่อจำเป็น (Utilization : U) โดยมี 11องค์ประกอบ คือ 1) เป้าหมาย 2) วัตถุประสงค์ 3) เนื้อหาวิชา 4) ระบบคอม พิวเตอร์และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต 5) ปัจจัยสนับสนุน 6) ประบวนการเรียนการสอน 7) ปฏิสัมพันธ์ 8) ผู้เรียน 9) ผู้สอน 10) ผู้เชี่ยว ชาญประจำวิชา 11) การประเมินผล
2. รูปแบบการสอนบนเว็บโดยใช้กลยุทธ์การจัดการความรู้รายวิชาเทคโนโลยีการศึกษา มีประสิทธิภาพ 87.13/86.25 เป็นไปตามเกณฑ์กำหนด 85/85
3. ประสิทธิผลของรูปแบบการสอนบนเว็บที่พัฒนาขึ้นพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักศึกษาหลังการเรียนจากรูปแบบการสอนบนเว็บโดยใช้กลยุทธ์การจัดการความรู้รายวิชาเทคโนโลยีการศึกษา สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักศึกษา หลังการเรียน จากรูปแบบการสอนบนเว็บสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และนักศึกษามีความคิดเห็น ต่อการเรียนจากรูปแบบ การสอนบนเว็บอยู่ในระดับเห็นด้วย
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-10-24 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/805
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 2 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 ก.ค.–ธ.ค. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/806
2009-10-24T23:14:32Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"091024 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การศึกษาความสามารถทางพหุปัญญาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม การทำหนังสือเล่มใหญ่
ศุภผลศิริ, ชมพูนุท
เดชะคุปต์, เยาวพา
บุญส่ง, จิราภรณ์
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความสามารถทางพหุปัญญาของเด็กปฐมวัยก่อนและหลังได้รับการจัดกิจกรรมการทำหนังสือเล่มใหญ่ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยนี้คือนักเรียนชายหญิงที่มีอายุระหว่าง 5 – 6 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นอนุบาลปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร (ฝ่ายประถม) จำนวน 15 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย (Simple Random Sampling)ผู้วิจัยเป็นผู้ดำเนินการทดลองด้วยตนเอง โดยทำการทดลอง 8 สัปดาห์ๆ ละ 3 วันๆ ละ 20นาที ระยะเวลาในการทดลองทั้งสิ้น 24ครั้ง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ แผนการจัดกิจกรรมการทำหนังสือเล่มใหญ่ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น แบบประเมินความสามารถทางพหุปัญญา มีค่าความเชื่อมั่น 0.85 และคู่มือการใช้แบบประเมินความสามารถทางพหุปัญญา แบบแผนการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงทดลองแบบ One – Group Pretest – Posttest Design และทดสอบความแตกต่างของตัวแปรโดยใช้การทดสอบ t-test สำหรับ Dependent Samples ผลการวิจัยพบว่า หลังจากได้รับการจัดกิจกรรมการทำหนังสือเล่มใหญ่เด็กปฐมวัยมีความสามารถทางพหุปัญญาสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-10-24 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/806
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 2 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 ก.ค.–ธ.ค. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/807
2009-10-24T23:15:44Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"091024 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ กับการสอนปกติ ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องชนิดของคำในภาษาไทย
กำนล, นัทลียา
ศรีประเสริฐภาพ, ขวัญหญิง
บุญส่ง, จิราภรณ์
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคำในภาษาไทย ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 85/85 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์กับการสอนตามปกติ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจในการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 130 คน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้คือบทเรียนคอมพิวเตอร์ เรื่อง ชนิดของคำ ในภาษาไทยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินคุณภาพบทเรียนและแบบสอบถามความพึงพอใจในการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ สถิติที่ใช้คือค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ t-test
ผลการวิจัยสรุปได้ว่า 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง ชนิดของคำในภาษาไทยที่สร้างขึ้นมีคุณภาพทั้งในด้านเนื้อหาดีมากและด้านเทคโนโลยีการศึกษาอยู่ในระดับดีและมีประสิทธิภาพ 87.05/86.89 2) ผลการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์ กับการสอนปกติแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์อยู่ในระดับมาก
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-10-24 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/807
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 2 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 ก.ค.–ธ.ค. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/808
2009-10-24T23:17:14Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"091024 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ผลการเรียนรู้และความพึงพอใจ วิชาทัศนศิลป์ ของนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 ด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียที่สร้างมโนทัศน์ก่อนการเรียน
วงษาวดี, ณัฐิกา
