2024-03-29T01:15:52Z
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/index/oai
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3728
2023-11-14T04:32:47Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3728
2023-11-14T04:32:47Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 1 No. 1 (2553): ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เมษายน – กันยายน 2553; 1-19
MEASURING THE STORE IMAGE AS A HIGHER ORDER FACTOR IN UDON THANI PROVINCE
Untachai, Subchat; คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
2010-10-01
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3728
Second-order factor analysis
Store image
Service quality
en_US
The objective of the research was to examine the store image in Udon Thani province. Given the literature review, a model proposed the store image which was identified as a one-dimensional construct consisting of five components such as brand name, product quality, service quality, atmosphere, and perceived value. Using a survey design, data were collected via questionnaires interviewing 443 household samples. They included the customers of stores in Udon Thani province. The author argued the second-order factor structure for the store image significantly supported. This suggested that customers evaluated the store image on five basic dimensions but they also viewed overall store image as a higher order factor that captured a meaning common to all dimensions.
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3729
2023-11-14T04:32:47Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3729
2023-11-14T04:32:47Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 1 No. 1 (2553): ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เมษายน – กันยายน 2553; 20-44
ตัวกำหนดการรับรู้ผลการดำเนินงาน การรับรู้ถึงความรับผิดชอบต่อสังคมการรับรู้คุณภาพของสินค้า/บริการ และพฤติกรรมการเป็นลูกค้าที่ดีของห้างค้าปลีกสมัยใหม่ในเขตภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย
พิริยะกุล, มนตรี; คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
วิงวอน, บุณฑวรรณ; คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง
2010-10-01
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3729
ผลการดำเนินงาน
ความรับผิดชอบต่อสังคม
พฤติกรรมการเป็นลูกค้าที่ดี
ห้างค้าปลีกสมัยใหม่
สมการโครงสร้าง
en_US
ปัจจุบันในสายตาของผู้บริโภคนั้นเป็นสิ่งที่น่าสงสัยว่า พฤติกรรมการเป็นลูกค้าที่ดี การรับรู้และเชื่อในคุณภาพของสินค้า/ บริการ การรับรู้ถึงความรับผิดชอบต่อสังคม และการรับรู้และเชื่อในผลปฏิบัติงานขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญที่จะนำสู่ความเป็นองค์กรที่แข็งแรงหรือไม่ สิ่งเหล่านี้จะเกิดได้อย่างไร มีปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลกระทบมายังปัจจัยเหล่านี้ การวิจัยเชิงสำรวจนี้กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริโภคที่ใช้บริการห้างค้าปลีกสมัยใหม่ในเขตภาคเหนือตอนบน จำนวน 731 คน วิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้างเพื่อตอบคำถามความสัมพันธ์เชิงสาเหตุ ผลการวิจัยพบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นหญิงซึ่งมีสัดส่วนมากกว่าชายถึงร้อยละ 73 ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีอายุ 21-50 ปี ถึงร้อยละ 90 มีการศึกษาระดับอุดมศึกษามากถึงร้อยละ 80 โดยกลุ่มใหญ่ที่สุดคือผู้มีอาชีพเป็นพนักงานเอกชน รายได้เฉลี่ยส่วนใหญ่ 10,000-15,000 บาทต่อเดือน ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการเป็นลูกค้าที่ดี มีการรับรู้และเชื่อในคุณภาพของสินค้า รับรู้และเชื่อในความเป็นองค์กรที่ดี ตลอดจนรับรู้และเชื่อในผลการดำเนินงานของห้างค้าปลีกสมัยใหม่อยู่ในระดับปานกลาง โดยพบว่าตัวกำหนดที่มีอิทธิพลต่อปัจจัยทั้ง 4 นี้คือ ความรักในองค์กร ความเชื่อในชื่อเสียงขององค์กร ความไว้วางใจที่มีให้แก่องค์กร อีกทั้งมีความเชื่อว่าองค์กรจะปรับปรุงคุณภาพสินค้าและบริการอยู่เสมอ จนสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าไปในที่สุด
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3730
2023-11-14T04:32:47Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3730
2023-11-14T04:32:47Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 1 No. 1 (2553): ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เมษายน – กันยายน 2553; 45-61
ปัจจัยตลาดบริการด้านบุคลากร กระบวนการ ผลิตภาพและคุณภาพ และลักษณะทางกายภาพที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจเลือกซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวม
ยศพรไพบูลย์, ครรชิตพล; วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ณ กรุงเทพมหานคร
2010-10-01
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3730
การตลาดบริการ การตัดสินใจเลือกซื้อ พฤติกรรมผู้บริโภค กองทุนรวม
en_US
วัตถุประสงค์การศึกษาครั้งนี้ เป็นการสำรวจปัจจัยตลาดบริการด้านบุคลากร กระบวนการ ผลิตภาพและคุณภาพ และลักษณะทางกายภาพ ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวม การศึกษานี้ทำการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือค่าสัมประสิทธิ์พบว่าความน่าเชื่อถือ เท่ากับ 0.8286 ของการทดสอบครั้งนี้ จากผลลัพธ์การศึกษาพบว่าปัจจัยตลาดบริการมีค่าเฉลี่ยรวม 4.40 ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 0.557 สำหรับปัจจัยด้านบุคลากรมีค่าเฉลี่ยมากที่สุดเท่ากับ 4.49 และค่า S.D. เท่ากับ 0.569 และค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือปัจจัยด้านกระบวนการเท่ากับ 4.41, S.D. เท่ากับ 0.571 ผลลัพธ์จากสมมติฐานพบว่าปัจจัยตลาดบริการมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3731
2023-11-14T04:32:47Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3731
2023-11-14T04:32:47Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 1 No. 1 (2553): ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เมษายน – กันยายน 2553; 62-73
การรับรู้ความเสี่ยงของนักลงทุนรายย่อยในประเทศไทยที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนในตราสารทุน
เติมประเสริฐสกุล, สันติ; ภาควิชาบริหารธุรกิจ คณะสังคมศาสตร์ มศว
2010-10-01
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3731
ความเสี่ยง นักลงทุนรายย่อย ตราสารทุน
en_US
งานวิจัยนี้ศึกษาเรื่องการรับรู้ความเสี่ยงของนักลงทุนรายย่อยในประเทศไทยที่มีผลต่อการตัดสินใจลงทุนในตราสารทุน ซึ่งประกอบไปด้วย หุ้นสามัญ หุ้นบุริมสิทธิ ใบสำคัญแสดงสิทธิ หน่วยลงทุน และเอ็นวีดีอาร์ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงการรับรู้ความเสี่ยงของนักลงทุนในประเทศไทย และเครื่องมือวัดความเสี่ยงจากการลงทุนที่นักลงทุนนิยมใช้เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน งานวิจัยนี้แบ่งวิธีการวัดความเสี่ยงออกเป็น 2 ประเภท คือ หนึ่ง Symmetric Risk Measures ได้แก่ Variance และสอง Asymmetric Risk Measures ได้แก่ Semi-Variance, Probability of Loss และ Expected Value of Loss โดยเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 215 ตัวอย่าง พบว่า นักลงทุนส่วนใหญ่รู้จักค่า Variance มากที่สุด รองลงมาคือค่า Expected Value of Loss ค่า Probability of Loss และค่า Semi - Variance ตามลำดับ และมีนักลงทุนจำนวนหนึ่งที่ไม่รู้จักเครื่องมือวัดความเสี่ยงจากการลงทุนใดๆเลย ในส่วนของการประเมินหาวิธีการตัดสินใจเลือกใช้เครื่องมือวัดความเสี่ยงจากการลงทุนของนักลงทุนโดยใช้แบบสอบถามได้ข้อสรุปคือ ไม่ว่าเงินลงทุนจะเป็นเท่าไร นักลงทุนส่วนใหญ่จะใช้วิธีการคำนวณหาค่า Probability of Loss รองลงมาคือค่า Expected Value of Loss ค่า Semi – Variance และค่า Variance ตามลำดับ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเครื่องมือที่นักลงทุนรู้จักมากสุดกลับไม่ใช่เครื่องมือที่นักลงทุนเลือกใช้จริงในการตัดสินใจลงทุน ดังนั้น ผู้วิจัยจึงทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างการรู้จักเครื่องมือวัดความเสี่ยงจากการลงทุนของนักลงทุนกับการตัดสินใจเลือกใช้เครื่องมือวัดความเสี่ยงจากการลงทุนประเภทต่างๆ โดยใช้สถิติไคสแควร์ ผลที่ได้พบว่าตัวแปรทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์กัน นั่นหมายความว่า นักลงทุนอาจรู้จักเครื่องมือวัดความเสี่ยงจากการลงทุน แต่ในความเป็นจริงนักลงทุนกลับไม่ได้ใช้เครื่องมือวัดความเสี่ยงจากการลงทุนชนิดเดียวกับสิ่งที่ตนรู้จักประกอบการตัดสินใจลงทุนในตราสารทุน หรือมีนักลงทุนบางกลุ่มที่ไม่รู้จักเครื่องมือวัดความเสี่ยงจากการลงทุนชนิดใดๆ แต่พฤติกรรมของตนกลับสะท้อนว่าตนได้ใช้เครื่องมือวัดความเสี่ยงจากการลงทุนเพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนในตราสารทุน
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3732
2023-11-14T04:32:47Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3732
2023-11-14T04:32:47Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 1 No. 1 (2553): ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เมษายน – กันยายน 2553; 74-84
พฤติกรรมการฝากเงินในระบบธนาคารพาณิชย์ไทยในปัจจุบัน
นันทแพศย์, พรวรรณ; คณะบริหารธุรกิจ ม.ศรีปทุม
ตรีสวัสดิ์, ธนชัย; นักศึกษาปริญญาโท บัณฑิตวิทยาลัย ม.ศรีปทุม
2010-10-01
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3732
ประกันเงินฝาก คุ้มครองเงินฝาก พฤติกรรมผู้ฝากเงิน ธนาคาร
en_US
บทความนี้เสนอผลการศึกษาพฤติกรรมของผู้ฝากเงินในธนาคารพาณิชย์ไทยภายหลังการเปลี่ยนแปลงระบบประกันเงินฝากเป็นแบบคุ้มครองเต็มจำนวนหลังวิกฤตการเงินปี 2540 โดยสร้างแบบจำลองสมการถดถอยเชิงเส้นเพื่อวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเงินฝากกับตัวชี้วัดฐานะทางการเงินของธนาคารตามหลัก CAMEL rating รวมถึงใช้แบบสอบถามสำรวจพฤติกรรมและความเห็นของผู้ฝากเงิน ผลการวิเคราะห์ไม่สามารถกล่าวได้ว่าปริมาณเงินฝากของธนาคารมีความสัมพันธ์กับตัวชี้วัดฐานะทางการเงินของธนาคารตามหลัก CAMEL rating ครบทั้ง 5 ด้าน โดยเฉพาะด้านความเพียงพอของเงินกองทุน ความสามารถในการหารายได้ และการบริหารสภาพคล่อง ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนซึ่งทำให้พฤติกรรมการฝากเงินไม่เป็นไปตามกลไกตลาด สำหรับข้อมูลจากการสำรวจพบว่า ผู้ฝากเงินรายใหญ่ตัดสินใจฝากเงินโดยพิจารณาปัจจัยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากมากที่สุด แต่ยังคงมีความเห็นแตกต่างกันในเรื่องรูปแบบการฝากเงินในอนาคตหลังลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือเพียง 1 ล้านบาทในปี 2555 โดยบางส่วนจะกระจายเงินฝากไปในหลายธนาคาร ในขณะที่บางส่วนไม่เปลี่ยนแปลงรูปแบบการฝากเงิน และธนาคารที่ผู้ฝากเงินเลือกฝากเงินเป็นอันดับสูงสุดคือ ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทยตามลำดับ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3733
2023-11-14T04:32:47Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3733
2023-11-14T04:32:47Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 1 No. 1 (2553): ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 เมษายน – กันยายน 2553; 85-102
พฤติกรรมการบริโภคอาหาร “ฮาลาล” ของผู้บริโภคคนไทยในเขตกรุงเทพมหานคร
วสุธรพิพัฒน์, พีระกานต์
2010-10-01
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3733
พฤติกรรมการบริโภค อาหารฮาลาล
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาถึงลักษณะทางประชากรศาสตร์ได้แก่ เพศ อายุ เชื้อชาติ ศาสนา ภูมิลำเนาเดิม สถานภาพ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน และขนาดครอบครัว ปัจจัยด้านความรู้ความเข้าใจ ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ปัจจัยด้านราคา และปัจจัยด้านค่านิยมในวัฒนธรรม ที่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคอาหาร “ฮาลาล” ของผู้บริโภคคนไทยในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริโภคชาวไทยที่เคยหรือบริโภคอาหารฮาลาลในร้านอาหารมุสลิมที่อยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 400 ราย โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่าง 4 ขั้นตอน คือ การสุ่มตัวอย่างแบบแบ่งตามพื้นที่ การสุ่มตัวอย่างแบบกำหนดโควตา การสุ่มตัวอย่างโดยใช้วิจารณญาณ และการสุ่มตัวอย่างตามความสะดวก เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นแบบสอบถาม วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวแปร 2 กลุ่ม การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นรายคู่โดยใช้วิธีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญน้อยที่สุด และการวิเคราะห์ ค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคชาวไทยในเขตกรุงเทพมหานครส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมากกว่า เพศชาย มีอายุ 36-45 ปี เป็นผู้นับถือศาสนาพุทธมีระดับการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรี มีอาชีพพนักงานเอกชนและมีรายได้ 20,001 บาทขึ้นไป มีค่าเฉลี่ยพฤติกรรมในด้านความถี่และค่าใช้จ่ายในระดับมากที่สุด กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจมากในระดับบัญญัติศาสนาขั้นพื้นฐาน ปัจจัยด้านราคามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมความถี่และค่าใช้จ่ายในการบริโภคอาหารฮาลาล ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์และด้านค่านิยมในวัฒนธรรม พบว่าไม่มีความสัมพันธ์
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3736
2023-11-13T04:52:55Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3736
2023-11-13T04:52:55Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 2 No. 1 (2553): ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2553 – มีนาคม 2554; 1-15
WILL SOCIAL MEDIA CHANGE THE WAY
อวิรุทธา, อนุพงศ์; สาขาวิชาการจัดการ คณะบริหารธุรกิจ ม.ศรีปทุม
2011-04-01
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3736
Social media
Facebook
Twitter
YouTube
Business
en_US
The social media is introduced as a new tool that provides the benefits of the Internet. Furthermore, it has moved beyond e-mail, addresses and appointments. In Thailand, Facebook membership numbers have risen from 2.5 million to more than 6.5 million in 2010, making Thailand one of the world’s fastest growing markets for the social network giant. Business people and marketers attempt to connect their customers and interact with them using social media. Today, people comment about a product on social media produce either negative or positive brand buzz; these messages are sent out and affected consumer purchasing decisions. Therefore, businesses are facing the question how seriously should business people and marketers think about effects of social media business practices? Reasons that make social media popular are the followings. First, social media is a kind of channel that allows people to express themselves in public. Secondly, people today are surrounded by information, which must be timely and updated. Third, people want to see how their friends are currently doing. Lastly, people find a new place to hang around and escape from where they live.
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3738
2023-11-13T04:52:55Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3738
2023-11-13T04:52:55Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 2 No. 1 (2553): ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2553 – มีนาคม 2554; 29-40
ทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าเพศชายโดยเฉพาะ
ศิริภัทรโสภณ, ศักดิ์ดา; วิทยาลัยบัณฑิตศึกษาการจัดการ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ณ กรุงเทพมหานค
2011-04-01
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3738
การตลาดผู้บริโภค ทัศนคติผู้บริโภค ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าเพศชาย
en_US
การดูแลสุขภาพโดยเฉพาะผิวหน้าเป็นสิ่งหนึ่งที่ผู้บริโภคชายกำลังให้ความสำคัญในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าเพศชายโดยเฉพาะจำหน่ายอยู่ทั่วไปจำนวนมาก การวิจัยนี้ จึงมุ่งที่จะศึกษาทัศนคติของผู้บริโภคเพศชายอายุระหว่าง 15-45 ปี ที่มีการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าเพศชายโดยเฉพาะ ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบในการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าเพศชาย และปัจจัยด้านแรงจูงใจที่มีต่อทัศนคติในการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าเพศชายโดยเฉพาะ วิธีการศึกษาใช้การวิจัยเชิงสำรวจ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามกับหน่วยตัวอย่างจำนวน 400 หน่วยจากกลุ่มประชากรเพศชายที่มีการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าเพศชายโดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร ผลการทดสอบสมมติฐานวิจัยโดยใช้สถิติเชิงอนุมานและวิเคราะห์สมการถดถอยพหุคูณ พบว่า ผู้บริโภคเพศชายใช้แรงจูงใจด้านเหตุผลเป็นหลักในการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดโดยเฉพาะด้านผลิตภัณฑ์และช่องทางการจำหน่าย และปัจจัยเกี่ยวกับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ มีความสัมพันธ์กับทัศนคติของผู้บริโภคเพศชายในการตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าเพศชายโดยเฉพาะ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3739
2023-11-13T04:52:55Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3739
2023-11-13T04:52:55Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 2 No. 1 (2553): ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2553 – มีนาคม 2554; 41-57
การบริหารความได้เปรียบทางการแข่งขันเพื่อความสำเร็จในการดำเนินงานของธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม โดยการวัดผลปฏิบัติแบบดุลยภาพ ในเขตภาคเหนือของประเทศไทย
พงศ์วิริทธิ์ธร, รัฐนันท์; มหาวิทยาลัยเทคโนโลนีราชมงคลล้านนา ภาคพายัพ
กันทะวงศ์วาร, เบญญาภา; สาขาวิชาการจัดการ คณะบริหารธุรกิจและศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ภาคพายัพ
2011-04-01
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3739
การวัดผลปฏิบัติงานแบบดุลยภาพ วิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม
en_US
การวิจัยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารความได้เปรียบทางการแข่งขันของธุรกิจ และการวัดผลปฏิบัติงานแบบดุลยภาพ ความสำเร็จในการดำเนินงาน ผลกระทบและความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารความได้เปรียบทางการแข่งขันกับความสำเร็จในการดำเนินงาน จากการสอบถามผู้ประกอบการธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย จำนวน 400 ราย พบว่า มีการบริหารความได้เปรียบทางการแข่งขันและความสำเร็จในการดำเนินงานโดยรวมอยู่ในระดับมากและผลกระทบและความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารความได้เปรียบทางการแข่งขันกับความสำเร็จในการดำเนินงาน โดยการวัดผลปฏิบัติแบบดุลยภาพของแต่ละกลุ่มประเภทธุรกิจและแต่ละพื้นที่จังหวัดในเขตภาคเหนือของประเทศไทยมีการบริหารความได้เปรียบทางการแข่งขันโดยรวมไม่แตกต่างกัน จากการสัมภาษณ์กลุ่มผู้นำความคิด พบว่า ด้านปัญหาและอุปสรรคจากการประกอบธุรกิจวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมในเขตภาคเหนือของประเทศไทย ไม่มีความแตกต่างกันด้านการตลาดและการสร้างนวัตกรรมในกระบวนการผลิต ด้านการเงินไม่มีการจัดทำบัญชีและการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ไม่มีเครือข่ายความร่วมมือกันทางธุรกิจ และแนวทางแก้ไขปัญหาควรมุ่งเน้น ความยั่งยืนของความได้เปรียบในการแข่งขัน ได้แก่ คุณภาพ การบริการลูกค้า การจำชื่อลูกค้าได้การจัดการที่ดี การผลิตที่มีต้นทุนต่ำ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3740
2023-11-13T04:52:55Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3740
2023-11-13T04:52:55Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 2 No. 1 (2553): ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2553 – มีนาคม 2554; 58-73
อิทธิพลของทักษะและคุณลักษณะการบริหารงานต่อความเป็นมืออาชีพของผู้บริหารธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย
พหุลรัต, จันทณี; โรงเรียนสุรนารีวิทยา
2011-04-01
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3740
ความเป็นมืออาชีพ ทักษะการบริหารงาน คุณลักษณะการบริหารงาน
en_US
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาอิทธิพลของทักษะและคุณลักษณะการบริหารงานต่อความเป็นมืออาชีพของผู้บริหารธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานโรงแรมระดับผู้จัดการ จำนวน 121 ราย เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามแบบประมาณค่า 5 ระดับ การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ความถดถอยแบบพหุคูณ ผลการศึกษาพบว่า ทักษะการบริหารงานและคุณลักษณะการบริหารงาน ตามความคิดเห็นของพนักงานโรงแรมระดับผู้จัดการมีอิทธิพลเชิงบวกต่อความเป็นมืออาชีพของผู้บริหารธุรกิจโรงแรม ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า ทักษะการบริหารงานด้านมนุษยสัมพันธ์ ทักษะการบริหารงานด้านความคิด คุณลักษณะการบริหารงานด้านความสามารถ คุณลักษณะการบริหารงานด้านความเป็นผู้นำ คุณลักษณะการบริหารงานด้านความรับผิดชอบ คุณลักษณะการบริหารงานด้านจริยธรรม และคุณลักษณะการบริหารงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ มีอิทธิพลต่อความเป็นมืออาชีพของผู้บริหารธุรกิจโรงแรม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 และ 0.05 ตามลำดับ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3741
2023-11-13T04:52:55Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3741
2023-11-13T04:52:55Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 2 No. 1 (2553): ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2553 – มีนาคม 2554; 74-95
ลักษณะผู้นำ ประสิทธิผลในการทำงานของบุคลากรในองค์กร และประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์กรธุรกิจอุตสาหกรรมผลิตอาหารทะเลแช่แข็งส่งออกแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรสาคร
เอื้ออังคณากุล, ศรัญญา; นิสิตสาขาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มศว
2011-04-01
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3741
ลักษณะผู้นำ ประสิทธิผลในการทำงาน ประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะผู้นำของผู้บริหารกับประสิทธิผลและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของบุคลากรในองค์กรธุรกิจอุตสาหกรรมผลิตอาหารทะเลแช่แข็งส่งออกในจังหวัดสมุทรสาคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ จำนวน 300 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัย พบว่า ลักษณะผู้นำแบบเผด็จการ และลักษณะผู้นำแบบปล่อยตาม มีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้ามในระดับต่ำกับประสิทธิผลในการทำงานโดยรวมของบุคลากรในองค์กร ส่วนลักษณะผู้นำ ได้แก่ ลักษณะผู้นำแบบสโมสรมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันในระดับปานกลางกับประสิทธิผลและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยรวมของบุคลากรในองค์กร ลักษณะผู้นำแบบทางสายกลางมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันในระดับค่อนข้างต่ำกับประสิทธิผลและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยรวมของบุคลากรในองค์กร และลักษณะผู้นำแบบทีมงานมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันในระดับปานกลางกับประสิทธิผลและประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานโดยรวมของบุคลากรในองค์กร
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3742
2023-11-13T04:52:55Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3742
2023-11-13T04:52:55Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 2 No. 1 (2553): ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2553 – มีนาคม 2554; 96-108
ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของนักท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต
ศิริรักษ์, พีรกานต์; สาขาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2011-04-01
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3742
การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ พฤติกรรมการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการท่องเที่ยว เชิงนิเวศของนักท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต จำนวน 400 คน ใช้วิธีการแจกแบบสอบถาม โดยปัจจัยที่ผู้วิจัยสนใจศึกษาคือ ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของนักท่องเที่ยว ลักษณะบุคลิกภาพ รูปแบบกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวสนใจ และแนวโน้มพฤติกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงนิเวศในจังหวัดภูเก็ตส่วนใหญ่เป็นเพศชาย โดยอายุระหว่าง 20 - 24 ปี มีสถานภาพโสด มีการศึกษาระดับปริญญาตรี มีอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,001 - 15,000 บาท มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในระดับมากที่สุด มีลักษณะบุคลิกภาพเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านชอบค้นหาผจญภัย ด้านชอบเดินทางในสถานที่แปลกใหม่ ด้านมีความยึดมั่นในตนเองสูง ด้านชอบเดินทางท่องเที่ยว ด้านชอบเปิดรับนวัตกรรมใหม่ ด้านความเป็นคนสนุกสนาน มีความคิดเห็นในระดับมาก ด้านความสนใจในรูปแบบกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ อยู่ในระดับสนใจมาก มีพฤติกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ด้านระยะเวลา ที่เดินทางท่องเที่ยวโดยเฉลี่ยประมาณ 3 วันต่อครั้ง และงบประมาณการใช้จ่ายเงินเพื่อการท่องเที่ยวต่อครั้ง ประมาณ 5,416 บาท และมีแนวโน้มพฤติกรรมการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในอนาคต ด้านการกลับมาท่องเที่ยวเชิงนิเวศ อยู่ในระดับกลับมาอย่างแน่นอน และด้านการแนะนำให้บุคคลรู้จักมาท่องเที่ยว อยู่ในระดับแนะนำบุคคลที่รู้จักมาท่องเที่ยวอย่างแน่นอน โดยผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวสามารถนำข้อมูลนี้ไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนาการท่องเที่ยว เชิงนิเวศให้ดียิ่งขึ้น และเป็นแนวทางในการวางกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อสร้างความสนใจให้กับนักท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3743
2023-11-13T04:52:55Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3743
2023-11-13T04:52:55Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 2 No. 1 (2553): ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2553 – มีนาคม 2554; 109-134
การบริหารการผลิตและการปฏิบัติการที่มีผลต่อประโยชน์ที่ได้รับของบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์: กรณีศึกษา บริษัท ไทยแอร์โรว์ จำกัด
ขวัญแก้ว, จักรพงศ์; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2011-04-01
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3743
การบริหารการผลิตและการปฏิบัติการ ประโยชน์ที่ได้รับ ชิ้นส่วนรถยนต์
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคลของพนักงานบริษัท ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์แห่งหนึ่งในย่านบางพลี ที่มีผลต่อประโยชน์ที่ได้รับของบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างด้านปัจจัยนำเข้า และด้านการบริหารการผลิต และการปฏิบัติการกับประโยชน์ที่ได้รับของบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ จำนวน 380 คน การวิจัย ครั้งนี้ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล โดยมีค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามรวมเท่ากับ 0.916 ผลการวิจัย พบว่า ปัจจัยส่วนบุคคลของกลุ่มตัวอย่างของพนักงานที่เป็นผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 27-35 ปี ระดับการศึกษา ม.6 ปวช. หรือ ปวส. ปฏิบัติงานที่โรงงานสายไฟรถยนต์ ฝ่ายผลิต ตำแหน่งพนักงานรายเดือน ระยะเวลาการทำงานกับบริษัท 10 ปี ขึ้นไป และมีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่าหรือเท่ากับ 10,000 บาท โดยพนักงานมีความคิดเห็นในด้านปัจจัยนำเข้าโดยรวมอยู่ในระดับดี ด้านการบริหารการผลิตและการปฏิบัติการอยู่ในระดับดี และด้านประโยชน์ที่ได้รับของบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ อยู่ในระดับมาก ส่วนผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า กลุ่มตัวอย่างด้านการศึกษา ด้านโรงงานที่ปฏิบัติงาน ด้านฝ่ายที่ปฏิบัติงาน ด้านตำแหน่งงาน ด้านระยะเวลาการทำงานกับบริษัท และรายได้ต่อเดือนที่แตกต่างกันมีความคิดเห็นต่อประโยชน์ที่ได้รับของบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์แห่งนั้นแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05, 0.05, 0.05, 0.01 0.01 และ 0.05 ตามลำดับ และด้านปัจจัยนำเข้าโดยรวม มีระดับความสัมพันธ์ค่อนข้างต่ำ ทิศทางเดียวกัน และด้านการบริหารการผลิตและการปฏิบัติการโดยรวม มีระดับความสัมพันธ์ปานกลาง ทิศทางเดียวกันกับประโยชน์ที่ได้รับของบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3748
2023-11-13T12:27:57Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3748
2023-11-13T12:27:57Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 2 No. 2 (2554): ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 เมษายน – กันยายน 2554; 1-18
กลยุทธ์การปรับตัวเพื่อรองรับการเปิดการค้าเสรีในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวประเภท Outbound ในเขตกรุงเทพมหานคร
ประดิษฐบงกช, สมศักดิ์; สาขาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3748
กลยุทธ์การปรับตัว การค้าเสรี ผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยว
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ลักษณะของธุรกิจ สิ่งกระตุ้นในการทำธุรกิจระหว่างประเทศ ความคิดเห็นต่อการเปิดการค้าเสรี และแรงกดดัน 5 ประการของการแข่งขันที่มีผลกระทบต่อกลยุทธ์การปรับตัวเพื่อรองรับการเปิดการค้าเสรีในกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนของผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยวประเภท Outbound ในเขตกรุงเทพมหานคร เป็นการวิจัยเชิงประยุกต์ ใช้สถิติเชิงพรรณนาเพื่อหาค่าสถิติพื้นฐาน และสถิติอนุมานเพื่อใช้วิเคราะห์ผลกระทบต่อตัวแปรต่างๆ ขนาดของกลุ่มตัวอย่าง 181 ราย เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม ผลการวิจัยพบว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีการประกอบธุรกิจบริษัท มีจำนวนพนักงานในกิจการ 10 ถึง 19 คน และมีระยะเวลาในการประกอบการ 5 ถึง 10 ปี มากที่สุด โดยผู้ประกอบการที่ต้องเผชิญแรงกดดันด้านต้นทุนมากที่สุด คือ ผู้ประกอบธุรกิจห้างหุ้นส่วน หรือผู้ประกอบการที่มีจำนวนพนักงานในกิจการ 1 ถึง 4 คน ส่วนผู้ประกอบการที่ต้องเผชิญทั้งแรงกดดันด้านต้นทุน และแรงกดดันด้านการตอบสนองความต้องการของลูกค้า คือ ผู้ประกอบการที่มีระยะเวลาในการประกอบการน้อยกว่า 5 ปี ซึ่งมีแรงกดดันมากกว่าผู้ประกอบการที่มีระยะเวลาในการประกอบการ 5 ปีขึ้นไป ผู้ประกอบการมีสิ่งกระตุ้นในการทำธุรกิจระหว่างประเทศโดยรวม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก โดยด้านการแสวงหาลูกค้าและขยายส่วนแบ่งตลาด และด้านการแสวงหาทรัพยากรและการสร้างสินทรัพย์ เป็นปัจจัยที่สามารถพยากรณ์กลยุทธ์เพื่อรองรับการเปิดการค้าเสรี โดยมีแรงกดดันด้านต้นทุน และแรงกดดันด้านการตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งสองด้าน ผู้ประกอบการควรใช้สิ่งกระตุ้นในการทำธุรกิจระหว่างประเทศทั้งสองด้านพิจารณาประกอบการวางแผนกลยุทธ์การค้าระหว่างประเทศทั้งในด้านต้นทุน และการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ผู้ประกอบการมีความคิดเห็นต่อการเปิดการค้าเสรี ที่มีต่ออุปสรรคการค้าบริการของการค้าบริการที่เจรจาในความตกลงการค้าเสรี โครงสร้างพื้นฐานเพื่อการท่องเที่ยว ปัจจัยที่ส่งเสริมการขยายตัวของการท่องเที่ยวในปัจจุบัน และพันธมิตรธุรกิจ โดยรวม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก และกลยุทธ์เพื่อรองรับการเปิดการค้าเสรี โดยมีแรงกดดันด้านต้นทุน และแรงกดดันด้านการตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งสองด้าน มีความสัมพันธ์กับความคิดเห็นต่อการเปิดการค้าเสรีในทิศทางเดียวกัน ระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผู้ประกอบการมีแรงกดดัน 5 ประการของการแข่งขันโดยรวม มีความคิดเห็นอยู่ในระดับมาก และกลยุทธ์เพื่อรองรับการเปิดการค้าเสรี โดยมีแรงกดดันด้านต้นทุน และแรงกดดันด้านการตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งสองด้านมีความสัมพันธ์กับแรงกดดัน 5 ประการของการแข่งขันในทิศทางเดียวกัน ระดับปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ผู้ประกอบการมีกลยุทธ์การปรับตัวเพื่อรองรับการเปิดการค้าเสรีเป็น กลยุทธ์ข้ามชาติ เนื่องจากผู้ประกอบการให้ระดับความสำคัญกับแรงกดดันด้านต้นทุน และแรงกดดัน ด้านการตอบสนองความต้องการลูกค้าที่ระดับความสำคัญมาก
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3749
2023-11-13T12:27:57Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3749
2023-11-13T12:27:57Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 2 No. 2 (2554): ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 เมษายน – กันยายน 2554; 19-31
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง ยี่ห้อ อีซี่โก ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร
พูนโสภิณ, ศศิธร; สาขาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3749
อาหารแช่แข็ง พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อ คุณค่าตราสินค้า
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อศึกษาพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง ยี่ห้อ อีซี่โก ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริโภคที่เคยรับซื้อและรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งยี่ห้อ อีซี่โก และอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร รวมขนาดกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดคือ 385 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัย พบว่า ผู้บริโภค ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 26-35 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี อาชีพ นักเรียน/นิสิต/นักศึกษา และมีรายได้ต่อเดือน 10,000-19,999 บาท ผู้บริโภคมีความคิดเห็นโดยรวม ด้านผลิตภัณฑ์ประเภทข้าวต้มและอาหารมีน้ำซุป และด้านผลิตภัณฑ์ประเภทข้าวผัด/เส้นผัด อยู่ในระดับปานกลาง ด้านผลิตภัณฑ์ประเภทข้าวและกับข้าวและด้านบรรจุภัณฑ์ อยู่ในระดับมาก ผู้บริโภคมีความคิดเห็นโดยรวม ด้านส่วนประสม ทางการตลาดด้านอื่นๆ ซึ่งประกอบด้วย ด้านราคา อยู่ในระดับปานกลาง ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย อยู่ในระดับมากที่สุด และด้านส่งเสริมการตลาด อยู่ในระดับน้อย ผู้บริโภคมีรูปแบบการดำเนินชีวิต ในด้านกิจกรรมโดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง ด้านความสนใจโดยรวม และด้านความคิดเห็นโดยรวม อยู่ในระดับมาก ผู้บริโภคมีความคิดเห็นด้านคุณค่าตราสินค้า ในด้านการรู้จักชื่อตราสินค้า และคุณภาพที่รับรู้ อยู่ในระดับดี ด้านความสัมพันธ์ของตราสินค้า และความภักดีต่อตราสินค้า อยู่ในระดับปานกลาง ผู้บริโภคส่วนใหญ่ มีความถี่ในการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง อีซี่โก 4 ครั้งต่อเดือน มีปริมาณการซื้อ 2 กล่องต่อครั้ง มีค่าใช้จ่ายในการซื้อ เฉลี่ยประมาณ 79.52 บาทต่อครั้ง โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่ซื้ออาหารประเภทข้าวและกับข้าว วัตถุประสงค์ในการซื้อของผู้บริโภคส่วนใหญ่ คือเพื่อรับประทานเป็นอาหารค่ำ โดยช่วงเวลาที่ซื้อ คือ ช่วงเย็น/ค่ำ (18.01-21.00) และบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็ง อีซี่โก มากที่สุด คือ ตัวเอง ผู้บริโภคมีแนวโน้มพฤติกรรมการซื้อซ้ำในอนาคตโดยรวม อยู่ในระดับ ไม่แน่ใจว่าจะซื้อ ผู้บริโภคที่มี อายุ แตกต่างกัน มีผลต่อพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งยี่ห้อ อีซี่โก ในด้านปริมาณการซื้อผลิตภัณฑ์ต่อครั้งและด้านค่าใช้จ่ายในการซื้อต่อครั้ง แตกต่างกัน รูปแบบการดำเนินชีวิตด้านกิจกรรมและด้านความคิดเห็น มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหาร แช่แข็งยี่ห้ออีซี่โก ในด้านความถี่ในการบริโภคต่อเดือน โดยมีความสัมพันธ์กันในระดับต่ำ ในทิศทางเดียวกัน รูปแบบการดำเนินชีวิต ด้านกิจกรรม มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งยี่ห้อ อีซี่โก ในด้านปริมาณการซื้อผลิตภัณฑ์ต่อครั้งและด้านค่าใช้จ่ายใน การซื้อต่อครั้ง โดยมีความสัมพันธ์กันในระดับต่ำ ในทิศทางเดียวกัน คุณค่าตราสินค้า ด้านการรู้จักชื่อตราสินค้ามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งยี่ห้อ อีซี่โก ในด้านค่าใช้จ่ายในการซื้อต่อครั้ง โดยมีความสัมพันธ์กันในระดับต่ำ ในทิศทางตรงข้ามกัน คุณค่าตราสินค้า ด้านคุณภาพที่รับรู้ ด้านความสัมพันธ์ของตราสินค้า และ ด้านความภักดีต่อตราสินค้ามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งยี่ห้อ อีซี่โก ในด้านความถี่ในการบริโภคต่อเดือน โดยมีความสัมพันธ์กันในระดับต่ำ ในทิศทางเดียวกัน พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์อาหารแช่แข็งยี่ห้อ อีซี่โก ในด้านความถี่ในการบริโภคต่อเดือน มีความสัมพันธ์กับ แนวโน้มการซื้อผลิตภัณฑ์ ของผู้บริโภคในร้านสะดวกซื้อ โดยมีความสัมพันธ์กันในระดับต่ำ ในทิศทางเดียวกัน
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3750
2023-11-13T12:27:57Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3750
2023-11-13T12:27:57Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 2 No. 2 (2554): ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 เมษายน – กันยายน 2554; 32-46
ปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงสมองและความจำของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร
พรหมสวาสดิ์, ฐิตาภา; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3750
ปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาด ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงสมองและความจำ
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาลักษณะทางประชากรศาสตร์และปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงสมองและความจำของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ คือผู้บริโภคที่เคยซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงสมองและความจำ จำนวน 420 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าที การวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนทางเดียวเปรียบเทียบรายคู่ด้วยวิธีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญในระดับน้อยที่สุด การวิเคราะห์เชิงถดถอยแบบพหุคูณ และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง อายุต่ำกว่าหรือเท่ากับ 30 ปี มีสถานภาพโสด หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ระดับการศึกษาต่ำกว่าหรือเท่ากับปริญญาตรี อาชีพพนักงานบริษัทเอกชนและมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนน้อยกว่าหรือเท่ากับ 20,000 บาท กลุ่มตัวอย่างมีความคิดเห็นต่อปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดโดยรวมอยู่ในระดับสำคัญมากที่สุด พฤติกรรมการซื้อของกลุ่มตัวอย่างมีดังนี้คือ ความถี่ในการซื้อผลิตภัณฑ์ประมาณ 3 ครั้ง ต่อ 6เดือน ปริมาณการซื้อผลิตภัณฑ์ประมาณ 2 ชิ้นต่อครั้ง โดยมีค่าใช้จ่ายในการซื้อผลิตภัณฑ์ประมาณ 1,290 บาท/ ครั้ง ผลการวิจัยพบว่าลักษณะทางประชากรศาสตร์ด้านอายุ และปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงสมองและความจำด้านความถี่ในการซื้อ นอกจากนั้นลักษณะทางประชากรศาสตร์ด้านอาชีพ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดด้านช่องทางการจัดจำหน่ายและด้านส่งเสริมการตลาดมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบำรุงสมองและความจำด้านค่าใช้จ่ายในการซื้อ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3751
2023-11-13T12:27:57Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3751
2023-11-13T12:27:57Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 2 No. 2 (2554): ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 เมษายน – กันยายน 2554; 47-63
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความภักดีต่อตราสินค้าผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหน้าโอเลย์ของผู้บริโภคเพศหญิงในเขตกรุงเทพมหานคร
บูรณะทองเจริญ, มนวดี; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3751
ความเกี่ยวพันของผู้บริโภค ความภักดีต่อตราสินค้า การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ ทัศนคติที่มีต่อผลิตภัณฑ์
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อความภักดีต่อตราสินค้าต่อผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหน้าโอเลย์ของผู้บริโภคเพศหญิงในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งได้แก่ ปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์ ปัจจัยทางด้านทัศนคติที่มีต่อผลิตภัณฑ์ การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการและความเกี่ยวพันของผู้บริโภค โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริโภคที่ใช้หรือเคยใช้ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหน้าโอเลย์ จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน คือ การวิเคราะห์ความแตกต่างโดยการหาค่าที และความแปรปรวนทางเดียว การเปรียบเทียบความแตกต่างเป็นรายคู่ โดยวิธีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญน้อยที่สุด และการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรใช้สถิติสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า ทัศนคติของผู้บริโภคด้านผลิตภัณฑ์ในด้านความคิดเห็นและด้านความรู้สึก มีความสัมพันธ์กับความภักดีต่อตราสินค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหน้าโอเลย์ ของผู้บริโภคเพศหญิงในเขตกรุงเทพมหานคร ในระดับต่ำและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ ด้านปริมาณการซื้อสินค้าในช่วงที่มีการส่งเสริมการขาย ด้านความรู้ของผู้บริโภคเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหน้ายี่ห้อโอเลย์ก่อนซื้อ ด้านการส่งเสริมการขาย แตกต่างกัน มีความภักดีต่อตราสินค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหน้าโอเลย์ ของผู้บริโภคเพศหญิงในเขตกรุงเทพมหานคร แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ความเกี่ยวพันของผู้บริโภคในด้านสาเหตุที่เริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหน้าด้านเหตุผลที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหน้าโอเลย์ แตกต่างกัน มีความภักดีต่อผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหน้าโอเลย์ของผู้บริโภคเพศหญิงในเขตกรุงเทพมหานคร แตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ทัศนคติที่มีต่อส่วนประสมทางการตลาด ในด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด มีความสัมพันธ์กับความภักดีต่อตราสินค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงผิวหน้าโอเลย์ของผู้บริโภคเพศหญิงในเขตกรุงเทพมหานคร ในระดับปานกลางและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ความภักดีต่อตราสินค้า ในด้านความพึงพอใจ ด้านความชอบ และด้านความผูกพันมีความสัมพันธ์กับแนวโน้มพฤติกรรมการซื้อในอนาคตของผู้บริโภคเพศหญิงในเขตกรุงเทพมหานคร ในระดับปานกลางและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3752
2023-11-13T12:27:57Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3752
2023-11-13T12:27:57Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 2 No. 2 (2554): ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 เมษายน – กันยายน 2554; 64-76
ความรู้ความเข้าใจ แรงจูงใจ และทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาด ที่มีผลต่อแนวโน้มพฤติกรรมการเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ของผู้ขับขี่รถยนต์ในกรุงเทพมหานคร
ภักดีศรีศักดา, ภิรมนวล; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3752
ความรู้ความเข้าใจ แรงจูงใจด้านเหตุผล แรงจูงใจด้านอารมณ์ ส่วนประสมทางการตลาด น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85
en_US
การวิจัยนี้มุ่งเน้นศึกษาแนวโน้มพฤติกรรมการเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ของผู้ขับขี่รถยนต์ในกรุงเทพมหานคร โดยพิจารณาจากความรู้ความเข้าใจ แรงจูงใจและทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่อการเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 โดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 ตัวอย่างในเขตกรุงเทพมหานคร สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติสำหรับสังคมศาสตร์ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยพบว่าอายุ สถานภาพสมรส อาชีพและรายได้เฉลี่ยต่อเดือนมีผลต่อ การตัดสินใจเลือกใช้น้ำมัน E85 ในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยกลุ่มประชากรที่มีพฤติกรรมการเติมน้ำมันที่มีความถี่สูงและมีการใช้น้ำมันประเภทอื่นร่วมด้วยจะมีพฤติกรรมการแนะนำบอกต่อผู้อื่นใช้น้ำมัน E85 มากกว่า ซึ่งทัศนคติเชิงบวกเกี่ยวกับตัวผลิตภัณฑ์มีผลต่อการตัดสินใจใช้น้ำมันอย่างมากโดยให้ความสำคัญกับเหตุผลและความมั่นใจในการใช้มากกว่าแรงจูงใจทางอารมณ์ และการทำกิจกรรมทางการตลาดมีผลต่อการตัดสินใจใช้น้ำมัน และโปรโมชั่นด้านราคากับการประชาสัมพันธ์ทางการตลาดมีผลต่อการบอกต่อให้ผู้อื่นใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ในอนาคต
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3753
2023-11-13T12:27:57Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3753
2023-11-13T12:27:57Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 2 No. 2 (2554): ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 เมษายน – กันยายน 2554; 77-97
อิทธิพลของการโฆษณาของแชมพูแพนทีนที่ส่งผลต่อความสนใจและพฤติกรรมของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร
น่วมอินทร์, รชต; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3753
การโฆษณา ความสนใจ พฤติกรรมผู้บริโภค
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อศึกษาอิทธิพลของการโฆษณาแชมพูแพนทีนที่ส่งผลต่อความสนใจและพฤติกรรมของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนที่มีปัจจัยเดียว และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงซ้อน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปสถิติทางสังคมศาสตร์ ผลการวิจัยพบว่า ผู้บริโภคที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุต่ำกว่าหรือเท่ากับ 25 ปี สถานภาพโสด/ หม้าย/ หย่าร้าง/ แยกกันอยู่ ระดับการศึกษาสูงสุดระดับปริญญาตรีขึ้นไป อาชีพพนักงานธุรกิจเอกชน และรายได้ต่อเดือนต่ำกว่าหรือเท่ากับ 10,000 บาท ผู้บริโภคมีความคิดเห็นต่อความเหมาะสมของผู้โฆษณา การรับรู้ถึงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค และการรับรู้ถึงสถานภาพต่อสังคม ของแชมพูแพนทีนโดยรวม อยู่ในระดับดี ส่วนความคิดเห็นต่อความสำคัญต่อผู้บริโภค ความสนใจต่อโฆษณา และความสนใจต่อตราสินค้า ของแชมพูแพนทีนโดยรวม อยู่ในระดับมาก และความคิดเห็นต่อศักยภาพการบอกต่อโดยรวม อยู่ในระดับ ปานกลาง แหล่งบอกต่อที่มีอิทธิพลมากที่สุดคือ เพื่อน และเหตุผลที่มีอิทธิพลมากที่สุด คือ ประสบการณ์ตรง และผู้บริโภคซื้อสินค้าที่ห้างสรรพสินค้า ไฮเปอร์มาร์เกต เช่น โลตัส บิ๊กซี บ่อยที่สุด ผู้บริโภคที่เคยเห็นโฆษณา ด้านความเหมาะสมของผู้โฆษณาแชมพูแพนทีน ด้านการรับรู้ถึงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคของแชมพูแพนทีน ด้านการรับรู้ถึงสถานภาพต่อสังคมของแชมพูแพนทีน และด้านความสำคัญต่อผู้บริโภค เป็นตัวแปรที่มีอิทธิพลต่อความสนใจต่อโฆษณาของแชมพูแพนทีน ร้อยละ 70.6
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3754
2023-11-13T12:27:57Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3754
2023-11-13T12:27:57Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 2 No. 2 (2554): ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 เมษายน – กันยายน 2554; 98-117
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่มีผลต่อความผูกพันในองค์กรของพนักงานสาขาธนาคารออมสินในเขตกรุงเทพมหานคร
ห้องแซง, ปิยาพร; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3754
การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ความผูกพันในองค์กร
en_US
การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ และความผูกพันในองค์กรของพนักงานสาขาธนาคารออมสิน ในเขตกรุงเทพมหานคร โดยจำแนกตามลักษณะส่วนบุคคล รวมทั้งศึกษาการบริหารทรัพยากรมนุษย์และวัฒนธรรมองค์กรสามารถทำนายความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน แรงจูงใจในการทำงานมีความสัมพันธ์กับความผูกพันต่อองค์กรของพนักงาน และความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานมีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในการทำงานของพนักงานสาขาออมสิน ในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ พนักงานสาขาธนาคารออมสิน ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 310 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า พนักงานส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 22 – 30 ปี มีสถานภาพโสด ระดับการศึกษาอยู่ในระดับต่ำกว่าหรือเทียบเท่าปริญญาตรี มีระดับตำแหน่งงานเป็นพนักงานระดับปฏิบัติการ ระยะเวลาในการปฏิบัติงานต่ำกว่า 1 – 10 ปี ส่วนใหญ่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนตั้งแต่ 10,001 - 20,000 บาท และผู้วิจัยใช้สถิติสมการถดถอยเชิงพหุ ทดสอบตัวแปรที่สามารถทำนายความผูกพันต่อองค์กร ได้แก่ ด้านจิตใจ ด้านการคงอยู่ ด้านบรรทัดฐาน ของพนักงานสาขาธนาคารออมสิน ในเขตกรุงเทพมหานคร ผลที่ได้พบว่า การบริหารทรัพยากรมนุษย์ด้านการสรรหา ด้านค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์ และวัฒนธรรมองค์กรด้านระดับของความมั่นคง สามารถร่วมกันทำนายด้านจิตใจได้ การบริหารทรัพยากรมนุษย์ด้านค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์ สามารถทำนายด้านการคงอยู่ได้ และการบริหารทรัพยากรมนุษย์ด้านการสรรหา ด้านการคัดเลือก และด้านค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์ สามารถร่วมกันทำนายด้านบรรทัดฐานได้ พบว่าแรงจูงใจในการทำงานมีความสัมพันธ์กับความผูกพันต่อองค์กร และความผูกพันต่อองค์กรของพนักงานมีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในการทำงานของพนักงานสาขาธนาคารออมสิน ในเขตกรุงเทพมหานคร
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3755
2023-11-13T12:27:57Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3755
2023-11-13T12:27:57Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 2 No. 2 (2554): ปีที่ 2 ฉบับที่ 2 เมษายน – กันยายน 2554; 118-132
ภาวะผู้นำและรูปแบบบรรยากาศองค์กร ที่ส่งผลกระทบต่อลักษณะวัฒนธรรมองค์กรขององค์กร ในเขตกรุงเทพมหานคร
ชื่นพินิจสกุล, วรวรรณ; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3755
ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง รูปแบบบรรยากาศองค์กร ลักษณะวัฒนธรรมองค์กร
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาถึงลักษณะประชากรศาสตร์ของบุคลากรภายในองค์กร ในเขตกรุงเทพมหานคร ภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงในด้านพฤติกรรม อันได้แก่ การมีอิทธิพลอย่างมีอุดมการณ์ การสร้างแรงบันดาลใจ การกระตุ้นทางปัญญา และการคำนึงถึงความเป็นปัจเจกบุคคล รูปแบบบรรยากาศองค์กร อันได้แก่ บรรยากาศที่เน้นการใช้อำนาจ บรรยากาศที่เน้นความเป็นกันเองบรรยากาศที่เน้นความสำเร็จในการทำงาน และบรรยากาศที่เน้นความสำคัญต่อผู้ปฏิบัติงาน และยังศึกษาปัจจัยด้านภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลงและรูปแบบบรรยากาศองค์กรที่ส่งผลกระทบต่อลักษณะวัฒนธรรมองค์กร โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ บุคลากรที่ปฏิบัติงานในองค์กรทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน โดยใช้วิธีการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบง่าย การเลือกกลุ่มตัวอย่างตามโควตา และการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบอาศัยความสะดวก โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานการวิเคราะห์ความแตกต่างใช้การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียวการเปรียบเทียบเฉลี่ยรายคู่โดยใช้วิธี Fisher’s Least Significant Difference (LSD) วิเคราะห์ผลต่างค่าเฉลี่ยรายคู่ Dunnett T3 และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงพหุ ผลการวิจัยพบว่าจำนวนบุคลากรภายในองค์กรทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน ในเขตกรุงเทพมหานครที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 21 - 30 ปี สถานภาพสมรส/อยู่ด้วยกัน ระดับการศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี มีระยะเวลาในการทำงาน 4-6 ปี และมีตำแหน่งงานเป็นเจ้าหน้าที่/พนักงาน โดยสามารถสรุปการวิจัยได้ดังนี้ บุคลากรที่มีเพศ สถานภาพสมรส และระยะเวลาในการทำงานแตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อลักษณะวัฒนธรรมองค์กรแตกต่างกัน ส่วนบุคลากรที่มีอายุ ระดับการศึกษา และตำแหน่งงาน แตกต่างกัน มีความคิดเห็นต่อลักษณะวัฒนธรรมองค์กรไม่แตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญ 0.05 ปัจจัยด้านภาวะผู้นำการเปลี่ยนแปลง ได้แก่ การสร้างแรงบันดาลใจและการกระตุ้นทางปัญญาและปัจจัยด้านรูปแบบบรรยากาศองค์กร ได้แก่ บรรยากาศที่เน้นความเป็นกันเอง บรรยากาศที่เน้นความสำเร็จในการทำงานและบรรยากาศที่มีความสำคัญต่อผู้ปฏิบัติงาน มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นต่อลักษณะวัฒนธรรมองค์กรของบุคลากรภายในองค์กรทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน ในเขตกรุงเทพมหานคร
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3759
2023-11-13T12:29:31Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3759
2023-11-13T12:29:31Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 3 No. 1 (2554): ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2554 – มีนาคม 2555; 1-17
อิทธิพลของกลไกการกำกับดูแลกิจการต่อประสิทธิผลของการกำกับดูแลกิจการและมูลค่าของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ชูสนุก, ฉวีวรรณ; นักวิจัยอิสระ
ชูสนุก, อัมพล; คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3759
กลไกการกำกับดูแลกิจการ ประสิทธิผลของการกำกับดูแลกิจการ มูลค่าของบริษัท
en_US
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและตรวจสอบความสอดคล้องของโมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุอิทธิพลของกลไกการกำกับดูแลกิจการต่อประสิทธิผลของการกำกับดูแลกิจการ และมูลค่าของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ประกอบด้วยตัวแปรอิสระคือ กลไกการกำกับดูแลกิจการ ได้แก่ ขนาดของคณะกรรมการ องค์ประกอบของกรรมการที่ไม่ได้เป็นผู้บริหาร ทักษะความรู้ของกรรมการ การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ ค่าตอบแทนกรรมการและฝ่ายบริหาร ความเป็นเจ้าของของกรรมการและฝ่ายบริหารและโครงสร้างของเงินทุน ตัวแปรคั่นกลางคือ ประสิทธิผลของการกำกับดูแลกิจการ และตัวแปรตามคือ มูลค่าของบริษัท ผู้วิจัยดำเนินการวิจัยโดยใช้การวิจัยแบบผสมผสานรูปแบบการวิจัยเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพไปพร้อมกัน โดยใช้การวิจัยเชิงปริมาณเป็นหลัก การวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการสัมภาษณ์เจาะลึกผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้องกับ การกำกับดูแลกิจการ รวมถึงการสัมภาษณ์ทิศทางอิทธิพลของกลไกการกำกับดูแลกิจการที่ส่งผลต่อประสิทธิผลของการกำกับดูแลกิจการ และมูลค่าของบริษัทเพื่อประกอบการอภิปรายผลการวิจัย สำหรับการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบตรวจสอบรายการเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยไม่รวมถึง รัฐวิสาหกิจ และธุรกิจการเงิน จำนวน 210 บริษัท สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การแจกแจงความถี่ การหาค่าเฉลี่ย การหาค่าร้อยละ และใช้การวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างแบบ Multiple Indicators and Multiple Causes (MIMIC) Model ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิจัยแสดงว่า โมเดลความสัมพันธ์เชิงสาเหตุอิทธิพลของกลไกการกำกับดูแลกิจการต่อประสิทธิผลของการกำกับดูแลกิจการ และมูลค่าของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์อยู่ในเกณฑ์ดี ค่าไค-สแควร์ เท่ากับ 21.811 ที่องศาอิสระ (df) เท่ากับ 33 ค่าความน่าจะเป็น (p-value) เท่ากับ 0.932 ไค-สแควร์สัมพัทธ์ (c2/df) เท่ากับ 0.661 ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืน (GFI) เท่ากับ 0.984 ค่าดัชนีวัดระดับความกลมกลืนที่ปรับแก้ (AGFI) เท่ากับ 0.956 ค่าดัชนีวัดระดับความสอดคล้องเปรียบเทียบ (CFI) เท่ากับ 1.000 และค่าดัชนีค่าความคลาดเคลื่อนในการประมาณค่าพารามิเตอร์ (RMSEA) เท่ากับ 0.000 นอกจากนี้ผลการวิจัยยังพบว่า (1) ทักษะความรู้ของกรรมการมีอิทธิพลทางบวกต่อประสิทธิผลของการกำกับดูแลกิจการ (2) ค่าตอบแทนของกรรมการและฝ่ายบริหารมีอิทธิพลทางบวกต่อประสิทธิผลของการกำกับดูแลกิจการ (3) ค่าตอบแทนของกรรมการและฝ่ายบริหารมีอิทธิพลทางบวกต่อมูลค่าของบริษัท และ (4) ประสิทธิผลของการกำกับดูแลกิจการมีอิทธิพลทางบวกต่อมูลค่าของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3760
2023-11-13T12:29:31Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3760
2023-11-13T12:29:31Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 3 No. 1 (2554): ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2554 – มีนาคม 2555; 18-31
กลยุทธ์ทางการตลาด และความพึงพอใจ ที่มีต่อพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์ไคโตซานในภาคการเกษตร
บุญจันทร์, พิชญาภัค; สาขาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (สำหรับผู้บริหาร) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3760
ไคโตซาน ภาคเกษตร พฤติกรรมการซื้อไคโตซานในภาคเกษตร
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษากลยุทธ์ทางการตลาด และความพึงพอใจที่มีต่อพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์ไคโตซานในภาคการเกษตร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือเกษตรกรที่มีพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์ไคโตซานในภาคเกษตร จำนวน 400 คนโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ลักษณะส่วนบุคคลของเกษตรกรส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 40 – 51 ปี สถานภาพ สมรส ระดับการศึกษาสูงสุดอยู่มัธยมศึกษาตอนต้น มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 6,000 – 10,999 บาท และมีภูมิลำเนาอยู่ในภาคเหนือ เกษตรกรมีการใช้ผลิตภัณฑ์ไคโตซานมาแล้ว 1 ปี มีการซื้อผลิตภัณฑ์ไคโตซานประมาณ 2 ครั้งต่อปี และมีมูลค่าในการซื้อผลิตภัณฑ์ไคโตซานเฉลี่ยครั้งละ 1,000 บาท เกษตรกรส่วนใหญ่มีการซื้อผลิตภัณฑ์ไคโตซานจากจุดบริการ เป็นการใช้ไคโตซานพืช โดยส่วนใหญ่จะตัดสินใจซื้อด้วยตนเอง เกษตรกรมีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ไคโตซานโดยรวมอยู่ในระดับดีมาก มีระดับความคิดเห็นด้านราคาของผลิตภัณฑ์ไคโตซานอยู่ในระดับดี มีระดับความคิดเห็นด้านช่องทางการจัดจำหน่ายของผลิตภัณฑ์ไคโตซานอยู่ในระดับดี มีระดับความคิดเห็นด้านการส่งเสริมการตลาดอยู่ในระดับดี และมีระดับความพึงพอใจอยู่ในระดับที่ดีมาก ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า เกษตรกรที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนแตกต่างกัน มีพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์ไคโตซานในภาคการเกษตรแตกต่างกัน ในด้านระยะเวลาในการใช้ผลิตภัณฑ์ไคโตซาน และด้านมูลค่าการซื้อผลิตภัณฑ์ไคโตซาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 เกษตรกรที่มีภูมิลำเนาแตกต่างกัน มีพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์ไคโตซานในภาคการเกษตรแตกต่างกัน ในด้านมูลค่าการซื้อผลิตภัณฑ์ไคโตซาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 กลยุทธ์ทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์ไคโตซาน และด้านราคาของผลิตภัณฑ์ไคโตซาน มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์ในภาคการเกษตร ด้านความถี่ต่อปีในการซื้อผลิตภัณฑ์ไคโตซาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยมีความสัมพันธ์กันในระดับต่ำและมีความสัมพันธ์เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ความพึงพอใจโดยรวมมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์ไคโตซานในภาคการเกษตร ด้านมูลค่าการซื้อผลิตภัณฑ์ไคโตซาน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 โดยมีความสัมพันธ์กันในระดับต่ำ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3761
2023-11-13T12:29:31Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3761
2023-11-13T12:29:31Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 3 No. 1 (2554): ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2554 – มีนาคม 2555; 32-45
ส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการลงทุนกองทุนรวม ภายใต้การบริหารของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด
ตรีทิพยโชค, วิภาพร; สาขาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (สำหรับผู้บริหาร) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3761
กองทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไทยพาณิชย์ จำกัด
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการลงทุนของผู้ลงทุนกองทุนรวมภายใต้การบริหารของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า ผู้ลงทุนส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 28 – 37 ปี มีสถานภาพโสด ระดับการศึกษาปริญญาตรี ประกอบอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 26,450-36,449 บาท มีความคิดเห็นเกี่ยวกับส่วนประสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการลงทุนกองทุนรวมภายใต้การบริหารของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไทยพาณิชย์ จำกัด เมื่อพิจารณารายข้อ ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านช่องทางการจำหน่าย ด้านบุคลากร ด้านกระบวนการอยู่ระดับดีมาก และ ด้านราคา ด้านส่งเสริมการตลาด ด้านลักษณะทางกายภาพอยู่ในระดับดี และส่วนประสมทางการตลาดบริการ ประกอบด้วย ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านบุคลากร ด้านลักษณะทางกายภาพ ด้านกระบวนการมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการลงทุนกองทุนรวมภายใต้การบริหารของบริษัทหลักทรัพย์ จัดการกองทุนไทยพาณิชย์ จำกัด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01มีความสัมพันธ์เป็นไปในทิศทางเดียวกันในระดับค่อนข้างต่ำ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3762
2023-11-13T12:29:31Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3762
2023-11-13T12:29:31Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 3 No. 1 (2554): ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2554 – มีนาคม 2555; 46-60
ทัศนคติและความพึงพอใจที่มีต่อพฤติกรรมการสะสมแสตมป์เซเว่น เพื่อแลกสินค้าพรีเมี่ยมของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร
เลิศศิริศรีสกุล, อกนิษฐ์; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริการธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3762
ทัศนคติ ความพึงพอใจ พฤติกรรมการสะสมแสตมป์เซเว่น สินค้าพรีเมี่ยม
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อเปรียบเทียบปัจจัยด้านลักษณะประชากรศาสตร์กับพฤติกรรม การสะสมแสตมป์เซเว่นเพื่อแลกสินค้าพรีเมี่ยมของผู้บริโภค และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างทัศนคติของผู้บริโภค ที่มีต่อสินค้าพรีเมี่ยมจากรายการส่งเสริมการขาย รวมทั้งความพึงพอใจต่อการแลกแสตมป์เซเว่นกับพฤติกรรมการสะสมแสตมป์เซเว่นเพื่อแลกสินค้าพรีเมี่ยมของผู้บริโภค ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า ผู้บริโภคที่มีอายุ สถานภาพการสมรส รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และอาชีพแตกต่างกัน มีพฤติกรรมการสะสมแสตมป์เซเว่นเพื่อแลกสินค้าพรีเมี่ยมในด้านค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยแตกต่างกัน ส่วนผู้บริโภคที่มีเพศแตกต่างกัน มีพฤติกรรมในด้านจำนวนครั้งผู้บริโภคเข้าร่วมรายการส่งเสริมการขายแตกต่างกัน ทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าพรีเมี่ยมจากรายการส่งเสริมการขายมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการสะสมแสตมป์เซเว่นเพื่อแลกสินค้าพรีเมี่ยมในด้านค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยและด้านจำนวนแสตมป์ที่ได้รับโดยเฉลี่ยของผู้บริโภคในทิศทางเดียวกันในระดับต่ำมาก และมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมในด้านจำนวนครั้งที่ผู้บริโภคเข้าร่วมรายการส่งเสริมการขายในทิศทางเดียวกันในระดับต่ำ ความพึงพอใจของผู้บริโภคที่มีต่อการแลกแสตมป์เซเว่นมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการสะสมแสตมป์เซเว่นเพื่อแลกสินค้าพรีเมี่ยมในด้านค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยของผู้บริโภคในทิศทางเดียวกันในระดับต่ำมาก และมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมในด้านจำนวนแสตมป์ที่ได้รับโดยเฉลี่ยของผู้บริโภคและด้านจำนวนครั้งที่ผู้บริโภคเข้าร่วมรายการส่งเสริมการขายในทิศทางเดียวกันในระดับต่ำ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3763
2023-11-13T12:29:31Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3763
2023-11-13T12:29:31Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 3 No. 1 (2554): ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2554 – มีนาคม 2555; 61-77
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการทำงานของพนักงานประจำสำนักงาน โรงงานประกอบแผงวงจรอิเลคโทรนิคส์แห่งหนึ่ง จังหวัดปทุมธานี
จุมพลพิทักษ์, พัชรนันท์; สาขาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (สำหรับผู้บริหาร) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3763
ความสัมพันธ์ ปัจจัยจูงใจ ปัจจัยธำรงรักษา พฤติกรรมการทำงาน
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการทำงานของพนักงานประจำสำนักงานโรงงานประกอบแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ แห่งหนึ่ง จังหวัดปทุมธานี กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานประจำสำนักงานรายเดือนของโรงงานประกอบแผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์แห่งหนึ่ง ในจังหวัดปทุมธานี รวมทั้งสิ้น 214 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน ประกอบด้วย การวิเคราะห์ความแตกต่างใช้การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การวิเคราะห์เปรียบเทียบเชิงซ้อนโดยใช้วิธีการทดสอบแบบการวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นรายคู่ โดยใช้วิธีความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญน้อยที่สุด และการทดสอบความสัมพันธ์โดยการหาค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะข้อมูลส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และระยะเวลาในการทำงาน พบว่า พนักงานเพศหญิง อายุ 30-35 ปี สถานภาพโสด การศึกษาอยู่ในระดับปริญญาตรี มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 14,000 – 21,999 บาท และมีระยะเวลาในการทำงาน 1-4 ปี ข้อมูลปัจจัยจูงใจโดยรวม พบว่าพนักงานมีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับแรงจูงใจในด้านความรับผิดชอบในงาน ด้านความก้าวหน้าในอาชีพ ด้านความสำเร็จในงาน ด้านความเจริญเติบโตขององค์กร และด้านการยอมรับนับถือ อยู่ในระดับมาก ข้อมูลปัจจัยธำรงรักษาโดยรวม พบว่าพนักงานมีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับแรงจูงใจอยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในองค์กร มีแรงจูงใจอยู่ในระดับมาก และด้านสถานภาพในการทำงาน ด้านวิธีการบังคับบัญชาและการควบคุมดูแล ด้านค่าจ้าง และผลตอบแทน ด้านนโยบายและการบริหารในองค์กร มีแรงจูงใจอยู่ในระดับปานกลาง และข้อมูลพฤติกรรมการทำงานโดยรวมของพนักงาน พบว่า พนักงานมีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมการทำงานโดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง โดยด้านการเพิ่มผลผลิต และด้านความสม่ำเสมอในการทำงาน มีพฤติกรรมการทำงานอยู่ระดับดี ด้านความพึงพอใจในการทำงานมีพฤติกรรมการทำงานอยู่ในระดับปานกลาง ส่วนด้านการไม่ลาออกจากงานมีพฤติกรรมอยู่ในระดับไม่ดี
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3764
2023-11-13T12:29:31Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3764
2023-11-13T12:29:31Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 3 No. 1 (2554): ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2554 – มีนาคม 2555; 78-95
การบริหารงานลูกค้าสัมพันธ์บนสื่อสังคมออนไลน์ของกาแฟสตาร์บัคส์ที่มีความสัมพันธ์กับความสัมพันธ์อันดีและความภักดีต่อตราสินค้าของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร
เรืองสิงห์, สมาธิ; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3764
สื่อสังคมออนไลน์ การบริหารงานลูกค้าสัมพันธ์ ความภักดีต่อตราสินค้า
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารงานลูกค้าสัมพันธ์บนสื่อสังคมออนไลน์ของกาแฟสตาร์บัคส์กับความสัมพันธ์อันดีระหว่างกาแฟสตาร์บัคส์และลูกค้าสตาร์บัคส์ และความภักดีต่อตราสินค้าสตาร์บัคส์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้มีจำนวน 385 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัย พบว่าลูกค้าสตาร์บัคส์ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 20-29 ปี มีระดับการศึกษาสูงสุดระดับปริญญาตรี มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน/ ข้าราชการ/ รัฐวิสาหกิจ มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่าหรือเท่ากับ 15,000 บาท และมีการใช้เว็บไซต์www.facebook.com/ Starbucks Thailand มากที่สุด ลูกค้าสตาร์บัคส์ส่วนใหญ่มีความคิดเห็นต่อการบริหารงานลูกค้าสัมพันธ์บนสื่อสังคมออนไลน์ของกาแฟสตาร์บัคส์โดยรวมอยู่ในระดับดี เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่าลูกค้าสตาร์บัคส์มีความคิดเห็นด้านการรับข้อมูลป้อนกลับ ด้านการให้บริการแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ด้านมาตรฐานการให้บริการความจริงใจและความโปร่งใส และด้านโปรแกรมการสร้างลูกค้าที่ซื่อสัตย์อยู่ในระดับดี ส่วนในด้านความสม่ำเสมอในการดูแลและเอาใจใส่ลูกค้า และด้านความเอาใจใส่ในข้อมูลรายละเอียดของลูกค้าอยู่ในระดับปานกลาง ลูกค้าสตาร์บัคส์ส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกาแฟสตาร์บัคส์และลูกค้าสตาร์บัคส์โดยรวมอยู่ในระดับดี ลูกค้าสตาร์บัคส์ส่วนใหญ่มีความภักดีต่อตราสินค้าสตาร์บัคส์โดยรวมอยู่ในระดับมาก ลูกค้าสตาร์บัคส์ที่มีอายุแตกต่างกันมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกาแฟสตาร์บัคส์และลูกค้าสตาร์บัคส์แตกต่างกัน และลูกค้าสตาร์บัคส์ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนแตกต่างกันมีความสัมพันธ์อันดีระหว่างกาแฟสตาร์บัคส์และลูกค้าสตาร์บัคส์แตกต่างกัน การบริหารงานลูกค้าสัมพันธ์ (CRM) บนสื่อสังคมออนไลน์ของกาแฟสตาร์บัคส์โดยรวมมีความสัมพันธ์กับความสัมพันธ์อันดีระหว่างกาแฟสตาร์บัคส์และลูกค้า สตาร์บัคส์ในทิศทางเดียวกัน เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านแล้วพบว่า ด้านการรับฟังเสียงของลูกค้าสตาร์บัคส์ด้านการรับข้อมูลป้อนกลับ ด้านมาตรฐานการให้บริการ ความจริงใจและความโปร่งใส และด้านโปรแกรมการสร้างลูกค้าที่ซื่อสัตย์มีความสัมพันธ์กับความสัมพันธ์อันดีระหว่างกาแฟสตาร์บัคส์และลูกค้าสตาร์บัคส์ในทิศทางเดียวกัน ส่วนด้านการให้บริการแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ด้านความสม่ำเสมอในการดูแลเอาใจใส่ลูกค้า และด้านความเอาใจใส่ในข้อมูลรายละเอียดของลูกค้ามีความสัมพันธ์กับความสัมพันธ์อันดีระหว่างกาแฟสตาร์บัคส์และผู้บริโภคในทิศทางเดียวกัน และความสัมพันธ์อันดีระหว่างกาแฟสตาร์บัคส์และลูกค้าสตาร์บัคส์มีความสัมพันธ์กับความภักดีต่อตราสินค้าของลูกค้าสตาร์บัคส์ในทิศทางเดียวกัน
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3765
2023-11-13T12:29:31Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3765
2023-11-13T12:29:31Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 3 No. 1 (2554): ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2554 – มีนาคม 2555; 96-115
การสื่อสารการตลาดแบบครบวงจร (IMC) ที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้บริการคลินิก ความงามและผิวพรรณ “วุฒิ-ศักดิ์ คลินิก” ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร
พิชิตชาตรี, ศิริวรรณ; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3765
การสื่อสารการตลาดแบบครบวงจร พฤติกรรมการใช้บริการ คลินิกความงามและผิวพรรณ
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาการสื่อสารการตลาดแบบครบวงจร ที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้บริการคลินิกความงามและผิวพรรณ “วุฒิ-ศักดิ์ คลินิก” ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งตัวแปรอิสระประกอบไปด้วย 2 ตัวแปร ได้แก่ ตัวแปรด้านลักษณะส่วนบุคคลของผู้บริโภค คือ เพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษาสูงสุด อาชีพ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และตัวแปรด้านการสื่อสารการตลาดครบวงจร คือ การโฆษณา การส่งเสริมการขาย การขายโดยพนักงาน การประชาสัมพันธ์ การตลาดทางตรง และการตลาดเชิงกิจกรรม ซึ่งตัวแปรตาม 1 ตัวแปร คือ พฤติกรรมการใช้บริการคลินิกความงามและผิวพรรณ “วุฒิ-ศักดิ์ คลินิก” ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพฯ: ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้ที่มาใช้บริการหรือเคยใช้บริการคลินิกความงามและผิวพรรณ “วุฒิ-ศักดิ์ คลินิก” ในเขตกรุงเทพฯ: จำนวน 385 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแตกต่างใช้สถิติการทดสอบค่าที สถิติวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และสถิติเชิงถดถอยพหูคุณหรือเชิงซ้อน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปสถิติทางสังคมศาสตร์ ผลจากการวิจัย พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 21-30 ปี มีสถานภาพโสด มีระดับการศึกษาสูงสุดระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนระหว่าง 15,001-25,000 บาท ผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการให้ระดับความสำคัญต่อการสื่อสารการตลาดแบบครบวงจรโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้านพบว่า ด้านที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญในระดับมาก คือ ด้านการโฆษณา ด้านการส่งเสริมการขาย ด้านการขายโดยใช้พนักงานขาย ด้านการประชาสัมพันธ์ และด้านการตลาดทางตรง ส่วนด้านที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญระดับปานกลาง คือ ด้านการตลาดเชิงกิจกรรม ผู้บริโภคส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการมีพฤติกรรมการเข้าใช้บริการการกำจัดสิว เข้าใช้บริการเมื่อมีปัญหาเรื่องผิวพรรณ เข้าใช้บริการเพราะสถานที่สะดวกในการเข้าใช้บริการ เข้าใช้บริการคลินิกในห้างสรรพสินค้า ตัดสินใจเข้าใช้บริการด้วยตนเอง เข้าใช้บริการด้วยรูปแบบเป็นครั้ง มีค่าเฉลี่ยจำนวนการใช้บริการเท่ากับ 4 ครั้งต่อ 3 เดือน มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครั้ง 1,297 บาท มีพฤติกรรมแนะนำผู้อื่นให้เข้ามาใช้บริการ มีพฤติกรรมการกลับมาใช้บริการอีกในอนาคต และมีค่าเฉลี่ยระยะเวลาการใช้บริการจากครั้งแรกถึงปัจจุบันเท่ากับ 1 ปี 2 เดือน
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3766
2023-11-13T12:29:31Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3766
2023-11-13T12:29:31Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 3 No. 1 (2554): ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2554 – มีนาคม 2555; 116-128
เครื่องมือการสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อและความภักดีต่อตราสินค้าของเครื่องสำอาง Oriental Princess ของผู้บริโภคเพศหญิงในเขตกรุงเทพมหานคร
พวงจิตร, รังสิยา; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3766
เครื่องมือการสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการ พฤติกรรมการซื้อ ความภักดี เครื่องสำอาง Oriental Princess
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาถึงเครื่องมือการสื่อสารทางการตลาดแบบ บูรณาการที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อ และความภักดีต่อตราสินค้าของเครื่องสำอาง Oriental Princess ของผู้บริโภคเพศหญิงในเขตกรุงเทพฯ โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริโภคเพศหญิงที่มีอายุ15 ปีขึ้นไป ที่ใช้เครื่องสำอาง Oriental Princess ในเขตกรุงเทพฯ จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัย พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่มีอายุ 25-34 ปี มีสถานภาพโสด มีระดับการศึกษาปริญญาตรี มีอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน มีรายได้ 6,000-15,999 บาท มีสภาพผิวมัน มีพฤติกรรมการซื้อเครื่องสำอาง Oriental Princess โดยมีความถี่ในการซื้อโดยเฉลี่ย 2 ครั้ง/ ปี งบประมาณในการซื้อโดยเฉลี่ย 979.25 บาท จำนวนเครื่องสำอางที่ซื้อโดยเฉลี่ย 3 ชิ้น/ ครั้ง ระยะเวลาที่เป็นลูกค้าโดยเฉลี่ย 3 ปี ประเภทเครื่องสำอางที่ใช้มากที่สุด คือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ช่องทางการสื่อสารที่ผู้บริโภคเพศหญิงรับรู้มากที่สุด คือ วิทยุ-โทรทัศน์ และสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคเพศหญิงมากที่สุด คือ ตนเอง เครื่องมือการสื่อสารทางการตลาดแบบบูรณาการของเครื่องสำอาง Oriental Princess ในด้านการโฆษณา การส่งเสริมการขาย และการใช้พนักงานขาย โดยรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนด้านกิจกรรมเชิงการตลาด และการบริการ โดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง และมีความภักดีต่อตราสินค้าของเครื่องสำอาง Oriental Princess โดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3767
2023-11-13T12:29:31Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3767
2023-11-13T12:29:31Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 3 No. 1 (2554): ปีที่ 3 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2554 – มีนาคม 2555; 129-143
ความรู้ความเข้าใจและเจตคติต่อเครื่องมือในการจัดการคุณภาพขององค์กรของพนักงาน บริษัท ฮานา เซมิคอนดักเตอร์ (อยุธยา) จำกัด
จุมพลพิทักษ์, ไชยวัฒน์; สาขาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (สำหรับผู้บริหาร) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3767