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ 1) เพื่อพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียที่สร้างมโนทัศน์ก่อนการเรียนให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 85/85 2) เพื่อเปรียบเทียบผลการเรียนรู้ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียที่สร้างมโนทัศน์ก่อนการเรียน 3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียที่สร้างมโนทัศน์ก่อนการเรียนกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดลองเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลสุรินทร์ จำนวน 98 คน ได้มาจากการเลือกสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ได้แก่บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย แบบประเมินคุณภาพบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย แบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ เรื่องสร้างสรรค์งานศิลป์ และแบบสอบถามความพึงพอใจ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ t-test สำหรับกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระจากกัน
ผลการวิจัยพบว่า 1) บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียที่สร้างมโนทัศน์ก่อนการเรียนเรื่องสร้างสรรค์งานศิลป์ กลุ่มสาระศิลปะ วิชาทัศนศิลป์ มีคุณภาพด้านเนื้อหาอยู่ในระดับดีมากและมีคุณภาพด้านเทคโนโลยีการศึกษาอยู่ในระดับดี มีประสิทธิภาพ 87.50/88.33 2) ผลการเรียนรู้หลังเรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 3) นักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดียที่สร้างมโนทัศน์ก่อนการเรียนมีความพึงพอใจมากที่สุด
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-10-24 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/808
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 2 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 ก.ค.–ธ.ค. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/809
2009-10-24T23:18:14Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"091024 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การพัฒนาแบบทดสอบวัดความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาบุรีรัมย์ เขต 2
ทวันเวช, จารุวรรณ
วงศ์รัตนะ, ชูศรี
จ่ายเจริญ, ประพนธ์
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแบบทดสอบวัดความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ที่มีคุณภาพสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 และเพื่อศึกษาเปรียบเทียบความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ในแต่ละด้านและโดยภาพรวมของนักเรียน จำแนกตามเพศและระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยมี 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ใช้ในการพัฒนาแบบทดสอบ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 180 คน และกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนประโคนชัยพิทยาคม ที่ได้จากการสุ่มแบบแบ่งชั้น จำนวน 146 คนแบบทดสอบวัดความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์ที่สร้างขึ้นมีลักษณะเป็นแบบทดสอบแบบเรียงความ และใช้เกณฑ์การตรวจให้คะแนนแบบวิธีวิเคราะห์ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความแปรปรวนพหุคูณแบบสองทาง (Two-way multivariate analysis of variance)
ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1.แบบทดสอบวัดความสามารถในการเชื่อมโยงภายในวิชาคณิตศาสตร์ และแบบทดสอบวัดความสามารถในการเชื่อมโยงระหว่างวิชาคณิตศาสตร์กับวิชาอื่น มีคุณภาพด้านความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างเท่ากับ 0.991 และ 0.995 มีค่าความยากง่ายตั้งแต่ 0.45 ถึง 0.70 มีค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่0.52 ถึง 0.79 คุณภาพด้านความเชื่อมั่นของผู้ตรวจให้คะแนนเท่ากับ 0.994 และคุณภาพด้านความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับคำนวณโดยใช้สูตรของเฟลตต์ - ราชู เท่ากับ 0.984
2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 มีความสามารถในการเชื่อมโยงภายในวิชาคณิตศาสตร์และความสามารถในการเชื่อมโยงระหว่างวิชาคณิตศาสตร์กับวิชาอื่น อยู่ในระดับปานกลาง
3. นักเรียนหญิงมีความสามารถในการเชื่อมโยงภายในวิชาคณิตศาสตร์สูงกว่านักเรียนชายแต่ทั้งนักเรียนชายและนักเรียนหญิงมีความสามารถในการเชื่อมโยงระหว่างวิชาคณิตศาสตร์กับวิชาอื่นไม่แตกต่างกัน
4. นักเรียนที่มีระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์สูง มีความสามารถในการเชื่อมโยงภายในวิชาคณิตศาสตร์และความสามารถในการเชื่อมโยงระหว่างวิชาคณิตศาสตร์กับวิชาอื่นสูงกว่านักเรียนที่มีระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ปานกลางและต่ำ ตามลำดับ
5. ไม่พบปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพศกับระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ที่มีต่อความสามารถในการเชื่อมโยงทางคณิตศาสตร์
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-10-24 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/809
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 2 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 ก.ค.–ธ.ค. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/810
2009-10-24T23:19:11Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"091024 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
เปรียบเทียบผลของการใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ที่มีสถานการณ์จำลองประกอบบทเรียนเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับการสอนปกติ สำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 3
สืบประดิษฐ์, ลัลน์ลลิต
อ่อนมิ่ง, ดร.ฤทธิชัย
บุญส่ง, จิราภรณ์
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ที่มีสถานการณ์จำลองประกอบบทเรียนเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 85/85 และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนจากบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ที่มีสถานการณ์จำลองประกอบบทเรียนเรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง กับการสอนปกติ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จากโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรีจำนวน 148 คน โดยแบ่งเป็นกลุ่มที่ใช้ในการหาประสิทธิภาพบทเรียน จำนวน 48 คน และกลุ่มที่ใช้ในการทดลองเพื่อเปรียบเทียบตัวแปร จำนวน 100 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มทดลอง 50 คน และกลุ่มควบคุม 50 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ที่มีสถานการณ์จำลองประกอบบทเรียน เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบประเมินคุณภาพบทเรียนสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ t-test
ผลการวิจัยพบว่า
1. บทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ที่พัฒนาขึ้นมีคุณภาพทั้งในด้านเนื้อหา และด้านเทคโนโลยีทางการศึกษาระดับดีมาก และมีประสิทธิภาพ 87.74/87.47
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ที่มีสถานการณ์จำ ลองประกอบบทเรียนกับการสอนปกติ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 โดยนักเรียนที่เรียนจากบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมีเดีย ที่มีสถานการณ์จำ ลองประกอบบทเรียน เรื่อง เศรษฐกิจพอเพียง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนที่เรียนจากการสอนปกติ
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-10-24 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/810
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 2 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 ก.ค.–ธ.ค. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/811
2009-10-24T23:20:15Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"091024 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ยุติธรรมของครูในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพะเยา เขต 1
วิชัย, กรกช
เซ็มเฮง, สุวพร
รักษ์เผ่า, ละเอียด
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและตรวจสอบคุณภาพของแบบทดสอบวัดเหตุผลเชิงจริยธรรมของครูและเปรียบเทียบเหตุผลเชิงจริยธรรมของครูที่มีเพศและอายุแตกต่างกันกลุ่มตัวอย่างเป็นครูที่สอนในโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาพะเยา เขต 1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 776 คน จำแนกเป็นกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการหาคุณภาพเครื่องมือ จำนวน 477 คน และกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน จำนวน 299 คน ซึ่งได้มาโดยวิธีการสุ่ม อย่างง่าย (Simple Random Sampling) โดยมีโรงเรียนเป็นหน่วยการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นแบบทดสอบวัดเหตุผลเชิงจริยธรรมของครูซึ่งมีลักษณะเป็นสถานการณ์ 3 ตัวเลือก
ผลการวิจัยสรุปได้ ดังนี้
1. ค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบวัดเหตุผลเชิงจริยธรรมของครู ด้านความรับผิดชอบ ด้านความเมตตากรุณา และด้านความยุติธรรม จำนวนด้านละ 15 ข้อ รวมทั้งสิ้น 45 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.260 ถึง 0.644
2. ค่าความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างของแบบทดสอบวัดเหตุผลเชิงจริยธรรมของครูที่ได้จากการตรวจสอบความคงที่ภายในของแบบทดสอบด้านความรับผิดชอบ ด้านความเมตตากรุณา ด้านความยุติธรรมและทั้งฉบับมีค่าความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้างเท่ากับ 0.866, 0.940, 0.911 และ 0.911 ตามลำดับ ซึ่งเป็นค่าความเที่ยงตรงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบวัดเหตุผลเชิงจริยธรรมของครู วิเคราะห์ด้วยวิธีการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา(α – Coefficient) ของครอนบาค (Cronbach) ด้านความรับผิดชอบ ด้านความเมตตากรุณา ด้านความยุติธรรม และ
ทั้งฉบับมีค่าความเชื่อมั่นรายด้านเท่ากับ 0.733, 0.829, 0.804 และ 0.920 ตามลำดับ
4. การศึกษาระดับเหตุผลเชิงจริยธรรมของครูเมื่อจำแนกตามเพศ พบว่า เหตุผลเชิงจริยธรรมด้านความรับผิดชอบ ความเมตตากรุณา ความยุติธรรมและโดยรวมของครูหญิงอยู่ในระดับสูง ส่วนครูชายอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อพิจารณาจำแนกตามอายุ พบว่า เหตุผลเชิงจริยธรรมด้านความรับผิดชอบ ความเมตตากรุณา ความยุติธรรม และโดยรวมของครูที่มีอายุ 41 – 60 ปี อยู่ในระดับสูง ส่วนครูที่มีอายุ 22 – 40 ปี อยู่ในระดับปานกลางเมื่อเปรียบเทียบเหตุผลเชิงจริยธรรมของครูที่มีเพศและอายุแตกต่างกัน พบว่า ครูหญิงและครูชายมีระดับเหตุผลเชิงจริยธรรมด้านความรับผิดชอบ ความเมตตากรุณาความยุติธรรม และโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และครูที่มีอายุในกลุ่ม 22 – 40 ปี และกลุ่ม 41 – 60 ปี มีระดับเหตุผลเชิงจริยธรรมด้านความรับผิดชอบ ความเมตตากรุณา ความยุติธรรมและโดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แต่ไม่พบว่ามีปฏิสัมพันธ์ที่เกิดจากความแตกต่างระหว่างเพศและอายุของครูที่ส่งผลร่วมกันต่อระดับเหตุผลเชิงจริยธรรมด้านความรับผิดชอบความเมตตากรุณา ความยุติธรรมและโดยรวมของครู
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-10-24 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/811
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 2 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 ก.ค.–ธ.ค. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/812
2009-10-24T23:21:25Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"091024 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การสร้างแบบวัดจริยธรรมความเอื้ออาทร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ระดับช่วงชั้นที่ 2