ความรู้ความเข้าใจ เจตคติ เครื่องมือในการจัดการคุณภาพ
en_US
งานวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความรู้ความเข้าใจที่มีผลต่อเจตคติต่อเครื่องมือในการจัดการคุณภาพขององค์กร ของพนักงานบริษัท ฮานา เซมิคอนดักเตอร์ (อยุธยา) จำกัด กลุ่มตัวอย่าง คือ พนักงานบริษัท ฮานา เซมิคอนดักเตอร์(อยุธยา) จำกัด จำนวน 380 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล ผลการวิจัย พบว่า พนักงานที่มีระดับการศึกษาแตกต่างกัน มีเจตคติต่อเครื่องมือในการจัดการคุณภาพของในทุกด้านแตกต่างกัน พนักงานที่มีฝ่ายการทำงานแตกต่างกัน มีเจตคติต่อเครื่องมือในการจัดการคุณภาพในด้านการมุ่งมั่นสร้างสรรค์คุณภาพสู่ความเป็นเลิศ (SQE) และด้านกิจกรรม 5ส แตกต่างกัน พนักงานที่มีระยะเวลาในการทำงานแตกต่างกัน มีเจตคติต่อเครื่องมือในการจัดการคุณภาพในด้านการมุ่งมั่นสร้างสรรค์คุณภาพสู่ความเป็นเลิศ (SQE) แตกต่างกัน พนักงานที่มีความรู้ความเข้าใจต่อเครื่องมือในการจัดการคุณภาพด้านกิจกรรม 5ส แตกต่างกัน มีเจตคติต่อเครื่องมือในการจัดการคุณภาพของพนักงาน ของบริษัท ฮานา เซมิคอนดักเตอร์ (อยุธยา) จำกัด แตกต่างกัน
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3770
2023-11-13T12:29:19Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3770
2023-11-13T12:29:19Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 3 No. 2 (2555): ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 เมษายน - กันยายน 2555; 1-21
การวิเคราะห์คุณภาพบริการของอุตสาหกรรมเกสต์เฮาส์ในประเทศไทย
สังข์เฉย, ธนกฤต; สาขาวิชาธุรกิจโรงแรมและที่พัก คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี
จินดาโชติ, พรหมมาตร; สาขาวิชาธุรกิจโรงแรมและที่พัก คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3770
ความคาดหวัง การรับรู้ เกสต์เฮาส์ คุณภาพบริการ
en_US
การวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความความคาดหวังและการรับรู้ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติต่อคุณภาพบริการเกสต์เฮาส์ในประเทศไทย และวิเคราะห์องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพบริการเกสต์เฮาส์ตามความคาดหวังและการรับรู้ของผู้ใช้บริการ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ใช้บริการเกสต์เฮาส์ในเขตกรุงเทพมหานคร หัวหิน และกาญจนบุรี จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า ผู้ใช้บริการมีความคาดหวังระดับมากต่อความสะอาดของเกสต์เฮาส์ การได้รับในสิ่งที่จ่ายไป พนักงานมีความสุภาพเมื่อตอบคำถามผู้รับบริการ พนักงานปฏิบัติต่อผู้รับบริการด้วยความเคารพ เกสต์เฮาส์จัดสภาพแวดล้อมที่ให้ความปลอดภัยต่อผู้รับบริการ และพนักงานมีความเต็มใจต่อการตอบคำถามของผู้รับบริการ นอกจากนี้ ผู้ใช้บริการมีความคาดหวังด้านข้อมูลข่าวสารและความสะดวกต่อการใช้งานเว็บไซต์ของเกสต์เฮาส์ ผลการวิเคราะห์ความคาดหวังและการรับรู้คุณภาพบริการ สามารถจัดกลุ่มองค์ประกอบคุณภาพบริการได้ 6 ด้าน ได้แก่ ความมั่นใจต่อการบริการ ความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล ความเป็นรูปธรรมของการบริการ การจัดสภาพแวดล้อม การตอบสนองต่อการบริการ และความน่าเชื่อถือ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3771
2023-11-13T12:29:19Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3771
2023-11-13T12:29:19Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 3 No. 2 (2555): ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 เมษายน - กันยายน 2555; 22-40
คุณค่าตราสินค้า และการสื่อสารการตลาดแบบครบวงจร (IMC) ที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาเปลี่ยนสีผม ในเขตกรุงเทพมหานคร
ธรรมรักษา, กมลวัฒน์; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3771
คุณค่าตราสินค้า การสื่อสารการตลาดแบบครบวงจร พฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาเปลี่ยนสีผม
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาคุณค่าตราสินค้าและการสื่อสารการตลาดแบบครบวงจร ที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาเปลี่ยนสีผม ในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาเปลี่ยนสีผม ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแตกต่างใช้การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการหาค่าความสัมพันธ์โดยใช้สถิติสหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า ผู้บริโภคที่มีเพศ อายุ สถานภาพสมรส ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือนแตกต่างกัน จะมีพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาเปลี่ยนสีผม ด้านระยะเวลาการใช้ และด้านจำนวนครั้งในการใช้ต่อปีแตกต่างกัน ความสำคัญของคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาเปลี่ยนสีผมด้านระยะเวลาการใช้ โดยมีความสัมพันธ์กันในทิศทางเดียวกันในระดับต่ำมาก ความสำคัญของรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาเปลี่ยนสีผม ด้านระยะเวลาการใช้ โดยมีความสัมพันธ์กันในทิศทางเดียวกันในระดับต่ำ ความสำคัญของคุณภาพของผลิตภัณฑ์ การรับรู้ต่อการส่งเสริมการขายของน้ำยาเปลี่ยนสีผม มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาเปลี่ยนสีผม ด้านจำนวนครั้งในการใช้ต่อปี โดยมีความสัมพันธ์กันในทิศทางตรงกันข้ามในระดับต่ำมาก การรับรู้ต่อการโฆษณาของน้ำยาเปลี่ยนสีผม การขายโดยบุคคลของน้ำยาเปลี่ยนสีผม การประชาสัมพันธ์ของน้ำยาเปลี่ยนสีผม และการตลาดทางตรงของน้ำยาเปลี่ยนสีผม การรับรู้ต่อการจัดแสดงสินค้าของน้ำยาเปลี่ยนสีผม และสื่อเคลื่อนที่ของน้ำยาเปลี่ยนสีผม มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาเปลี่ยนสีผม ด้านระยะเวลาการใช้ โดยมีความสัมพันธ์กันในทิศทางเดียวกันในระดับต่ำ และต่ำมาก ตามลำดับ การรับรู้ต่อการประชาสัมพันธ์ของน้ำยาเปลี่ยนสีผม และสื่อเคลื่อนที่ของน้ำยาเปลี่ยนสีผม การรับรู้ต่อการส่งเสริมการขายของน้ำยาเปลี่ยนสีผม มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้ผลิตภัณฑ์ น้ำยาเปลี่ยนสีผม ด้านจำนวนครั้งในการใช้ต่อปี โดยมีความสัมพันธ์กันในทิศทางตรงกันข้ามในระดับต่ำ และต่ำมาก ตามลำดับ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3772
2023-11-13T12:29:19Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3772
2023-11-13T12:29:19Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 3 No. 2 (2555): ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 เมษายน - กันยายน 2555; 41-57
ความพึงพอใจที่มีต่อการแลกคะแนนสะสม Forever Rewards ของสมาชิกบัตรเครดิต KTC ในกรุงเทพมหานคร
จริยธรรมวัติ, กนกกาญจน์; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3772
ความพึงพอใจ แลกคะแนนสะสม ฟอร์เอเวอร์รีวอร์ด บัตรเครดิตเคทีซี
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการแลกคะแนนสะสม Forever Rewards ของสมาชิกบัตรเครดิต KTC ในกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในงานวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้ที่เป็นสมาชิกบัตรเครดิต KTC ทุกประเภท ทั้งบัตรหลัก และบัตรเสริม ที่เคยแลกคะแนนสะสม Forever Rewards ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 385 คน โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแตกต่างใช้การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยเป็นรายคู่โดยใช้วิธี LSD (Least Significant Difference) ผลจากการทดสอบสมมติฐาน พบว่า สมาชิกบัตรเครดิต KTC ที่มีอายุต่างกัน มีความพึงพอใจที่มีต่อการแลกคะแนนสะสม Forever Rewards ในด้านรูปแบบ และวิธีการแลกคะแนนแตกต่างกัน สมาชิกบัตรเครดิต KTC ที่มีสถานภาพการสมรสต่างกัน มีความพึงพอใจที่มีต่อการแลกคะแนนสะสม Forever Rewards ในด้านรูปแบบและวิธีการแลกคะแนนด้านการให้บริการสมาชิก และด้านรายการส่งเสริมการขายแตกต่างกัน สมาชิกบัตรเครดิต KTC ที่มีอาชีพต่างกัน มีความพึงพอใจที่มีต่อการแลกคะแนนสะสม Forever Rewards ในด้านการให้บริการสมาชิกแตกต่างกัน สมาชิกบัตรเครดิต KTC ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่างกัน มีความพึงพอใจที่มีต่อการแลกคะแนนสะสม Forever Rewards ในด้านรูปแบบ และวิธีการสะสมคะแนน ด้านรูปแบบ วิธีการแลกคะแนน และด้านความสะดวกในกระบวนการแลกของรางวัลแตกต่างกัน สมาชิกบัตรเครดิต KTC ที่มีจำนวนคะแนนสะสมต่างกัน มีความพึงพอใจที่มีต่อการแลกคะแนนสะสม Forever Rewards ในด้านรูปแบบ และวิธีการสะสมคะแนน และด้านความสะดวกในกระบวนการแลกของรางวัล แตกต่างกัน
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3773
2023-11-13T12:29:19Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3773
2023-11-13T12:29:19Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 3 No. 2 (2555): ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 เมษายน - กันยายน 2555; 58-79
การเปรียบเทียบภาพลักษณ์ และทัศนคติส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้สายการบินต้นทุนต่ำในเขตกรุงเทพมหานคร
ทองประชาญ, กรกมล; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3773
ภาพลักษณ์ แรงจูงในการใช้บริการ ส่วนประสมทางการตลาด สายการบินต้นทุนต่ำ
en_US
การวิจัยครั้งนี้มุ่งหมายเพื่อศึกษารูปแบบการดำเนินชีวิต แรงจูงใจในการใช้บริการ ทัศนคติต่อส่วนประสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้บริการ และภาพลักษณ์ของสายการบินต้นทุนต่ำในเขตกรุงเทพมหานคร โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือผู้บริโภคที่เคยใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน ผลการศึกษาพบว่า กลุ่มตัวอย่างที่มี เพศ สถานภาพ อายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน แตกต่างกัน มีพฤติกรรมการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำแตกต่างกัน รูปแบบการดำเนินชีวิตโดยรวมด้านกิจกรรม มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ ด้านระยะเวลา ด้านความถี่ และด้านยอดค่าใช้จ่าย ในการใช้บริการสายการบินนกแอร์ ในทิศทางเดียวกันในระดับต่ำ ขณะที่รูปแบบการดำเนินชีวิตโดยรวมด้านความสนใจ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ ด้านระยะเวลาที่ใช้บริการสายการบินแอร์เอเซียในทิศทางตรงข้ามระดับต่ำ และรูปแบบการดำเนินชีวิตโดยรวมด้านกิจกรรม มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ ด้านความถี่ที่ใช้บริการสายการบินแอร์เอเซีย ในทิศทางเดียวกัน ระดับต่ำ แรงจูงใจในการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำของผู้บริโภคโดยรวมด้านเหตุผล มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ ด้านระยะเวลาที่ใช้บริการสายการบินนกแอร์ในทิศทางตรงข้ามระดับต่ำ แรงจูงใจในการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำของผู้บริโภคโดยรวมด้านเหตุผลและด้านอารมณ์ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำด้านความถี่ที่ใช้บริการสายการบินนกแอร์ ในทิศทางตรงข้ามระดับต่ำ แรงจูงใจในการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำของผู้บริโภคโดยรวมด้านเหตุผลและด้านอารมณ์ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ ด้านระยะเวลา และความถี่ที่ใช้บริการสายการบินแอร์เอเซีย ในทิศทางตรงข้ามระดับต่ำ ทัศนคติส่วนประสมทางการตลาดของผู้บริโภคโดยรวม ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านสถานที่ ด้านการส่งเสริมการตลาด และด้านกระบวนการ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ ด้านระยะเวลาที่ใช้บริการสายการบินนกแอร์ ในทิศทางตรงข้ามระดับต่ำ ทัศนคติของผู้บริโภคโดยรวม ด้านราคา ด้านสถานที่ ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านกระบวนการ และด้านกายภาพ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ ด้านความถี่ที่ใช้บริการสายการบินนกแอร์ ในทิศทางตรงข้ามระดับต่ำ ขณะที่ทัศนคติของผู้บริโภคโดยรวมด้านผลิตภัณฑ์ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ ด้านความถี่ที่ใช้บริการสายการบินนกแอร์ ในทิศทางตรงข้ามระดับปานกลาง ทัศนคติของผู้บริโภคโดยรวมด้านสถานที่ ด้านการส่งเสริมการตลาด และด้านกระบวนการมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ ด้านระยะเวลาที่ใช้บริการสายการบินแอร์เอเซีย ในทิศทางตรงข้ามระดับต่ำ ทัศนคติของผู้บริโภคโดยรวม ด้านราคา ด้านสถานที่ ด้านการส่งเสริมการตลาดด้านกระบวนการ และด้านกายภาพ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ ด้านความถี่ที่ใช้บริการสายการบินแอร์เอเชียในทิศทางตรงข้ามระดับต่ำ ขณะที่ทัศนคติของผู้บริโภคโดยรวมด้านผลิตภัณฑ์ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ ด้านความถี่ที่ใช้บริการสายการบินแอร์เอเซีย ในทิศทางตรงข้ามระดับปานกลาง ภาพลักษณ์ของสายการบินต้นทุนต่ำโดยรวม ด้านตรายี่ห้อ ด้านบริษัท มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ ด้านระยะเวลาที่ใช้บริการสายการบินนกแอร์ ในทิศทางตรงข้ามระดับต่ำ ภาพลักษณ์ของสายการบินต้นทุนต่ำโดยรวม ด้านตรายี่ห้อ และด้านบริษัท มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ ด้านระยะเวลา ด้านความถี่ และด้านยอดค่าใช้จ่าย ที่ใช้บริการสายการบินแอร์เอเซีย ในทิศทางตรงข้ามระดับต่ำ การเปรียบเทียบทัศนคติด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านการส่งเสริมการตลาด ระหว่าง สายการบินนกแอร์กับสายการบินแอร์เอเซีย มีความแตกต่างกัน โดยทัศนคติต่อสายการบินแอร์เอเซียด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา และด้านการส่งเสริมการตลาด สูงกว่าสายการบินนกแอร์ การเปรียบเทียบภาพลักษณ์ด้านตรายี่ห้อ และด้านบริการ ระหว่างสายการบินนกแอร์กับสายการบินแอร์เอเซีย มีความแตกต่างกัน โดยสายการบินแอร์เอเซียมีภาพลักษณ์ด้านตรายี่ห้อ และ ด้านบริการสูงกว่าสายการบินนกแอร์ แนวโน้มการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ พบว่า แนวโน้มการใช้บริการโดยรวม มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการสายการบินต้นทุนต่ำ ด้านระยะเวลา และด้านความถี่ในการใช้บริการสายการบินนกแอร์ และสายการบินแอร์เอเซีย ในทิศทางตรงข้ามระดับต่ำ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3774
2023-11-13T12:29:19Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3774
2023-11-13T12:29:19Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 3 No. 2 (2555): ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 เมษายน - กันยายน 2555; 80-97
ปัจจัยทางด้านผลิตภัณฑ์และราคาที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเล่นเกมออนไลน์ Dota All Stars ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร
แสนสินรังษี, วรพจน์; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3774
ปัจจัยทางด้านผลิตภัณฑ์และราคา เกมออนไลน์ DotA All Stars
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยทางด้านผลิตภัณฑ์และราคาที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเล่นเกมออนไลน์ Dota All Stars ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งตัวแปรอิสระประกอบไปด้วย 3 ตัวแปร ได้แก่ ลักษณะส่วนบุคคลของผู้บริโภค ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ และปัจจัยด้านราคา ตัวแปรตาม ได้แก่ พฤติกรรมการเล่นเกมออนไลน์ Dota All Stars ค่าใช้จ่ายในการเล่นเกมต่อครั้ง และจำนวนชั่วโมงในการเล่นเกมต่อครั้ง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้ที่เคยเล่นเกมออนไลน์ DotA All Stars ในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ คือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแตกต่างใช้สถิติวิเคราะห์ค่าที สถิติวิเคราะห์ ความแปรปรวนแบบทางเดียว และสถิติสัมพันธ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปในการวิเคราะห์ ผลจากการวิจัยพบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 20-24 ปี มีระดับการศึกษาสูงสุด ระดับปริญญาตรี มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ระหว่าง 20,000 – 24,999 บาท และมีสถานภาพโสดมากที่สุด ความคิดเห็นที่มีต่อปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ของเกมออนไลน์ DotA All Stars โดยรวมอยู่ในระดับดี เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ความคิดเห็นด้าน Software ของเกมออนไลน์ ด้านการออกแบบลักษณะการเล่นเกม ด้านการ Update เกม ด้านความสะดวกในการสื่อสารของผู้เล่นเกมอยู่ในระดับดี ความคิดเห็นที่มีต่อปัจจัยด้านราคาของเกมออนไลน์ DotA All Stars โดยรวมอยู่ในระดับดี เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า ความคิดเห็นด้านราคาของ Software เกมออนไลน์ อยู่ในระดับดีและด้านค่าใช้จ่ายในการเป็นสมาชิกเกมออนไลน์ DotA All Stars อยู่ในระดับดีมาก ความถี่ในการเล่นเกมสูงที่สุดเท่ากับ 12 ครั้งต่อเดือน ความถี่ในการเล่นเกมต่ำที่สุดเท่ากับ 8 ครั้งต่อเดือน ค่าเฉลี่ยของความถี่ในการเล่นเกมประมาณ 10 ครั้งต่อเดือน ค่าใช้จ่ายในการเล่นเกมสูงที่สุดเท่ากับ 60 บาทต่อครั้ง ค่าใช้จ่ายในการเล่นเกมต่ำที่สุดเท่ากับ 30 บาทต่อครั้ง ค่าเฉลี่ยของค่าใช้จ่ายในการเล่นเกมเท่ากับ 38.18 บาทต่อครั้ง จำนวนชั่วโมงในการเล่นเกมสูงที่สุดเท่ากับ 3 ชั่วโมงต่อครั้ง จำนวนชั่วโมงในการเล่นเกมต่ำที่สุดเท่ากับ 2 ชั่วโมงต่อครั้ง ค่าเฉลี่ยของจำนวนชั่วโมงในการเล่นเกมเท่ากับ 2.20 ชั่วโมงต่อครั้ง พฤติกรรมการเล่นเกมช่วงเวลา 20.01 – 24.00 น. และเล่นเกมที่บ้าน ซึ่งมีสาเหตุในการเล่นเพื่อความสนุกสนานโดยได้รับอิทธิพลในการเล่นเกมจากเพื่อน ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า 1. ลักษณะส่วนบุคคล ประกอบด้วย เพศ อายุ อาชีพ ระดับการศึกษาสูงสุด รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และสถานภาพสมรสแตกต่างกัน มีพฤติกรรมการเล่นเกมออนไลน์ Dota All Stars ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครแตกต่างกันในทุกด้าน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2. ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์โดยรวม มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเล่นเกมออนไลน์ Dota All Stars ด้านความถี่ในการเล่นเกมต่อเดือนของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร ในทิศทางเดียวกันในระดับต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3. ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์โดยรวม มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเล่นเกมออนไลน์ Dota All Stars ด้านค่าใช้จ่ายในการเล่นเกมต่อครั้งของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร ในทิศทางเดียวกัน ในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 4. ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์โดยรวมมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเล่นเกมออนไลน์ Dota All Stars ด้านจำนวนชั่วโมงในการเล่นเกมของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร ในทิศทางเดียวกันในระดับสูงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3775
2023-11-13T12:29:19Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3775
2023-11-13T12:29:19Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 3 No. 2 (2555): ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 เมษายน - กันยายน 2555; 98-111
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อและความตั้งใจซื้อซ้ำอะไหล่รถยนต์แท้โตโยต้าของผู้ใช้ในเขตกรุงเทพมหานคร
สิ่งสม, จิตติมา; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3775
พฤติกรรมการซื้อ ความตั้งใจซื้อซ้ำ อะไหล่รถยนต์แท้โตโยต้า
en_US
งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อและความตั้งใจซื้อซ้ำอะไหล่รถยนต์แท้โตโยต้าของผู้ใช้ในเขตกรุงเทพมหานครโดยศึกษาลักษณะทางประชากรศาสตร์ ได้แก่ เพศ อายุ การศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน อาชีพ ประเภทของรถยนต์ และสถานภาพสมรส ที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อและความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประสมทางการตลาดในด้านอะไหล่แท้โตโยต้า ราคา สถานที่จำหน่ายและการส่งเสริมการขายต่างๆ กับพฤติกรรมการซื้ออะไหล่รถยนต์แท้โตโยต้าและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการรับรู้ในคุณภาพของการให้บริการกับความตั้งใจซื้อซ้ำของผู้ซื้อหรือผู้ใช้อะไหล่รถยนต์แท้โตโยต้า กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ผู้บริโภคที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป (เป็นผู้ที่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์) และเป็นผู้ใช้รถยนต์โตโยต้า ทั้งเพศชายและเพศหญิงในเขตกรุงเทพมหานครจำนวน 400 คนโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล จากผลการวิจัยพบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นเพศชายอายุระหว่าง 28-37 ปี มีการศึกษาในระดับปริญญาตรี มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชนรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่าหรือเท่ากับ 25,000 บาท สถานภาพโสดใช้รถยนต์ประเภทรถยนต์นั่งส่วนบุคคล มีความคิดเห็นด้านส่วนประสมทางการตลาดของอะไหล่แท้โตโยต้าโดยรวมอยู่ในระดับดี และเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ผู้บริโภคมีความคิดเห็น ด้านอะไหล่แท้โตโยต้าอยู่ในระดับดีมาก ด้านราคา ด้านสถานที่จัดจำหน่าย และด้านการส่งเสริมการขายอยู่ในระดับดี มีพฤติกรรมการซื้อและความตั้งใจซื้อซ้ำโดยรวมอยู่ในระดับซื้อ ผู้บริโภคที่มีเพศ อายุ อาชีพ และสถานภาพการสมรสที่แตกต่างกัน มีพฤติกรรมการซื้อในด้านค่าใช้จ่ายในการซื้ออะไหล่แท้โตโยต้าต่อครั้ง แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนประสมทางการตลาดโดยรวมมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อด้านค่าใช้จ่ายในการซื้ออะไหล่แท้โตโยต้าต่อครั้งของผู้บริโภค ในทิศทางเดียวกันในระดับต่ำ โดยเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า ด้านราคา ด้านสถานที่จัดจำหน่าย และด้านการส่งเสริมการขาย มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรม การซื้อด้านค่าใช้จ่ายในการซื้ออะไหล่แท้โตโยต้าต่อครั้งของผู้บริโภคในทิศทางเดียวกันในระดับต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 การรับรู้ด้านคุณภาพการบริการมีความสัมพันธ์กับความตั้งใจซื้อซ้ำโดยรวมของผู้บริโภคพบว่ามีความสัมพันธ์กับความตั้งใจซื้อซ้ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ในทิศทางเดียวกันในระดับปานกลาง การรับรู้ของผู้บริโภคในการบริการที่ถูกต้องตรงตามความต้องการของลูกค้า และคุณภาพการบริการในด้านความสะดวกสบายของสถานที่จำหน่ายมีความสัมพันธ์กับความตั้งใจซื้อซ้ำ ในทิศทางเดียวกันในระดับสูง การรับรู้ของผู้บริโภคในข้อความรู้และทักษะในการขายของพนักงานความเอาใจใส่ ดูแล ให้คำปรึกษาและการแนะนำของพนักงาน และคุณภาพการให้บริการหลังการจำหน่ายมีความสัมพันธ์กับความตั้งใจซื้อซ้ำในทิศทางเดียวกันในระดับปานกลาง ขณะที่ การรับรู้ของผู้บริโภคในการให้บริการของพนักงานมีความสัมพันธ์กับความตั้งใจซื้อซ้ำ ในทิศทางเดียวกันในระดับต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3776
2023-11-13T12:29:19Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3776
2023-11-13T12:29:19Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 3 No. 2 (2555): ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 เมษายน - กันยายน 2555; 112-124
ปัจจัยทางการตลาดที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อสุขภัณฑ์วิเทรียสไชน่าของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร
อุ้มสิน, ณัฐพล; สาขาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (สำหรับผู้บริหาร) มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3776
ปัจจัยทางการตลาด พฤติกรรมการซื้อ สุขภัณฑ์วิเทรียสไชน่า
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยทางการตลาดที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อสุขภัณฑ์วิเทรียสไชน่าของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ผู้ที่เคยซื้อหรือมีความสนใจที่จะซื้อสุขภัณฑ์วิเทรียสไชน่า จำนวน 405 คนที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพมหานครโดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานคือ ค่าสถิติทดสอบไค-สแควร์ ผลการทดสอบสมมติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 พบว่า 1) สถานที่ซื้อ มีความสัมพันธ์กับ ระดับการศึกษา จำนวนคนที่ใช้ห้องน้ำ ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการขาย 2) จำนวนเงินที่ซื้อ มีความสัมพันธ์กับ เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน จำนวนคนที่ใช้ห้องน้ำ ผลิตภัณฑ์ ช่องทางการจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการขาย 3) ชนิดของสุขภัณฑ์วิเทรียสไชน่า ประเภทเซรามิค มีความสัมพันธ์กับ เพศ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน จำนวนคนที่ใช้ห้องน้ำ และช่องทางการจัดจำหน่าย 4) ชนิดของสุขภัณฑ์วิเทรียสไชน่า ประเภทแอคเซลเซอรี่ มีความสัมพันธ์กับ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน และการส่งเสริมการขาย 5) ตราสินค้า มีความสัมพันธ์กับ เพศ อายุ ระดับการศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน จำนวนคนที่ใช้ห้องน้ำ ผลิตภัณฑ์ ราคา ช่องทางการจัดจำหน่าย และการส่งเสริมการขาย
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3777
2023-11-13T12:29:19Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3777
2023-11-13T12:29:19Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 3 No. 2 (2555): ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 เมษายน - กันยายน 2555; 125-140
ความคาดหวัง การรับรู้คุณภาพการบริการและพฤติกรรมการใช้บริการของลูกค้าบัตรเครดิต ในกรุงเทพมหานคร
หมื่นศรี, จุรีพร; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3777
บัตรเครดิต จุดบริการสาขา พฤติกรรมการใช้บริการ การบริการที่ลูกค้าคาดหวัง การบริการที่ลูกค้ารับรู้
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความคาดหวัง การรับรู้คุณภาพการบริการ และพฤติกรรมการใช้บริการของลูกค้าบัตรเครดิตในกรุงเทพมหานคร โดยศึกษาความสัมพันธ์ของลักษณะ ด้านประชากรศาสตร์กับพฤติกรรมการใช้บริการที่จุดบริการสาขาของลูกค้าบัตรเครดิต ความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพการบริการกับพฤติกรรมการใช้บริการที่จุดบริการสาขาของลูกค้าบัตรเครดิต และความแตกต่างระหว่างความคาดหวังในคุณภาพการบริการที่จะได้รับกับคุณภาพการบริการที่ได้รับจริง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ลูกค้าบัตรเครดิตที่ใช้บริการที่จุดบริการสาขา ในกรุงเทพมหานคร ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา จำนวน 300 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน คือ การวิเคราะห์ความแตกต่างเป็นรายคู่ และการทดสอบสถิติไค-สแควร์ ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 31-40 ปี การศึกษา ปริญญาตรีหรือต่ำกว่า มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ในช่วง 15,001 - 30,000 บาท การทดสอบสมมติฐาน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 พบว่า 1. ความคาดหวัง แตกต่างกับการรับรู้จริง โดยที่การรับรู้จริงในคุณภาพการบริการโดยรวมน้อยกว่าความคาดหวัง ทั้งด้านลักษณะทางกายภาพ ด้านความเชื่อถือได้ ด้านการตอบสนองอย่างรวดเร็ว ด้านความมั่นใจได้ และด้านการเข้าถึงจิตใจ 2. พฤติกรรมการใช้บริการที่จุดบริการสาขาด้านประเภทบริการที่ใช้มีความสัมพันธ์กับ อายุ รายได้ต่อเดือน คุณภาพการบริการด้านการตอบสนองอย่างรวดเร็ว และคุณภาพการบริการ ด้านการเข้าถึงจิตใจ 3. พฤติกรรมการใช้บริการที่จุดบริการสาขาด้านวันที่ใช้บริการมีความสัมพันธ์กับอายุ และคุณภาพการบริการด้านความมั่นใจได้ 4. พฤติกรรมการใช้บริการที่จุดบริการสาขาด้านเวลาที่ใช้บริการมีความสัมพันธ์กับอายุ การศึกษา รายได้ต่อเดือน คุณภาพการบริการด้านลักษณะทางกายภาพ คุณภาพการบริการ ด้านการตอบสนองอย่างรวดเร็ว คุณภาพการบริการด้านความมั่นใจได้ และคุณภาพการบริการด้านการเข้าถึงจิตใจ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3778
2023-11-13T12:29:19Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3778
2023-11-13T12:29:19Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 3 No. 2 (2555): ปีที่ 3 ฉบับที่ 2 เมษายน - กันยายน 2555; 141-153
อิทธิพลของลักษณะประชากรและความเป็นกลุ่มอ้างอิงของศิลปินเกาหลีต่อพฤติกรรมการซื้อเครื่องสำอางของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร
พรศิริประเสริฐ, พรพรรณ; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3778
อิทธิพลของลักษณะประชากร ความเป็นกลุ่มอ้างอิงของศิลปินเกาหลี พฤติกรรมการซื้อเครื่องสำอาง
en_US
การวิจัยครั้งนี้ เพื่อศึกษาความเป็นกลุ่มอ้างอิงของศิลปินเกาหลีในการโฆษณาที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องสำอางของผู้บริโภคในกรุงเทพ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครที่มีความต้องการซื้อเครื่องสำอาง จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าคะแนนเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติ ไค-สแควร์ Cramer’s V และ Somers’ D ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 31-40 ปี ประกอบอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001 -20,000 บาท ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เห็นว่าศิลปินเกาหลีมีลักษณะชื่อเสียงด้านความสำเร็จในผลงาน และด้านบุคลิกภาพ ด้านกายภาพ โดยรวมอยู่ในระดับมาก ด้านบุคลิกภาพด้านจริยธรรม โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ได้รับข้อมูลจากสื่อโฆษณาโทรทัศน์อยู่ในระดับมาก รองลงมาได้แก่สื่อโฆษณานิตยสาร สื่อโฆษณาหนังสือพิมพ์ และสื่อโฆษณาป้ายบิลบอร์ด อยู่ในระดับปานกลาง และสื่อโฆษณาวิทยุอยู่ในระดับน้อย พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อเครื่องสำอางของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ผู้ตอบแบบสอบถามซื้อเครื่องสำอางจำนวน 1 ครั้งต่อเดือน จำนวนเงินโดยเฉลี่ยที่ซื้อเครื่องสำอางต่อครั้ง ไม่เกิน 1,000 บาท สถานที่ในการซื้อเครื่องสำอาง ได้แก่ เคาน์เตอร์เครื่องสำอางในห้างสรรพสินค้า ประเภทของเครื่องสำอางที่ซื้อ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า สรุปผลการทดสอบสมมติฐาน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 พบว่า 1. พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อ ด้านจำนวนครั้งที่ซื้อเครื่องสำอาง มีความสัมพันธ์กับเพศและความถี่ของโฆษณาที่ได้รับ 2. พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อ ด้านจำนวนเงินโดยเฉลี่ยที่ซื้อเครื่องสำอางต่อครั้ง มีความสัมพันธ์กับรายได้เฉลี่ยต่อเดือน และความถี่ของโฆษณาที่ได้รับ 3. พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อ ด้านสถานที่ในการซื้อเครื่องสำอาง มีความสัมพันธ์กับเพศชื่อเสียงด้านความสำเร็จในผลงาน และความถี่ของโฆษณาที่ได้รับ 4. พฤติกรรมการตัดสินใจซื้อ ด้านประเภทของเครื่องสำอางที่ซื้อ มีความสัมพันธ์กับเพศ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3780
2023-11-13T12:30:02Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3780
2023-11-13T12:30:02Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 4 No. 1 (2555): ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2555 – มีนาคม 2556; 1-17
ปัจจัยส่วนผสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมด้านจิตวิทยาในการเลือกซื้อรถกระบะระบบซีเอ็นจีของผู้บริโภค บริษัท สามมิตร กรีนพาวเวอร์ จำกัด
รอดโพธิ์ทอง, วราภรณ์; สาขาการประกอบการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3780
ปัจจัยส่วนผสมทางการตลาด พฤติกรรมด้านจิตวิทยา การเลือกซื้อรถกระบะระบบซีเอ็นจี
en_US
การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยด้านส่วนผสมทางการตลาดบริการที่ส่งผลต่อพฤติกรรมด้านจิตวิทยาในการเลือกซื้อรถกระบะระบบซีเอ็นจีของผู้บริโภค บริษัท สามมิตร กรีนพาวเวอร์ จำกัดและศึกษาพฤติกรรมด้านจิตวิทยาในการเลือกซื้อ รถกระบะระบบซีเอ็นจีของผู้บริโภค บริษัท สามมิตร กรีนพาวเวอร์ จำกัด กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ คือ ผู้ที่ซื้อรถกระบะระบบซีเอ็นจี ของบริษัท สามมิตร กรีนพาวเวอร์ จำกัด อยู่ในช่วงปี 2552-2555 จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติเพื่อการวิจัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุคูณแบบขั้นบันได ผลการวิจัยพบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 40 – 59 ปี มีสถานภาพสมรส การศึกษาในระดับต่ำกว่าปริญญาตรี ประกอบอาชีพเป็นเจ้าของบริษัทหรือธุรกิจส่วนตัว มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,000-20,000 บาท มีสถานที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นบ้านพักส่วนตัว มีจำนวนสมาชิกในครอบครัว จำนวน 4 – 6 คน ระดับปัจจัยทางการตลาดที่มีผลต่อการเลือกซื้อรถกระบะระบบซีเอ็นจีโดยรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมทางการตลาด อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านพนักงาน ด้านลักษณะทางกายภาพ และด้านกระบวนการ อยู่ในระดับมาก ระดับพฤติกรรมด้านจิตวิทยา ในการเลือกซื้อรถกระบะระบบซีเอ็นจี โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ด้านการรับรู้ อยู่ในระดับปานกลาง ส่วนด้านความเชื่อและทัศนคติ ด้านการเรียนรู้ และด้านแรงจูงใจ อยู่ในระดับมาก การวิเคราะห์ปัจจัยส่วนผสมทางการตลาดที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเลือกซื้อรถกระบะระบบซีเอ็นจี ของผู้บริโภค บริษัท สามมิตร กรีนพาวเวอร์ จำกัด พบว่า พฤติกรรมการเลือกซื้อรถกระบะระบบ ซีเอ็นจี จะมีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันกับด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านการส่งเสริมทางการตลาด ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัย พบว่า การวิจัยเพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ในการทำงานผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญในด้านผลิตภัณฑ์ ด้านการส่งเสริมทางการตลาด ด้านราคา และด้านช่องทางการจัดจำหน่าย โดยผู้ประกอบการควรมีรถยนต์ให้เลือกหลายรุ่น หลายสี ควรมีการออกแบบการติดตั้งตัวถังที่เน้นประโยชน์การใช้งานสูงสุด มีการจัดกิจกรรมการส่งเสริมทางการตลาดที่ใช้เงินดาวน์ที่ต่ำลงและเพิ่มระยะเวลาการผ่อนให้นานกว่าปกติ และควรเพิ่มจำนวนศูนย์บริการ ตรวจซ่อม และบริษัทตัวแทนจำหน่าย รถกระบะระบบซีเอ็นจี ให้มีความครอบคลุมทุกพื้นที่
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3781
2023-11-13T12:30:02Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3781
2023-11-13T12:30:02Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 4 No. 1 (2555): ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2555 – มีนาคม 2556; 18-34
ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ของผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ต
ชัยถิรสกุล, จรุมาส; หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3781
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ต พฤติกรรมการใช้พาณิชย์เล็กทรอนิกส์
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ต โดยศึกษาถึงลักษณะประชากรศาสตร์ ความคาดหวังต่อองค์ประกอบของเว็บไซต์ ทัศนคติต่อองค์ประกอบพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และแรงจูงใจในการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้ซื้อสินค้าผ่านอินเทอร์เน็ตเท่านั้น จำนวนทั้งสิ้น 400 ตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุต่ำกว่าหรือเท่ากับ 20 ปี ระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี อาชีพเป็นนักเรียน/นักศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่าหรือเท่ากับ 15,000 บาท และภูมิลำเนาอยู่กรุงเทพมหานคร จากการทดสอบสมมติฐาน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 และ 0.01 พบว่า 1. ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตที่มีอายุแตกต่างกัน มีพฤติกรรมการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ด้านความถี่ในการใช้อินเทอร์เน็ต และด้านจำนวนครั้งที่สั่งซื้อสินค้า แตกต่างกัน 2. ผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตที่มีอาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนแตกต่างกัน มีพฤติกรรมการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ด้านความถี่ในการใช้อินเทอร์เน็ต แตกต่างกัน 3. ทัศนคติต่อองค์ประกอบทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ สามารถทำนายพฤติกรรมการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ต ด้านความถี่ในการใช้อินเทอร์เน็ต 4. แรงจูงใจในการใช้บริการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ด้านเหตุผล มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตด้านความถี่ในการใช้อินเทอร์เน็ต และด้านจำนวนครั้งที่สั่งซื้อสินค้า โดยมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน 5. พฤติกรรมการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตด้านความถี่ในการใช้อินเทอร์เน็ตมีความสัมพันธ์กับแนวโน้มการใช้พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ด้านการซื้อสินค้าผ่านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ในอนาคต โดยมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3782
2023-11-13T12:30:02Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3782
2023-11-13T12:30:02Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 4 No. 1 (2555): ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2555 – มีนาคม 2556; 35-58
ความพึงพอใจ ทัศนคติ และพฤติกรรมการซื้อมังคุดของผู้บริโภคในจังหวัดจันทบุรี
อุตตะโมทย์, ศนิศรา; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3782
มังคุดจังหวัดจันทบุรี ความพึงพอใจ ทัศนคติ พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาความพึงพอใจ ทัศนคติ และพฤติกรรมการซื้อมังคุดของผู้บริโภคในจังหวัดจันทบุรี กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริโภคชาวไทย อายุ 15 ปีขึ้นไป ที่มีสัญชาติไทย และตัดสินใจซื้อมังคุดจันทบุรีในจังหวัดจันทบุรี จำนวนทั้งสิ้น 400 ตัวอย่าง โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า ผู้บริโภคมังคุดในจังหวัดจันทบุรีส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุอยู่ในช่วง 26-36 ปี สถานภาพโสด ระดับการศึกษาปริญญาตรี ประกอบอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท มีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับ แรงจูงใจของผู้บริโภคในการเลือกซื้อมังคุดจันทบุรีโดยรวมอยู่ในระดับมาก ทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่อส่วนประสมทางการตลาดโดยรวมอยู่ในระดับดี ความคาดหวังที่มีต่อมังคุดจันทบุรี ด้านผลิตภัณฑ์ที่คาดหวังโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนด้านศักยภาพเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์มังคุดจันทบุรี ด้านประโยชน์หลักของมังคุดจันทบุรี ด้านผลิตภัณฑ์ และด้านรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์มังคุดจังหวัดจันทบุรีโดยรวมอยู่ในระดับมาก การรับรู้ที่มีต่อมังคุดจันทบุรีโดยรวมอยู่ในระดับมาก ความคาดหวังและการรับรู้ที่มีต่อมังคุดจันทบุรี พบว่า มีการรับรู้จริงต่ำโดยรวมต่ำกว่าความคาดหวัง ซึ่งหมายถึง ผู้บริโภคในจังหวัดจันทบุรีไม่พึงพอใจต่อมังคุดจันทบุรี พฤติกรรมการซื้อมังคุดจันทบุรีของผู้บริโภคในจังหวัดจันทบุรี พบว่า ผู้บริโภคในจังหวัดจันทบุรีซื้อมังคุดจันทบุรีโดยเฉลี่ยประมาณ 3 กิโลกรัมต่อครั้ง มีความถี่ในการซื้อมังคุดจันทบุรีโดยเฉลี่ยประมาณ 3 ครั้งต่อเดือน ราคามังคุดที่สามารถซื้อได้โดยเฉลี่ยประมาณ 32 บาทต่อกิโลกรัม ผู้บริโภคในจังหวัดจันทบุรีซื้อมังคุดจากตลาด มีเหตุผลที่ซื้อมังคุดจังหวัดจันทบุรีคือ รสชาติอร่อย มีโอกาสที่ซื้อมังคุดจันทบุรีตามฤดูกาล บุคคลร่วมในการตัดสินใจซื้อมังคุดจันทบุรีคือ ตัวเอง และมีแนวโน้มจะซื้อมังคุดอีกมากที่สุด ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า 1. ผู้บริโภคชาวไทยในจังหวัดจันทบุรีที่มีอายุ สถานภาพ อาชีพแตกต่างกัน มีพฤติกรรมผู้บริโภคการซื้อมังคุดจันทบุรี ด้านราคามังคุดที่สามารถซื้อได้แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2. แรงจูงใจด้านเหตุผลโดยรวม มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อมังคุดจันทบุรีของผู้บริโภคชาวไทยในจังหวัดจันทบุรี ด้านจำนวนที่ซื้อมังคุดจันทบุรี โดยมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 3. แรงจูงใจ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อมังคุดจันทบุรีของผู้บริโภคชาวไทยในจังหวัดจันทบุรี ด้านความถี่ในการซื้อมังคุดจันทบุรี โดยมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 4. การรับรู้ด้านผลิตภัณฑ์ที่คาดหวัง และด้านศักยภาพเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์มังคุดมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อมังคุดจันทบุรีของผู้บริโภคชาวไทยในจังหวัดจันทบุรีด้านจำนวนที่ซื้อมังคุดจันทบุรี โดยมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 5. การรับรู้ด้านประโยชน์หลักของมังคุดจันทบุรี ด้านรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์มังคุดจังหวัดจันทบุรี ด้านผลิตภัณฑ์ที่คาดหวัง และด้านผลิตภัณฑ์ควบ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อมังคุดจันทบุรีของผู้บริโภคชาวไทยในจังหวัดจันทบุรี ด้านความถี่ในการซื้อมังคุดจันทบุรี โดยมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 6. การรับรู้ด้านรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์มังคุดจังหวัด มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อมังคุดจันทบุรีของผู้บริโภคชาวไทยในจังหวัดจันทบุรี ด้านราคามังคุดที่สามารถซื้อได้ โดยมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3783