เบญมาตย์, นิติกร
ศรีไพโรจน์, นิภา
วิศาลาภรณ์, วัญญา
การศึกษาค้นคว้าครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อสร้างแบบวัดจริยธรรมความเอื้ออาทร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ระดับช่วงชั้นที่ 2 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษา ระดับช่วงชั้น ที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 สังกัดสำนักงานเขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร จำนวน 733 คน โดยการทดสอบครั้งที่ 1 ใช้กลุ่มตัวอย่าง 130 คน และการทดสอบครั้งที่ 2 ใช้กลุ่มตัวอย่าง 603 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งชั้น (Stratified Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้เป็นมาตราส่วนประมาณค่า 4 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ดัชนีความสอดคล้อง IOC สัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน สัมประสิทธิ์แอลฟา และการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ
ผลการศึกษาพบว่าแบบวัดจริยธรรมความเอื้ออาทรที่สร้างมีคุณภาพ โดยแสดงหลักฐาน ดังนี้
1. ความเที่ยงตรงเชิงพินิจ จากการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ 5 คน มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.60 - 1.00 จำนวน 98 ข้อ
2. ค่าอำนาจจำแนก (r) เป็นไปตามเกณฑ์ โดยมีค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง .2361 - .6630 จำนวน 74 ข้อ
3. ความเชื่อมั่นของแบบวัด (α) อยู่ระหว่าง .7500 - .8280 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ .9466
4. ความเที่ยงตรงเชิงโครงสร้าง จากการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจ (EFA) ได้ 7 องค์ประกอบ คือ เห็นใจผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แบ่งปัน มีเมตตากรุณา รักผู้อื่นและ มีน้ำใจ และจากการคัดกรองขั้นสุดท้าย ได้แบบวัดจริยธรรมความเอื้ออาทร จำนวน 33 ข้อ
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-10-24 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/812
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 2 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 ก.ค.–ธ.ค. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/813
2009-10-24T23:22:24Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"091024 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การศึกษาแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยบางประการกับพฤติกรรมการป้องกันสารเสพติดของนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุทัยธานี
นพรัตน์, ปัทมาพร
ทองคำบรรจง, ดร.เสกสรรค์
ศรีไพโรจน์, นิภา
การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความสัมพันธ์คาโนนิคอลระหว่างการตระหนักรู้ตนเอง การคล้อยตาม การมุ่งอนาคตสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครอบครัว และสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน กับพฤติกรรมการป้องกันสารเสพติดทั้งสามด้านและค่าน้ำหนักความสำคัญคาโนนิคอล ของการตระหนักรู้ตนเอง การคล้อยตาม การมุ่งอนาคต สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครอบครัว และสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน ที่ส่งผลซึ่งกันและกัน กับพฤติกรรมการป้องกันสารเสพติดทั้งสามด้าน โดยมีกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนช่วงชั้นที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุทัยธานี จำนวน 624 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบสองขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบวัดพฤติกรรมการป้องกันสารเสพติด ซึ่งประกอบไปด้วย แบบทดสอบความรู้ในการหลีกเลี่ยงสารเสพติด แบบสอบถามเจตคติเกี่ยวกับ การป้องกันสารเสพติด และแบบสอบถามการปฏิบัติเกี่ยวกับการป้องกันสารเสพติดกับแบบสอบถามปัจจัย บางประการ คือ แบบสอบถามการตระหนักรู้ตนเอง แบบสอบถามการคล้อยตาม แบบสอบถามการมุ่งอนาคตแบบสอบถามสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครอบครัว และแบบสอบถามสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน
ผลการวิจัยพบว่า
1. ค่าสหสัมพันธ์คาโนนิคอลระหว่างชุดตัวแปรอิสระการตระหนักรู้ตนเอง การคล้อยตาม การมุ่งอนาคตสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครอบครัว และสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน กับชุดตัวแปรตามพฤติกรรมการป้องกันสารเสพติด ด้านความรู้ในการหลีกเลี่ยงสารเสพติดเจตคติเกี่ยวกับการป้องกันสารเสพติด และการปฏิบัติเกี่ยวกับการป้องกันสารเสพติด มีค่าสหสัมพันธ์เท่ากับ .734 , .205 และ .404 ตามลำดับ ซึ่งในชุดที่ 1 และ 2 มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนในชุดที่ 3 มีความสัมพันธ์กันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
2. ค่าน้ำหนักความสำคัญคาโนนิคอลระหว่างการตระหนักรู้ตนเอง การคล้อยตาม การมุ่งอนาคต สัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับครอบครัว และสัมพันธภาพระหว่างนักเรียนกับเพื่อน กับพฤติกรรมการป้องกันสารเสพติดทั้งสามด้าน อยู่ในระดับที่ส่งผลซึ่งกันและกัน โดยพบว่าความสัมพันธ์เกิดจากตัวแปรอิสระ ด้านการตระหนักรู้ตนเองและการมุ่งอนาคต กับชุดตัวแปรตามคือ การปฏิบัติเกี่ยวกับการป้องกันสารเสพติดส่งผลซึ่งกันและกัน
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-10-24 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/813
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 2 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 ก.ค.–ธ.ค. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/814
2009-10-24T23:23:15Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"091024 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยบางประการกับการคิดอภิมานของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครปฐม เขต 1
ทองดอนอ่ำ, วนิดา
ศรีไพโรจน์, นิภา
ภิญโญอนันตพงษ์, ดร. บุญเชิด
การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาความสัมพันธ์และค่าน้ำหนักความสำคัญที่ส่งผลของตัวแปรปัจจัยได้แก่ การควบคุมตนเอง ความเชื่ออำนาจภายในตน สมรรถภาพทางสมองด้านภาษา และด้านเหตุผล การรับรู้ความคาดหวังของผู้ปกครองด้านการศึกษา และการจัดการเรียน การสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ กับการคิดอภิมานในภาพรวมและในรายด้านได้แก่ การตระหนักรู้ การวางแผน ยุทธวิธีทางความคิด และการตรวจสอบตนเอง กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครปฐม เขต 1 จำนวน 350 คน เครื่องมือที่ใช้ ประกอบด้วยแบบสอบถามการคิดอภิมาน การควบคุมตนเอง ความเชื่ออำนาจภายในตน การรับรู้ความคาดหวังของผู้ปกครองด้านการศึกษา การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ แบบทดสอบสมรรถภาพทางสมองด้านภาษา และแบบทดสอบสมรรถภาพทางสมองด้านเหตุผล โดยมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.95, 0.88, 0.87, 0.82, 0.85, 0.91 และ 0.86 ตามลำดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติการถดถอยพหุคูณแบบตัวแปรพหุนาม (MMR) และ ตัวแปรเอกนาม (MR)
ผลการศึกษาพบว่าตัวแปรปัจจัย กับการคิดอภิมานในภาพรวม มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำ คัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณเท่ากับ .696 และทุกตัวแปรปัจจัยส่งผลทางบวกต่อการคิดอภิมานในภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เมื่อพิจารณาการคิดอภิมานในรายด้าน พบว่า ตัวแปรปัจจัยมีความสัมพันธ์กับการคิดอภิมานทั้ง 4 ด้านอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ( Λ =.468) โดยค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์พหุคูณระหว่างตัวแปรปัจจัยกับการคิดอภิมานในด้านการตระหนักรู้ การวางแผนยุทธวิธีทางความคิด และการตรวจสอบตนเอง มีค่าเท่ากับ .538, .573, .652 และ .573 ตามลำดับ ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ค่าน้ำหนักความสำคัญของตัวแปรปัจจัยที่ส่งผลต่อการคิดอภิมานในรายด้าน พบว่า ด้านการตระหนักรู้ ตัวแปรปัจจัยที่ส่งผล ได้แก่ สมรรถภาพทางสมองด้านภาษา สมรรถภาพทางสมองด้านเหตุผล การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ และ ความเชื่ออำนาจภายในตน ด้าน การวางแผน ตัวแปรปัจจัยที่ส่งผลได้แก่ สมรรถภาพทางสมองด้านภาษา การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญสมรรถภาพทางสมองด้านเหตุผล การควบคุมตนเอง และความเชื่ออำนาจภายในตน ด้านยุทธวิธีทางความคิด ตัวแปรปัจจัยที่ส่งผล ได้แก่ สมรรถภาพทางสมองด้านภาษา การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ สมรรถภาพทางสมองด้านเหตุผล และการรับรู้ความคาดหวังของผู้ปกครองด้านการศึกษาและด้านการตรวจสอบตนเอง ตัวแปรปัจจัยที่ส่งผล ได้แก่สมรรถภาพทางสมองด้านภาษา การควบคุมตนเอง สมรรถภาพทางสมองด้านเหตุผล ความเชื่ออำนาจภายในตน การรับรู้ความคาดหวังของผู้ปกครองด้านการศึกษา และการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-10-24 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/814
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 2 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 ก.ค.–ธ.ค. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/815
2009-10-24T23:24:11Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"091024 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ปัจจัยทางด้านขีดความสามารถของพนักงานบางประการที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการใช้บาลานซ์สกอร์การ์ดของธนาคารออมสิน
แก้วอบเชย, วีระ
กุลศิริ, พนิต
อนันตอัครกุล, กาญญ์รวี
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยด้านขีดความสามารถของพนักงาน บางประการที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการใช้ บาลานซ์สกอร์การ์ดของธนาคารออมสิน ตัวแปรอิสระที่ใช้ศึกษา คือ ลักษณะประชากรศาสตร์และขีดความสามารถของพนักงานธนาคารออมสิน ซึ่งแบ่งเป็น ด้านความใส่ใจในความต้องการของลูกค้า ด้านความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น ด้านทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านความมีคุณธรรมและรับผิดชอบ ด้านความใส่ใจในผลสำเร็จ ด้านความใฝ่รู้ ด้านการเปิดใจรับฟังเพื่อปรับปรุง ด้านการปรับปรุงตนเองอยู่เสมอ ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์และด้านความสามารถในการทำงานเป็นทีม ตัวแปรตามที่ใช้ศึกษา คือ ความสำเร็จในการใช้ บาลานซ์สกอร์การ์ด ด้านการเงิน ด้านลูกค้า ด้านกระบวนการภายในและด้านการเรียนรู้และเติบโตของธนาคารออมสิน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ พนักงานธนาคารออมสินจำนวน 474 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน คือ การวิเคราะห์เชิงถดถอยพหุคูณแบบใส่ตัวแปรอิสระเป็นขั้นตอน
ผลการวิจัยพบว่า :-
1. ปัจจัยทางด้านขีดความสามารถของพนักงานที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการใช้ บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านการเงินของธนาคารออมสิน มี 3 ปัจจัย โดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดไปหาปัจจัยที่ส่งผลน้อยที่สุด ได้แก่ ขีดความสามารถด้านความสามารถในการทำงานเป็นทีม (X10) ด้านความเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น(X2) และด้านการมีความคิดสร้างสรรค์ (X9) โดยปัจจัยทั้ง 3 ปัจจัยนี้ สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของความสำเร็จในการใช้ บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านการเงินของธนาคารออมสินได้ ร้อยละ17.60 สมการพยากรณ์ความสำเร็จในการใช้บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านการเงินของธนาคารออมสิน มีดังนี้สมการพยากรณ์ความสำเร็จในการใช้บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านการเงินของธนาคารออมสินในรูปคะแนนดิบได้แก่ Ŷ = 1.494 + 0.222 X10+ 0.177 X2 + 0.134 X9 สมการพยากรณ์ความสำเร็จในการใช้บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านการเงินของธนาคารออมสินในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้แก่ Z = 0.226 X10+ 0.169 X2 + 0.120 X9