2023-11-13T12:30:02Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3783
2023-11-13T12:30:02Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 4 No. 1 (2555): ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2555 – มีนาคม 2556; 59-78
พฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมการซื้อเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็งของผู้บริโภค จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หว่างจ้อย, วิชุตา; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3783
พฤติกรรม แนวโน้มพฤติกรรมการซื้อ เฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็ง
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างแรงจูงใจในการซื้อกับความพึงพอใจของผู้บริโภค ศึกษาส่วนประสมทางการตลาดที่สามารถทำนายความพึงพอใจของผู้บริโภค ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างค่านิยมการใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็งกับพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมการซื้อ และศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความพึงพอใจของผู้บริโภคกับพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมการซื้อ ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ทดสอบสมมติฐาน คือ การวิเคราะห์ความแตกต่างโดยการหาค่าที และความแปรปรวนทางเดียว การวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ และค่าสถิติสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน ผลวิจัยพบว่า แรงจูงใจในการซื้อเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็งกับความพึงพอใจของผู้บริโภคโดยภาพรวม พบว่า มีความสัมพันธ์กันที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ในทิศทางเดียวกัน ความสัมพันธ์ในระดับตํ่า ส่วนประสมทางการตลาด ด้านผลิตภัณฑ์ สามารถทำนายความพึงพอใจของผู้บริโภค ในด้านการตอบสนองต่อความคาดหวังจากการซื้อเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็ง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ซึ่งสามารถพยากรณ์ได้ร้อยละ 4.4 ส่วนประสมทางการตลาด ด้านผลิตภัณฑ์ และช่องทางจัดจำหน่าย สามารถทำนายความพึงพอใจของผู้บริโภค ในด้านความคุ้มค่าในการตอบสนองความต้องการเมื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็งที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 โดยตัวแปรทั้ง 2 ตัวนี้ สามารถพยากรณ์ได้ร้อยละ 2.4 ส่วนประสมทางการตลาด ด้านราคา และช่องทางจัดจำหน่าย สามารถทำนายความพึงพอใจของผู้บริโภคในด้านท่านมีความพึงพอใจต่อการซื้อเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็ง ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.01 โดยตัวแปรทั้ง 2 ตัวนี้สามารถพยากรณ์ได้ร้อยละ 7.6 ส่วนประสมทางการตลาด ด้านผลิตภัณฑ์ และราคา สามารถทำนายความพึงพอใจของผู้บริโภคในด้านความโดดเด่นของเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็งเมื่อเทียบกับเฟอร์นิเจอร์ชนิดอื่นที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 โดยตัวแปรทั้ง 2 ตัวนี้สามารถพยากรณ์ได้ร้อยละ 3.1 ค่านิยมการใช้เฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็งมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมการซื้อเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็ง โดยภาพรวมมีความสัมพันธ์กันในทิศทางเดียวกัน ความสัมพันธ์อยู่ในระดับตํ่า ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 ความพึงพอใจของผู้บริโภคมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมและแนวโน้มพฤติกรรมการซื้อเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็ง โดยภาพรวม มีความสัมพันธ์กันในทิศทางเดียวกัน ความสัมพันธ์อยู่ในระดับตํ่ามาก ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3784
2023-11-13T12:30:02Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3784
2023-11-13T12:30:02Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 4 No. 1 (2555): ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2555 – มีนาคม 2556; 79-95
คุณค่าตราสินค้า ความพึงพอใจด้านส่วนประสมทางการตลาดและพฤติกรรมการซื้อมีอิทธิพลต่อแนวโน้มพฤติกรรมการซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์เบียร์สิงห์ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร
ปุราภา, ศรัณย์; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3784
คุณค่าตราสินค้า ความพึงพอใจ พฤติกรรมการซื้อ แนวโน้มพฤติกรรมการซื้อ
en_US
การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาคุณค่าตราสินค้า และความพึงพอใจ ด้านส่วนประสมการตลาด ที่มีผลต่อแนวโน้มพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์เบียร์สิงห์ และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์เบียร์สิงห์กับแนวโน้มพฤติกรรมการซื้อในอนาคต โดยกลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริโภคที่ซื้อและดื่มเบียร์สิงห์ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การวิเคราะห์เชิงถดถอยแบบพหุคูณ และสถิติสหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 20–27 ปี จบการศึกษาระดับปริญญาตรี อาชีพพนักงานบริษัทเอกชน ลูกจ้าง มีรายได้ต่อเดือนมากกว่า 30,000 บาท นับถือศาสนาพุทธ ผู้บริโภคมีความคิดเห็นต่อคุณค่าตราสินค้าของผลิตภัณฑ์เบียร์สิงห์ ภาพรวมและด้านการตระหนักรู้ในตราสินค้า ด้านคุณภาพที่รับรู้ ด้านการเชื่อมโยงตราสินค้า อยู่ในระดับมาก ส่วนด้านความภักดีต่อตราสินค้า อยู่ในระดับปานกลาง และมีความพึงพอใจส่วนประสมการตลาดผลิตภัณฑ์เบียร์สิงห์ ภาพรวมและรายด้าน อยู่ในระดับมาก คุณค่าตราสินค้า ด้านการตระหนักรู้ในตราสินค้า ด้านความเชื่อมโยงในตราสินค้าและด้านความภักดีต่อตราสินค้า สามารถร่วมทำนายแนวโน้มการซื้อผลิตภัณฑ์เบียร์สิงห์ในอนาคตได้ร้อยละ 34.4 คุณค่าตราสินค้า ด้านความเชื่อมโยงในตราสินค้าและด้านความภักดีต่อตราสินค้า สามารถร่วมทำนายแนวโน้มการแนะนำผู้อื่นซื้อผลิตภัณฑ์เบียร์สิงห์ ได้ร้อยละ 37.3 และคุณค่าตราสินค้า ด้านการตระหนักรู้ในตราสินค้า ด้านความเชื่อมโยงในตราสินค้าและด้านความภักดี ต่อตราสินค้า สามารถร่วมทำนายแนวโน้มการซื้อผลิตภัณฑ์เบียร์สิงห์อย่างต่อเนื่อง ได้ร้อยละ 34.8 ส่วนความพึงพอใจส่วนประสมการตลาด ด้านผลิตภัณฑ์ และด้านราคา สามารถร่วมทำนายแนวโน้มการซื้อผลิตภัณฑ์เบียร์สิงห์ในอนาคต ได้ร้อยละ 33.3 ความพึงพอใจส่วนประสมการตลาด ด้านผลิตภัณฑ์ และด้านราคาสามารถร่วมทำนายแนวโน้มการแนะนำผู้อื่นซื้อผลิตภัณฑ์เบียร์สิงห์ ได้ร้อยละ 34.4 และ ความพึงพอใจส่วนประสมการตลาด ด้านผลิตภัณฑ์ และด้านราคา สามารถร่วมทำนายแนวโน้มการซื้อผลิตภัณฑ์เบียร์สิงห์อย่างต่อเนื่องได้ร้อยละ 35.4 และพฤติกรรมการซื้อผลิตภัณฑ์เบียร์สิงห์มีความสัมพันธ์กับแนวโน้มการซื้อผลิตภัณฑ์เบียร์สิงห์โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันในระดับต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3785
2023-11-13T12:30:02Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3785
2023-11-13T12:30:02Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 4 No. 1 (2555): ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2555 – มีนาคม 2556; 96-110
องค์กรแห่งการเรียนรู้ที่ส่งผลต่อการเกิดประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานบริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้าแห่งหนึ่ง ในเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร
เพ็ชรดี, ทอฝัน; สาขาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3785
องค์กรแห่งการเรียนรู้ ประสิทธิภาพการทำงาน บริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้า
en_US
การวิจัยในครั้งนี้กำหนดจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาปัจจัยทางด้านลักษณะประชากรศาสตร์ ปัจจัยทางด้านวินัย 5 ประการต่อการพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้ และปัจจัยทางด้านลักษณะขององค์กรแห่งการเรียนรู้ ที่ส่งผลต่อการเกิดประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน บริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้าแห่งหนึ่ง ในเขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลกับพนักงานจำนวน 258 คน ผลการวิจัย พบว่า พนักงานส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 30 - 39 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรี มีรายได้ต่อเดือน 20,001 – 30,000 บาท สังกัดฝ่ายการตลาด การขาย และมีระยะเวลาในการทำงานต่ำกว่าหรือเท่ากับ 5 ปี พนักงานมีความคิดเห็นต่อปัจจัยทางด้านวินัย 5 ประการต่อการพัฒนาองค์กรแห่งการเรียนรู้ ได้แก่ ความรอบรู้แห่งตน แบบแผนความคิด วิสัยทัศน์ร่วม การเรียนรู้เป็นทีม และการคิดอย่างเป็นระบบ อยู่ในระดับมากทุกด้าน นอกจากนี้พนักงานยังมีความคิดเห็นต่อปัจจัยทางด้านลักษณะขององค์กรแห่งการเรียนรู้ ได้แก่ วัฒนธรรมการเรียนรู้ขององค์กร การเพิ่มอำนาจปฏิบัติในงาน เทคโนโลยีสนับสนุนการเรียนรู้ และบรรยากาศที่เกื้อหนุน อยู่ในระดับมาก ทุกด้าน
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3786
2023-11-13T12:30:02Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3786
2023-11-13T12:30:02Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 4 No. 1 (2555): ปีที่ 4 ฉบับที่ 1 ตุลาคม 2555 – มีนาคม 2556; 111-132
พฤติกรรมและแนวโน้มการซื้อซ้ำเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลีของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร
โกมณเฑียร, ธีรนาฎ; หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3786
เครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลี แนวโน้มการซื้อซ้ำ คุณค่าที่ลูกค้ารับรู้
en_US
การวิจัยนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาพฤติกรรมและแนวโน้มการซื้อซ้ำเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลี ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริโภคเพศหญิงที่เคยซื้อและใช้เครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลีในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 ตัวอย่าง เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าที การวิเคราะห์ ค่าความแปรปรวนทางเดียว การวิเคราะห์เชิงถดถอยแบบพหุคูณ และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีอายุระหว่าง 25-34 ปี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ประกอบอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนระหว่าง 10,001-20,000 บาท และมีสถานภาพสมรสโสด หย่าร้าง หม้ายหรือแยกกันอยู่ ทัศนคติของผู้ตอบแบบสอบถามที่มีต่อด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านพนักงาน ด้านกระบวนการให้บริการ และด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ โดยรวมอยู่ในระดับดี ความคิดเห็นเกี่ยวกับค่านิยมในการซื้อเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลี ได้แก่ ค่านิยมความร่ำรวยและนิยมใช้ของจากต่างประเทศ ค่านิยมสุขภาพดี ค่านิยมบริโภคนิยม และค่านิยมเลียนแบบต่างประเทศ โดยรวมอยู่ในระดับมาก และความคิดเห็นเกี่ยวกับคุณค่าที่ลูกค้ารับรู้ในการซื้อเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลี โดยรวมอยู่ในระดับมาก ในด้านพฤติกรรมการซื้อเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลี พบว่า มีความถี่ในการซื้อเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลีเฉลี่ยประมาณ 2 ครั้งต่อ 3 เดือน มีค่าใช้จ่ายในการซื้อเครื่องสำอางเฉลี่ยต่อครั้ง 920 บาท เครื่องสำอางที่นิยมซื้อคือ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวกาย และผลิตภัณฑ์แต่งหน้า ยี่ห้อเครื่องสำอางที่นิยมใช้มากที่สุด ได้แก่ ETUDE HOUSE, SKIN FOOD และ THE FACE SHOP โดยซื้อเครื่องสำอางจากเคาน์เตอร์ในห้างสรรพสินค้า ซื้อเครื่องสำอางเมื่อผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่หมด และบุคคลที่มีอิทธิพลต่อการซื้อเครื่องสำอาง ได้แก่ ตนเอง ในด้านแนวโน้มการซื้อซ้ำเครื่องสำอาง พบว่า มีแนวโน้มจะซื้อเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลีอีกในอนาคต จะซื้อเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลีอีกหากสินค้าเดิมหมด และซื้อเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลีประเภทอื่นที่ยังไม่เคยใช้ในอนาคต มีแนวโน้มจะใช้เครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลีต่อไป และใช้เครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลีอีกหากมีการออกสินค้าใหม่ ผลการทดสอบสมมติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 พบว่า ผู้บริโภคที่มีอายุ ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้เฉลี่ยต่อเดือนแตกต่างกันมีพฤติกรรมการซื้อเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลีด้านค่าใช้จ่ายในการซื้อโดยเฉลี่ยแตกต่างกัน ผู้บริโภคที่มีอาชีพแตกต่างกัน มีพฤติกรรมการซื้อเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลีด้านความถี่ในการซื้อโดยเฉลี่ยแตกต่างกัน ทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์ สามารถทำนายพฤติกรรมการซื้อเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลีด้านความถี่ในการซื้อโดยเฉลี่ย ได้ร้อยละ 2.5 ค่านิยมสุขภาพดี มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำและเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับพฤติกรรมการซื้อเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลี ในด้านความถี่ในการซื้อโดยเฉลี่ย ค่านิยมสุขภาพดีและค่านิยมเลียนแบบต่างประเทศ มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำและในระดับปานกลาง ตามลำดับ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน กับพฤติกรรมการซื้อเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลี ในด้านค่าใช้จ่ายในการซื้อต่อครั้ง พฤติกรรมการซื้อเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลี ในด้านความถี่ในการซื้อโดยเฉลี่ย มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน กับแนวโน้มการซื้อซ้ำเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลี พฤติกรรมการซื้อเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลี ในด้านค่าใช้จ่ายในการซื้อต่อครั้ง มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน กับแนวโน้มการซื้อซ้ำเครื่องสำอางนำเข้าจากเกาหลี
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3789
2023-11-13T12:30:30Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3789
2023-11-13T12:30:30Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 4 No. 2 (2556): ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 เมษายน - กันยายน 2556; 1-17
แนวโน้มและพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนชาวไทยในเขตกรุงเทพมหานคร
โตสันติกุล, อธิวัฒน์; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3789
แนวโน้มการลงทุน พฤติกรรมการลงทุน นักลงทุนชาวไทย สินทรัพย์
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษา แนวโน้มและพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนชาวไทยในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ได้แก่ ประชากรชาวไทยที่มีแหล่งอาศัยอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและเป็นนักลงทุนจำนวนทั้งสิ้น 400 ตัวอย่างเครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าที การวิเคราะห์ค่าความแปรปรวน ทางเดียว และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัย พบว่า นักลงทุนที่มีอายุและอาชีพที่แตกต่างกันมีพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนชาวไทยในเขตกรุงเทพมหานครแตกต่างกัน ในด้านจำนวนครั้งที่ลงทุนโดยเฉลี่ย (ครั้ง/ ปี) และด้านมูลค่าการลงทุนโดยเฉลี่ย (บาท/ ครั้ง) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 นักลงทุนที่สถานภาพและรายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่แตกต่างกันมีพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนชาวไทยในเขตกรุงเทพมหานครแตกต่างกัน ในด้านมูลค่าการลงทุนโดยเฉลี่ย (บาท/ ครั้ง) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 บุคลิกภาพด้านกล้าเสี่ยง (ชอบผจญภัย) มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนชาวไทยในเขตกรุงเทพมหานคร ในด้านระยะเวลาถือครองสินทรัพย์เฉลี่ยโดยมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำทิศทางตรงกันข้าม บุคลิกภาพด้านความเชื่อมั่นในตนเอง ด้านรอบคอบระมัดระวังและด้านการใช้เหตุผลในการตัดสินใจมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนชาวไทย ในเขตกรุงเทพมหานคร ในด้านจำนวนครั้งที่ลงทุนโดยเฉลี่ย (ครั้ง/ ปี) โดยมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำทิศทางเดียวกัน บุคลิกภาพด้านการใช้เหตุผลในการตัดสินใจมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนชาวไทยในเขตกรุงเทพมหานคร ในด้านมูลค่าการลงทุนโดยเฉลี่ย (บาท/ ครั้ง) โดยมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำทิศทางเดียวกัน ปัจจัยภายในด้านความมั่งคั่ง มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนชาวไทยในเขตกรุงเทพมหานครด้านจำนวนครั้งที่ลงทุนโดยเฉลี่ย (ครั้ง/ ปี) และด้านมูลค่าการลงทุนโดยเฉลี่ย (บาท/ ครั้ง) ปัจจัยภายในด้านความเสี่ยง มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนชาวไทยในเขตกรุงเทพมหานครด้านมูลค่าการลงทุนโดยเฉลี่ย (บาท/ ครั้ง) ส่วนปัจจัยภายในด้านสภาพคล่อง มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุน ชาวไทยในเขตกรุงเทพมหานครด้านมูลค่าการลงทุนโดยเฉลี่ย (บาท/ ครั้ง) ในระดับต่ำและเป็นไปในทิศทางเดียวกันตามลำดับ ปัจจัยภายนอกด้านเศรษฐกิจ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนชาวไทยในเขตกรุงเทพมหานครด้านจำนวนครั้งที่ลงทุนโดยเฉลี่ย (ครั้ง/ ปี) โดยมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำทิศทางเดียวกัน และปัจจัยภายนอกด้านการเมือง มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุน ชาวไทยในเขตกรุงเทพมหานคร ด้านระยะเวลาในการถือครองหลักทรัพย์เฉลี่ย มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำและเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม พฤติกรรมการลงทุน ด้านจำนวนครั้งที่ลงทุนเฉลี่ย (ครั้ง/ ปี) มีความสัมพันธ์กับแนวโน้มการลงทุนในอนาคต โดยมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำทิศทางเดียวกัน
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3790
2023-11-13T12:30:30Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3790
2023-11-13T12:30:30Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 4 No. 2 (2556): ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 เมษายน - กันยายน 2556; 18-40
ปัจจัยและผลกระทบของสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีผลต่อธุรกิจโรงแรมขนาดเล็ก ในอำเภอเมือง จังหวัดยะลา
ลียาชัย, อกัณห์มณี; สาขาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3790
3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โรงแรมขนาดเล็ก ภาพลักษณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อศึกษาปัจจัยและผลกระทบของสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีผลต่อการใช้บริการ ธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กใน อำเภอเมือง จังหวัดยะลา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ลูกค้าที่เข้าพักที่โรงแรมขนาดเล็ก ในอำเภอเมือง จังหวัดยะลา จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ความเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าที การวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนทางเดียว การวิเคราะห์เชิงถดถอยแบบพหุคูณ และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียรสัน โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมีอายุระหว่าง 21 - 30 ปี มีระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี มีอาชีพรับจ้าง/ พนักงานเอกชนมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่าหรือเท่ากับ 10,000 บาทและมีสถานภาพสมรส/ อยู่ด้วยกัน จากการทดสอบสมมติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 พบว่า 1. ลูกค้าที่มีเพศ อายุ ระดับการศึกษาอาชีพรายได้เฉลี่ยต่อเดือน และสถานภาพแตกต่างกัน มีพฤติกรรมการใช้บริการ แตกต่างกัน ในด้านราคาห้องพักที่ใช้บริการ 2. ลูกค้าที่มีอายุ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนแตกต่างกัน มีพฤติกรรมการใช้บริการ แตกต่างกันในด้านระยะเวลาในการเข้าพักต่อครั้ง 3. ทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาดบริการ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านกระบวนการให้บริการ และ ด้านสร้างและนำเสนอลักษณะทางกายภาพ สามารถทำนายพฤติกรรมการใช้บริการ ด้านจำนวนผู้ร่วมเดินทางในแต่ละครั้ง ในทิศทางตรงข้าม ด้านราคาห้องพักที่ใช้บริการ และด้านความถี่ในการใช้บริการ ในทิศทางเดียวกัน ร้อยละ 1.9, 4.1 และ 2.0 ตามลำดับ 4. ทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาดบริการ ด้านผลิตภัณฑ์ และด้านพนักงาน สามารถทำนายพฤติกรรมการใช้บริการธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กใน อำเภอเมือง จังหวัดยะลา ด้านระยะเวลาในการเข้าพักต่อครั้ง ในทิศทางเดียวกัน โดยสามารถอธิบายได้ร้อยละ 4.1 5. ความพึงพอใจต่อการให้บริการ ด้านการตอบสนองต่อผู้รับบริการ สามารถทำนายพฤติกรรมการใช้บริการ ด้านราคาห้องพักที่ใช้บริการ และด้านระยะเวลาในการเข้าพักต่อครั้ง ในทิศทางเดียวกัน ได้ร้อยละ 5.4และ 3.6 ตามลำดับ 6. ผลกระทบของสถานการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้านการเมือง และด้านเศรษฐกิจมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการ ด้านราคาห้องพักที่ใช้บริการ โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม และ ด้านระยะเวลาในการเข้าพัก โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน 7. ภาพลักษณ์ที่มีต่อ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้านภาพลักษณ์ที่เกิดขึ้นจากการปรุงแต่ง มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการธุรกิจโรงแรมขนาดเล็กในอำเภอเมือง จังหวัดยะลา ด้านระยะเวลาในการเข้าพัก โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกัน ในระดับต่ำ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3791
2023-11-13T12:30:30Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3791
2023-11-13T12:30:30Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 4 No. 2 (2556): ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 เมษายน - กันยายน 2556; 41-54
วัฒนธรรมองค์กรและแรงจูงใจที่มีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการพลเรือนในกรุงเทพมหานคร
สุขสุดไพศาล, สิริกร; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3791
ประสิทธิภาพการทำงาน แรงจูงใจ วัฒนธรรมองค์กร ข้าราชการพลเรือน
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงาน ของข้าราชการพลเรือนในกรุงเทพมหานคร ประชากรที่ใช้ในการศึกษา คือ ข้าราชการพลเรือนที่ทำงานอยู่ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 80,506 คน ใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 ตัวอย่าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแตกต่างใช้สถิติการทดสอบค่าที สถิติวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และสถิติเชิงถดถอยพหุคูณ หรือเชิงซ้อน โดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางคณิตศาสตร์ การทดสอบสมมติฐานในปัจจัยทางด้านประชากรศาสตร์ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 พบว่า ระดับการศึกษาที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการพลเรือนในเขตกรุงเทพมหานคร แตกต่างกันและจากการวิเคราะห์ความถดถอยพหุคูณ พบว่า ตัวแปรที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการพลเรือนในกรุงเทพมหานครในด้านวัฒนธรรมองค์กรอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ ลักษณะการหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอน และลักษณะความเป็น เพศชาย ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .01 และ .05 ตามลำดับ ในขณะที่ด้านแรงจูงใจในการปฏิบัติงาน พบว่า ด้านลักษณะงานที่ปฏิบัติด้านการยอมรับนับถือ ด้านความสำเร็จ ในการปฏิบัติงาน มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนด้านความรับผิดชอบที่ระดับนัยสำคัญ ทางสถิติที่ .05 โดยมีตัวแปรที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานของข้าราชการพลเรือนในกรุงเทพมหานคร มากที่สุดคือ ด้านความสำเร็จในการปฏิบัติงาน ด้านการยอมรับนับถือด้านลักษณะงานที่ปฏิบัติ ลักษณะการหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอน ด้านความรับผิดชอบและลักษณะความเป็นเพศชาย
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3792
2023-11-13T12:30:30Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3792
2023-11-13T12:30:30Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 4 No. 2 (2556): ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 เมษายน - กันยายน 2556; 55-73
ความสัมพันธ์ของลักษณะส่วนบุคคล ลักษณะงาน และพฤติกรรมผู้นำ กับความผูกพันต่อองค์การ
อดิศรพันธ์กุล, วนันญา; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3792
ลักษณะงาน พฤติกรรมผู้นำ ความผูกพันต่อองค์การ
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ความสัมพันธ์ของลักษณะส่วนบุคคล ลักษณะงาน และพฤติกรรมผู้นำกับความผูกพันต่อองค์การ ของพนักงานบริษัทเอกชนในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ความแตกต่างใช้การหาค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงพหุ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 28 - 34 ปี มีการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่าปริญญาตรี มีระดับเงินเดือน 15,001 – 30,000 บาท มีตำแหน่งผู้ปฏิบัติการ และมีประสบการณ์การทำงาน 11 ปีขึ้นไป ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ความผูกพันต่อองค์การด้านความรู้สึกมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับความเป็นเอกลักษณ์ของงาน ความสำคัญของงาน พฤติกรรมผู้นำที่มุ่งงานและพฤติกรรมผู้นำที่มุ่งคน และความผูกพันต่อองค์การด้านความรู้สึกมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้ามกับความมีอิสระในการตัดสินใจ และลักษณะส่วนบุคคล ได้แก่ ระดับเงินเดือนที่แตกต่างกัน มีความผูกพันต่อองค์การด้านความรู้สึกแตกต่างกัน ความผูกพันต่อองค์การด้านความต่อเนื่องมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับความเป็นเอกลักษณ์ของงาน พฤติกรรมผู้นำที่มุ่งงาน และพฤติกรรมผู้นำที่มุ่งคน และลักษณะส่วนบุคคล ได้แก่ อายุที่แตกต่างกัน มีความผูกพันต่อองค์การด้านความต่อเนื่องแตกต่างกัน ความผูกพันต่อองค์การด้านบรรทัดฐานของสังคมมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันกับความสำคัญของงาน พฤติกรรมผู้นำที่มุ่งงาน และพฤติกรรมผู้นำที่มุ่งคน และความผูกพันต่อองค์การด้านบรรทัดฐานของสังคมมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้ามกับความมีอิสระในการตัดสินใจ และลักษณะส่วนบุคคล ได้แก่ อายุที่แตกต่างกัน มีความผูกพันต่อองค์การด้านบรรทัดฐานของสังคมแตกต่างกัน
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3793
2023-11-13T12:30:30Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3793
2023-11-13T12:30:30Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 4 No. 2 (2556): ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 เมษายน - กันยายน 2556; 74-88
ปัจจัยที่มีผลต่อความภักดีในตราสินค้า “Greyhound” ของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร
เชื้ออารย์, อัคร์วิชญ์; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3793
ามภักดีในตราสินค้า ความตั้งใจในการซื้อสินค้า การรับรู้ตราสินค้า ภาพลักษณ์ คุณค่าตราสินค้า
en_US
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมุ่งทําการศึกษา ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับความภักดีในแบรนด์ “Greyhound” ของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร โดยศึกษาคุณลักษณะด้านปัจจัยส่วนบุคคล ภาพลักษณ์ ตราสินค้า การรับรู้ตราสินค้า ความตั้งใจในการซื้อ คุณค่าตราสินค้า และความภักดีในตราสินค้า กลุ่มตัวอย่างผู้ที่ใช้หรือเคยซื้อสินค้า Greyhound จำนวน 400 คน ผลการทดสอบ สมมติฐานพบว่า กลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 21 – 30 ปี มีสถานภาพโสด ระดับการศึกษา ส่วนใหญ่ มีระดับการศึกษาปริญญาตรี มีอาชีพนักเรียน/ นักศึกษา มีรายได้ต่อเดือน 10,001 – 20,000 บาท กลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคมีการรับรู้ตราสินค้า Greyhound โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง โดยมีการรับรู้ว่า Greyhound เป็นสินค้าแฟชั่นมากที่สุด กลุ่มตัวอย่างผู้บริโภค มีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพลักษณ์ตราสินค้า Greyhound โดยรวม อยู่ในระดับดี กลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคมีระดับความคิดเห็นเกี่ยวกับ ความตั้งใจในการซื้อสินค้า Greyhound คุณค่าตราสินค้า Greyhound และความภักดีในตราสินค้า Greyhound โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง กลุ่มตัวอย่างผู้บริโภคที่มีคุณลักษณะประชากรศาสตร์ ประกอบด้วย ระดับการศึกษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน แตกต่างกันมีความภักดีในตราสินค้า Greyhound แตกต่างกันการรับรู้ ตราสินค้า Greyhound ของผู้บริโภคมี ความสัมพันธ์กับความภักดีในตราสินค้า Greyhound ในทิศทางเดียวกันโดยมีระดับความสัมพันธ์ในระดับปานกลาง ภาพลักษณ์ตราสินค้า Greyhound ของผู้บริโภคมีความสัมพันธ์กับ ความภักดีในตราสินค้า Greyhound ในทิศทางเดียวกัน โดยมีระดับความสัมพันธ์ในระดับปานกลางความตั้งใจในการซื้อสินค้า Greyhound ของผู้บริโภคมีความสัมพันธ์กับความภักดีในตราสินค้า Greyhound ในทิศทางเดียวกัน โดยมีระดับความสัมพันธ์ ในระดับสูง คุณค่าตราสินค้า Greyhound ของผู้บริโภคมีความสัมพันธ์ กับความภักดีในตราสินค้า Greyhound ในทิศทางเดียวกัน โดยมีระดับความสัมพันธ์ในระดับสูง
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3794
2023-11-13T12:30:30Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3794
2023-11-13T12:30:30Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 4 No. 2 (2556): ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 เมษายน - กันยายน 2556; 89-102
รูปแบบและปัญหาในการให้บริการของ สำนักงานบัญชีในประเทศไทย
อยู่ทอง, แสงระวี; มหาวิทยาลัยสยาม
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3794
รูปแบบการให้บริการ ปัญหาจากการให้บริการ สำนักงานบัญชี
en_US
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษารูปแบบและปัญหาในการให้บริการของสำนักงานบัญชีในประเทศไทยในด้านต่างๆ ได้แก่ ด้านตลาดการบริการ ด้านการจัดการ และด้านการเงิน กลุ่มตัวอย่าง คือ สำนักงานบัญชีได้ผ่านรับรองคุณภาพสำนักงานบัญชี จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแล้วเท่านั้น การเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถามในเดือน มกราคมถึงมีนาคม 2556 รวมระยะเวลา 3 เดือน โดยใช้ Two independent samples t-test และ One-way ANOVA โดยกำหนดระดับนัยสำคัญที่ 0.05 ผลการวิจัยพบว่า รูปแบบในการให้บริการของสำนักงานบัญชีให้บริการทางด้านการให้บริการจัดทำบัญชีและงบการเงิน จัดทำภาษียื่นสรรพากรและการนำส่งประกันสังคมมากที่สุด โดยมีเกณฑ์การคิดค่าบริการส่วนใหญ่คิดเป็นลักษณะตามปริมาณของงาน วิธีการเรียกเก็บค่าบริการ เป็นการจ่ายเงินสดมากที่สุด ส่วนกลยุทธ์ในการรักษาลูกค้า คือ เน้นคุณภาพในการให้บริการมากที่สุด จุดเด่นที่สุดของสำนักงานบัญชี คือ การจัดทำบัญชีและนำเสนองบการเงินได้อย่างถูกต้อง ตามมาตรฐานการบัญชีที่รับรองทั่วไป และทันตามกำหนดเวลา ไม่มีปัญหากับกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามากที่สุด การจัดเก็บเอกสารบัญชี โดยเก็บไว้ที่สำนักงานบัญชีชั่วคราวและจัดส่งให้ลูกค้า วิธีการจัดทำบัญชีจะทำด้วยมือทั้งหมด และใช้โปรแกรมสำเร็จรูปทางบัญชี ในการบันทึกบัญชี ปัญหาในการให้บริการ ทางด้านการตลาดบริการและด้านการเงินอยู่ในระดับน้อย ส่วนในด้านการจัดการ มีระดับปัญหาปานกลาง สำนักงานบัญชีที่มีข้อมูลพื้นฐานที่แตกต่างกัน ได้แก่ รูปแบบของธุรกิจ ทุนขอจดทะเบียน ระยะเวลาดำเนินการ จำนวนบุคลากร และจำนวนลูกค้า มีปัญหาในการให้บริการของสำนักงานบัญชีที่ต้องการไม่แตกต่างกัน
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3795
2023-11-13T12:30:30Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3795
2023-11-13T12:30:30Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 4 No. 2 (2556): ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 เมษายน - กันยายน 2556; 103-119
การศึกษาพฤติกรรมการเข้าร่วมโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรม เอวายซี ประเทศไทย
เขมะรางกูล, ศิวพร; สาขาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3795
โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรมเอวายซี ประเทศไทย นักเรียนแลกเปลี่ยน พฤติกรรมการเข้าร่วมโครงการ
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพฤติกรรมการเข้าร่วมโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยนภาษาและวัฒนธรรม เอวายซี ประเทศไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้เข้าร่วมโครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน เอวายซี ประเทศไทย อายุ 15-27 ปี จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครี่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าสถิติ ไคร์สแควร์ ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า 1. พฤติกรรมการเข้าร่วมโครงการ ด้านประโยชน์ที่ได้หลังการเข้าร่วมโครงการ มีความสัมพันธ์กับ เพศ อายุ ระดับการศึกษาสูงสุด และความรู้ทางด้านภาษาก่อนเข้าร่วมโครงการ 2. พฤติกรรมการเข้าร่วมโครงการ ด้านการแนะนำบุคคลอื่นเข้าร่วมโครงการ มีความสัมพันธ์กับ อายุ ระดับการศึกษาสูงสุด รายได้ของครอบครัวต่อเดือน ความรู้ทางด้านภาษาก่อนเข้าร่วมโครงการ คุณภาพการบริการด้านความน่าเชื่อถือ ความเชื่อมั่นต่อการให้บริการ และความเอาใจใส่ต่อลูกค้า 3. พฤติกรรมการเข้าร่วมโครงการ ด้านการกลับมาใช้บริการโครงการอื่นๆ ของเอวายซี ประเทศไทย มีความสัมพันธ์กับ อาชีพของบิดา รายได้ของครอบครัวต่อเดือน กลุ่มทวีปที่เลือก คุณภาพการบริการด้านลักษณะทางกายภาพ ด้านความน่าเชื่อถือ การตอบสนองต่อลูกค้า และความเชื่อมั่นต่อการให้บริการ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3796
2023-11-13T12:30:30Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3796
2023-11-13T12:30:30Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 4 No. 2 (2556): ปีที่ 4 ฉบับที่ 2 เมษายน - กันยายน 2556; 120-138
ปัจจัยการรับรู้ที่ส่งผลต่อทัศนคติการเลือกซื้อสินค้าจากกิจการ เพื่อสังคมในกรุงเทพมหานคร กรณีศึกษาโครงการหลวง
หอมหวาน, มณีวงษ์; สาขาการประกอบการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร
2013-11-18
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/3796
การรับรู้ ทัศนคติ พฤติกรรม กิจการเพื่อสังคม โครงการหลวง
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยการรับรู้ที่ส่งผลต่อทัศนคติและพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าโครงการหลวงที่ได้มีการดำเนินกิจการเพื่อสังคมของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย ตัวแปรอิสระ คือ ลักษณะทางประชากรศาสตร์และปัจจัยด้านการรับรู้เกี่ยวกับข่าวสารและการดำเนินกิจการเพื่อสังคมของโครงการหลวง ซึ่งได้จำแนกออกเป็น ด้านสื่อมวลชน ด้านสื่อบุคคล ด้านสื่อสิ่งพิมพ์ ด้านสื่ออิเล็กทรอนิกส์บนเว็บไซต์ ด้านสื่อเฉพาะกิจ ด้านสังคม ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านเศรษฐกิจ ด้านสินค้า ด้านนวัตกรรม และตัวแปรตามคือ ทัศนคติ และพฤติกรรมของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครต่อการเลือกซื้อสินค้าโครงการหลวงที่ได้มี การดำเนินกิจการเพื่อสังคม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ผู้บริโภคสินค้าที่ ร้านโครงการหลวง 5 สาขาในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน ซึ่งใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบตามความสะดวก โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณ ด้วยวิธีเลือกตัวแปรแบบ Backward ผลการวิจัย พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 31-40 ปี สถานภาพโสด ระดับการศึกษาปริญญาตรี อาชีพพนักงานบริษัทเอกชน มีรายได้ต่อเดือน 10,001-20,000 บาท มีจำนวนสมาชิกในครอบครัว 1-3 คน อาศัยอยู่ที่บ้านพักส่วนตัว มีระยะเวลาอาศัยอยู่ใน พื้นที่กรุงเทพมหานคร 20 ปีขึ้นไป และไม่มีความสัมพันธ์กับคณะผู้บริหารหรือเจ้าหน้าที่ของโครงการหลวง ระดับการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับกิจการเพื่อสังคมของผู้บริโภคสินค้าโครงการหลวง ในกรุงเทพมหานคร อยู่ในระดับน้อย และระดับการรับรู้ต่อการดำเนินกิจการเพื่อสังคมของผู้บริโภคสินค้าโครงการหลวงในกรุงเทพมหานคร พบว่า อยู่ในระดับมาก ระดับทัศนคติการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคสินค้าโครงการหลวงในกรุงเทพมหานคร พบว่า อยู่ในระดับมากที่สุด การวิเคราะห์ปัจจัยการรับรู้ที่ส่งผลต่อทัศนคติการเลือกซื้อสินค้าจากกิจการเพื่อสังคมของผู้บริโภคสินค้าโครงการหลวงในกรุงเทพมหานคร พบว่า การรับรู้ที่ส่งผลต่อทัศนคติการเลือกซื้อสินค้าโครงการหลวงของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร จะมีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกันกับด้านสื่อบุคคล ด้านสื่อสิ่งพิมพ์ ด้านสื่ออิเล็กทรอนิกส์บนเว็บไซต์ ด้านสินค้า และด้านนวัตกรรม แต่จะมีความสัมพันธ์ในทางตรงข้ามกับด้านสื่อเฉพาะกิจ ข้อเสนอแนะ คือ โครงการหลวงควรเน้นให้ความสำคัญในเรื่องการรับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับกิจการเพื่อสังคมให้มากที่สุด โดยอาจมีการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์กับสื่อทางช่องทางสังคมออนไลน์ให้มากที่สุด อาทิ เฟซบุ๊ก (Facebook) ยูทูป (Youtube) ไลน์ (LINE) และอินสตาแกรม (Instagram) ซึ่งจะเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สามารถเผยแพร่ข่าวสาร ความรู้เกี่ยวกับกิจการเพื่อสังคมได้อย่างรวดเร็วและแพร่หลาย