2. ปัจจัยทางด้านขีดความสามารถของพนักงานที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการใช้บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านลูกค้าของธนาคาร ออมสิน มี 3 ปัจจัย โดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดไปหาปัจจัยที่ส่งผลน้อยที่สุด ได้แก่ ขีดความสามารถด้านความสามารถในการทำงานเป็นทีม (X10) ด้านความมีคุณธรรมและรับผิดชอบ (X4) และด้านทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (X3) โดยปัจจัยทั้ง 3 ปัจจัยนี้ สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของความสำเร็จในการใช้บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านลูกค้าของธนาคารออมสินได้ ร้อยละ 23.40 สมการพยากรณ์ความสำเร็จในการใช้ บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านลูกค้าของธนาคาร ออมสิน มีดังนี้ สมการพยากรณ์ความสำเร็จในการใช้บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านลูกค้าของธนาคาร ออมสินในรูปคะแนนดิบ ได้แก่ Ŷ = 1.573 + 0.282 X10+ 0.177 X4 + 0.116 X3 สมการพยากรณ์ความสำเร็จในการใช้บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านลูกค้าของธนาคาร ออมสินในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้แก่ Z = 0.322 X10+ 0.175 X4 + 0.149 X3
3. ปัจจัยทางด้านขีดความสามารถของพนักงานที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการใช้ บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านกระบวนการภายในของธนาคารออมสิน มี 4 ปัจจัย โดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดไปหาปัจจัยที่ส่งผลน้อยที่สุด ได้แก่ ขีดความสามารถด้านความสามารถในการทำงานเป็นทีม (X10) ด้านการเปิดใจรับฟังเพื่อปรับปรุง (X7) ด้านการมีความคิดสร้างสรรค์ (X9) และด้านความมีคุณธรรมและรับผิดชอบ (X4) โดยปัจจัยทั้ง 4 ปัจจัยนี้ สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของความสำเร็จในการใช้บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านกระบวนการภายในของธนาคารออมสินได้ ร้อยละ 24.90 สมการพยากรณ์ความสำเร็จในการใช้บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านกระบวนการภายในของธนาคารออมสิน มีดังนี้ สมการพยากรณ์ความสำเร็จในการใช้บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านกระบวนการภายในของธนาคารออมสินในรูปคะแนนดิบ ได้แก่ Ŷ = 1.322 + 0.217 X10+ 0.125 X7 + 0.138 X9 + 0.129 X4 สมการพยากรณ์ความสำเร็จในการใช้บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านกระบวนการภายในของธนาคารออมสินในรูป
คะแนนมาตรฐาน ได้แก่ Z = 0.246 X10+ 0.128 X7 + 0.137 X9 + 0.127 X4
4. ปัจจัยทางด้านขีดความสามารถของพนักงานที่ส่งผลต่อความสำเร็จในการใช้บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านการเรียนรู้และเติบโตของธนาคารออมสิน มี 4 ปัจจัย โดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดไปหาปัจจัยที่ส่งผลน้อยที่สุด ได้แก่ ขีดความสามารถด้านความสามารถในการทำงานเป็นทีม (X10) ด้านความใฝ่รู้ (X6) ด้านความมีคุณธรรมและรับผิดชอบ (X4) และด้านทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (X3) โดยปัจจัยทั้ง 4 ปัจจัยนี้ สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของความสำเร็จในการใช้บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านการเรียนรู้และเติบโตของธนาคารออมสินได้ ร้อยละ 31.10 สมการพยากรณ์ความสำเร็จในการใช้บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านการเรียนรู้และเติบโตของธนาคารออมสิน มีดังนี้ สมการพยากรณ์ความสำเร็จในการใช้บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านการเรียนรู้และเติบโตของธนาคารออมสินในรูปคะแนนดิบ ได้แก่ Ŷ = 1.150 + 0.271 X10+ 0.131 X6 + 0.137 X4 + 0.098 X3 สมการพยากรณ์ความสำเร็จในการใช้บาลานซ์สกอร์การ์ดด้านการเรียนรู้และเติบโตของธนาคารออมสินในรูปคะแนนมาตรฐาน ได้แก่ Z = 0.304 X10+ 0.144 X6 + 0.172 X4 + 0.124 X3
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-10-24 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/815
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 2 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 ก.ค.–ธ.ค. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/816
2009-10-24T23:25:19Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"091024 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การศึกษาแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างพหุปัญญากับความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรคของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 3 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาราชบุรี เขต 1
ปานดำ, สกุณี
ทองคำบรรจง, ดร. เสกสรรค์
เดชะคุปต์, ดร. เยาวพา