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4638
2023-11-13T12:30:46Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4638
2023-11-13T12:30:46Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 5 No. 1 (2557): ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2557; 1-24
อิทธิพลของศักยภาพผู้นำชุมชนและการใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
ความคุ้นเคย, เจษฎา; คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
ชิณพงษ์, ประพันธ์พงษ์; คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์
พึ่งโพธิ์, เบญญา; ธนาคารออมสิน สาขาภาชี
พึ่งโพธิ์, เบญญาภา; ภาควิชาสัตววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
2014-09-26
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4638
ศักยภาพผู้นำชุมชน ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน
en_US
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาอิทธิพลของศักยภาพผู้นำชุมชนและการใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน ศึกษาอิทธิพลของการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติมีอิทธิพลในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนของหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ โดยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโมเดลสมการโครงสร้าง (SEM) ประกอบด้วย ตัวแปรเกณฑ์ ได้แก่ การพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน และตัวแปรพยากรณ์ ได้แก่ ศักยภาพผู้นำ และการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติ ประชากร ได้แก่ หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ ปี 2554 จำนวน 1,756 หมู่บ้าน กำหนดกลุ่มตัวอย่าง ใช้สูตรของยามาเน่ ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 326 หมู่บ้าน การเลือกตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ข้อมูลพื้นฐานของหมู่บ้าน ระดับการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติ การประเมินศักยภาพผู้นำชุมชน และผลการประเมินหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ค่าความถี่ (Frequency) ค่าเฉลี่ย (Mean) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน (CFA) การวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้าง (SEM) ผลการวิจัย พบว่า ผู้นำชุมชนมีศักยภาพอยู่ในระดับมาก หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบมีระดับการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติ อยู่ในระดับมาก โดยการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ด้านความพอประมาณไปปฏิบัติสูงสุด หมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบส่วนใหญ่อยู่ในระดับพอมีพอกิน ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ศักยภาพผู้นำชุมชนมีอิทธิพลทางตรงต่อการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติในหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ คิดเป็นร้อยละ 47 ศักยภาพผู้นำชุมชนไม่มีอิทธิพลทางตรงต่อการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนของหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ แต่ศักยภาพผู้นำชุมชนมีอิทธิพลทางอ้อมโดยผ่านการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติ คิดเป็นร้อยละ 3 การนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปปฏิบัติมีอิทธิพลต่อการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนของหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบ คิดเป็นร้อยละ 7 และการวิเคราะห์โมเดลสมการโครงสร้างการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนของหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงต้นแบบมีความสอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์อยู่ในเกณฑ์ดี ค่าไค-สแควร์ เท่ากับ 62.904 ที่องศาอิสระ (df) เท่ากับ 47 ค่าความน่าจะเป็น (p-value) เท่ากับ 0.060 ไค-สแควร์สัมพันธ์ (chi-square/ df) เท่ากับ 1.338 ค่าดัชนีวัดระดับ ความสอดคล้อง (GFI) เท่ากับ .969 ดัชนีวัดระดับความสอดคล้องที่ปรับแก้แล้ว (AGFI) เท่ากับ .948 ค่าเปรียบเทียบสัดส่วนที่ปรับให้ดีขึ้น (CFI) เท่ากับ .992 ดัชนีรากของค่าเฉลี่ยกำลังสองของเศษเหลือ (RMR) เท่ากับ .024 และค่าดัชนีรากของค่าเฉลี่ยกำลังสองของการประมาณค่าความคลาดเคลื่อน (RMSEA) เท่ากับ .032
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4639
2023-11-13T12:30:46Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4639
2023-11-13T12:30:46Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 5 No. 1 (2557): ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2557; 25-42
แรงจูงใจ การรับรู้ การคาดหวัง และพฤติกรรมการชมคอนเสริ์ตต่างประเทศในกรุงเทพมหานคร
ศิวาบุตรี, สิรัมชญา; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-26
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4639
คอนเสิร์ตต่างประเทศ พฤติกรรมผู้บริโภค แรงจูงใจ การรับรู้ ความคาดหวัง
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาแรงจูงใจ การรับรู้ ความคาดหวัง และพฤติกรรมการชมคอนเสิร์ตต่างประเทศในกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริโภคอายุตั้งแต่ 14 ปีขึ้นไป ที่เคยชมคอนเสิร์ตต่างประเทศในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 22 – 25 ปี มีสถานภาพโสด ระดับการศึกษาปริญญาตรี อาชีพนักเรียน/ นักศึกษา และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 5,001 – 15,000 บาท มีความถี่ในการชมเฉลี่ยประมาณ 2 ครั้งต่อปี มีค่าใช้จ่ายในการซื้อบัตรเฉลี่ยประมาณ 3,126.49 บาทต่อครั้ง มีเหตุผลในการเลือกชมเพราะชื่นชอบในตัวศิลปิน/ แนวเพลง/ ผลงาน ค้นหาข้อมูลข่าวสารจากอินเทอร์เน็ต มักจะไปชมคอนเสิร์ตในวันเสาร์ถึงวันอาทิตย์/ วันหยุดนักขัตฤกษ์ ช่วงเวลาหลัง 18.00 น. เป็นต้นไป ชอบชมคอนเสิร์ตที่จัดขึ้นที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี นิยมซื้อบัตรจากจุดจำหน่ายไทยทิคเก็ตเมเจอร์ (Thai Ticket Major) และบุคคลที่มีอิทธิพลในการเลือกชมคอนเสิร์ตต่างประเทศมากที่สุดคือตัวผู้ชมเอง โดยผู้บริโภคมีแรงจูงใจด้านอารมณ์ และด้านเหตุผลอยู่ในระดับมาก มีความคาดหวังด้านศิลปินและบริการอยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนด้านราคา ด้านสถานที่และช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านการส่งเสริมการตลาดอยู่ในระดับมาก มีการรับรู้ด้านศิลปินและบริการ ด้านราคา ด้านสถานที่และช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านการส่งเสริมการตลาดอยู่ในระดับมาก นอกจากนี้ยังพบว่า เพศ สถานภาพ และอาชีพแตกต่างกันมีพฤติกรรมการชมคอนเสิร์ตแตกต่างกัน อีกทั้งแรงจูงใจด้านอารมณ์ และด้านเหตุผล รวมถึง การรับรู้ด้านศิลปินและบริการ และด้านราคามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการชมคอนเสิร์ตต่างประเทศ ในส่วนของความคาดหวังต่อส่วนประสมทางการตลาดแตกต่างจากการรับรู้ต่อส่วนประสมทางการตลาดทุกด้าน
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4640
2023-11-13T12:30:46Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4640
2023-11-13T12:30:46Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 5 No. 1 (2557): ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2557; 43-64
การวิเคราะห์องค์ประกอบปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคน้ำผักผลไม้พร้อมดื่มชนิด UHT ของผู้บริโภคในจังหวัดกรุงเทพมหานคร และจังหวัดกาญจนบุรี
สาลีผลิน, สลิตา; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-26
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4640
ปัจจัย วิเคราะห์ปัจจัย กลยุทธ์ทางการตลาด
en_US
การวิจัยนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาปัจจัยสำคัญและศึกษาเปรียบเทียบการวิเคราะห์ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ที่บริโภคในจังหวัดกรุงเทพมหานครกับจังหวัดกาญจนบุรี บริโภคน้ำผักผลไม้พร้อมดื่ม ชนิด UHT และเพื่อศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคน้ำผักผลไม้พร้อมดื่มชนิด UHT ของผู้บริโภคในจังหวัดกรุงเทพมหานครและจังหวัดกาญจนบุรี จากการสำรวจผู้บริโภคจำนวน 400 คน ประกอบด้วยจังหวัดกรุงเทพมหานคร 200 คน และจังหวัดกาญจนบุรี 200 คน ซึ่งมีตัวแปรที่ใช้ทดสอบ 58 ตัว เมื่อนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ปัจจัย (Factor analysis) ผลการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า 1) ผู้บริโภคในจังหวัดกรุงเทพมหานครที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 15-24 ปี ระดับการศึกษาปริญญาตรี/ เทียบเท่า อาชีพ นักเรียน/นักศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือน ต่ำกว่าหรือ เท่ากับ 10,000 บาท 2) ผู้บริโภคในจังหวัดกาญจนบุรีที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 15-24 ปี ระดับการศึกษา ปริญญาตรี/ เทียบเท่า อาชีพ ข้าราชการ รายได้เฉลี่ยต่อเดือน มากกว่า 30,000 บาท 3) ผู้บริโภคในจังหวัดกรุงเทพมหานครและจังหวัดกาญจนบุรีที่ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ บริโภคน้ำผักผลไม้พร้อมดื่ม ชนิด UHT ประเภทน้ำผักผลไม้รวมหลายชนิด ยี่ห้อยูนิฟ บุคคลที่มีอิทธิพลต่อการซื้อคือ บุคคลในครอบครัว เหตุผลในการบริโภคคือ บริโภคเพราะต้องการบำรุงสุขภาพ สถานที่ซื้อคือ ร้านสะดวกซื้อหรือร้านค้าเฉพาะอย่าง ความเข้มข้นที่ซื้อคือ น้ำผักผลไม้แท้ 100 เปอร์เซ็นต์ ปริมาณที่ซื้อคือ กล่องเล็ก 200-500 มิลลิลิตร ความถี่ในการบริโภคมีค่าเฉลี่ยประมาณ 8 ครั้งต่อเดือน 4) ปัจจัยด้านความคิดเห็นที่มีต่อประเด็นต่างๆ ผู้บริโภคในจังหวัดกรุงเทพมหานคร และกาญจนบุรีที่ตอบแบบสอบถามมีความคิดเห็นที่มีต่อประเด็นต่างๆ โดยรวมอยู่ในระดับดี 5) องค์ประกอบของพฤติกรรมผู้บริโภคน้ำผักผลไม้พร้อมดื่ม ชนิด UHT ของผู้บริโภคในจังหวัดกรุงเทพมหานคร มีมากกว่า 1 องค์ประกอบ โดยปัจจัยของผู้บริโภคในจังหวัดกรุงเทพมหานครสามารถรวมกลุ่มตัวแปรเป็น 14 ปัจจัย ได้แก่ (1) ปัจจัยด้านคุณประโยชน์และคุณภาพของผลิตภัณฑ์ (2) ปัจจัยด้านช่องทางการสื่อสาร (3) ปัจจัยด้านผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่าย (4) ปัจจัยด้านช่องทางการจำหน่าย (5) ปัจจัยด้านราคาและเสถียรภาพผลิตภัณฑ์ (6) ปัจจัยด้านการนำเสนอผลิตภัณฑ์ (7) ปัจจัยด้านบรรจุภัณฑ์ (8) ปัจจัยด้านแหล่งข้อมูลและแหล่งวัตถุดิบ (9) ปัจจัยด้านสิ่งจูงใจในการโฆษณา (10) ปัจจัยด้านส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ (11) ปัจจัยด้านประสาทสัมผัส (12) ปัจจัยด้านการมองเห็น (13) ปัจจัยด้านรสชาติและความรับผิดชอบต่อสังคม 14) ปัจจัยด้านความต้องการของผู้บริโภคโดยปัจจัยด้านคุณประโยชน์และคุณภาพของผลิตภัณฑ์สามารถอธิบายความแปรปรวนของตัวแปรได้สูงสุด 12.28 เปอร์เซ็นต์ 6) องค์ประกอบของพฤติกรรมผู้บริโภคน้ำผักผลไม้พร้อมดื่มชนิด UHT ของผู้บริโภคในจังหวัดกาญจนบุรี มีมากกว่า 1 องค์ประกอบ โดยปัจจัยของผู้บริโภคในจังหวัดกาญจนบุรีสามารถรวมกลุ่มตัวแปรเป็น 11 ปัจจัย ได้แก่ (1) ปัจจัยด้านคุณค่าและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ (2) ปัจจัยด้านกระแสนิยม (3) ปัจจัยด้านช่องทางการจำหน่ายและรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ (4) ปัจจัยช่องทางการสื่อสารและอายุการเก็บของผลิตภัณฑ์ (5) ปัจจัยด้านอินเตอร์เน็ตและการโฆษณาทางโทรทัศน์ (6) ปัจจัยด้านการมีความรับผิดชอบต่อสังคม 7) ปัจจัยด้านส่วนประกอบผลิตภัณฑ์ (8) ปัจจัยด้านผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่าย 9) ปัจจัยด้านเสถียรภาพของผลิตภัณฑ์ 10) ปัจจัยด้านตราสินค้า 11) ปัจจัยด้านสิ่งจูงใจในการโฆษณา โดยปัจจัยด้านคุณประโยชน์และคุณค่าของผลิตภัณฑ์สามารถอธิบายความแปรปรวนของตัวแปรได้สูงสุด 15.24 เปอร์เซ็นต์ ผลจากการศึกษาครั้งนี้สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดของผลิตภัณฑ์น้ำผักผลไม้พร้อมดื่มชนิด UHT โดยผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายควรพิจารณาด้านคุณประโยชน์ของผลิตภัณฑ์เป็นอันดับแรก
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4641
2023-11-13T12:30:46Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4641
2023-11-13T12:30:46Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 5 No. 1 (2557): ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2557; 65-79
การศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินในกรุงเทพมหานคร
วีระสุข, เสกสรรค์; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-26
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4641
ส่วนประสมทางการตลาด พฤติกรรม ทัศนคติ แรงจูงใจ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินในกรุงเทพมหานคร โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัย 2 วิธี คือ วิธีเชิงปริมาณ โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ใน การวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบไคสแควร์ (Chi – square) การหาค่าสัมประสิทธิ์สัมพันธิ์อย่างง่ายของเพียร์สัน และวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม (Non-participation observation) และวิเคราะห์ข้อมูลโดยการสังเคราะห์เนื้อหา (Synthesis) ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 15 – 24 ปี การศึกษาระดับปริญญาตรี อาชีพพนักงานเอกชน และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001 – 20,000 บาท มีทัศนคติด้านผลิตภัณฑ์ ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านการส่งเสริมการตลาดอยู่ในระดับดี ส่วนทัศนคติด้านราคาอยู่ในระดับปานกลาง ผู้ตอบแบบสอบถามมีแรงจูงใจด้านเหตุผลโดยรวมอยู่ในระดับมาก และมีแรงจูงใจด้านอารมณ์โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ตราสินค้าที่ซื้อมากที่สุดคือ Blackmores สูตรที่ผู้บริโภคซื้อมากคือ วิตามินซี มีค่าใช้จ่ายในการซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินเฉลี่ย 1,156.07 บาท/ ครั้ง มีความถี่ในการซื้อ 3 ครั้ง/ 6เดือน โดยสาเหตุที่ซื้อคือซื้อตามคนรอบข้างและได้รับข้อมูลข่าวสารจากบุคคลที่รู้จัก ส่วนบุคคลที่มีอิทธิพลในการซื้อคือตนเองและนิยมซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินจากร้าน Watson/ Boots ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า เพศมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมผู้บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามิน ด้านตราสินค้าของผลิตภัณฑ์ ด้านบุคคลที่มีอิทธิพลในการซื้อผลิตภัณฑ์ ด้านระยะเวลาที่บริโภคผลิตภัณฑ์ อายุมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมผู้บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินด้านตราสินค้าของผลิตภัณฑ์ ด้านสูตรของผลิตภัณฑ์ ด้านบุคคลที่มีอิทธิพลในการซื้อผลิตภัณฑ์ด้านระยะเวลาที่บริโภคผลิตภัณฑ์ ด้านความถี่ในการบริโภคผลิตภัณฑ์ ระดับการศึกษามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมผู้บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามิน ด้านตราสินค้าของผลิตภัณฑ์ ด้านขนาดของผลิตภัณฑ์ ด้านสถานที่ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ด้านแหล่งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ด้านระยะเวลาที่บริโภคผลิตภัณฑ์ ด้านสาเหตุหลักใน การบริโภคผลิตภัณฑ์ อาชีพมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมผู้บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินด้านตราสินค้าของผลิตภัณฑ์ ด้านสถานที่ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ ด้านบุคคลที่มีอิทธิพลในการซื้อผลิตภัณฑ์ รายได้มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมผู้บริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามิน ด้านขนาดของผลิตภัณฑ์ ด้านสาเหตุที่ซื้อผลิตภัณฑ์ ด้านแหล่งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ ด้านบุคคลที่มีอิทธิพลในการซื้อผลิตภัณฑ์ ด้านระยะเวลาที่บริโภคผลิตภัณฑ์ ด้านความถี่ใน การบริโภคผลิตภัณฑ์ ทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาดด้านราคา ด้านการส่งเสริมการตลาดมีความสัมพันธ์กับความถี่ในการซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินในรอบ 6 เดือน ปัจจัยด้านแรงจูงใจด้านเหตุผล ด้านอารมณ์ มีความสัมพันธ์กับความถี่ในการซื้อผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินในรอบ 6 เดือน นักการตลาดและผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินควรเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มคนวัยทำงานและจัดกิจกรรมทางการตลาดที่กลุ่มวัยทำงานสนใจและ ใช้กลยุทธ์การตลาดด้านราคา โดยเน้นสร้างความแตกต่างด้านราคา ควรสร้างแรงจูงใจเพื่อให้เกิดพฤติกรรมการบริโภค ทั้งผู้จัดจำหน่ายควรให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาพนักงานขายให้มีประสิทธิภาพในการทำงาน เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องได้รับคำแนะนำและความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4642
2023-11-13T12:30:46Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4642
2023-11-13T12:30:46Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 5 No. 1 (2557): ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2557; 80-96
สื่อดิจิตอลที่มีอิทธิพลต่อการตอบสนองของผู้บริโภค
พิทยาวิรุฬห์, วิภาดา; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-26
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4642
สื่อดิจิตอล การตลาด การตอบสนองของผู้บริโภค การรับรู้ รูปแบบการดำเนินชีวิต
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาการตอบสนองต่อสื่อดิจิตอลของผู้บริโภคในการเข้าถึงข้อมูล กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครที่ใช้งาน สื่อดิจิตอลประเภทต่างๆ ในการเข้าถึงข้อมูล ประกอบด้วย โทรศัพท์มือถือ โซเชียลมีเดีย และเว็บไซต์ เนื่องจากเป็นสื่อ 3 อันดับแรกที่ผู้บริโภคนิยมใช้บริการ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 400 คน ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 25 - 31 ปี สถานภาพโสด การศึกษาระดับปริญญาตรี อาชีพพนักงานบริษัท มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท มีความถี่ในการใช้สื่อดิจิตอล 4 วันต่อสัปดาห์ ส่วนใหญ่ใช้สื่อดิจิตอลประเภทโซเชียลมีเดียในการเข้าถึงข้อมูลมากที่สุด ในช่วงเวลาเย็น/ หัวค่ำ ระหว่าง 18.01 - 24.00 น. โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการค้นหา/ แลกเปลี่ยนข้อมูลของสินค้า/ บริการ เพราะสามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว บุคคลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในการเลือกใช้สื่อดิจิตอลคือตนเอง โดยผู้บริโภคมีการรับรู้ข้อมูลผ่านสื่อดิจิตอลในระดับมาก มีรูปแบบการดำเนินชีวิตในด้านความคิดเห็นมากที่สุด ส่วนด้านความสนใจ และด้านกิจกรรมอยู่ในระดับมาก มีการตอบสนองต่อสื่อดิจิตอลในด้านความตั้งใจ ความสนใจ ความต้องการ และการตัดสินใจซื้อในระดับมาก โดยผู้บริโภคที่มีเพศและระดับการศึกษาแตกต่างกันจะมีการตอบสนองในการเข้าถึงข้อมูลทางการตลาดแตกต่างกัน ส่วนการรับรู้ข้อมูลของผู้บริโภคมีความสัมพันธ์กับการตอบสนองต่อสื่อดิจิตอลในทุกด้าน ส่วนรูปแบบการดำเนินชีวิตด้านกิจกรรมมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้สื่อดิจิตอลด้านระยะเวลาโดยเฉลี่ยต่อวัน พฤติกรรมการใช้สื่อดิจิตอลในด้านความถี่ต่อสัปดาห์มีความสัมพันธ์กับการตอบสนองต่อสื่อดิจิตอลในด้านความตั้งใจ และด้านความต้องการ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4643
2023-11-13T12:30:46Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4643
2023-11-13T12:30:46Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 5 No. 1 (2557): ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2557; 97-115
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจซื้อกระเป๋าเลียนแบบแบรนด์เนมของวัยรุ่นในเขตกรุงเทพมหานคร
ไชยวิสุทธิกุล, ผกามาศ; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-26
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4643
กระเป๋าเลียนแบบแบรนด์เนม การตัดสินใจซื้อ รูปแบบการดำเนินชีวิต จริยธรรม
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาถึงปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจซื้อกระเป๋าเลียนแบบแบรนด์เนมของวัยรุ่นในเขตกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือประชากรที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น อายุระหว่าง 15 - 24 ปี ที่เคยซื้อกระเป๋าเลียนแบบแบรนด์เนมในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 405 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 15-16 ปี สถานภาพโสด/ หย่าร้าง การศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย/ ปวช. อาชีพนักเรียน/ นักศึกษา รายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่าหรือเท่ากับ 5,000 บาท โดยปัจจัยที่นำมาศึกษา ได้แก่ ปัจจัยด้านสังคม รูปแบบการดำเนินชีวิต และจริยธรรม โดยผู้บริโภคมีระดับความคิดเห็นในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ในขณะที่ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ผู้บริโภคมีระดับความคิดเห็นในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ผู้บริโภควัยรุ่นที่มีเพศ อายุ สถานภาพ ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือนแตกต่างกันมีการตัดสินใจซื้อกระเป๋าเลียนแบบแบรนด์เนมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 นอกจากนี้ปัจจัยทางสังคม ได้แก่ กลุ่มอ้างอิง ครอบครัว บทบาทและสถานะ มีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจซื้อกระเป๋าเลียนแบบแบรนด์เนมของวัยรุ่น ในเขตกรุงเทพมหานคร ในระดับต่ำ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ ได้แก่ ด้านผลิตภัณฑ์หลัก และรูปลักษณ์ผลิตภัณฑ์ มีความสัมพันธ์ระดับปานกลางและเป็นไปในทางทิศทางเดียวกัน ในขณะที่ด้านผลิตภัณฑ์ที่คาดหวัง ผลิตภัณฑ์ควบ และศักยภาพของผลิตภัณฑ์ มีความสัมพันธ์กันในระดับต่ำ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รูปแบบการดำเนินชีวิต ได้แก่ กิจกรรม ความสนใจ และความคิดเห็น มีความสัมพันธ์กันในระดับต่ำ และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน รวมถึงจริยธรรมมีความสัมพันธ์กับการตัดสินใจซื้อกระเป๋าเลียนแบบแบรนด์เนมของวัยรุ่นในเขตกรุงเทพมหานครในระดับต่ำและเป็นไปในทางทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4644
2023-11-13T12:30:46Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4644
2023-11-13T12:30:46Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 5 No. 1 (2557): ปีที่ 5 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2557; 116-138
ปัจจัยจูงใจ ปัจจัยค้ำจุน วัฒนธรรมองค์กรที่มีความสัมพันธ์ต่อความผูกพันต่อองค์กรของข้าราชการสำนักงานสรรพากรพื้นที่นครปฐม
จินตนานนท์, ปรีกมน; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-26
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4644
ปัจจัยจูงใจและปัจจัยค้ำจุน วัฒนธรรมองค์กร ความผูกพันต่อองค์กร
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยส่วนบุคคล ปัจจัยจูงใจ ปัจจัยค้ำจุน วัฒนธรรมองค์กรที่ส่งผลต่อความผูกพันภายในองค์กรของข้าราชการสำนักงานสรรพากรพื้นที่นครปฐม กลุ่มตัวอย่าง คือ ข้าราชการสำนักงานสรรพากรพื้นที่นครปฐม จำนวน 240 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าที การวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนทางเดียว และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า ข้าราชการฯ ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 40 - 49 ปี สถานภาพโสด ระดับการศึกษาปริญญาตรี ตำแหน่งตามสายงานวิชาการสรรพากร มีอัตราเงินเดือน 9,640 – 19,639 บาท และมีอายุงานในองค์กร 11 - 20 ปี มีความคิดเห็นเกี่ยวกับปัจจัยจูงใจโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ความสำเร็จในงาน ลักษณะของงานที่ปฏิบัติ ความรับผิดชอบ การได้รับความยอมรับนับถือ และความก้าวหน้าในตำแหน่งงาน ตามลำดับ ปัจจัยค้ำจุนโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ด้านสภาพการทำงาน ด้านนโยบายและการบริหารงาน ด้านสถานะทางอาชีพ ด้านความเป็นอยู่ส่วนตัว ด้านความมั่นคงในงาน ด้านความสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน และด้านโอกาสที่จะได้รับความก้าวหน้าในอนาคต ตามลำดับ ส่วนด้านเงินเดือนอยู่ในระดับปานกลาง วัฒนธรรมองค์กรโดยรวมอยู่ในระดับดี ได้แก่ วัฒนธรรมแบบตั้งรับ-ปกป้อง วัฒนธรรมแบบสร้างสรรค์ และวัฒนธรรมแบบรุก-ปกป้อง ตามลำดับ ความผูกพันภายในองค์กรโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก ได้แก่ ความผูกพันทางด้านจิตใจ ความผูกพันทางด้านบรรทัดฐาน และความผูกพันทางด้านการคงอยู่ ตามลำดับ ข้าราชการที่มีเพศ ระดับการศึกษา อัตราเงินเดือน และอายุงานในองค์กรแตกต่างกัน มีความผูกพันต่อองค์กรทางด้านการคงอยู่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ข้าราชการที่มีอายุแตกต่างกัน มีความผูกพันต่อองค์กรทางด้านการคงอยู่และด้าน ความผูกพันต่อองค์กรทางด้านบรรทัดฐานแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ข้าราชการที่มีสถานภาพสมรสแตกต่างกัน มีความผูกพันต่อองค์กรทางด้านจิตใจแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ปัจจัยจูงใจโดยรวมและรายด้าน ได้แก่ ความสำเร็จในงาน การได้รับความยอมรับนับถือ ลักษณะของงานที่ปฏิบัติ ความรับผิดชอบ และความก้าวหน้าในตำแหน่งงาน มีความสัมพันธ์กับความผูกพันต่อองค์กรในเรื่องความผูกพันทางด้านจิตใจ ความผูกพันทางด้านการคงอยู่ และความผูกพันทางด้านบรรทัดฐาน โดยมีความสัมพันธ์ในระดับปานกลางและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ปัจจัยค้ำจุนโดยรวมและรายด้าน ได้แก่ เงินเดือน โอกาสที่จะได้รับความก้าวหน้าในอนาคต ความสัมพันธ์กับผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน สถานะทางอาชีพ นโยบายและการบริหารงาน สภาพการทำงาน ความเป็นอยู่ส่วนตัว และความมั่นคงในงานมีความสัมพันธ์กับความผูกพันต่อองค์กรในเรื่องความผูกพันทางด้านจิตใจ ความผูกพันทางด้านการคงอยู่ และความผูกพันทางด้านบรรทัดฐาน โดยมีความสัมพันธ์ในระดับปานกลางและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 วัฒนธรรมองค์กรโดยรวมและรายด้าน ได้แก่ วัฒนธรรมแบบสร้างสรรค์วัฒนธรรมแบบตั้งรับ-ปกป้อง และวัฒนธรรมแบบรุก-ปกป้อง มีความสัมพันธ์กับความผูกพันต่อองค์กรในเรื่องความผูกพันทางด้านจิตใจ ความผูกพันทางด้านการคงอยู่ และความผูกพันทางด้านบรรทัดฐาน โดยมีความสัมพันธ์ในระดับปานกลางและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4647
2023-11-14T02:40:18Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4647
2023-11-14T02:40:18Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 5 No. 2 (2557): ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2557; 1-19
การรณรงค์ผลิตภัณฑ์ฉลากเขียวเพื่อการตัดสินใจซื้อ
โภคณิตถานนท์, ชมพูนุท; สาขาวิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนครนคร
รังษีกุล, มันทนา; สาขาวิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
บูรณะกูล, อารยา; สาขาวิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร
2014-09-26
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4647
การรณรงค์ ผลิตภัณฑ์ฉลากเขียว การตัดสินใจซื้อ การรับรู้ ความคิดเห็น
en_US
การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความรู้ความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อการรณรงค์ผลิตภัณฑ์ฉลากเขียวและการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ฉลากเขียว เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือแบบสอบถาม ผลการวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติ ค่าร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบสมมติฐานใช้สถิติ t-test Independent, One-Way ANOVA, Chi-Square และค่าสหสัมพันธ์แบบอันดับ ผลการวิจัยพบว่า 1. การใช้ผลิตภัณฑ์ฉลากเขียวกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่แก้ปัญหามลภาวะ คือ ใช้น้ำมัน ไร้สารตะกั่วมากที่สุด กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทำลายสภาวะของน้ำและประหยัดน้ำ คือ ใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำมากที่สุด กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่แก้ปัญหาปริมาณขยะ คือ ใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดเติมหรือสินค้ารีฟิลมากที่สุด กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ลดการทำลายป่าไม้ คือ ใช้กระดาษรีไซเคิล และกระดาษชำระรีไซเคิลมากที่สุด กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากสารพิษตกค้าง คือ ใช้ผักผลไม้ปลอดสารพิษมากที่สุด กลุ่มผลิตภัณฑ์ประหยัดพลังงาน คือใช้ตู้เย็นประหยัดไฟมากที่สุด 2. ค่าคะแนนเฉลี่ยความคิดเห็นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ฉลากเขียว พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.16) 3. การรับรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ฉลากเขียว พบว่า สื่อประชาสัมพันธ์ยังมีไม่เพียงพอ ร้อยละ 79.20 สื่อที่ให้ข้อมูลกับผู้ตอบแบบสอบถามมากที่สุดคือ สื่อโทรทัศน์ ร้อยละ 57.30 และผู้ตอบแบบสอบถามมีความเห็นว่าต้องการให้ภาครัฐรณรงค์เพิ่มมากขึ้น ร้อยละ 88.00 ระดับความรู้ความเข้าใจของผู้ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ฉลากเขียว มีความรู้ระดับปานกลาง ร้อยละ 53.80 4. ผู้ตอบแบบสอบถามมีความเห็นว่าภาครัฐควรออกกฎหมายบังคับใช้ ร้อยละ 84.00 5. ส่วนเหตุผลในการตัดสินใจซื้อ เพราะต้องการดูแลสิ่งแวดล้อม ร้อยละ 27.82 รองลงมาคือรู้สึกมั่นใจในคุณภาพของผลิตภัณฑ์และรู้สึกปลอดภัยต่อสุขภาพ ร้อยละ 26.89 ตามลำดับ ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า 1. เพศที่แตกต่างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ฉลากเขียวไม่แตกต่างกัน 2. อายุที่แตกต่างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ฉลากเขียวไม่แตกต่างกัน 3. การศึกษาที่แตกต่างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ฉลากเขียวแตกต่างกัน 4. อาชีพที่แตกต่างกันมีความคิดเห็นเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ฉลากเขียวแตกต่างกัน 5. ประเภทของสื่อในการรณรงค์ที่แตกต่างกันไม่มีผลให้ความคิดเห็นแตกต่างกันเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ฉลากเขียว 6. ประเภทของสื่อในการรณรงค์ที่แตกต่างกันมีการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ฉลากเขียวแตกต่างกัน 7. ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ฉลากเขียวที่แตกต่างกันมีการตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์ฉลากเขียวไม่แตกต่างกัน 8. ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ฉลากเขียวไม่มีความสัมพันธ์กับประเภทของสื่อที่ใช้ในการรณรงค์
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4648
2023-11-14T02:40:18Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4648
2023-11-14T02:40:18Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 5 No. 2 (2557): ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2557; 20-40
กระบวนการยอมรับนวัตกรรมรถยนต์ระบบไฮบริดของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร
โหตรภวานนท์, พิพิธ; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-26
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4648
รถยนต์ระบบไฮบริด กระบวนการยอมรับนวัตกรรม การสื่อสารทางการตลาด รูปแบบการดำเนินชีวิตที่มุ่งเน้นสังคม
en_US
การวิจัยนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาถึงลักษณะทางประชากรศาสตร์ ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรถยนต์ระบบไฮบริด การรับรู้การสื่อสารทางการตลาด รูปแบบการดำเนินชีวิตที่มุ่งเน้นสังคม และกระบวนการยอมรับนวัตกรรมรถยนต์ระบบไฮบริด ของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานคร ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาวิจัยนี้คือ ผู้บริโภคที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพ มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถาม ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 25 - 31 ปี มีระดับการศึกษาต่ำกว่าหรือเท่ากับปริญญาตรี อาชีพพนักงานบริษัทเอกชน และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเท่ากับ 15,001 – 25,000 บาท ซึ่งมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรถยนต์ระบบไฮบริดอยู่ในระดับมาก มีการรับรู้การสื่อสารทางการตลาด ด้านการโฆษณา ด้านการประชาสัมพันธ์ และด้านการขายโดยใช้พนักงานขาย โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง แต่การรับรู้การสื่อสารทางการตลาด ด้านการตลาดทางตรง โดยรวมอยู่ในระดับน้อย ในส่วนของรูปแบบการดำรงชีวิตที่มุ่งเน้นสังคมของผู้บริโภคอยู่ในระดับมาก และกระบวนการยอมรับนวัตกรรมรถยนต์ระบบไฮบริดในขั้นรู้จัก ขั้นประเมินผล ขั้นทดลอง และขั้นยอมรับอยู่ในระดับมาก แต่ในขั้นสนใจอยู่ในระดับปานกลาง จากผลวิจัยยังพบอีกว่ารูปแบบการดำเนินชีวิตที่มุ่งเน้นสังคมเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อกระบวนการยอมรับนวัตกรรมรถยนต์ระบบไฮบริดของผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครมากที่สุด จากการทดสอบสมมติฐาน พบว่า อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพที่แตกต่างกันมีกระบวนการยอมรับนวัตกรรมรถยนต์ระบบไฮบริดแตกต่างกัน ในกระบวนการการยอมรับนวัตกรรมรถยนต์ระบบไฮบริดขั้นรู้จัก ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับรถยนต์ระบบไฮบริดมีความสัมพันธ์กับกระบวนการยอมรับนวัตกรรมรถยนต์ระบบไฮบริดในขั้นรู้จัก ขั้นสนใจ ขั้นประเมินผล และขั้นทดลอง การรับรู้การสื่อสารทางการตลาด ด้านการโฆษณา ด้านการประชาสัมพันธ์ ด้านการตลาดทางตรง และด้านการขายโดยใช้พนักงานขาย มีความสัมพันธ์กับกระบวนการยอมรับนวัตกรรมรถยนต์ระบบไฮบริดในขั้นรู้จัก ขั้นสนใจ ขั้นประเมินผล ขั้นทดลอง และขั้นยอมรับ รูปแบบการดำเนินชีวิตที่มุ่งเน้นสังคม มีความสัมพันธ์กับกระบวนการยอมรับนวัตกรรมรถยนต์ระบบไฮบริดในขั้นรู้จัก ขั้นสนใจ ขั้นประเมินผล ขั้นทดลอง และ ขั้นยอมรับ และรูปแบบการดำเนินชีวิตที่มุ่งเน้นสังคม มีอิทธิพลต่อการยอมรับนวัตกรรมรถยนต์ระบบไฮบริด
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4649
2023-11-14T02:40:18Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4649
2023-11-14T02:40:18Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 5 No. 2 (2557): ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2557; 41-60
แนวทางในการพัฒนากลยุทธ์การตลาดสำหรับธุรกิจไข่ไก่อนามัย
นทีจำรัส, ศศิมา; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-26
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4649
ไข่ไก่อนามัย ส่วนประสมทางการตลาด รูปแบบการดำเนินชีวิต พฤติกรรมผู้บริโภค
en_US
การวิจัยนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาลักษณะประชากรศาสตร์ ความคิดเห็นที่มีต่อปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดของไข่ไก่อนามัย รูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้บริโภคไข่ไก่อนามัยที่มีต่อพฤติกรรมผู้บริโภคไข่ไก่อนามัยในกรุงเทพมหานคร ข้อมูลเบื้องต้นในการใช้ไข่ไก่อนามัยของธุรกิจที่ใช้ไข่ไก่อนามัยในการประกอบธุรกิจโดยใช้วิธีการวิจัยเชิงปริมาณและวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ คือ ผู้บริโภคในกรุงเทพมหานครที่เคยซื้อและบริโภคไข่ไก่อนามัย จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติทดสอบ Chi-square Test กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ ธุรกิจที่ใช้ไข่ไก่อนามัยในการประกอบธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจร้านเบเกอรี่ขนาดกลางและขนาดเล็กในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลจำนวน 8 ราย โดยใช้แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ลักษณะประชากรศาสตร์ของผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 20 – 29 ปี ระดับการศึกษาต่ำกว่าหรือเท่ากับปริญญาตรี และมีรายได้ต่อเดือนไม่เกิน 20,000 บาท ซึ่งจะมีการให้ความสำคัญในระดับมากต่อด้านผลิตภัณฑ์โดยรวม ด้านราคาโดยรวม ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายโดยรวมและด้านการส่งเสริมการตลาดโดยรวม และยังมีรูปแบบการดำเนินชีวิตในส่วนของกิจกรรมที่ทำใน 1 สัปดาห์ที่มีความถี่อยู่ในระดับค่อนข้างบ่อย คือ บริโภคอาหารครบทุกมื้อในส่วนของความสนใจที่มีความสนใจอยู่ในระดับมากที่สุด คือ ความใส่ใจในสุขภาพของสมาชิกในครอบครัว และในส่วนของความคิดเห็นที่มีความคิดเห็นอยู่ในระดับเห็นด้วยอย่างยิ่ง คือ เมื่ออายุมากขึ้นจำเป็นที่จะต้องใส่ใจดูแลสุขภาพมากขึ้น ข้อมูลเบื้องต้นของธุรกิจที่ใช้ไข่ไก่อนามัยในการประกอบธุรกิจ พบว่าธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจร้าน เบเกอรี่มีความแตกต่างกันในการใช้ไข่ไก่อนามัยน้อยมากและในอนาคตทั้งธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจร้านเบเกอรี่จะยังคงมีการใช้ไข่ไก่อนามัยในธุรกิจต่อไป ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า อายุมีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคไข่ไก่อนามัยในด้านสถานที่ในการเลือกซื้อไข่ไก่อนามัย ตราสินค้าของไข่ไก่อนามัย บุคคลที่มีอิทธิพลในการซื้อไข่ไก่อนามัย เหตุผลในการบริโภคไข่ไก่อนามัย และประโยชน์ที่ต้องการจะได้รับจากการบริโภคไข่ไก่อนามัย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และรายได้ต่อเดือนมีผลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคไข่ไก่อนามัยในด้านสถานที่ในการเลือกซื้อไข่ไก่อนามัย อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ส่วนประสมทางการตลาดด้านราคามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมผู้บริโภคไข่ไก่อนามัยในด้านเหตุผลในการบริโภคไข่ไก่อนามัยในระดับต่ำมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และด้านช่องทางการจัดจำหน่ายมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมผู้บริโภคไข่ไก่อนามัยในด้านสถานที่ในการเลือกซื้อไข่ไก่อนามัยในระดับต่ำมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และรูปแบบการดำเนินชีวิต ได้แก่ กิจกรรมมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมผู้บริโภคไข่ไก่อนามัยในด้านสถานที่ในการเลือกซื้อไข่ไก่อนามัยและตราสินค้าของไข่ไก่อนามัยในระดับต่ำมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ความสนใจมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมผู้บริโภคไข่ไก่อนามัยในด้านสถานที่ในการเลือกซื้อไข่ไก่อนามัย ตราสินค้าของไข่ไก่อนามัย และบุคคลที่มีอิทธิพลในการซื้อไข่ไก่อนามัย ในระดับต่ำมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และความคิดเห็นมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมผู้บริโภคไข่ไก่อนามัยในด้านสถานที่ในการเลือกซื้อไข่ไก่อนามัย ตราสินค้าของไข่ไก่อนามัย และเหตุผลในการบริโภคไข่ไก่อนามัย ในระดับต่ำมาก อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4650
2023-11-14T02:40:18Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4650
2023-11-14T02:40:18Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 5 No. 2 (2557): ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2557; 61-77
สมรรถนะ ความต้องการของพนักงานที่มีความสัมพันธ์ต่อประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำนักงานสาขาในเขตราชเทวี
จินตนานนท์, สิตาพัชร; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-26
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4650
สมรรถนะ ความต้องการ ประสิทธิภาพในการทำงาน
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาประสิทธิภาพในการทำงานของพนักงานธนาคารกรุงไทยโดยจำแนกตามลักษณะส่วนบุคคล และเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสมรรถนะและความต้องการของพนักงานกับประสิทธิภาพในการทำงาน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ พนักงานของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำนักงานสาขาในเขตราชเทวี จำนวน 155 คน เครื่องมือที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าที การวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนทางเดียว และค่าสัมประสิทธิ์สหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า พนักงานธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สำนักงานสาขาในเขตราชเทวีส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมีอายุ 21 - 30 ปี มีสถานภาพโสด ระดับการศึกษาปริญญาตรี มีระยะเวลาในการทำงาน 1-7 ปี และมีรายได้ต่อเดือน 15,001 – 20,000 บาท พนักงานมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสมรรถนะโดยรวมอยู่ในระดับดี เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า มีความคิดเห็นอยู่ในระดับดีมาก ได้แก่ ด้านเจตคติ ด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับตนเอง และด้านบุคลิกลักษณะประจำตัว ส่วนความคิดเห็นอยู่ในระดับดี ได้แก่ ด้านความรู้ และด้านทักษะ พนักงานมีความคิดเห็นเกี่ยวกับลำดับความต้องการโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมากที่สุด ได้แก่ ด้านความต้องการของร่างกาย ด้านความต้องการการยอมรับ/ ความผูกพัน/ ความต้องการทางสังคม ด้านความต้องการความสำเร็จในชีวิต ด้านความต้องการการยกย่อง และด้านความต้องการความมั่นคง/ ความปลอดภัย ตามลำดับ และมีความคิดเห็นเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการทำงานโดยรวมอยู่ในระดับดี เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า มีความคิดเห็นอยู่ในระดับดีมาก ได้แก่ ประสิทธิภาพจากแง่มุมของผลลัพธ์ ส่วนความคิดเห็นอยู่ในระดับดี ได้แก่ ประสิทธิภาพจากแง่มุมของค่าใช้จ่าย และประสิทธิภาพจากแง่มุมของกระบวนการบริหาร ตามลำดับ พนักงานที่มีรายได้ต่อเดือนแตกต่างกัน มีประสิทธิภาพในการทำงานด้านแง่มุมของกระบวนการบริหารแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สมรรถนะของพนักงานโดยรวมและรายด้าน ได้แก่ ด้านทักษะ ด้านความคิดเห็นเกี่ยวกับตนเอง ด้านบุคลิกลักษณะประจำตัว และด้านเจตคติ มีความสัมพันธ์ในระดับ ปานกลางกับประสิทธิภาพในการทำงานด้านประสิทธิภาพจากแง่มุมของค่าใช้จ่าย ด้านประสิทธิภาพจากแง่มุมของกระบวนการบริหาร และด้านประสิทธิภาพจากแง่มุมของผลลัพธ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ความต้องการของพนักงานโดยรวมและรายด้าน ได้แก่ ด้านความต้องการของร่างกาย ด้านความต้องการความมั่นคง/ ความปลอดภัย ด้านความต้องการการยอมรับ/ ความผูกพัน/ ความต้องการทางสังคม ด้านความต้องการการยกย่อง และด้านความต้องการความสำเร็จในชีวิต มีความสัมพันธ์ในระดับปานกลางกับประสิทธิภาพในการทำงานด้านประสิทธิภาพจากแง่มุมของค่าใช้จ่าย ด้านประสิทธิภาพจากแง่มุมของกระบวนการบริหาร และด้านประสิทธิภาพจากแง่มุมของผลลัพธ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4651
2023-11-14T02:40:18Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4651
2023-11-14T02:40:18Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 5 No. 2 (2557): ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2557; 78-96
การศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อแนวโน้มการตัดสินใจไปปฏิบัติหน้าที่ของวิศวกรการสื่อสารโทรคมนาคมในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์
สุปิยะ, ยุวดี; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยขอนแก่น สำนักงานกรุงเทพมหานคร
2014-09-27
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4651
การบริหารพนักงานข้ามชาติ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน แรงจูงใจ การเตรียมความพร้อม
en_US
การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อแนวโน้มการตัดสินใจไปปฏิบัติหน้าที่ของวิศวกรการสื่อสารโทรคมนาคมในสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในการทำวิจัยคือแรงงานฝีมือที่ประกอบอาชีพวิศวกรโทรคมนาคมในเขตกรุงเทพ จำนวน 80 ท่าน แบ่งเป็นช่วงปีเกิด (Generation) โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลด้วยวิธีการทางสถิติ ได้แก่ การแจกแจงความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย การจัดอันดับระดับปัจจัยแรงจูงใจ การเตรียมความพร้อม และแนวโน้มการตัดสินใจ แบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ ใช้สถิติ t-test, F-test (One-way ANOVA) และการวิเคราะห์การถดถอยเชิงเส้นอย่างง่าย (Simple liner regression) ผลการสำรวจระดับความคิดเห็นพบว่า ปัจจัยที่สร้างแรงจูงใจ เช่น บริษัทเสนอระดับเงินเดือนให้เป็นจำนวนเงิน (ดอลล่าร์) การมีอำนาจในการตัดสินใจ สั่งการ บริหารทีมงานในฐานะหัวหน้างาน และมีโอกาสแสดงผลงาน มีส่วนในความสำเร็จของโครงการโทรคมนาคมในต่างประเทศ สวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลและประกันชีวิตตลอดการอยู่ปฏิบัติงานในต่างประเทศ เป็นผลทำให้เกิดแรงจูงใจในระดับสูง ส่วนปัจจัยทางด้านอื่นๆ ก็ส่งผลทำให้เกิดแรงจูงใจในระดับสูงด้วยเช่นกัน อาทิ ได้รับการเลื่อนตำแหน่งได้เป็นผู้เชี่ยวชาญในสายงานรวมถึงการได้เรียนรู้งานในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งการศึกษาครั้งนี้ยังชี้ให้เห็นว่ากลุ่มตัวอย่างยังมีการเตรียมความพร้อมในด้านภาษาอังกฤษซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานและการเตรียมพร้อมที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมในท้องถิ่นของกลุ่มประเทศอาเซียนอีกด้วย
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4652
2023-11-14T02:40:18Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4652
2023-11-14T02:40:18Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 5 No. 2 (2557): ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2557; 97-113
พฤติกรรมและความพึงพอใจโดยรวมของผู้ชมรายการของสถานีเคเบิ้ลทีวีช่อง POP Channel ในกรุงเทพมหานคร
ศักดิ์อุดมขจร, ศาโรจน์; สาขาวิชาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-27
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4652
พฤติกรรม ความพึงพอใจโดยรวม สถานีเคเบิ้ลทีวีช่อง Pop Channel
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาพฤติกรรมและความพึงพอใจโดยรวมของผู้ชมรายการของสถานีเคเบิ้ลทีวีช่อง Pop Channel ในกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้ใช้บริการในคอนโดมิเนียม ที่มีรายการของสถานีเคเบิ้ลทีวีช่อง Pop Channel ในกรุงเทพมหานคร รวมทั้งสิ้นจำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุ 15 - 22 ปี มีสถานภาพโสด/ หม้าย/ หย่าร้าง/ แยกกันอยู่ ระดับการศึกษามัธยมศึกษาตอนปลาย/ ปวช. มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001 – 20,000 บาท มีอาชีพนักศึกษา/นักเรียน และส่วนใหญ่มีคอนโดมิเนียมที่พักอาศัยในปัจจุบันอยู่ที่ LPN Rama 9 เขตห้วยขวาง LPN VILE Ramkamhaeng เขตบางกะปิ AMANTA LPN เขตปทุมวัน และLPN Condotown Ramindra-Navamin เขตคันนายาว พฤติกรรมการรับชมรายการของสถานีเคเบิ้ลทีวีช่อง Pop Channel ส่วนใหญ่รับชมผ่านทางทรูวิชั่น ไม่มีปัญหาการรับชมรายการของทางสถานี POP Chanel โดยมีค่าเฉลี่ยระยะเวลาการชม 3.94 ชั่วโมง/ วัน ซึ่งให้ความสนใจกับรายการเพลง ในช่วงวันจันทร์ถึงศุกร์ รับชมรายการทางสถานีในช่วงเวลาหัวค่ำ ในช่วงวันเสาร์ถึงอาทิตย์ รับชมรายการทางสถานีในช่วงเวลาแล้วแต่สะดวก ส่วนใหญ่ชื่นชอบรายการ So POP Network Show (Live) ผู้รับชมรายการมีความคิดเห็นด้านส่วนประสมการตลาดบริการโดยรวมอยู่ในระดับดี ด้านรูปแบบการดำเนินชีวิตบุคลิกลักษณะเฉพาะตัวของผู้รับชมที่มีต่อรายการของสถานีเคเบิ้ลทีวีช่อง Pop Channel อยู่ในระดับมาก และด้านความพึงพอใจโดยรวมของผู้รับชมรายการของสถานีเคเบิ้ลทีวีช่อง Pop Channel อยู่ในระดับมาก นอกจากนี้ยังพบว่า เพศ อายุและสถานภาพสมรส แตกต่างกันมีพฤติกรรมการรับชมรายการของสถานีเคเบิ้ลทีวีช่อง Pop Channel ด้านระยะเวลาการชมรายการทางสถานี Pop Channel ต่อวันแตกต่างกัน ด้านรูปแบบการดำเนินชีวิตไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการรับชมรายการของสถานีเคเบิ้ลทีวีช่อง Pop Channel ด้านส่วนประสมทางการตลาดบริการและความพึงพอใจโดยรวมมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการรับชมรายการของสถานีเคเบิ้ลทีวีช่อง Pop Channel ด้านระยะเวลาการชมรายการทางสถานี Pop Channel ต่อวัน ดังนั้นผู้ประกอบการควรให้ความสำคัญกับส่วนประสมทางการตลาดบริการและความพึงพอใจของผู้รับชมรายการเพื่อสร้างฐานความจงรักภักดีของผู้รับชมให้รับชมรายการของทางสถานีแบบต่อเนื่อง
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4653
2023-11-14T02:40:18Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4653
2023-11-14T02:40:18Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 5 No. 2 (2557): ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2557; 114-131
ความพึงพอใจต่อการท่องเที่ยวเชิงถวิลหาอดีตของนักท่องเที่ยวที่หัวหิน
กล่ำศรี, เจษฎารัตน์; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-27
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4653
ความพึงพอใจ การท่องเที่ยวเชิงถวิลหาอดีต นักท่องเที่ยวชาวไทย หัวหิน
en_US
ความมุ่งหมายในการวิจัยครั้งนี้ เพื่อศึกษาความพึงพอใจและพฤติกรรมของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีต่อการท่องเที่ยวเชิงถวิลหาอดีตที่หัวหิน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักท่องเที่ยวชาวไทยในสถานที่ท่องเที่ยวเชิงถวิลหาอดีตที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ประกอบด้วยตลาดย้อนยุคเพลินวาน ตลาดน้ำหัวหิน ตลาดน้ำหัวหินสามพันนามและตลาดฉัตรศิลา โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi - stage sampling) จำนวน 400 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แบบสอบถามที่ได้จากกลุ่มตัวอย่างมาวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมวิเคราะห์ข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ ด้วยสถิติ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที สถิติเอฟ LSD และ Dunnett T3 ในการหาความแตกต่างรายคู่ ผลการวิจัยพบว่า นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 20 – 29 ปี มีระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี มีสถานภาพโสด มีภูมิลำเนากรุงเทพมหานคร ประกอบอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน มีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่าหรือเทียบเท่า 10,000 บาท ในด้านพฤติกรรมการท่องเที่ยวเชิงถวิลหาอดีตของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่หัวหิน พบว่า สถานที่ท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวให้ความนิยม คือ เพลินวาน การรับข้อมูลการท่องเที่ยวได้รับมาจากเพื่อน/ ญาติ ความพึงพอใจต่อการท่องเที่ยวเชิงถวิลหาอดีตของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่หัวหิน ด้านสถานที่ท่องเที่ยว ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ด้านการส่งเสริมการตลาด และด้านกระบวนการ อยู่ในระดับพอใจ ผลการทดสอบสมมติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 พบว่า 1. นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีอายุ ภูมิลำเนา อาชีพ ต่างกัน มีความพึงพอใจต่อการท่องเที่ยวเชิงถวิลหาอดีตที่หัวหิน แยกเป็นรายด้านแตกต่างกัน 2. นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มีพฤติกรรมการท่องเที่ยวในสถานที่ท่องเที่ยวเชิงถวิลหาอดีตและการรับรู้ข้อมูลการท่องเที่ยวเชิงถวิลหาอดีตที่ต่างกัน มีความพึงพอใจต่อการท่องเที่ยวเชิงถวิลหาอดีตที่หัวหินโดยรวมทุกด้านแตกต่างกัน หากแยกเป็นรายด้านไม่แตกต่างกัน
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4654
2023-11-14T02:40:18Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4654
2023-11-14T02:40:18Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 5 No. 2 (2557): ปีที่ 5 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2557; 132-150
ความพึงพอใจและแนวโน้มการใช้บริการของผู้ใช้บริการแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ
สุดประเสริฐ, พรประภา; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2014-09-27
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/4654
ความพึงพอใจ แนวโน้มการใช้บริการ พฤติกรรมการใช้บริการ
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความพึงพอใจและแนวโน้มการใช้บริการของผู้ใช้บริการแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ ศึกษาถึงการรับรู้ในคุณภาพการบริการ 5 ด้าน ได้แก่ ความเป็นรูปธรรมของบริการ ความน่าเชื่อถือของบริการ ความสามารถในการตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการ การให้ความมั่นใจและการเอาใจใส่ เพื่อทำนายความพึงพอใจโดยรวม ศึกษาถึงความพึงพอใจโดยรวมมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการและศึกษาถึงพฤติกรรมการใช้บริการที่มีความสัมพันธ์กับแนวโน้มการใช้บริการของผู้ใช้บริการแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ โดยมีกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้ใช้บริการแผนกผู้ป่วยนอกโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ฐานทัพเรือสัตหีบ โดยสุ่มตัวอย่างแบบสะดวก จำนวน 400 คน ผู้ใช้บริการตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศชาย มีอายุระหว่าง 41–50 ปี มีระดับการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี มีสถานภาพสมรส/ อยู่ด้วยกัน มีอาชีพเป็นพนักงานข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ มีรายได้ต่อเดือน 10,001-20,000บาท มีระดับการรับรู้ในคุณภาพการบริการมากทุกด้าน มีระดับความพึงพอใจโดยรวมและแนวโน้มการใช้บริการในอนาคตอยู่ในระดับมาก จากการทดสอบสมมติฐาน พบว่า เพศ สถานภาพสมรส อาชีพและรายได้ต่อเดือนแตกต่างกันมีพฤติกรรมการใช้บริการด้านความถี่ในการใช้บริการแตกต่างกัน เพศ อายุ สถานภาพสมรส และรายได้ต่อเดือนมีพฤติกรรมการใช้บริการด้านค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครั้งในการใช้บริการแตกต่างกัน การรับรู้ในคุณภาพการบริการด้านความน่าเชื่อถือของบริการและด้านความสามารถในการตอบสนองความต้องการ สามารถทำนายความพึงพอใจโดยรวมได้ ความพึงพอใจโดยรวมมีความสัมพันธ์เป็นไปในทิศทางเดียวกันในระดับต่ำกับพฤติกรรมการใช้บริการด้านค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครั้งในการใช้บริการ (บาทต่อครั้ง) และพฤติกรรมการใช้บริการด้านค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อครั้งในการใช้บริการ (บาทต่อครั้ง) มีความสัมพันธ์เป็นไปในทิศทางเดียวกันในระดับต่ำกับแนวโน้มการใช้บริการ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6017
2023-11-13T12:31:21Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6017
2023-11-13T12:31:21Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 1 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2558; 1-11
การเตรียมความพร้อมของนักศึกษาสาขาวิชาการบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาเขตหนองคาย ในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
โลหะปาน, นุชจรินทร์; คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาเขตหนองคาย
2015-09-09
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6017
การเตรียมความพร้อม ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน นักศึกษาสาขาวิชาบัญชี
en_US
การวิจัย เรื่อง การเตรียมความพร้อมของนักศึกษาสาขาวิชาบัญชี มหาวิทยาลัยขอนแก่น วิทยาเขตหนองคาย ในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน การวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงสำรวจ โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาการเตรียมความพร้อมของนักศึกษาสาขาวิชาการบัญชีในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และ 2) เพื่อเป็นแนวทางให้คณะบริหารธุรกิจ บริหารจัดการเพื่อเตรียมความพร้อมนักศึกษาในการก้าวสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาสาขาวิชาการบัญชีชั้นปีที่ 1-4 ปีการศึกษา 2556 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยขอนแก่นวิทยาเขตหนองคาย จำนวน 240 คน ผลการศึกษา พบว่า นักศึกษาสาขาวิชาการบัญชีมีความคาดหวังในการประกอบอาชีพหลังจากจบการศึกษาจากหลักสูตรบัญชีบัณฑิต คือด้านการทำบัญชี ร้อยละ 47.7 รองลงมาคือด้านการสอบบัญชี ร้อยละ 18.6 และนักศึกษาส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 60 มีความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ส่วนใน เรื่อง ปัจจัยที่มีผลต่อการเตรียม ความพร้อมของนักศึกษาสาขาวิชาการบัญชีในการเข้าสู่ตลาดแรงงานประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยกลุ่มตัวอย่างมี ความต้องการเข้ารับการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.65, S.D. = .598) รองลงมาคือมีความต้องการเพิ่มความรู้ ความสามารถให้แก่ตนเอง เพื่อทำให้ได้รับค่าตอบแทนที่สูงขึ้น อยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.48, S.D. = .593) และ มีความต้องการเข้ารับการฝึกอบรมเพื่อพัฒนาความรู้เกี่ยวกับการรวมตัวของประเทศสมาชิกอาเซียนอยู่ในระดับมากที่สุด (= 4.36, S.D. = .737) ส่วน เรื่อง การมีความพร้อมในการสื่อสารภาษาอังกฤษ ในการที่จะเข้าแข่งขันในตลาดแรงงานระดับอาเซียน นั้นกลุ่มตัวอย่างให้ความคิดเห็นน้อยที่สุด โดยอยู่ในระดับปานกลาง (= 2.90, S.D. = .807)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6018
2023-11-13T12:31:21Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6018
2023-11-13T12:31:21Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 1 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2558; 12-25
ความสัมพันธ์ระหว่างหลักธรรมาภิบาลกับผลประกอบการ ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
อุปถัมภ์ประชา, รัชฎาทิพย์; สาขาวิชาบริหารธุรกิจ สำนักวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
2015-09-09
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6018
ธรรมาภิบาล ผลประกอบการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
en_US
การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างหลักธรรมาภิบาลของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยกับผลประกอบการของบริษัท เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการกำหนดนโยบายและพัฒนาแนวคิดธรรมาภิบาลให้แก่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน ภายใต้พื้นฐานของการมีหลักธรรมาภิบาลที่เหมาะสม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีระดับดีเลิศจาก Corporate Governance Report of Thai Listed Companies ปี 2012 จำนวน 59 องค์กร ใช้วิธีเลือก กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 51 องค์กร สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้แก่ ร้อยละ ความถี่ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติสหสัมพันธ์เพียร์สัน ผลการทดสอบ พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างความคิดเห็นต่อหลักธรรมาภิบาลและผลประกอบการขององค์กร โดยการสอบถามความคิดเห็นของพนักงานที่ทำงานในบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่มีต่อหลัก ธรรมาภิบาล ซึ่งประกอบด้วย 6 หลัก ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบและหลักความคุ้มค่า แล้วนำมาหาความสัมพันธ์กับผลประกอบการของบริษัท ซึ่งได้แก่ อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA) อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin) พบว่า หลักธรรมาภิบาลมีความสัมพันธ์ทางบวกกับอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA) อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin)) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เมื่อพิจารณาตามองค์ประกอบแต่ละหลัก พบว่า ทุกองค์ประกอบมีความสัมพันธ์ทางบวกกับอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA) อัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และอัตรากำไรสุทธิ (Net profit margin)) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ยกเว้นหลักคุณธรรมไม่มีความสัมพันธ์กับอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวม (ROA) และอัตรากำไรสุทธิ (Net profit) และหลักการมีส่วนร่วมไม่มีความสัมพันธ์กับผลประกอบการของบริษัท
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6019
2023-11-13T12:31:21Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6019
2023-11-13T12:31:21Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 1 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2558; 26-38
การพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
กุลิสร์, ณักษ์; รองศาสตราจารย์ ภาควิชาบริหารธุรกิจ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
เสรีรัตน์, ศิริวรรณ; รองศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต
สิริกุตตา, สุพาดา; รองศาสตราจารย์ ภาควิชาบริหารธุรกิจ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
สายะพันธุ์, อุดม; ภาควิชาการตลาด คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
เลิศวรรณวิทย์, อรทัย; ผู้ช่วยศาสตราจารย์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โพธิ์ไพจิตร, นงลักษณ์; ผู้ช่วยศาสตราจารย์ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนดุสิต
2015-09-09
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6019
การพัฒนาอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
en_US
งานวิจัยนี้เป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย เรื่อง การพัฒนาอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อผ้าไหมไทย และแนวโน้มการซื้อผ้าไหมไทยในอนาคต โดยคณะผู้วิจัยใช้วิธีวิจัยเชิงปริมาณ โดยผู้วิจัยได้เก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างโดยการแจกแบบสอบถามแก่ผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยในจังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 400 คน และผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยในจังหวัดขอนแก่น จำนวน 400 คน รวมทั้งสิ้น 800 คน ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า 1. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อแนวโน้มการซื้อผ้าไหมไทยของผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยในจังหวัดร้อยเอ็ด ประกอบด้วย แรงจูงใจด้านอารมณ์ คุณค่าที่รับรู้ต่อผลิตภัณฑ์ผ้าไหม ประโยชน์หลักของผลิตภัณฑ์เมื่อเทียบกับ ผ้าทั่วไป และคุณภาพที่รับรู้ต่อผลิตภัณฑ์ผ้าไหม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ส่วนปัจจัยด้านภูมิลำเนาปัจจุบัน และบุคลิกภาพด้านความแข็งแรงทนทาน มีอิทธิพลต่อแนวโน้มการซื้อผ้าไหมไทยของผู้บริโภค อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ตามลำดับ โดยปัจจัยต่างๆ เหล่านี้สามารถอธิบายแนวโน้มการซื้อผ้าไหมไทยของผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยในจังหวัดร้อยเอ็ด ได้ร้อยละ 55.8 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อแนวโน้มการซื้อผ้าไหมไทยของผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยในจังหวัดขอนแก่น มีดังนี้ แรงจูงใจด้านอารมณ์ คุณค่าที่รับรู้ต่อผลิตภัณฑ์ผ้าไหม ประโยชน์หลักของผลิตภัณฑ์เมื่อเทียบกับผ้าทั่วไป คุณค่าที่คาดหวังจากการสวมใส่ผ้าไหม และอัตลักษณ์ของร้านที่จำหน่ายผ้าไหมที่ซื้อเป็นประจำ ตามลำดับ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยปัจจัยต่างๆ เหล่านี้สามารถอธิบายแนวโน้มการซื้อผ้าไหมไทยของผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยในจังหวัดขอนแก่น ได้ร้อยละ 65.1 2. ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมด้านจำนวนชุดที่สวมใส่เป็นผ้าไหมในปัจจุบันของผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยในจังหวัดร้อยเอ็ด มีดังนี้ เพศ บุคลิกภาพด้านความจริงใจ และคุณค่าที่รับรู้ต่อผลิตภัณฑ์ผ้าไหม อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ตามลำดับ โดยปัจจัยต่างๆ เหล่านี้สามารถอธิบายพฤติกรรมด้านจำนวนชุดที่สวมใส่เป็นผ้าไหมในปัจจุบันของผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยในจังหวัดร้อยเอ็ด ได้ร้อยละ 12.3 ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมด้านจำนวนชุดที่สวมใส่เป็นผ้าไหมในปัจจุบันของผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยในจังหวัดขอนแก่น คือ แรงจูงใจด้านอารมณ์ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยปัจจัยดังกล่าวสามารถอธิบายพฤติกรรมด้านจำนวนชุดที่สวมใส่เป็นผ้าไหมในปัจจุบันของผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ไหมไทยในจังหวัดขอนแก่น ได้ร้อยละ 9.5 3. พฤติกรรมด้านจำนวนชุดที่สวมใส่เป็นผ้าไหมในปัจจุบัน และจำนวนเงินของการซื้อมีความสัมพันธ์กับแนวโน้มการซื้อผ้าไหมไทยของผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยในจังหวัดร้อยเอ็ด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .01 และ .05 ตามลำดับ โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันในระดับต่ำ พฤติกรรมด้านจำนวนครั้งต่อสัปดาห์ของการแต่งกายด้วยผ้าไหมภายใน 1 ปีที่ผ่านมา และด้านจำนวนชุดที่สวมใส่เป็นผ้าไหมในปัจจุบัน มีความสัมพันธ์กับแนวโน้มการซื้อผ้าไหมไทยของผู้บริโภคที่ใช้ผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทยในจังหวัดขอนแก่น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางเดียวกันในระดับต่ำ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6020
2023-11-13T12:31:21Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6020
2023-11-13T12:31:21Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 1 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2558; 39-52
ความรู้ความเข้าใจ กระบวนการยอมรับนวัตกรรม ทัศนคติ และพฤติกรรมที่มีต่อพลังงานเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ ของผู้ขับขี่รถยนต์ในกรุงเทพมหานคร
วชิรโกเมน, ภัทราภรณ์; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-09-09
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6020
ความรู้ความเข้าใจ กระบวนการยอมรับนวัตกรรม พลังงานเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาความรู้ความเข้าใจ กระบวนการยอมรับนวัตกรรม ทัศนคติและพฤติกรรมที่มีต่อพลังงานเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ของผู้ขับขี่รถยนต์ในกรุงเทพมหานคร โดยแบ่งระเบียบวิธีวิจัยเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ จำนวน 400 ตัวอย่าง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถาม และระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก จำนวน 40 ตัวอย่าง ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจในการใช้พลังงานเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์โดยรวมอยู่ในระดับมาก มีการยอมรับนวัตกรรมเกี่ยวกับพลังงานเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ในขั้นการรู้จัก ขั้นสนใจ ขั้นประเมินผล ขั้นทดลอง และขั้นยอมรับปฏิบัติ อยู่ในระดับมาก มีทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาดที่มีต่อพลังงานเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ในด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย และด้านการส่งเสริมการตลาดอยู่ในระดับดี สำหรับพฤติกรรมการใช้พลังงานเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ พบว่า ผู้ขับขี่รถยนต์ส่วนใหญ่นิยมเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 มีความถี่ในการเติมน้ำมันโดยเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 5 ครั้ง มีค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันโดยเฉลี่ยต่อเดือน 4,289.65 บาท โดยส่วนใหญ่เติมน้ำมันที่สถานีบริการน้ำมันปตท. และตนเองเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลในการเติมน้ำมัน ผลการทดสอบสมมติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 พบว่าการยอมรับนวัตกรรมเกี่ยวกับพลังงานเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ในขั้นประเมินผลและขั้นทดลอง มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำมากและไปในทิศทางตรงกันข้ามกับพฤติกรรมการใช้พลังงานเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ในด้านค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันเฉลี่ยต่อเดือนของผู้ขับขี่รถยนต์ในกรุงเทพมหานคร ทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาดด้านราคาและด้านการส่งเสริมการตลาดที่มีต่อพลังงานเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำมากและไปในทิศทางตรงกันข้ามกับพฤติกรรมการใช้พลังงานเชื้อเพลิง แก๊สโซฮอล์ในด้านความถี่ในการเติมน้ำมันเฉลี่ยต่อเดือนของผู้ขับขี่รถยนต์ในกรุงเทพมหานคร ทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์และด้านราคาที่มีต่อพลังงานเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำมากและไปในทิศทางตรงกันข้ามกับพฤติกรรมการใช้พลังงานเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ในด้านค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันเฉลี่ยต่อเดือนของผู้ขับขี่รถยนต์ในกรุงเทพมหานคร ในส่วนงานวิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ ผลจากการวิจัยสามารถสรุปได้ว่า การยอมรับนวัตกรรมเกี่ยวกับพลังงานเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์และทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาดที่มีต่อพลังงานเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ของผู้ขับขี่รถยนต์ส่วนใหญ่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้พลังงานเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ของผู้ขับขี่รถยนต์ ดังนั้น การวิจัยเชิงคุณภาพสามารถสนับสนุนผลการวิจัยเชิงปริมาณได้ว่า การยอมรับนวัตกรรมเกี่ยวกับพลังงานเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์และทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาดที่มีต่อพลังงานเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้พลังงานเชื้อเพลิงแก๊สโซฮอล์ของผู้ขับขี่รถยนต์ในกรุงเทพมหานคร
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6021
2023-11-13T12:31:21Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6021
2023-11-13T12:31:21Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 1 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2558; 53-68
ความรู้ความเข้าใจ และทัศนคติในการเปิดรับข่าวสาร และการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ของผู้ประกอบการค้าชายแดน อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว
ศรีเหนี่ยง, วราภรณ์; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-09-09
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6021
ประชาคมเเศรษฐกิจอาเซียน การค้าชายแดน พฤติกรรมการเตรียมความพร้อม
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาความรู้ความเข้าใจ และทัศนคติในการเปิดรับข่าวสาร และการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ของผู้ประกอบการค้าชายแดน อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว โดยอาศัยระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ และวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ วิธีวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 200 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 31 – 40 ปี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า มีระยะเวลาประกอบกิจการระหว่าง 1 – 3 ปี ประเภทของสินค้าที่จำหน่ายส่วนใหญ่ ได้แก่ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนระหว่าง 10,000 – 50,000 บาท ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีการเปิดรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยรวม อยู่ในระดับน้อย ระดับความรู้ความเข้าใจ เรื่อง ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยรวม อยู่ในระดับมาก ทัศนคติด้านประโยชน์ที่ได้รับจากการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อยู่ในระดับดี และมีการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยรวม อยู่ในระดับน้อย ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า การเปิดรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จากสื่อระดับชาติ สื่อระดับท้องถิ่น และสื่อบุคคล มีความสัมพันธ์ในระดับปานกลาง และไปในทิศทางเดียวกัน กับพฤติกรรมการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในด้านการดำรงชีวิต และ ในด้านการประกอบกิจการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ความรู้ความเข้าใจ เรื่อง ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยรวม ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในด้านการดำรงชีวิต และ ในด้านการประกอบกิจการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ทัศนคติด้านประโยชน์ต่อการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำ และไปในทิศทางเดียวกัน กับพฤติกรรมการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในด้านการดำรงชีวิต และ ในด้านการประกอบกิจการ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 สำหรับวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์แบบเจาะลึกกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 22 คน ประกอบด้วย ตัวแทนจากหน่วยงานราชการ จำนวน 1 คน ตัวแทนจากสื่อท้องถิ่น จำนวน 1 คน และผู้ประกอบการ จำนวน 20 คน ทั้งนี้เพื่อนำผลที่ได้มาประกอบการอภิปรายผลการวิจัยเชิงปริมาณด้วยสถิติ พบว่า ผู้ประกอบการที่ทำการสัมภาษณ์เชิงลึกมีการเปิดรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จากสื่อระดับชาติ และสื่อระดับท้องถิ่น มีทัศนคติด้านประโยชน์ที่ดีต่อประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งมีผลต่อพฤติกรรมการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทั้งในด้านการดำรงชีวิต และ ด้านการประกอบกิจการ กล่าวคือ เมื่อผู้ประกอบการมีการเปิดรับข้อมูลข่าวสารที่มากจะทำให้เห็นถึงความเป็นไปของการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เห็นถึงประโยชน์ที่ตนเองจะได้รับจึงส่งผลให้เกิดการเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้ดีมากขึ้น ต่างจากในด้านของความรู้ความเข้าใจ ที่ผู้ประกอบการไม่ได้ให้ความสนใจกับรายละเอียด วัตถุประสงค์ หรือกฎเกณฑ์ข้อปฏิบัติต่างๆ ของการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ผู้ประกอบการจึงไม่ได้ใช้ความรู้ความเข้าใจนำไปสู่พฤติกรรมการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทั้งในด้านการดำรงชีวิต และ ด้านการประกอบกิจการ ดังนั้น การวิจัยเชิงคุณภาพสนับสนุนผลการวิจัยเชิงปริมาณว่า การเปิดรับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จาก สื่อระดับชาติ สื่อระดับท้องถิ่น สื่อบุคคล และทัศนคติด้านประโยชน์ มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในด้านการดำรงชีวิต และ ด้านการประกอบกิจการ ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัยในครั้งนี้ คือ ทุกหน่วยงานควรให้ความสำคัญต่อการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ด้วยวิธีการและข้อมูลที่เข้าใจได้ง่าย สอดคล้องกับการดำรงชีวิต และการประกอบกิจการ เพื่อให้ผู้ประกอบการเกิดความสนใจ เกิดความรู้ความใจที่ถูกต้อง และนำไปสู่การเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6022
2023-11-13T12:31:21Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6022
2023-11-13T12:31:21Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 1 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2558; 69-81
ปัญหาและแนวทางการพัฒนาการตลาดของผลิตภัณฑ์ ของกลุ่มอาชีพในเขตจตุจักรเพื่อการพัฒนาธุรกิจอย่างยั่งยืน
ขันติวัฒนะกุล, ศรินทร์; หลักสูตรการจัดการ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม
2015-09-09
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6022
แนวทางการพัฒนาการตลาด ปัญหาการตลาด การพัฒนา
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพการดำเนินงานปัญหาการตลาดของกลุ่มอาชีพ วิเคราะห์หาความแตกต่างของปัญหาการตลาดจำแนกตามประเภทของผลิตภัณฑ์ โดยงานวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือสมาชิกของกลุ่มอาชีพในเขตจตุจักร จำนวน 119 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่แบบสอบถาม การวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วยสถิติเชิงพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติอ้างอิง ได้แก่ ค่าความแปรปรวนทางเดียว และการทดสอบรายคู่ด้วย LSD ผลการวิจัย พบว่า 1. ผลิตภัณฑ์ มีตราสินค้ามีนโยบายการสั่งซื้อและสำรองวัตถุดิบ มีวิธีการจัดการกับสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานโดยนำไปแปรรูปเป็นสินค้าอื่น มีการตรวจสอบคุณภาพสินค้าโดยทำการสุ่มตรวจสินค้าเป็นบางชิ้นและตรวจทุกครั้งที่ผลิต แต่ไม่มีการกำหนดจำนวนการผลิตสินค้าของกลุ่มร่วมกัน ไม่มีการใช้เทคโนโลยี หรือเครื่องจักรในการผลิต 2. ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานด้านการตลาดของกลุ่มอาชีพ โดยรวมอยู่ในระดับมีปัญหามาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ปัญหาและอุปสรรคด้านราคามีปัญหามากที่สุด รองลงมา มีปัญหาในระดับมาก ได้แก่ ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายและด้านผลิตภัณฑ์ 3. ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า กลุ่มอาชีพที่ผลิตผลิตภัณฑ์ประเภทแตกต่างกัน มีภาพรวมปัญหาทางการตลาดไม่แตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ .05 ซึ่งเมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า กลุ่มอาชีพที่ผลิตประเภทผลิตภัณฑ์แตกต่างกัน มีปัญหาทางการตลาดด้านภาพรวมผลิตภัณฑ์แตกต่างกัน ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ.05 4. แนวทางการพัฒนาการตลาด ด้านราคา ควรมีการประชุมกลุ่มอาชีพที่มีการผลิตสินค้าแบบเดียวกัน เพื่อมาทำการตกลงราคาขายสินค้า นอกจากนี้ควรทำการปรับปรุงกระบวนการผลิต เพื่อให้ต้นทุนสินค้าลดลง ด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ควรหารถรับจ้างหรือมอเตอร์ไซด์รับจ้างในการส่งสินค้าไปยังสถานที่ขายสินค้า ใช้การส่งสินค้าทางไปรษณีย์ให้กับลูกค้าในต่างจังหวัดและนำสินค้าไปจำหน่ายในงานแสดงสินค้าต่างๆ สำหรับด้านการส่งเสริมการตลาด กลุ่มอาชีพควรได้รับการอบรมความรู้ด้านการขายสินค้าบนอินเทอร์เน็ต และวิธีการสร้างเว็บไซด์ นอกจากนี้ควรมีการรวมกลุ่มกันเพื่อสร้างเครือข่ายขึ้นรวมทั้งร่วมกันจัดทำ Homepage ขึ้นมาก็จะเป็นสื่อกลางในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารของสินค้าสู่ผู้ซื้อ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6024
2023-11-13T12:31:21Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6024
2023-11-13T12:31:21Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 1 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2558; 82-92
คุณลักษณะพึงประสงค์และภาพรวมการให้บริการของพนักงานบริษัทขนส่ง จำกัด
บัวคลี่, ธนวรรณ; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-09-09
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6024
บริการผู้ใช้บริการ คุณลักษณะ ความพึงพอใจ
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาคุณลักษณะพึงประสงค์และภาพรวมการให้บริการของพนักงานบริษัทขนส่ง จำกัด ด้วยวิธีวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิงมีอายุต่ำกว่าหรือเท่ากับ 25 ปี มีสถานภาพโสด สำเร็จระดับการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป และมีความถี่ในการใช้บริการรถโดยสารของบริษัทขนส่ง จำกัด 3 ครั้ง ในรอบ 3 เดือน ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า 1. ภาพรวมคุณภาพการให้บริการ ประกอบด้วย ลักษณะการบริการ ความปลอดภัย การเข้าถึงการบริการ และการติดต่อสื่อสาร มีความสัมพันธ์ในระดับค่อนข้างสูงและไปในทิศทางเดียวกันกับความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ 2. คุณลักษณะของพนักงานผู้ให้บริการที่ดีในภาพรวมของบริษัทขนส่งจำกัดประกอบด้วย มิตรไมตรี การแต่งกายสุภาพ สะอาด เรียบร้อย กิริยา วาจาสุภาพ มารยาทงดงาม ควบคุมอารมณ์ และรับฟังและเต็มใจแก้ปัญหา มีความสัมพันธ์ในระดับค่อนข้างสูงและไปในทิศทางเดียวกันกับความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ 3. คุณภาพการให้บริการของพนักงานขับรถโดยสารโดยรวม มีความสัมพันธ์ในระดับค่อนข้างสูงและไปในทิศทางเดียวกันกับความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ 4. คุณภาพการให้บริการของพนักงานต้อนรับบนรถโดยสารโดยรวม มีความสัมพันธ์ในระดับค่อนข้างสูงและไปในทิศทางเดียวกันกับความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ 5. คุณภาพการให้บริการของพนักงานขายตั๋วโดยรวม มีความสัมพันธ์ในระดับค่อนข้างสูงและไปในทิศทางเดียวกันกับความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ สำหรับวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยใช้การสัมภาษณ์แบบเจาะลึก เพื่อให้ข้อมูลในการวิจัยมีความละเอียดชัดเจนและมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นโดยมีกลุ่มตัวอย่างจำนวน 62 คน ประกอบด้วย ผู้โดยสาร จำนวน 30 คนและตัวแทนพนักงาน จำนวน 32 คน โดยแบ่งเป็น พนักงานขับรถ จำนวน 10 คนพนักงานต้อนรับบนรถโดยสาร จำนวน 10 คน พนักงานขายตั๋ว จำนวน 10 คน และพนักงานฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ จำนวน 2 คน พบว่า ผู้ใช้บริการได้กล่าวถึงความสะดวก ในการจองตั๋วออนไลน์ที่มีความรวดเร็ว ส่วนเรื่องความปลอดภัยผู้โดยสารได้กล่าวถึงสภาพรถที่ใหม่ พนักงานขับรถตามกฎจราจรและพนักงานยิ้มแย้ม สร้างความประทับใจให้กับผู้โดยสาร สามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี พนักงานแต่งกายสุภาพ และพนักงานยังสามารถแก้ไข้ปัญหาได้ใน เรื่อง การคืนตั๋วและสามารถอธิบายได้ชัดเจนให้กับผู้โดยสารผู้ใช้บริการได้กล่าวถึงพนักงานขับรถ มีความรอบครอบและสร้างปลอดภัยในขณะขับขี่ มีความชำนาญทาง จอดรถตรงป้าย และพนักงานใส่ใจโดยการถามผู้โดยสารทุกครั้งก่อนลงจากรถ พนักงานต้อนรับมีมารยาท ยิ้มแย้มแจ่มใส สุภาพ เอาใจใส่ดีมาก และได้กล่าวถึงพนักงานขายตั๋วให้การบริการที่ดีพนักงานแนะนำดี ให้ข้อมูลครบถ้วน เอาใจใส่ที่ดี พูดจาสุภาพ ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ยังกล่าวอีกว่าค่าใช้จ่ายโดยรวมพอใจมาก คุ้มค่าและประหยัด ส่วนสิทธิประโยชน์ที่ได้รับถือว่าดีมาก จึงทำให้ภาพรวมของผู้ใช้บริการมีความพึงพอใจในการบริการ จากผลที่ได้การวิจัยเชิงคุณภาพจึงนำมาสนับสนุนผลการวิจัยเชิงปริมาณได้ว่า ภาพรวมคุณภาพการให้บริการที่ดีแก่ผู้ใช้บริการ คุณลักษณะของพนักงานผู้ให้บริการที่ดีแก่ผู้โดยสาร พนักงานขับรถ พนักงานต้อนรับบนรถโดยสาร และพนักงานขายตั๋ว มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจของผู้ใช้บริการ ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัยในครั้งนี้ พบว่า ภาพรวมของคุณภาพการให้บริการที่ควรให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ได้แก่ การปรับปรุงห้องน้ำบนรถโดยสารและห้องน้ำที่สถานี โดยการทำความสะอาดตอนรถหยุดพัก และวางก้อนดับกลิ่นในห้องน้ำสถานที่รอรถโดยสาร รวมทั้งจัดสิ่งอำนวยความสะดวกเพิ่มขึ้น เช่น เก้าอี้ หรือเครื่องปรับอากาศ ใน สำหรับคุณภาพการให้บริการของพนักงานขายตั๋ว ควรมีการจัดอบรมใน เรื่อง การให้บริการแก่ผู้โดยสาร
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6025
2023-11-13T12:31:21Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6025
2023-11-13T12:31:21Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 1 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2558; 93-102
รูปแบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ ของศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดสุพรรณบุรี
พงษ์เพ็ง, ปรีชา; หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
2015-09-09
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6025
รูปแบบการบริหารจัดการ ศูนย์การกีฬาประเทศไทย
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพของศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทยจังหวัดสุพรรณบุรี และเพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนที่ใช้บริการต่อรูปแบบการจัดการศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทยที่พัฒนาขึ้น ใช้วิธีการวิจัยเชิงคุณภาพ และ เชิงปริมาณ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงคุณภาพ คือ ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการกีฬา จำนวน 5 คน และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการศูนย์การกีฬาจำนวน 6 คน ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบสัมภาษณ์ที่มีโครงสร้าง ใช้วิธีการสัมภาษณ์เจาะลึกและสนทนากลุ่ม ประชากรในการวิจัย ได้แก่ ประชาชนที่มาใช้บริการ ณ ศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเชิงปริมาณ คือ ประชาชนที่มาใช้บริการ ณ ศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทย จำนวน 560 คน โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย จากผู้ใช้บริการ เครื่องมือที่ใช้ใน การเก็บข้อมูลคือแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือการวิเคราะห์สมการโครงสร้าง และการวิเคราะห์ความแปรปรวนพหุคูณ ผลการวิจัย พบว่า รูปแบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพของศูนย์การกีฬาแห่งประเทศไทย จังหวัดสุพรรณบุรี ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ การจัดการบุคลากร การจัดการการเงินและเศรษฐกิจ การจัดการเทคโนโลยี การจัดการการตลาด และการจัดการชุมชน โดยต้องให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของประชาชนกับภาคการเมืองส่วนท้องถิ่นในการบริหารจัดการและต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อม และบริบทของจังหวัดสุพรรณบุรีด้วย ผลการวิจัยเชิงปริมาณพบว่า รูปแบบการจัดการ ที่พัฒนาขึ้นมีความกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ อยู่ในเกณฑ์ที่ดี นอกจากนี้จากการเปรียบเทียบความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อรูปแบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพ พบว่า ประชาชนที่ใช้บริการ ที่มี เพศ อายุ ระดับการศึกษา และอาชีพแตกต่างกันมีความเห็นด้วยต่อรูปแบบการจัดการที่พัฒนาขึ้นว่ามีประสิทธิภาพไม่แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6026
2023-11-13T12:31:21Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6026
2023-11-13T12:31:21Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 1 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2558; 103-113
แบบจำลองสมการโครงสร้างของความไม่ยากจน ประชาชนจังหวัดภูเก็ต
ใจอาจ, วิสิษฐ์; หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชานวัตกรรมการจัดการ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
2015-09-09
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6026
ความยากจน ประชาชนจังหวัดภูเก็ต
en_US
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและตรวจสอบความกลมกลืนของแบบจำลองสมการโครงสร้างของความไม่ยากจนของประชาชนในจังหวัดภูเก็ต กับข้อมูลเชิงประจักษ์ เก็บข้อมูลด้วยเทคนิคการสุ่มกลุ่มตัวอย่างแบบแบ่งชั้นภูมิ จากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 508 คน ด้วยแบบสอบถามมาตรส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูปทางสถิติ พบว่า แบบจำลองมีความกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ ((2=356.81, df= 173, p-value = <.01; Relativeχ2 = 2.00; GFI = .94 ; AGFI =.92; RMR = .032; SRMR= .050; RMSEA = .046; P-Value for Test of Close Fit = .85; NFI = .97; IFI= .98; CFI = .98; CN = 305.33) ปัจจัยที่ส่งผลทางตรงต่อความไม่ยากจน ได้แก่ การมีส่วนร่วมในการพัฒนากับภาครัฐและโอกาสทางการศึกษา ปัจจัยที่ส่งผลทางอ้อม ได้แก่ การมีส่วนร่วมในการพัฒนากับภาครัฐการดำเนินงานนโยบายท้องถิ่น ซึ่งส่งผลผ่านโอกาสทางการศึกษา
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6027
2023-11-13T12:31:21Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6027
2023-11-13T12:31:21Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 1 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2558; 114-123
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความพึงพอใจและความภักดีของนักท่องเที่ยว ที่มาท่องเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรี
บัวศรี, อทิตยา; สาขาการตลาด หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-09-09
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6027
en_US
การศึกษาครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษา ปัจจัยที่มีผลต่อความพึงพอใจและความภักดีของนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรี โดยศึกษาถึงลักษณะทางประชากรศาสตร์ คุณค่าที่รับรู้ต่อแหล่งท่องเที่ยวด้านเวลา ด้านการเงิน และด้านความพยายาม การรับรู้ต่อแหล่งท่องเที่ยว ความพึงพอใจและความภักดีต่อแหล่งท่องเที่ยว กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ นักท่องเที่ยว จำนวน 400 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์ค่าแปรปรวนทางเดียว การวิเคราะห์เชิงถดถอยแบบพหุคูณ โดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุ 20-34 ปี สถานภาพโสด มีระดับการศึกษาปริญญาตรี อาชีพพนักงานบริษัท/ เอกชน รายได้เฉลี่ยต่อเดือนน้อยกว่าหรือเท่ากับ 15,000 บาท มีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวครั้งนี้โดยเฉลี่ยประมาณ 7,085 บาท จำนวนบุคคลที่เดินทางมาท่องเที่ยวครั้งนี้ประมาณ 5 คน บุคคลที่มีอิทธิพลในการตัดสินใจท่องเที่ยว คือ ตัวเอง มีแหล่งท่องเที่ยวที่สนใจ/ ประทับใจในจังหวัดกาญจนบุรีอันดับแรก คือ สะพานข้ามแม่น้ำแคว รองลงมาคือ น้ำตกเอราวัณ โบสถ์แสตนเลส และน้ำตกห้วยแม่ขมิ้น สุสานดอนรัก เป็นอันดับสุดท้าย ซึ่งนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวมีคุณค่าที่รับรู้ด้านเวลา ด้านการเงิน ด้านความพยายาม อยู่ในระดับดีทุกด้าน มีการรับรู้ต่อแหล่งท่องเที่ยวอยู่ในระดับมาก มีความพึงพอใจต่อแหล่งท่องเที่ยวอยู่ในระดับพอใจ และมีความภักดีต่อแหล่งท่องเที่ยวในระดับมาก นักท่องเที่ยวที่มีสถานภาพสมรส ระดับการศึกษา และรายได้แตกต่างกันมีความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรีแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 คุณค่าที่รับรู้ต่อแหล่งท่องเที่ยว ด้านการเงิน มีผลต่อความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 การรับรู้ต่อแหล่งท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวมีผลต่อความพึงพอใจของนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรีอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ความพึงพอใจต่อแหล่งท่องเที่ยวมีผลต่อความภักดีของนักท่องเที่ยวที่มาท่องเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรี อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6028
2023-11-13T12:31:21Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6028
2023-11-13T12:31:21Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 1 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2558; 124-136
ปัจจัยสู่ความสำเร็จของโมเดลต้นแบบถนนคนเดินประเทศจีน: กรณีศึกษาเมืองกวางโจว และหางโจว
สิริกุตตา, สุพาดา; รองศาสตราจารย์ ภาควิชาบริหารธุรกิจ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาชารุ่งโรจน์, ไพบูลย์; ภาควิชาบริหารธุรกิจ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-09-09
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6028
ปัจจัยสู่ความสำเร็จ ถนนคนเดินประเทศจีน
en_US
งานวิจัยเรื่องนี้เพื่อศึกษาปัจจัยสู่ความสำเร็จของโมเดลต้นแบบถนนคนเดินเมืองกวางโจว และเมืองหางโจว ประเทศจีน และปัจจัยสู่ความสำเร็จที่ส่งผลต่อความตั้งใจในการท่องเที่ยวซ้ำ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเชิงคุณภาพจากการสัมภาษณ์เชิงลึกและสัมภาษณ์แบบกลุ่มกับบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ ผู้ประกอบการ ในถนนคนเดินเป่ยจิง ถนนคนเดินซ่างเซียจิ่ว เมืองกวางโจว ถนนคนเดินเหอฟาง เมืองหางโจว เมืองละ 12 คน และเก็บรวบรวมข้อมูล จากนักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาท่องเที่ยวที่ถนนคนเดินเป่ยจิง ถนนคนเดินซ่างเซียจิ่ว เมืองกวางโจว จำนวน 199 คน และถนนคนเดินเหอฟาง เมืองหางโจว จำนวน 200 คน ผลการวิจัย พบว่า นักท่องเที่ยวชาวจีนที่มาท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุต่ำกว่า 25 ปี มีสถานภาพโสด/ หม้าย/ หย่าร้าง/ แยกกันอยู่ มีระดับการศึกษาตั้งแต่ปริญญาตรีขึ้นไป มีอาชีพนักศึกษา/นักเรียน และมีรายได้ครัวเรือนต่อเดือนต่ำกว่า 1,350 หยวน เมืองกวางโจว พบว่า ลักษณะการประกอบการด้านนวัตกรรม ในเรื่องการจัดหาสินค้ามาขายต้องเป็นสินค้าที่เกิดจากความคิดสร้างสรรค์ และด้านความเสี่ยงในเรื่องสินค้าและความปลอดภัยมีราคายุติธรรม ส่งผลต่อความตั้งใจท่องเที่ยวซ้ำของนักท่องเที่ยวชาวจีน ได้ร้อยละ 34.2 ในขณะที่กลยุทธ์การตลาดด้านการสร้างความแตกต่างด้านผลิตภัณฑ์ในเรื่องสินค้าที่ขายมีคุณค่าในจิตใจของลูกค้า และด้านการส่งเสริมการตลาดในเรื่องการประชาสัมพันธ์ถนนคนเดิน ส่งผลต่อความตั้งใจท่องเที่ยวซ้ำของนักท่องเที่ยวชาวจีน ได้ร้อยละ 42.9 และความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืนในด้านข้อได้เปรียบด้านเวลาในเรื่องการนำสินค้าออกมาขายก่อนที่อื่นๆ และข้อได้เปรียบด้านความแตกต่าง/คุณภาพ ในเรื่องสินค้าที่มาขายในถนนคนเดินมีคุณภาพเหนือกว่าที่อื่นส่งผลต่อความตั้งใจท่องเที่ยวซ้ำของนักท่องเที่ยวชาวจีน ได้ร้อยละ 45.2 เมืองหางโจว พบว่า ลักษณะการประกอบการด้านนวัตกรรมในเรื่องสินค้ามีความแปลกใหม่ ด้านความเสี่ยงในเรื่องสินค้ามีความน่าเชื่อถือด้านคุณภาพ ส่งผลต่อความตั้งใจท่องเที่ยวซ้ำของนักท่องเที่ยวชาวจีน ได้ร้อยละ 33.8 กลยุทธ์การตลาดด้านการส่งเสริมการตลาดในเรื่องมีการจัดแสดงสินค้าที่สวยงาม มีการให้ทดลองชิม/ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ ด้านการบริการลูกค้าในเรื่องให้บริการด้วยอัธยาศัยที่ดี และมีป้ายบ่งบอกราคาสินค้าที่ชัดเจน ส่งผลต่อความตั้งใจท่องเที่ยวซ้ำของนักท่องเที่ยวชาวจีน ได้ร้อยละ 40.0 และความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืนในด้านข้อได้เปรียบการเป็นผู้นำด้านต้นทุนในเรื่องนักท่องเที่ยวซื้อสินค้าได้รับผลประโยชน์มากกว่าเงินที่จ่ายไปส่งผลต่อความตั้งใจท่องเที่ยวซ้ำของนักท่องเที่ยวชาวจีน ได้ร้อยละ 47.9 นอกจากนี้ คณะกรรมการบริหารถนนคนเดินเมืองหางโจว มีความได้เปรียบในการแข่งขันที่ยั่งยืนด้านความสามารถในการจัดการมากกว่าเมืองกวางโจว ส่วนด้านข้อได้เปรียบด้านเวลาเมืองหางโจวน้อยกว่าเมืองกวางโจว อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ปัจจัยสู่ความสำเร็จของโมเดลต้นแบบถนนคนเดินเมืองกวางโจว และเมืองหางโจว ประเทศจีน ประกอบด้วย 1) นโยบายการพัฒนาถนนคนเดินของเมืองกวางโจว และเมืองหางโจว ประเทศจีน หน่วยงานภาครัฐของประเทศจีนสามารถกำหนดนโยบายและสั่งการชุมชน เพื่อให้ความร่วมมือในการพัฒนาเป็นถนนคนเดินแบบถาวร ในการเลือกพื้นที่เป็นถนนคนเดินจะต้องมีประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม 2) องค์ประกอบด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ โดยมีการฟื้นฟูอนุรักษ์ วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ เพื่อให้เกิดคุณค่าในการเรียนรู้ 3) องค์ประกอบด้านกายภาพและสภาพแวดล้อมต้องมีความดั้งเดิมของสถาปัตยกรรมของอาคาร มีแหล่งท่องเที่ยวเลียบถนนคนเดินบริเวณใกล้เคียงและมีทำเลที่ตั้ง 4) การวางแผนการจัดโซนรูปแบบของสายผลิตภัณฑ์ในถนนคนเดิน แบ่งออกเป็น 5 สาย ได้แก่ สายประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม มีการอนุรักษ์วัฒนธรรม/วิถีชีวิต สายผลิตภัณฑ์ช็อปปิ้ง สายผลิตภัณฑ์อาหาร สายผลิตภัณฑ์หัตถกรรม และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ กลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด กลยุทธ์ด้านราคา กลยุทธ์การบริการลูกค้า และกลยุทธ์การตลาดอื่นๆ 5) การบริหารจัดการของหน่วยงานภาครัฐและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย แบ่งออกเป็น 3 ด้าน มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่จัดการถนนคนเดินโดยตรง มีความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และมีการส่งเสริมของภาครัฐในการประชาสัมพันธ์ (6) นวัตกรรมของถนนคนเดินมีการฟื้นฟูวัฒนธรรม โดยนำเอาความดั้งเดิมของสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ของถนนมาผสมผสานกับความเป็นสมัยใหม่ เพื่อให้ถนนคนเดินเป็นที่ดึงดูดใจให้นักท่องเที่ยวมาท่องเที่ยวซ้ำ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6214
2023-11-13T12:31:38Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6214
2023-11-13T12:31:38Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 2 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2558; 1-19
องค์ประกอบแห่งความเป็นเลิศทางธุรกิจการบินของประเทศไทย
คำเขียว, วัชระ; หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขารัฐประศาสนศาสตร์ วิทยาลัยการบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยบูรพา
2015-09-10
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6214
องค์การแห่งความเป็นเลิศ ธุรกิจการบิน สายการบิน รัฐวิสาหกิจ รางวัลคุณภาพแห่งชาติประเทศไทย รางวัลคุณภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา
en_US
การวิจัยเรื่องนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาองค์ประกอบแห่งความเป็นเลิศทางธุรกิจการบินของประเทศไทย 2) เพื่อตรวจสอบความกลมกลืนในองค์ประกอบแห่งความเป็นเลิศทางธุรกิจการบินของประเทศไทยกับข้อมูลเชิงประจักษ์ 3) เพื่อเปรียบเทียบความไม่แปรเปลี่ยนในองค์ประกอบแห่งความเป็นเลิศทางธุรกิจการบินของประเทศไทย 4) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและอุปสรรคในความเป็นเลิศทางธุรกิจการบินของประเทศไทย ซึ่งเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mix method research) กลุ่มตัวอย่างประกอบด้วยบุคลากรของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) จำนวน 355 คน และบริษัท ไทยสมายล์ แอร์เวย์จำกัด จำนวน 205 คน สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณประกอบด้วยค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานและการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงยืนยัน ส่วนการวิจัยเชิงคุณภาพซึ่งเป็นการวิเคราะห์ สังเคราะห์เอกสาร และจากการสัมภาษณ์เชิงลึกในกลุ่มผู้ให้ข้อมูลสำคัญ (Key informants) จำนวน 18 คนแบบเจาะจง ผลการวิจัยพบว่า องค์ประกอบแห่งความเป็นเลิศทางธุรกิจการบินของประเทศไทยในภาพรวมมี 9 องค์ประกอบเรียงตามลำดับดังนี้ 1) ด้านการมุ่งเน้นการปฏิบัติการ 2) ด้านการวางแผนเชิงกลยุทธ์ 3) ด้านผลลัพธ์ 4) ด้านการมุ่งเน้นลูกค้า 5) ด้านการวัด การวิเคราะห์และการจัดการความรู้ 6) ด้านการมุ่งเน้นบุคลากร 7) ด้านการนำองค์การ 8) ด้านหลักธรรมาภิบาล และ 9) ด้านรางวัลสายการบินที่ดีที่สุดในโลกจากสถาบันการจัดอันดับ Skytrax ส่วนปัญหาและอุปสรรคที่สำคัญ พบว่า 1) การมีต้นทุนที่สูงทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับสายการบินอื่นได้ 2) การติดขัดกับกฎ ระเบียบและข้อบังคับของระบบราชการในความเป็นรัฐวิสาหกิจ 3) การใช้ระบบอุปถัมภ์ในการคัดเลือกบุคลากรและการแต่งตั้งหรือโยกย้าย 4) การที่มีบุคลากรมากเกินความจำเป็น 5) ขาดความเป็นอิสระในการบริหารจัดการเนื่องจากการแทกแซงจากฝ่ายการเมือง 6) เครื่องบินของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) มีจำนวนรุ่นที่มากจนเกินไป 7) ตำแหน่งทางการตลาดของสายการบินไทยสมายล์ยังไม่ชัดเจน 8) โครงสร้างการบริหารจัดการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เป็นองค์การที่มีขนาดใหญ่ สำหรับแนวทางในการพัฒนาความเป็นเลิศทางธุรกิจการบินของประเทศไทย ได้แก่ 1) ควรลดต้นทุนลงเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน 2) ควรพิจารณาปรับปรุง กฎ ระเบียบ ข้อบังคับต่างๆ เพื่อให้มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นทางธุรกิจการบิน 3) ควรยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการองค์การ 4) ควรลดจำนวนบุคลากรให้สอดคล้องกับเส้นทางการบินและจำนวนเครื่องบิน 5) ควรพิจารณาในความเป็นรัฐวิสาหกิจให้มีลักษณะของการจัดการภาครัฐแนวใหม่ 6) ควรวางแผนในการจัดซื้อเครื่องบินโดยให้มีจำนวนรุ่นน้อยที่สุด 7) สายการบินไทยสมายล์แอร์เวย์ควรทบทวนตำแหน่งทางการตลาดใหม่ และ 8) ควรปรับโครงสร้างขององค์การให้มีขนาดเล็กลง
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6220
2023-11-13T12:31:38Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6220
2023-11-13T12:31:38Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 2 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2558; 20-35
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพของงบการเงินและประสิทธิผลใน การตัดสินใจของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ตันติเศรษฐ, ณัฐวุฒิ; สาขาการบัญชี คณะการบัญชีและการจัดการ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
2015-09-10
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6220
en_US
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อคุณภาพของงบการเงินของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีตัวแปรอิสระในการวิจัย ได้แก่ ความเป็นมืออาชีพของพนักงานบัญชี ความสามารถของระบบสารสนเทศทางการบัญชี และประสิทธิผลของการควบคุมภายใน ส่วนตัวแปรตามคือ คุณภาพของงบการเงิน โดยวัดจากลักษณะเชิงคุณภาพของงบการเงินตามกรอบแนวคิดสำหรับการรายงานทางการเงินฉบับใหม่และงานวิจัยในอดีตที่เกี่ยวข้องประกอบไปด้วย 6 ด้าน ได้แก่ ความเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ ความเป็นตัวแทนอันเที่ยงธรรม ความเข้าใจกันได้ ความทันต่อเวลา การเปรียบเทียบกันได้ และการพิสูจน์ยืนยันได้ นอกจากนี้งานวิจัยนี้ได้ทดสอบความสัมพันธ์ระหว่างคุณภาพของงบการเงินที่มีผลต่อประสิทธิผลในการตัดสินใจ งานวิจัยนี้มีสมมติฐานการวิจัยคือ ความเป็นมืออาชีพของพนักงานบัญชี ความสามารถของระบบสารสนเทศทางการบัญชี และประสิทธิผลของการควบคุมภายในมีความสัมพันธ์ทางบวกต่อคุณภาพของงบการเงินโดยรวม นอกจากนี้ยังตั้งสมมติฐานว่าคุณภาพของงบการเงินโดยรวมและรายด้านมีความสัมพันธ์ทางบวกต่อประสิทธิผลในการตัดสินใจ โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูลจากผู้อำนวยการฝ่ายบัญชีของบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยมีแบบสอบถามที่ความสมบรูณ์ครบถ้วนที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวน 117 ฉบับ ผลการวิจัยพบว่าความเป็นมืออาชีพของพนักงานบัญชี และความสามารถของระบบสารสนเทศทางการบัญชีมีความสัมพันธ์ทางบวกต่อคุณภาพของงบการเงินโดยรวม นอกจากนี้คุณภาพของงบการเงินโดยรวมและคุณภาพของงบการเงินรายด้าน ได้แก่ ความเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ ความทันต่อเวลา และการเปรียบเทียบกันได้มีความสัมพันธ์ทางบวกต่อประสิทธิผลในการตัดสินใจ ผลการวิจัยชี้ให้เห็นว่าการพัฒนาศักยภาพในความเป็นมืออาชีพของพนักงานบัญชี และการพัฒนาระบบสารสนเทศทางบัญชีให้โดดเด่นจะส่งผลดีต่อการจัดทำงบการเงินให้มีคุณภาพและจะช่วยส่งผลดีต่อไปยังประสิทธิผลในการตัดสินใจของผู้ใช้งบการเงิน ผลการวิจัยนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ปฏิบัติงานด้านบัญชี ผู้ใช้งบการเงิน รวมถึงกิจการเพื่อที่จะพัฒนาและส่งเสริมให้เกิดคุณภาพในการจัดทำงบการเงิน นอกจากนี้ในบทความวิจัยนี้ยังได้เสนอแนะประเด็นที่เป็นประโยชน์สำหรับการวิจัยในอนาคต
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6226
2023-11-13T12:31:38Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6226
2023-11-13T12:31:38Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 2 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2558; 36-46
การเปรียบเทียบความพึงพอใจและคุณค่าตราสินค้าของนิสิตปริญญาตรีภาควิชาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
จิตสร้างบุญ, ภัทราพร; ภาควิชาบริหารธุรกิจ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ญาณสมบูรณ์, ศุภิณญา; ภาควิชาบริหารธุรกิจ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ศักดิ์นรงค์, อัจฉรียา; ภาควิชาบริหารธุรกิจ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
กุลิสร์, ณักษ์; รองศาสตราจารย์ ภาควิชาบริหารธุรกิจ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-09-10
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6226
คุณค่าตราสินค้า ความพึงพอใจ ภาควิชาบริหารธุรกิจ
en_US
งานวิจัยเรื่องนี้นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อการเปรียบเทียบคุณค่าตราสินค้าและความพึงพอใจของนิสิตปริญญาตรี ภาควิชาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ระหว่างศูนย์ประสานมิตรกับศูนย์องครักษ์ โดยคณะผู้วิจัยใช้วิธีเชิงปริมาณ และเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง โดยการแจกแบบสอบถามแก่นิสิตปริญญาตรี ภาควิชาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ชั้นปี 3 และชั้นปี 4 จำนวน 198 คน ผลการวิจัย พบว่า กลุ่มตัวอย่าง ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ชั้นปีที่ 3 สาขาวิชาการเงิน มีอายุ 21 ปี รายรับต่อเดือนระหว่าง 5,000 – 9,999 บาท โดยรายได้ของผู้ปกครองต่อเดือน 40,000 บาทขึ้นไป ผู้ปกครองมีกิจการส่วนตัว สถานภาพสมรส โดยนิสิตส่วนใหญ่มีเกรดเฉลี่ยสะสมระหว่าง 3.01 – 3.50 คุณค่าตราสินค้าของนิสิตปริญญาตรี ภาควิชาบริหารธุรกิจ ที่มีต่อศูนย์ประสานมิตร พบว่า ทุกด้านมีคุณค่าในระดับมาก โดยด้านความสัมพันธ์กับมหาวิทยาลัย มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ด้านความเป็นผู้นำ การรู้จักชื่อมหาวิทยาลัย คุณภาพที่รับรู้ ความภักดีต่อมหาวิทยาลัย และความยั่งยืน ตามลำดับ ส่วนคุณค่าตราสินค้าของนิสิตปริญญาตรี ที่มีต่อศูนย์องครักษ์ พบว่า ทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยด้านความสัมพันธ์กับมหาวิทยาลัยมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ความเป็นผู้นำ ความยั่งยืน การรู้จักชื่อมหาวิทยาลัย ความภักดีต่อมหาวิทยาลัย และคุณภาพที่รับรู้ ตามลำดับ ความพึงพอใจของนิสิตปริญญาตรี ภาควิชาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ที่มีต่อศูนย์ประสานมิตร และศูนย์องครักษ์ พบว่า นิสิตมีความพึงพอใจในระดับมากต่อทั้งสองศูนย์ ผลการวิจัย พบว่า คุณค่าตราสินค้าในด้านความภักดีต่อมหาวิทยาลัย คุณภาพที่รับรู้ ของภาควิชาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ระหว่างศูนย์ประสานมิตรกับศูนย์องครักษ์ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยศูนย์ประสานมิตรมีค่าเฉลี่ยสูงกว่าศูนย์องครักษ์ คุณค่าตราสินค้าในด้านความยั่งยืนของภาควิชาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ระหว่างศูนย์ประสานมิตรกับศูนย์องครักษ์ แตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยศูนย์องครักษ์มีค่าเฉลี่ยมากกว่าศูนย์ประสานมิตร
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6242
2023-11-13T12:31:38Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6242
2023-11-13T12:31:38Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 2 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2558; 47-61
แนวทางการพัฒนาการบริการของธุรกิจที่พักและร้านอาหารย่านถนนข้าวสาร
ชูศร, ศิวพร; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-09-10
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6242
เกสต์เฮ้าส์ ร้านอาหาร ทัศนคติ พฤติกรรม ส่วนประสมทางการตลาด
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาการบริการของธุรกิจที่พักและร้านอาหารย่านถนนข้าวสาร โดยอาศัยระเบียบวิธีวิจัย 2 วิธี วิธีวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ได้แก่ ค่าสถิติร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้ค่าสัมประสิทธิสหสัมพันธ์ เพียร์สัน ผลการวิจัยพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นเพศหญิงมีอายุระหว่าง 20 - 29 ปี มีสถานภาพสมรสโสด เดินทางมาจากภูมิภาคยุโรป สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ประกอบอาชีพเป็นพนักงานประจำ และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน ต่ำกว่า 2,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา 1. พฤติกรรมการให้บริการของธุรกิจที่พักของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีความสัมพันธ์กับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ด้านราคา ในระดับที่ค่อนข้างต่ำและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 2. พฤติกรรมการให้บริการของธุรกิจร้านอาหารของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมีความสัมพันธ์กับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ด้านผลิตภัณฑ์ ในระดับปานกลางและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน อย่างมีนัยยะทางสถิติ ที่ระดับ 0.01 สำหรับวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ ใช้การสัมภาษณ์แบบเจาะลึกกับกลุ่มตัวอย่างจำนวน 30 คน ประกอบด้วย นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ 25 คน และผู้ประกอบการที่พักและร้านอาหารจำนวน 5 คน ทั้งนี้เพื่อนำผลที่ได้มาประกอบการอภิปรายผลการวิจัยเชิงปริมาณด้วยสถิติพบว่า นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ให้ข้อมูลส่วนใหญ่มีทัศนคติที่ดีต่อธุรกิจที่พักและร้านอาหารย่านถนนข้าวสาร โดยเฉพาะส่วนประสมทางการตลาด ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านบุคคล และด้านลักษณะทางกายภาพ ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้ คือ หน่วยงานภาครัฐหรือกลุ่มผู้ประกอบการควรมีการร่วมมือช่วยกันจัดระเบียบหรือวางมาตรฐานเกี่ยวกับธุรกิจที่พักและร้านอาหารย่านถนนข้าวสาร โดยเฉพาะในเรื่องของด้านผลิตภัณฑ์ และด้านลักษณะทางกายภาพ เป็นด้านที่มีผลต่อพฤติกรรมการใช้บริการของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากที่สุด ธุรกิจที่พักควรมีการตรวจสอบวัสดุอุปกรณ์หรือสิ่งที่อำนวยความสะดวกต่างๆ ภายในห้องพักอย่างสม่ำเสมอ ขนาดห้องพักที่เหมาะสมไม่คับแคบจนเกินไป รวมไปถึงความสะอาดบริเวณโดยรอบของที่พัก เพื่อสร้างความประทับใจในการใช้บริการซึ่งอาจทำให้เกิดการกลับมาใช้บริการอีกครั้ง ธุรกิจร้านอาหารควรมีการตรวจสอบคุณภาพอาหารและความสะอาดของพื้นที่ภายในและพื้นที่โดยรอบให้ถูกต้องตามเกณฑ์สาธารณะสุขจากหน่วยงานภาครัฐเพื่อเป็นการเสริมสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มาใช้บริการ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6254
2023-11-13T12:31:38Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6254
2023-11-13T12:31:38Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 2 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2558; 62-73
การรับรู้สภาพแวดล้อมในการทำงานและความพึงพอใจในงานที่มีผลต่อความตั้งใจลาออกของพนักงาน Generation Y ของบริษัทเอกชนในกรุงเทพมหานคร
คล่องดี, ปริทัศน์; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-09-10
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6254
ความตั้งใจลาออก การรับรู้สภาพแวดล้อมในการทำงาน ความพึงพอใจในงาน
en_US
การวิจัยนี้มีความมุ่งหมายเพื่อวิเคราะห์การรับรู้สภาพแวดล้อมในการทำงานและความพึงพอใจในงานที่มีผลต่อความตั้งใจลาออกของพนักงาน Generation Y ของบริษัทเอกชน ในกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างคือ พนักงาน Generation Y อายุระหว่าง 19-34 ปี ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทเอกชน ในกรุงเทพมหานคร จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมติฐานด้วยสถิติ Independent Samples t-test การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (One-Way Analysis of Variance: One Way ANOVA) และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุคูณ (Multiple Regression Analysis) ผลการวิจัย พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 27-30 ปี มีสถานภาพโสด มีรายได้ต่อเดือน 15,001-20,000 บาท ระยะเวลาการปฏิบัติงาน 6-7 ปี มีการศึกษาระดับปริญญาตรี และลักษณะการจ้างงาน เป็นพนักงานประจำ พนักงานส่วนใหญ่มีระดับการรับรู้สภาพแวดล้อมในการทำงานโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า มีการรับรู้สภาพแวดล้อมในการทำงาน ในระดับมากทุกด้าน เรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านความชัดเจนในการปฏิบัติงาน ด้านการได้รับการสนับสนุน ด้านความเป็นอิสระในการทำงาน ด้านการควบคุมโดยผู้บังคับบัญชา และด้านความเกี่ยวข้องในการทำงาน ตามลำดับ พนักงานส่วนใหญ่มีความพึงพอใจในงาน โดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า มีความพึงพอใจในงาน ในระดับมาก เรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านเพื่อนร่วมงาน ด้านลักษณะงาน และด้านผู้บังคับบัญชา ตามลำดับ และมีระดับความพึงพอใจในงาน ในระดับปานกลาง เรียงจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านโอกาสความก้าวหน้าในงาน และด้านผลตอบแทน ตามลำดับ และความตั้งใจในการลาออกของพนักงาน Generation Y บริษัทเอกชน ในกรุงเทพมหานคร โดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า พนักงาน Generation Y ของบริษัทเอกชน ในกรุงเทพมหานคร ที่มีลักษณะทางประชากรศาสตร์ ประกอบด้วย สถานภาพ รายได้ และระยะเวลาการปฏิบัติงาน ที่แตกต่างกันมีความตั้งใจในการลาออกต่างกัน และปัจจัยที่ส่งผลต่อความตั้งใจในการลาออกของพนักงาน Generation Y ของบริษัทเอกชน ในกรุงเทพมหานคร ได้แก่ ปัจจัยด้านความพึงพอใจในงาน ในด้านเพื่อนร่วมงาน และในด้านผลตอบแทน โดยมีความสัมพันธ์ในทิศทางตรงกันข้าม โดยตัวแปรทั้ง 2 ตัวนี้ สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลงของระดับความตั้งใจในการลาออกของพนักงาน Generation Y ของบริษัทเอกชน ในกรุงเทพมหานครโดยรวม ได้ร้อยละ 13.10
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6258
2023-11-13T12:31:38Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6258
2023-11-13T12:31:38Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 2 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2558; 74-83
แนวทางการบริหารประสบการณ์ลูกค้าเพื่อพัฒนา ผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในจังหวัดภูเก็ต
สุขขะ, อมรรัตน์; หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
2015-09-10
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6258
การบริหารประสบการณ์ลูกค้า ผลการดำเนินงาน ธุรกิจโรงแรม
en_US
ปัจจุบันถือได้ว่าการสร้างความแตกต่างด้วยประสบการณ์ความรู้สึกที่ดี ที่ลูกค้ามีต่อสินค้าและบริการเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจบริการเป็นอย่างมากเพราะหากลูกค้ามีประสบการณ์ก็จะส่งผลให้ลูกค้ามีความมั่นใจกับการบริการมากขึ้น ส่วนในการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าที่ธุรกิจโรงแรมสามารถใช้ได้และประสบความสำเร็จ ก็คือการบริหารประสบการณ์ลูกค้า โดยการวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการบริหารประสบการณ์ลูกค้าของธุรกิจโรงแรมในจังหวัดภูเก็ต และศึกษาผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในจังหวัดภูเก็ตจากการบริหารประสบการณ์ลูกค้า โดยการสัมภาษณ์ตัวแทน ผู้บริหารธุรกิจโรงแรม ในจังหวัดภูเก็ตที่มีมาตรฐานโรงแรมระดับ 4-5 ดาว จำนวน 4 โรงแรม ผลการวิจัย พบว่า ธุรกิจโรงแรมมีการระบุจุดสัมผัสทุกการให้บริการ ให้ลูกค้าประเมินการให้บริการของโรงแรมนำเอกลักษณ์ความเป็นไทยมาใช้ในการให้บริการเพื่อให้เป็นประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของโรงแรม มีการให้บริการที่ประทับใจและลักษณะของโรงแรมเป็นสิ่งที่จะย้ำเตือนลูกค้าให้จดจำได้ถึงประสบการณ์ที่ดีที่ได้รับจากธุรกิจโรงแรมสำหรับผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมในจังหวัดภูเก็ตจากการบริหารประสบการณ์ลูกค้าพบว่า สถานะทางการเงินอยู่ในเกณฑ์ดีมาก มีรายได้เพิ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับด้านลูกค้ามีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านกระบวนการภายใน ธุรกิจโรงแรมมุ่งเน้นในกระบวนการที่ทำให้ลูกค้ามีความพึงพอใจและสะดวกสบายมากที่สุด ส่วนด้านการเรียนรู้และการพัฒนามีการพัฒนาทักษะความเชี่ยวชาญของพนักงานเพื่อให้ได้ความรู้อย่างสม่ำเสมอทำให้พนักงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นดังนั้น การใช้การบริหารประสบการณ์ลูกค้าของธุรกิจโรงแรมส่งผลให้ผลการดำเนินงานของธุรกิจโรงแรมเป็นไปในทางที่ดี ทำให้ธุรกิจบริการอื่นๆ ที่ไม่ใช่ธุรกิจโรงแรม สามารถนำการบริหารประสบการณ์ลูกค้ามาใช้กับธุรกิจได้เช่นกันเพราะธุรกิจบริการมีจุดสัมผัสที่สามารถสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าเช่นเดียวกับธุรกิจโรงแรม
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6263
2023-11-13T12:31:38Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6263
2023-11-13T12:31:38Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 2 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2558; 84-99
มูลเหตุและผลกระทบเชิงพฤติกรรมที่เกิดจากการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมระดับปฏิบัติการในจังหวัดระยอง
ศรีเหนี่ยง, วนิดา; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-09-10
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6263
มูลเหตุการซื้อ ผลกระทบจากการซื้อ พฤติกรรมการซื้อ สลากกินแบ่งรัฐบาล