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาความสัมพันธ์คาโนนิคอลระหว่างพหุปัญญากับความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค และศึกษาค่าน้ำหนักความสำคัญของพหุปัญญาที่ส่งผลซึ่งกันและกันต่อความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาราชบุรี เขต 1 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 590 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบสองขั้นตอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสำรวจแววพหุปัญญา ประกอบด้วย พหุปัญญาด้านภาษา ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ ด้านดนตรี ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ด้านมิติ ด้านความเข้าใจระหว่างบุคคล ด้านความเข้าใจตนเอง ด้านธรรมชาติและด้านการดำ รงคงอยู่ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .770, .851, .862, .756, .816, .877, .860, .861 และ .858 ตามลำดับ และแบบวัดความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค ประกอบด้วย ความสามารถในการควบคุมอุปสรรค ความสามารถในการระบุต้นเหตุของอุปสรรคและความรับผิดชอบ ความสามารถรับรู้ผลกระทบของอุปสรรคและความสามารถในการอดทนต่ออุปสรรคมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ .775, .793, .777 และ .833 ตามลำดับ
ผลการวิจัยพบว่า
1. ค่าสหสัมพันธ์คาโนนิคอลในภาพรวม จำแนกตามเพศชาย และเพศหญิงระหว่างตัวแปรพหุปัญญาด้านภาษา ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ ด้านดนตรี ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ด้านมิติ ด้านความเข้าใจระหว่างบุคคล ด้านความเข้าใจตนเอง ด้านธรรมชาติและด้านการดำรงคงอยู่และตัวแปรความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค ด้านความสามารถในการควบคุมอุปสรรคด้านความสามารถในการระบุต้นเหตุของอุปสรรคและความรับผิดชอบ ด้านความสามารถในการรับรู้ผลกระทบของอุปสรรค และด้านความสามารถในการอดทนต่ออุปสรรค มีค่าสหสัมพันธ์เท่ากับ .479, .513 และ .455 ตามลำดับอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01
2. ค่าสัมประสิทธิ์โครงสร้างระหว่างพหุปัญญากับความสามารถในการเผชิญและฟันฝ่าอุปสรรค พบว่า ตัวแปรพหุปัญญาด้านภาษา ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ ด้านดนตรี ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ด้านมิติ ด้านความเข้าใจระหว่างบุคคล ด้านความเข้าใจตนเอง ด้านธรรมชาติ และด้านการดำรงคงอยู่มีน้ำหนักความสำคัญในการส่งผลต่อตัวแปรคาโนนิคอล (U1) และความสามารถในการควบคุมอุปสรรค ความสามารถในการระบุต้นเหตุของอุปสรรคและความรับผิดชอบ ความสามารถในการรับรู้ผลกระทบของอุปสรรค และความสามารถในการอดทนต่ออุปสรรคมีน้ำ หนักความสำคัญในการส่งผลต่อตัวแปรคาโนนิคอล (V1) และเมื่อพิจารณาค่าสัมประสิทธิ์โครงกำลังสอง พบว่า ตัวแปรคาโนนิคอล (U1) อธิบายความแปรปรวนของตัวแปรพหุปัญญาด้านภาษา ด้านตรรกะและคณิตศาสตร์ ด้านดนตรี ด้านร่างกายและการเคลื่อนไหว ด้านมิติ ด้านความเข้าใจระหว่างบุคคล ด้านความเข้าใจตนเอง ด้านธรรมชาติ และด้านการดำรงคงอยู่ได้ร้อยละ 45.6, 23.4, 14.1, 35.5, 15.8, 39.2, 57.9, 37.3 และ 72.4 ตามลำดับ ในขณะที่ตัวแปรคาโนนิคอล (V1) อธิบายความแปรปรวนของตัวแปรความสามารถในการควบคุมอุปสรรค ความสามารถในการระบุต้นเหตุของอุปสรรคและความรับผิดชอบ ความสามารถในการรับรู้ผลกระทบของอุปสรรคและความสามารถในการอดทนต่ออุปสรรคได้ร้อยละ 68.6,68.7, 67.9 และ 73.1 ตามลำดับ
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-10-24 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/816
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 2 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 ก.ค.–ธ.ค. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/817
2009-10-24T23:26:19Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"091024 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
A CONTSTRUCTION OF THAI READING ABILITY TEST FOR PRATHOM SUKSA 3 STUDENTS
สมใจ, สุนันทา
เซ็มเฮง, ดร.สุวพร
ศลโกสุม, ดร.สุนันท์
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาแบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านภาษาไทย ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กำหนดแบบทดสอบมีทั้งหมด 3 ฉบับ เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก ฉบับที่ 1 ด้านการอ่านคำ จำนวน 20 ข้อ ฉบับที่ 2 ด้านความเข้าใจความหมายของคำศัพท์ จำนวน 20 ข้อ และฉบับที่ 3 ด้านความเข้าใจในการอ่าน จำนวน 20 ข้อ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา เขต 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 25 โรงเรียน จำนวน 28 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 818 คน
สรุปผลการวิจัย
1. การพัฒนาแบบทดสอบวัดความสามารถการอ่านภาษาไทย สร้างโดยการวิเคราะห์จากมาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กำหนดแบบทดสอบมีทั้งหมด 3 ฉบับ เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 3 ตัวเลือก ฉบับที่ 1 แบบทดสอบด้านการอ่านคำ จำนวน 20 ข้อ ฉบับที่ 2 แบบทดสอบด้านความเข้าใจ
ความหมายของคำศัพท์ จำนวน 20 ข้อ ฉบับที่ 3 แบบทดสอบด้านความเข้าใจในการอ่าน จำนวน 20 ข้อ แบบทดสอบทุกฉบับผ่านการตรวจสอบคุณภาพความเที่ยงตรงเชิงพินิจจากผู้เชี่ยวชาญ ทุกฉบับได้ค่า IOC ระหว่าง .80 – 1.00
2. ตรวจสอบคุณภาพรายข้อของแบบทดสอบด้านการอ่านคำ มีค่าความยากง่ายระหว่าง .28 -.68 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง .28 - .57 ความเชื่อมั่นมีค่าเท่ากับ .78 และความเที่ยงตรงเชิงสภาพ มีค่าเท่ากับ .56 แบบทดสอบด้านความเข้าใจความหมายของคำศัพท์ มีค่าความยากง่ายระหว่าง .41 - .76 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง .28 – .54 ความเชื่อมั่นมีค่าเท่ากับ .78 และความเที่ยงตรงเชิงสภาพ มีค่าเท่ากับ .71 แบบทดสอบด้านความเข้าใจในการอ่าน มีค่าความยากง่ายระหว่าง .37 - .72 ค่าอำนาจจำแนกระหว่าง .20 - .62 ความเชื่อมั่นมีค่าเท่ากับ .78 และความเที่ยงตรงเชิงสภาพ มีค่าเท่ากับ .52
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-10-24 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/817
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 2 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 ก.ค.–ธ.ค. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/818
2009-10-24T23:27:12Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"091024 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
การศึกษาเชิงเปรียบเทียบคุณลักษณะการคิดเชิงบวกของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา
ประเสริฐกุล, สัจจา
วงศ์รัตนะ, ชูศรี
พันธ์พานิช, ระวีวรรณ
การวิจัยครั้งนี้มุ่งศึกษาเชิงเปรียบเทียบคุณลักษณะการคิดเชิงบวกของนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 สำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา เขต 7 ที่มีระดับอัตมโนทัศน์และประสบการณ์ชีวิตแตกต่างกัน ผู้วิจัยดำเนินการศึกษากับกลุ่มตัวอย่าง คือนักเรียนช่วงชั้นที่ 4 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครราชสีมา เขต 7 จำนวน 382 คน ได้มาจากการกำหนดตัวอย่างสุ่มแบบสองขั้นตอนผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบวัดความคิดเชิงบวกแบบสอบถามอัตมโนทัศน์
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-10-24 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/818
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 2 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 ก.ค.–ธ.ค. 2551
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/819
2009-10-24T23:28:09Z
jedu:RA
nmb a2200000Iu 4500
"091024 2009 eng "
2774-0196
2774-0188
dc
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันกับองค์กรของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (หญิงล้วน) บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด
ชาลากูลพฤฒิ, สุรินทร์
จุลรัตน์, ดร. พาสนา
กรีทอง, เวธนี
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย
1. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านส่วนตัว และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในที่ทำงานต่อ ความผูกพันกับองค์กรของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (หญิงล้วน) บริษัท สายการบิน นกแอร์ จำกัด
2. เพื่อศึกษาปัจจัยด้านส่วนตัว และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในที่ทำงานที่ส่งผลต่อความผูกพันกับองค์กรของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (หญิงล้วน) บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด
3. เพื่อสร้างสมการพยากรณ์ปัจจัยที่ส่งผลต่อองค์กรของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (หญิงล้วน) บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัดประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (หญิงล้วน) บริษัท สายการบิน นกแอร์ จำกัด จำนวน 191 คน ใช้เป็นกลุ่มตัวอย่าง 141 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม ความผูกพันกับองค์กรของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (หญิงล้วน) บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สันและการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ
ผลการวิจัย พบว่า
1. ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์ทางบวกต่อ ความผูกพันกับองค์กรของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (หญิงล้วน) บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 8 ปัจจัย ได้แก่ความภาคภูมิใจในตนเอง(x4) อัตมโนทัศน์(x5) ลักษณะงานในการทำงาน(x6) ความก้าวหน้า และ ความมั่นคงในงาน(x7) สวัสดิการและความปลอดภัยในงาน(x8) สัมพันธภาพระหว่างพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินกับผู้บังคับบัญชา(x9) สัมพันธภาพระหว่างพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินกับเพื่อนร่วมงาน(x10) และสัมพันธภาพระหว่างพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินกับผู้โดยสาร(x11)
2. ปัจจัยที่ไม่มีความสัมพันธ์ต่อความผูกพันกับองค์กรของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (หญิงล้วน) บริษัท
สายการบินนกแอร์ จำกัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 2 ปัจจัย ได้แก่ รายได้เมื่อเทียบกับสายการบินอื่น : เทียบเท่าสายการบินอื่น (x2) รายได้เมื่อเทียบกับสายการบินอื่น : น้อยกว่าสายการบินอื่น (x3)
3. ปัจจัยที่ส่งผลต่อความผูกพันกับองค์กรของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (หญิงล้วน) บริษัท สายการบิน
นกแอร์ จำกัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 มี 4 ปัจจัยโดยเรียงลำดับจากปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุดไปหาปัจจัยที่ส่งผลน้อยที่สุด ได้แก่ สัมพันธภาพระหว่างพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินกับผู้บังคับบัญชา(x9) ความภาคภูมิใจในตนเอง(x4) สวัสดิการและความปลอดภัยในงาน(x8) และสัมพันธภาพระหว่างพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินกับเพื่อนร่วมงาน(x10) ซึ่งปัจจัยทั้ง 4 ปัจจัยนี้ สามารถร่วมกันอธิบายความแปรปรวนของความผูกพันกับองค์กรของพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน (หญิงล้วน) บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด ได้ร้อยละ 43
คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2009-10-24 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/jedu/article/view/819
วารสารวิชาการศึกษาศาสตร์ ศรีนครินทรวิโรฒ; Vol. 9 No. 2 (2551): ปีที่ 9 ฉบับที่ 2 ก.ค.–ธ.ค. 2551
eng
Copyright (c)
ce018a022f70afcd0143bb5cea8c9354