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย เพื่อศึกษามูลเหตุและผลกระทบเชิงพฤติกรรมที่เกิดจากการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมระดับปฏิบัติการในจังหวัดระยอง โดยใช้ระเบียบวิธีวิจัยเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ระเบียบวิธีวิจัยเชิงปริมาณ จำนวน 400 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการใช้แบบสอบถาม และระเบียบวิธีวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการสัมภาษณ์แบบเจาะลึก จำนวน 42 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ พนักงานโรงงานอุตสาหกรรมระดับปฏิบัติการ และเป็นผู้ที่ซื้อหรือเคยซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลทั้งเพศชายและเพศหญิงที่อาศัยอยู่ในจังหวัดระยอง จำนวน 442 คน จากการวิจัยเชิงปริมาณพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 25-34 ปี มีสถานภาพสมรสโสด สำเร็จการศึกษาอนุปริญญาหรือปวส. มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนระหว่าง 12,001-14,000 บาท มีแรงจูงใจในการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลโดยรวม อยู่ในระดับปานกลาง มีรูปแบบการดำเนินชีวิตที่เกี่ยวข้องกับสลากกินแบ่งรัฐบาลในด้านกิจกรรม ด้านความสนใจ อยู่ในระดับน้อย และด้านความคิดเห็น อยู่ในระดับปานกลาง มีทัศนคติโดยรวมต่อสลากกินแบ่งรัฐบาล อยู่ในระดับปานกลาง สำหรับพฤติกรรมการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล พบว่า นิยมซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลจำนวน 1-3 ฉบับ มีความถี่ในการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล 1-6 ครั้งต่อปี ค่าใช้จ่ายในการซื้อต่อครั้งประมาณ 100-500 บาท ซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลจากร้านค้าแผงลอยทั่วไป ซื้อในช่วงเวลาเช้าของวันที่ออกรางวัล สาเหตุหลักๆ คือ ต้องการถูกรางวัล และเป็นผู้ตัดสินใจซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลด้วยตนเอง ในขณะที่ให้ความเห็นว่าผลกระทบจากการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลโดยรวมอยู่ในระดับน้อย ผลการทดสอบสมมติฐานพบว่า 1. ปัจจัยแรงจูงใจ ด้านเหตุผลโดยรวม มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำและไปในทิศทางเดียวกันกับพฤติกรรมการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมระดับปฏิบัติการในจังหวัดระยอง ด้านความถี่ในการซื้อ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 2. ปัจจัยแรงจูงใจ ด้านอารมณ์โดยรวม มีความสัมพันธ์ในระดับค่อนข้างต่ำและไปในทิศทางเดียวกันกับพฤติกรรมการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมระดับปฏิบัติการในจังหวัดระยอง ด้านความถี่ในการซื้อ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 3. ปัจจัยรูปแบบการดำเนินชีวิต ด้านความสนใจโดยรวม มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำและไปในทิศทางเดียวกันกับพฤติกรรมการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมระดับปฏิบัติการในจังหวัดระยอง ด้านจำนวนเงินในการซื้อ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 4. ปัจจัยรูปแบบการดำเนินชีวิต ด้านความคิดเห็นโดยรวม มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำและไปในทิศทางเดียวกันกับพฤติกรรมการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมระดับปฏิบัติการในจังหวัดระยอง ด้านปริมาณการซื้อ และความถี่ในการซื้อ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 5. ปัจจัยทัศนคติต่อสลากกินแบ่งรัฐบาล ด้านความรู้สึกชอบโดยรวม และด้านความตั้งใจในการซื้อโดยรวมมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำและไปในทิศทางเดียวกันกับพฤติกรรมการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมระดับปฏิบัติการในจังหวัดระยอง ด้านความถี่ในการซื้อ ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.01 6. พฤติกรรมการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมระดับปฏิบัติการในจังหวัดระยอง ด้านความถี่ในการซื้อ มีความสัมพันธ์ในระดับต่ำและไปในทิศทางตรงกันข้ามกับผลกระทบด้านการใช้จ่ายของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมระดับปฏิบัติการในจังหวัดระยอง ที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 ผลการวิจัยเชิงคุณภาพสามารถสรุปได้ว่า ปัจจัยแรงจูงใจ ปัจจัยรูปแบบการดำเนินชีวิต และปัจจัยทัศนคติต่อสลากกินแบ่งรัฐบาล มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมระดับปฏิบัติการในจังหวัดระยอง ซึ่งสอดคล้องกับผลวิธีวิจัยเชิงปริมาณ ในขณะที่ในด้านผลกระทบ พบว่า พฤติกรรมการซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลมีผลกระทบต่อการใช้จ่ายของพนักงานโรงงานอุตสาหกรรมระดับปฏิบัติการในจังหวัดระยอง ซึ่งสอดคล้องกับผลวิธีวิจัยเชิงปริมาณ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6268
2023-11-13T12:31:38Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6268
2023-11-13T12:31:38Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 2 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2558; 100-111
ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อกระเป๋าถือสตรี แบรนด์เนมมือสอง ของผู้บริโภคสตรี ในกรุงเทพมหานคร
ศิริผ่อง, กัญญ์วรา; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-09-10
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6268
พฤติกรรมการซื้อ กระเป๋าถือสตรีแบรนด์เนมมือสอง ผู้บริโภคสตรี
en_US
การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาลักษณะประชากรศาสตร์ ส่วนประสมทางการตลาด และรูปแบบการดำเนินชีวิต ที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อกระเป๋าถือสตรีแบรนด์เนมมือสองของผู้บริโภคสตรีในกรุงเทพมหานคร กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ผู้บริโภคสตรีในกรุงเทพมหานครที่เคยซื้อกระเป๋าถือสตรีแบรนด์เนมมือสอง จำนวน 216 คน เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลคือ ค่าร้อยละ ค่าคะแนนเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และสถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานคือ สถิติค่าทดสอบไค-สแควร์ โดยการทดสอบค่าความสัมพันธ์ด้วยสถิติ Cramer’s V และ Somer’s D ซึ่งผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นสุภาพสตรีที่มีอายุระหว่าง 26-32 ปี มีระดับการศึกษาต่ำกว่าหรือเท่ากับปริญญาตรี มีอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน รายได้เฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่าหรือเท่ากับ 20,000 บาท และสถานะโสด/หย่าร้าง/หม้าย/แยกกันอยู่ มีความคิดเห็นต่อส่วนประสมทางการตลาดโดยรวมอยู่ในระดับมาก และมีความคิดเห็นต่อรูปแบบการดำเนินชีวิตโดยรวมอยู่ในระดับมาก ผลการทดสอบสมมติฐานที่ระดับนัยสำคัญทางสถิติ 0.05 พบว่า ปัจจัยทางประชากรศาสตร์ ประกอบด้วย อายุ อาชีพ และรายได้เฉลี่ยต่อเดือน มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อกระเป๋าถือสตรีแบรนด์เนมมือสองด้านกลุ่มยี่ห้อ/ตราสินค้าที่ซื้อ ด้านมูลค่าที่ซื้อ ด้านสถานที่ซื้อ ด้านจำนวนที่เคยซื้อ และด้านวิธีการชำระเงิน ส่วนปัจจัยด้านระดับการศึกษาสูงสุด มีความสัมพันธ์กับด้านกลุ่มยี่ห้อ/ตราสินค้าที่ซื้อ ด้านมูลค่าที่ซื้อ และด้านจำนวนที่เคยซื้อ ส่วนสถานภาพสมรส มีความสัมพันธ์กับด้านกลุ่มยี่ห้อ/ตราสินค้าที่ซื้อ ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด ด้านผลิตภัณฑ์ ชื่อตราสินค้ามีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อกระเป๋าถือสตรีแบรนด์เนมมือสองด้านกลุ่มยี่ห้อ/ตราสินค้าที่ซื้อ ด้านมูลค่าที่ซื้อ และด้านจำนวนที่เคยซื้อ ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ คุณภาพของสินค้า และด้านการส่งเสริมทางการตลาด มีความสัมพันธ์กับด้านมูลค่าที่ซื้อ และด้านจำนวนที่เคยซื้อ ปัจจัยด้านผลิตภัณฑ์ การออกแบบสินค้า มีความสัมพันธ์กับด้านจำนวนที่เคยซื้อ ส่วนปัจจัยด้านราคา และด้านช่องทางการจัดจำหน่าย ไม่มีความสัมพันธ์กับด้านกลุ่มยี่ห้อ/ตราสินค้าที่ซื้อ ด้านมูลค่าที่ซื้อ ด้านสถานที่ซื้อ ด้านจำนวนที่เคยซื้อ และด้านวิธีการชำระเงิน และปัจจัยรูปแบบการดำรงชีวิต ได้แก่ ด้านความสนใจ และด้านความคิดเห็น มีความ สัมพันธ์กับพฤติกรรมการซื้อกระเป๋าถือสตรีแบรนด์เนมมือสองด้านกลุ่มยี่ห้อ/ตราสินค้าที่ซื้อ ด้านมูลค่าที่ซื้อ และด้านจำนวนที่เคยซื้อ ส่วนปัจจัยด้านกิจกรรมที่ทำมีความสัมพันธ์กับด้านจำนวนที่เคยซื้อ
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6271
2023-11-13T12:31:38Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6271
2023-11-13T12:31:38Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 2 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2558; 112-122
รูปแบบการท่องเที่ยวของอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในมุมมองของนักท่องเที่ยวชาวไทย
คำจันทร์, สุพัตรา; หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
2015-09-10
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6271
รูปแบบการท่องเที่ยว การเดินทางท่องเที่ยว อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี
en_US
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษารูปแบบการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวในอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสำรวจด้วยแบบสอบถามจากนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางท่องเที่ยวในอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวน 385 คน สถิติที่ใช้คือ การสำรวจจำนวนองค์ประกอบ และตัวบ่งชี้ที่มีความสัมพันธ์กัน ด้วยการวิเคราะห์ค่าน้ำหนักองค์ประกอบ เพื่อหาองค์ประกอบเชิงสำรวจของรูปแบบการท่องเที่ยวทั้ง 40 รูปแบบ และใช้สัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค เพื่อหาความเชื่อมั่นขององค์ประกอบด้านรูปแบบการท่องเที่ยวที่เกิดขึ้น โดยค่าความเชื่อมั่นที่สามารถยอมรับได้ควรมากกว่า 0.6 ผลการศึกษาพบว่า การวิเคราะห์ค่าน้ำหนักองค์ประกอบของรูปแบบการท่องเที่ยวสามารถจำแนกรูปแบบการท่องเที่ยวได้ 11 รูปแบบ ซึ่งหลังจากหาค่าความเชื่อมั่นทำให้เหลือรูปแบบการท่องเที่ยว 5 รูปแบบเท่านั้นที่ ค่าความเชื่อมั่นอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถยอมรับได้ ประกอบด้วยองค์ประกอบของรูปแบบการท่องเที่ยวดังต่อไปนี้ รูปแบบที่ 1 ชื่อว่ามนต์เสน่ห์ธรรมะ และชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง รูปแบบที่ 2 ชื่อว่าธรรมชาติที่ลงตัวกลางเมืองคนดี รูปแบบที่ 3 ชื่อว่าท่องเที่ยวชุมชนลุ่มน้ำตาปี รูปแบบที่ 4 ชื่อว่าชมหิ่งห้อยคลองร้อยสาย และรูปแบบที่ 5 ชื่อว่าสุขภาพ ความงามที่สร้างได้ สำหรับข้อเสนอแนะเพื่อนำไปใช้ คือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นสำนักงาน การท่องเที่ยว บริษัททัวร์ หรือองค์กรการท่องเที่ยวในระดับท้องถิ่นควรให้ความสำคัญกับรูปแบบการท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นทั้ง 5 รูปแบบ ในการจัดทำรูปแบบของการส่งเสริมทางการตลาดให้กับแต่ละรูปแบบการท่องเที่ยว ในอำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี อย่างเหมาะสม เพื่อให้เกิดกิจกรรมการท่องเที่ยวที่มีความหลากหลาย และโดดเด่น นำไปสู่การดึงดูดนักท่องเที่ยวให้กลับมาท่องเที่ยวซ้ำมากยิ่งขึ้น
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6275
2023-11-13T12:31:38Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6275
2023-11-13T12:31:38Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 2 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2558; 123-133
ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกใช้บริการสุขภาพของผู้รับบริการในโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร
ณ บางช้าง, จริยา; สาขาวิชาการจัดการ หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-09-10
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6275
ส่วนประสมทางการตลาด บริการสุขภาพ พฤติกรรมการใช้บริการสุขภาพ
en_US
การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษา ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการเลือกใช้บริการสุขภาพของผู้รับบริการในโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร เพื่อศึกษาถึงทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาด 7 ด้าน ได้แก่ ด้านสินค้าและบริการ ด้านราคา ด้านสถานที่ ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านบุคลากรและพนักงาน ด้านกระบวนการให้บริการ และลักษณะทางกายภาพรวมทั้งการศึกษาด้านภาพลักษณ์ ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อพฤติกรรมการใช้บริการสุขภาพของผู้รับบริการในโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ได้แก่จำนวนครั้งที่ใช้บริการ การเข้ารับบริการซ้ำ และการแนะนำผู้อื่นมาใช้บริการ ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ ผู้รับบริการในแผนกผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บข้อมูล สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ค่าความถี่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของ2 ประชากรหรือกลุ่มโดยสุ่มตัวอย่างจากแต่ละกลุ่มอย่างเป็นอิสระต่อกัน การทดสอบความแตกต่างในกรณีที่ต้องการทดสอบค่าเฉลี่ยของกลุ่มตัวอย่างตั้งแต่ 2 กลุ่มขึ้นไปโดยใช้สถิติวิเคราะห์ค่าความแปรปรวนทางเดียวการหาค่าสถิติสหสัมพันธ์อย่างง่ายของเพียรสัน โดยพบว่า ปัจจัยด้านประชากรศาสตร์ อายุมีผลต่อพฤติกรรม ด้านจำนวนครั้งที่ใช้บริการที่แตกต่างกัน และระดับการศึกษามีผลต่อการแนะนำผู้อื่นมาใช้บริการที่แตกต่างกันด้วย ด้านเพศ สิทธิการรักษา อาชีพ รายได้ต่อเดือน ไม่ได้ทำให้พฤติกรรมการใช้บริการสุขภาพแตกต่างกัน ด้านปัจจัยด้านส่วนประสมทางการตลาดโดยรวม ไม่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการใช้บริการสุขภาพด้านจำนวนครั้งในการเข้ารับบริการต่อปี แต่มีความสัมพันธ์กับการกลับมาใช้บริการซ้ำในระดับปานกลางและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน และมีความสัมพันธ์กับการแนะนำผู้อื่นมาใช้บริการในระดับปานกลางเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ในด้านภาพลักษณ์มีความสัมพันธ์กับจำนวนครั้งในการเข้ารับบริการต่อปี โดยมีความสัมพันธ์กันในระดับต่ำและเป็นไปในทิศทางตรงกันข้าม ส่วนการกลับมาใช้บริการซ้ำมีความสัมพันธ์กันในระดับปานกลาง และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ในด้านการแนะนำผู้อื่นมาใช้บริการมีความสัมพันธ์กันในระดับสูง และเป็นไปในทิศทางเดียวกัน จากการวิจัยครั้งนี้ มีข้อเสนอแนะจากการวิจัยด้านประชากรศาสตร์ทำให้สามารถนำไปเป็นแนวทางในการจัดโปรแกรมเพื่อส่งเสริมสุขภาพให้เหมาะกับกลุ่มผู้รับบริการและเกิดการใช้บริการสุขภาพมากขึ้น ในด้านส่วนประสมทางการตลาดจะนำไปใช้พัฒนาในด้านบุคลากรและงานวิจัยให้โรงพยาบาลมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เชื่อมโยงในส่วนของภาพลักษณ์ในการให้การบริการที่ดี ทำให้เกิดภาพลักษณ์ในทางบวก
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/6278
2023-11-13T12:31:38Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6278
2023-11-13T12:31:38Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 6 No. 2 (2558): ปีที่ 6 ฉบับที่ 2 กรกฎาคม – ธันวาคม 2558; 134-144
ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการเช่าอพาร์ทเมนท์ของผู้บริโภค ในเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร
อิ่มสอน, พจนารถ; สาขาการจัดการ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
2015-09-10
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/6278
อพาร์ทเมนท์ ส่วนประสมทางการตลาด พฤติกรรมการเช่า
en_US
การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการเช่าอพาร์ทเมนท์ของผู้บริโภค ในเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร ศึกษาถึงความคิดเห็นที่มีต่อส่วนประสมทางการตลาด 7 ด้าน ประกอบด้วย ด้านผลิตภัณฑ์ ด้านราคา ด้านทำเลที่ตั้ง ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านบุคลากรที่ให้บริการ ด้านกระบวนการให้บริการ ด้านสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ ที่มีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเช่าอพาร์ทเมนท์ โดยอาศัยระเบียบวิธีการวิจัย 2 วิธี คือ วิธีวิจัยเชิงปริมาณ และ วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริโภคที่เช่าพักอพาร์ทเมนท์ในเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร วิธีวิจัยเชิงปริมาณ เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คน โดยใช้วิธีสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) พบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 26-35 ปี มีระดับการศึกษาปริญญาตรี มีสถานภาพโสด มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัทเอกชน และมีรายได้ต่อเดือน 10,001-20,000 บาท มีความคิดเห็นต่อส่วนประสมทางการตลาดในด้านราคา ด้านทำเลที่ตั้ง และด้านบุคลากรที่ให้บริการ อยู่ในระดับดี พฤติกรรมการเช่าอพาร์ทเมนท์ส่วนใหญ่อยู่มาน้อยกว่าหรือเท่ากับ 1 ปี มีความตั้งใจที่จะพักอยู่นานมากกว่า 4 ปี จะแนะนำหรือชักชวนบุคคลที่รู้จักให้มาพักอพาร์ทเมนท์ที่พักอยู่ และจะยังคงพักต่อไปแม้ว่าจะมีบุคคลที่รู้จักแนะนำอพาร์ทเมนท์ที่อื่นๆ อยู่ในระดับมาก จากการทดสอบสมมติฐาน พบว่า อายุ สถานภาพ อาชีพ ที่แตกต่างกันมีพฤติกรรมการเช่าอพาร์ทเมนท์ในด้านระยะเวลาที่อยู่แตกต่างกัน ระดับการศึกษา ที่แตกต่างกันมีพฤติกรรมการเช่าอพาร์ทเมนท์ในด้านระยะเวลาที่อยู่และด้านความตั้งใจที่จะอยู่แตกต่างกัน รายได้ที่แตกต่างกันมีพฤติกรรมการเช่าอพาร์ทเมนท์ในด้านความตั้งใจที่จะอยู่และหากมีความจำเป็นต้องย้ายออกไปก็จะกลับมาพักที่เดิมอีกแตกต่างกัน ปัจจัยส่วนประสมทางการตลาดทุกด้านมีความสัมพันธ์กับพฤติกรรมการเช่าอพาร์ทเมนท์ของผู้บริโภคในด้านความจำเป็นต้องย้ายออกไปแล้วจะกลับมาพักที่เดิมอีก และด้านการแนะนำหรือชักชวนบุคคลที่รู้จักให้มาพักอพาร์ทเมนท์ที่พักอยู่ วิธีวิจัยเชิงคุณภาพ เก็บข้อมูลจากกลุ่มเป้าหมาย 15 คน พบว่า กลุ่มเป้าหมายต้องการให้ทางอพาร์ทเมนท์เห็นถึงความสำคัญในด้านการส่งเสริมการตลาดมากที่สุด
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/8089
2023-11-13T12:31:54Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/8089
2023-11-13T12:31:54Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 7 No. 1 (2559): ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2559; 1-24
ผลกระทบจากการสื่อสารแบบปากต่อปากบนอินเทอร์เน็ตต่อความรู้ในตราสินค้า ความสัมพันธ์กับตราสินค้า และความตั้งใจซื้อซ้ำ: การศึกษาตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คนในประเทศไทย
ยอดน้ำคำ, ศุภวิชญ์; Integrated Bachelor's and Master's Degree Program in Business and Accounting, Thammasat Business School Thammasat University
2016-11-02
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/8089
การสื่อสารแบบปากต่อปากบนอินเทอร์เน็ต บทวิจารณ์ผลิตภัณฑ์ออนไลน์ ความรู้ในตราสินค้า การรับรู้ตราสินค้า ภาพลักษณ์ตราสินค้า ความตั้งใจซื้อซ้ำ ความสัมพันธ์กับตราสินค้า
en_US
งานวิจัยนี้ มีวัตถุประสงค์ประกอบด้วย 1) เพื่อศึกษาผลกระทบจากการสื่อสารแบบปากต่อปากบนอินเทอร์เน็ต (eWOM) ต่อความรู้ในตราสินค้า และความสัมพันธ์กับตราสินค้าที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อซ้ำรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คนในประเทศไทย และ 2) เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลกระทบจาก eWOM ต่อความรู้ในตราสินค้า ความสัมพันธ์กับตราสินค้าที่ส่งผลต่อความตั้งใจซื้อซ้ำ ระหว่างผู้ครอบครองรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน ตราสินค้าโตโยต้า และฮอนด้าในประเทศไทย ผลการวิจัยพบว่า eWOM ส่งผลต่อการรับรู้ตราสินค้า และภาพลักษณ์ตราสินค้าอย่างมีนัยสำคัญ การรับรู้ตราสินค้าส่งผลต่อภาพลักษณ์ตราสินค้าอย่างมีนัยสำคัญในภาพรวม แต่ไม่พบความสัมพันธ์ดังกล่าวในกลุ่มผู้ครอบครองรถยนต์ตราสินค้าฮอนด้า ยิ่งไปกว่านั้น ภาพลักษณ์ตราสินค้าส่งผลต่อความสัมพันธ์กับตราสินค้า และความตั้งใจซื้อซ้ำอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งความสัมพันธ์กับตราสินค้ายังส่งผลต่อความตั้งใจซื้อซ้ำอย่างมีนัยสำคัญเช่นกัน
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/8090
2023-11-13T12:31:54Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/8090
2023-11-13T12:31:54Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 7 No. 1 (2559): ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2559; 25-47
ECONOMIC VARIABLES AS PREDICTORS OF STOCK MARKET PERFORMANCE: EVIDENCE FROM THE MARKET FOR ALTERNATIVE INVESTMENT (MAI): ตัวแปรทางเศรษฐกิจในฐานะตัวชี้วัดของศักยภาพตลาดหลักทรัพย์: กรณีศึกษาตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ (MAI)
Joungrattanakamjorn, Worapong; Assumption University, Hua Mak Campus, Bangkapi, Bangkok
Suntraruk, Phassawan; Mahidol University International College, Salaya, Nakhonpathom
2016-11-02
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/8090
Economic variable
Stock market performance
MAI index
Thailand
en_US
The primary aim of this research is to investigate the predictive ability of economic variables upon stock market performance in the case of the Market for Alternative Investment (MAI) in Thailand during 2002-2013. Using multiple regression analysis with monthly data, the results from this study reveal that the lagged return on the MAI index can be used to predict the MAI index return, in which MAI’s return depends on its past performance in the similar direction. Moreover, it is found that interest rates have a negative impact upon MAI index returns, implying that rising interest rates can be predicted to lessen the performance of the MAI. The results from this study benefit both individual and institutional investors for managing their portfolio effectively when estimating trend movements of the market index. They also provide additional international evidence regarding investment in listed small and medium sized enterprises.
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/8091
2023-11-13T12:31:54Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/8091
2023-11-13T12:31:54Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 7 No. 1 (2559): ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2559; 48-66
ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้าและของที่ระลึกในจังหวัดฉะเชิงเทราของนักท่องเที่ยวชาวไทย
อัครปัณณกูร, ณภัทร; Srinakharinwirot University
2016-11-02
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/8091
คุณภาพบริการ ความพึงพอใจของนักท่องเที่ยว รูปแบบการดำเนินชีวิต ของที่ระลึก
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย เพื่อศึกษารูปแบบการดำเนินชีวิต และความพึงพอใจที่มีผลต่อ พฤติกรรมการซื้อสินค้าและของที่ระลึก ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ของนักท่องเที่ยวชาวไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาท่องเที่ยวจังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 400 คน โดยใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง อายุระหว่าง 31 - 40 ปี สถานภาพโสด ระดับการศึกษาปริญญาตรี อาชีพพนักงาน/ ลูกจ้างบริษัทเอกชน และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือน 15,000 – 24,999 บาท รูปแบบการดำเนินชีวิต ด้านกิจกรรมโดยรวมในระดับบ่อยครั้ง ด้านความสนใจโดยรวมในระดับมาก ด้านความคิดเห็นโดยรวมอยู่ในระดับเห็นด้วย กลุ่มตัวอย่างมีทัศนคติเกี่ยวกับคุณภาพการบริการอยู่ในระดับดี กลุ่มตัวอย่างมีความพึงพอใจต่อส่วนประสมทางการตลาดบริการอยู่ในระดับพอใจ รูปแบบการดำเนินชีวิต ด้านกิจกรรม มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้า ด้านความถี่ในการซื้อ รูปแบบการดำเนินชีวิต ด้านความสนใจ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้า ด้านค่าใช้จ่ายในการซื้อต่อครั้ง คุณภาพการให้บริการ ด้านความน่าเชื่อถือไว้วางใจ มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อสินค้า ด้านความถี่ในการซื้อ ความพึงพอใจต่อส่วนประสมทางการตลาดบริการ ด้านราคา ด้านการส่งเสริมการตลาด ด้านบุคคล ด้านการสร้างและนำเสนอลักษณะทางกายภาพ และด้านกระบวนการมีความสัมพันธ์ในระดับต่ำ ทิศทางเดียวกันกับพฤติกรรมการซื้อสินค้าและของที่ระลึก ของนักท่องเที่ยวชาวไทย ในจังหวัดฉะเชิงเทรา ด้านความถี่ในการซื้อ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ข้อเสนอแนะที่ได้จากการวิจัยครั้งนี้คือ หน่วยงานภาครัฐ และผู้ประกอบการควรร่วมมือกัน จัดมาตรฐานของตลาดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และลักษณะทางกายภาพ จัดระเบียบตลาด และจัดอบรมให้ความรู้ผู้ประกอบการในตลาดเกี่ยวกับความสำคัญของการให้บริการ สร้างจิตสำนึกในการบริการของผู้ประกอบการร้านค้าในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า เพื่อให้ตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวและทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/8092
2023-11-13T12:31:54Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/8092
2023-11-13T12:31:54Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 7 No. 1 (2559): ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2559; 67-84
การเปรียบเทียบลักษณะส่วนบุคคลที่ให้ความสำคัญกับปัจจัยใน การตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยในการศึกษาต่อระดับอุดมศึกษา: โดยใช้ผลจากการวิเคราะห์ร่วม
ประดิษฐสุวรรณ, ณัฐยา; Srinakharinwirot University
2016-11-02
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/8092
ลักษณะส่วนบุคคล ปัจจัย การตัดสินใจ มหาวิทยาลัย การวิเคราะห์ร่วม
en_US
สภาพการแข่งขันของสถาบันการศึกษาในประเทศไทยได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ต้องแข่งขันกันเพื่อคัดเลือกนักเรียนที่มีคุณภาพ ผู้บริหารการศึกษาจึงมีความจำเป็นต้องเข้าใจความแตกต่างทางลักษณะส่วนบุคคลของนักเรียนเป้าหมายที่อาจส่งผลต่อการให้ความสำคัญกับปัจจัยในการตัดสินใจเลือกมหาวิทยาลัยที่จะศึกษาต่อ วัตถุประสงค์ของ การวิจัยในครั้งนี้คือ เพื่อเปรียบเทียบลักษณะส่วนบุคคลของนักเรียนเป้าหมายที่มีต่อการให้ความสำคัญกับปัจจัยในการเลือกมหาวิทยาลัย โดยใช้ปัจจัย 5 ปัจจัย ที่ได้จากการสัมภาษณ์กลุ่ม เพื่อสร้างสถานการณ์จำลองในการวิเคราะห์ร่วม กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 880 คน ผลการวิจัย ระบุว่า การให้ความสำคัญกับปัจจัยในการเลือกมหาวิทยาลัย จะแตกต่างกันตามลักษณะส่วนบุคคล ซึ่งได้แก่ โปรแกรมที่ศึกษา เกรดเฉลี่ยสะสม และระดับการศึกษาสูงสุดของบิดา/ มารดา ซึ่งการวิจัยในครั้งนี้ได้ให้ข้อเสนอแนะในการปรับปรุงโปรแกรมการตลาดของสถาบันการศึกษา เพื่อให้มีสอดคล้องกับความต้องการของตลาดเป้าหมาย และสามารถดึงดูดใจนักเรียนที่มีลักษณะส่วนบุคคลที่แตกต่างกันได้ดียิ่งขึ้น
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/8093
2023-11-13T12:31:54Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/8093
2023-11-13T12:31:54Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 7 No. 1 (2559): ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2559; 85-104
ความรู้ความเข้าใจ แรงจูงใจ และทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาดที่มีผลต่อพฤติกรรมการบริโภคข้าวไรซ์เบอร์รี่ ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร
เพชรอยู่, อภิสรา; Srinakharinwirot University
2016-11-02
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/8093
ความรู้ความเข้าใจ แรงจูงใจ ทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาด ข้าวไรซ์เบอร์รี่ พฤติกรรมการบริโภค
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาลักษณะประชากรศาสตร์ ความรู้ความเข้าใจต่อข้าวไรซ์เบอร์รี่ แรงจูงใจ ทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาด และความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมการบริโภคข้าวไรซ์เบอร์รี่และแนวโน้มพฤติกรรมการบริโภคข้าวไรซ์เบอร์รี่ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ ผู้บริโภคที่เคยซื้อและบริโภคข้าวไรซ์เบอร์รี่ ในเขตกรุงเทพมหานครทั้งเพศชายและเพศหญิง จำนวน 400 คน ใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือใน การเก็บข้อมูล โดยสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว การทดสอบค่าสัมประสิทธ์สหสัมพันธ์แบบเพียร์สัน และการวิเคราะห์ความถดถอยเชิงเชิงพหุคูณ จากการวิเคราะห์ข้อมูล พบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามซึ่งเป็นผู้บริโภคข้าวไรซ์เบอร์รี่ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง มีอายุระหว่าง 30 - 39 ปี สถานภาพ สมรส/ อยู่ด้วยกัน ระดับการศึกษาในระดับปริญญาตรี ประกอบอาชีพอาชีพลูกจ้าง/ พนักงานเอกชน และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเฉลี่ย 30,000 - 39,999 บาท ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ผู้บริโภคที่มีอายุ แตกต่างกันมีพฤติกรรมการบริโภคข้าวไรซ์เบอร์รี่ด้านค่าใช้จ่ายในการซื้อข้าวไรซ์เบอร์รี่ต่อครั้งแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ทัศนคติด้านส่วนประสมทางการตลาดที่มีต่อข้าวไรซ์เบอร์รี่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม การบริโภคข้าวไรซ์เบอร์รี่ ด้านความถี่ในการซื้อข้าวไรซ์เบอร์รี่ในรอบ 3 เดือน ตัวแปรที่มีความสัมพันธ์ทางบวกกับพฤติกรรมการบริโภคข้าวไรซ์เบอร์รี่ ได้แก่ ทัศนคติด้านผลิตภัณฑ์ และตัวแปรที่มีความสัมพันธ์ทางลบกับพฤติกรรมการบริโภคข้าวไรซ์เบอร์รี่ ได้แก่ ทัศนคติด้านส่งเสริมการตลาด อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ .01 และพฤติกรรมการบริโภคข้าวไรซ์เบอร์รี่ในด้านค่าใช้จ่ายในการซื้อต่อครั้ง มีความสัมพันธ์กับแนวโน้มพฤติกรรมการบริโภคข้าวไรซ์เบอร์รี่ในอนาคต ในด้านแนวโน้มแนะนำให้ผู้อื่นบริโภคข้าวไรซ์เบอร์รี่ในอนาคต โดยมีความสัมพันธ์เป็นไปในทิศทางเดียวกันในระดับต่ำ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/8095
2023-11-13T12:31:54Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/8095
2023-11-13T12:31:54Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 7 No. 1 (2559): ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2559; 105-119
บุพปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรของพนักงานธนาคารออมสินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
นาคดิลก, วรัญญา; Suan Sunandha Rajabhat University
2016-11-02
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/8095
พฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กร ภาวะผู้นำ ความพึงพอใจในงาน พนักงานธนาคารออมสินภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
en_US
การวิจัยเชิงปริมาณครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบจำลองสมการโครงสร้างเชิงสาเหตุของภาวะผู้นำแบบปฏิรูป ภาวะผู้นำแบบแลกเปลี่ยน บรรยากาศองค์กร และความพึงพอใจในงาน ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กรของพนักงานธนาคารออมสินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้มีความกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ กลุ่มตัวอย่างเป็นพนักงานธนาคารออมสินในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 552 คน ดำเนินการเก็บข้อมูลด้วยแบบสอบถามแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยเทคนิคดำเนินการพัฒนาแบบจำลองสมการโครงสร้าง (Structural Equation Model, SEM) ผลการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าแบบจำลองสมการโครงสร้างที่ได้พัฒนาและปรับแก้แล้ว (Adjust Model) มีความกลมกลืนกับข้อมูลเชิงประจักษ์ (c2=175.84, df= 92, p-value = 0.0000; Relativec2 = 1.91; GFI = .97; AGFI = .94; RMR = .011; SRMR= .031; RMSEA = .041; P-Value for Test of Close Fit = .96; NFI = .99; IFI= .99; CFI = 1.00; CN = 392.21) นอกจากนี้พบว่าตัวแปรที่ส่งผลทางตรงต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กร ได้แก่ ภาวะผู้นำแบบแลกเปลี่ยน และความพึงพอใจในงาน ตัวแปรที่ส่งผลทางอ้อมต่อพฤติกรรมการเป็นสมาชิกที่ดีขององค์กร ได้แก่ ภาวะผู้นำแบบปฏิรูปภาวะผู้นำแบบแลกเปลี่ยน และบรรยากาศองค์กร
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/8098
2023-11-13T12:31:54Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/8098
2023-11-13T12:31:54Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 7 No. 1 (2559): ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2559; 120-134
ความสัมพันธ์ระหว่างความสอดคล้องของค่านิยมบุคคลกับองค์การ ความผูกพันต่อองค์การ และความพยายามทุ่มเทของพยาบาลวิชาชีพ
ฮามิ, อับซิซิส; The National Institute of Development Administration
2016-11-02
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/8098
ความสอดคล้องของค่านิยมบุคคลกับองค์การ ความผูกพันต่อองค์การ ความพยายามทุ่มเท
en_US
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ของความสอดคล้องของค่านิยมบุคคลกับองค์การ ความผูกพันต่อองค์การและความพยายามทุ่มเท โดยความสอดคล้องของค่านิยมบุคคลกับองค์การใช้วิธีการวัดโดยอ้อมผ่านองค์ประกอบ 9 ด้าน ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นทีม การมุ่งเน้นลูกค้า การพัฒนาพนักงาน การมีคุณธรรมและความซื่อสัตย์ การมุ่งเน้นบุคคล การมุ่งเน้นผลลัพธ์ การใส่ใจในรายละเอียด และการได้รับผลตอบแทน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร จำนวน 378 คน เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าความเชื่อมั่นอยู่ระหว่าง .776 - .909 ผลการศึกษาพบว่า 1) ความสอดคล้องของค่านิยมบุคคลกับองค์การ มีความสัมพันธ์ทางบวกกับความผูกพันต่อองค์การ 2) ความสอดคล้องของค่านิยมบุคคลกับองค์การไม่มีความสัมพันธ์กับความพยายามทุ่มเท และ 3) ความผูกพันต่อองค์การมีความสัมพันธ์ทางบวกกับความพยายามทุ่มเท ข้อเสนอแนะจากผลการวิจัยคือ ควรมีการส่งเสริมและพัฒนาให้พนักงานมีค่านิยมที่สอดคล้องหรือเป็นไปในทิศทางเดียวกันเพื่อช่วยเพิ่มความผูกพันต่อองค์การอันจะส่งผลต่อ ความพยายามทุ่มเทในการทำงาน
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/8099
2023-11-13T12:31:54Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/8099
2023-11-13T12:31:54Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 7 No. 1 (2559): ปีที่ 7 ฉบับที่ 1 มกราคม - มิถุนายน 2559; 135-152
คุณค่าตราสินค้าและการตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนตราซัมซุงของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร
วงศ์ไตรทิพย์, ศุภณัฐ; King Mongkut's Institute of Technology Ladkrabang
2016-11-02
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/8099
สมาร์ทโฟน คุณค่าตราสินค้า การตัดสินใจซื้อ การรับรู้คุณภาพของตราสินค้า การตระหนักถึงตราสินค้า
en_US
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาระดับการตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนตรา ซัมซุงของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร 2) เพื่อเปรียบเทียบการตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนตรา ซัมซุงจำแนกตามลักษณะทางประชากรศาสตร์ 3) เพื่อศึกษาคุณค่าของตราสินค้าที่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนตรา ซัมซุง โดยประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้บริโภคที่ซื้อและใช้สมาร์ทโฟนตราซัมซุงในเขตกรุงเทพมหานครมาไม่น้อยกว่า 6 เดือน โดยทำการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย และการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจงจากผู้บริโภคที่ซื้อและใช้สมาร์ทโฟนตราซัมซุงมาไม่น้อยกว่า 6 เดือน จำนวน 180 ตัวอย่าง และเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม เครื่องมือทางสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ประกอบด้วยสถิติเชิงพรรณนา (ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) และสถิติเชิงอนุมานประกอบด้วยค่าสถิติการวิเคราะห์ Independent – Samples t Test, One way ANOVA และการวิเคราะห์ Multiple Linear Regression จากผลการวิจัยพบว่า ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 53.30 มีอายุอยู่ระหว่าง 20 - 25 ปี ร้อยละ 38.70 มีสถานภาพโสด ร้อยละ 58.00 มีระดับการศึกษาปริญญาตรีร้อยละ 77.40 ส่วนใหญ่มีอาชีพพนักงานบริษัทเอกชน ร้อยละ 47.70 และมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนระหว่าง 10,001 บาท - 20,000 บาท ร้อยละ 38.10 ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ลักษณะทางประชากรศาสตร์ด้าน อายุ และสถานภาพแตกต่างกัน มีการตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนตราซัมซุง ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 ลักษณะทางประชากรศาสตร์ด้าน อาชีพและรายได้เฉลี่ยต่อเดือนที่แตกต่างกันของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานคร มีการตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนตราซัมซุงแตกต่างกัน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และปัจจัยด้านการรับรู้คุณภาพของตราสินค้าและปัจจัยด้านการตระหนักถึงตราสินค้ามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนตราซัมซุง ของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 นอกจากนี้สมการที่ประมาณการได้สามารถอธิบายความสัมพันธ์ที่มีต่อการตัดสินใจซื้อสมาร์ทโฟนตราซัมซุงของผู้บริโภคในเขตกรุงเทพมหานครได้ถึงร้อยละ 62.4
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/8104
2023-11-13T12:32:10Z
MBASBJ:Research+Article
v2
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/8104
2023-11-13T12:32:10Z
คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Vol. 7 No. 2 (2559): ปีที่ 7 ฉบับที่ 2 กรกฏาคม – ธันวาคม 2559; 1-18
อิทธิพลของการเทียบเคียงสมรรถนะต่อความสามารถในการแข่งขัน และผลการดำเนินงานของอุตสาหกรรมยางพาราไทย
เจริญพรพานิชกุล, กิตติ; Rajamangala University of Technology, Rattanakosin,
2016-11-04
วารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ ยินดีรับบทความจากงานวิจัย บทความทางวิชาการ และบทวิจารณ์หนังสือทางบริหารธุรกิจ เพื่อตีพิมพ์เผยแพร่ ซึ่งทัศนะและข้อคิดเห็นใดๆ ในวารสารฯ ถือเป็นความเห็นและความรับผิดชอบโดยตรงของผู้เขียน มิใช่เป็นความเห็นและความรับผิดชอบใดๆ ของศูนย์การจัดการหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา คณะบริหารธุรกิจเพื่อสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ผู้ประสงค์จะนำบทความหรือบทวิจารณ์ใดๆ ไปเผยแพร่ จะต้องได้รับการอนุญาตจากวารสารเป็นลายลักษณ์อักษร ลิขสิทธิ์บทความที่เผยแพร่ทั้งหมดเป็นของวารสารบริหารธุรกิจศรีนครินทรวิโรฒ
url:http://ejournals.swu.ac.th/index.php/MBASBJ/article/view/8104
การเทียบเคียงสมรรถนะ ความสามารถในการแข่งขัน อุตสาหกรรมยางพารา ผลการดำเนินงานทางด้านการเงิน ผลการดำเนินงานที่ไม่ใช่ทางด้านการเงิน
en_US
การศึกษานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเทียบเคียงสมรรถนะที่มีอิทธิพลต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจในอุตสาหกรรมยางพาราไทย ประกอบด้วย การเทียบเคียงสมรรถนะภายใน การเทียบเคียงสมรรถนะกับคู่แข่ง การเทียบเคียงสมรรถนะกับอุตสาหกรรม และการเทียบเคียงสมรรถนะโดยทั่วไป และเพื่อศึกษาอิทธิพลของความสามารถในการแข่งขันที่มีต่อผลการดำเนินงานทางด้านการเงิน และผลการดำเนินงานที่ไม่ใช่ทางด้านการเงินของผู้ประกอบการธุรกิจในอุตสาหกรรมยางพาราไทย ผู้วิจัยใช้ทั้งการวิจัยเชิงคุณภาพและการวิจัยเชิงปริมาณ สำหรับการวิจัยเชิงคุณภาพเป็นการสัมภาษณ์เจาะลึกเพื่อยืนยันความเหมาะสมของกรอบแนวความคิดที่ถูกนำมาใช้กับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมยางพาราไทย และการอภิปรายผลการวิจัย ส่วนการวิจัยเชิงปริมาณใช้แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลจากบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมยางพาราไทยจำนวน 315 บริษัท สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การหาค่าความถี่ การหาค่าร้อยละ การหาค่าเฉลี่ย การหาค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์ถดถอยเชิงพหุ ผลการศึกษาพบว่า 1) การเทียบเคียงสมรรถนะภายในมีอิทธิพลทางบวกต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจในอุตสาหกรรมยางพาราไทย 2) การเทียบเคียงสมรรถนะกับอุตสาหกรรมมีอิทธิพลทางบวกต่อความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจในอุตสาหกรรมยางพาราไทย 3) ความสามารถในการแข่งขันมีอิทธิพลทางบวกต่อผลการดำเนินงานทางด้านการเงินของผู้ประกอบการธุรกิจในอุตสาหกรรมยางพาราไทย และ 4) ความสามารถในการแข่งขันมีอิทธิพลทางบวกต่อผลการดำเนินงานที่ไม่ใช่ทางด้านการเงินของผู้ประกอบการธุรกิจในอุตสาหกรรมยางพาราไทย ผลจากการวิจัยมีข้อเสนอแนะให้บริษัทที่ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมยางพาราไทยควรมุ่งเน้นกระบวนการเทียบเคียงสมรรถนะกับอุตสาหกรรม และการเทียบเคียงสมรรถนะภายใน เพื่อส่งผลให้เกิดความสามารถในการแข่งขันของบริษัทและผลการดำเนินงาน
b5c307c5ae08c27416531d82cc7a7a1f