2024-03-28T14:15:18Z
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/index/oai
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3560
2021-06-16T17:04:48Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"131105 2013 eng "
2651-074X
dc
การถ่ายเทความร้อนของอิฐบล็อคประสานชนิดไม่รับน้ำหนักที่มีส่วนผสมของเถ้าไม้ยางพารา
วาจิ, โพซี
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา 95000
หะยีหามะ, ซูฮายา
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา 95000
ดะแซสาเมาะ, อาบีดีน
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา 95000
Heat Transfer of Non-Load-Bearing Interlocking Block with Mixture of Para Rubber Wood Fly Ash
Posee Vaji, Suhaya Hayeehama and Abedeen Dasaesamoh
รับบทความ: 12 มีนาคม 2556; ยอมรับตีพิมพ์: 17 พฤษภาคม 2556
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสมบัติทางกายภาพและสมบัติทางกลของอิฐบล็อกประสานชนิดไม่รับน้ำหนักที่มีส่วนผสมของเถ้าไม้ยางพาราโดยมีสัดส่วนของเถ้าไม้ยางพารา : ดินลูกรัง : ปูนซีเมนต์ เท่ากับ 3:3:1 ผลการศึกษาพบว่า อิฐบล็อกประสานชนิดไม่รับน้ำหนักสามารถขึ้นรูปได้ มีลักษณะของสีเป็นสีดำต่างจากอิฐบล็อกประสานชนิดไม่รับน้ำหนักในปัจจุบันที่มีเป็นสีเทาการเกิดปฏิกิริยาเคมีของเถ้าไม้ยางพารา ปูนซีเมนต์ และน้ำทำให้เกิดสมบัติในการเชื่อมประสานเพิ่มขึ้นทำให้อิฐมีความแข็งแรงมากขึ้น มีความหนาแน่นของอิฐเท่ากับ 1,914 kg/m3 มีค่าอัตราการดูดน้ำเท่ากับ 342 kg/m3 และความต้านแรงอัดอยู่ในชั้นคุณภาพชนิดไม่รับน้ำหนักมีค่าความต้านแรงอัดเฉลี่ยจากพื้นที่รวมเท่ากับ 31.7 kg/cm2 และมีค่าความต้านแรงอัดต่ำสุดมีค่าเท่ากับ 29.4 kg/cm2 เมื่อศึกษาสมบัติการถ่ายโอนความร้อน พบว่า อิฐบล็อกประสานชนิดไม่รับน้ำหนักที่มีส่วนผสมของเถ้าไม้ยางพารามีผลต่อการลดอุณหภูมิของอิฐบล็อกประสานอธิบายได้ว่า การเติมเถ้าไม้ยางพาราทำให้อิฐบล็อกประสานมีลักษณะโครงสร้างเป็นฟองอากาศที่มีรูพรุน ทำให้มีคุณสมบัติต้านทานความร้อนได้สูงและนำความร้อนได้ต่ำ
คำสำคัญ: อิฐไม่รับน้ำหนัก เถ้าไม้ยางพารา การถ่ายโอนความร้อน
Abstract
This research aimed to investigate the physical and mechanical properties of the non-load-bearing interlocking block containing Para rubber wood ash. The proportion ratio of ash wood: gravel: cement was 3:3:1. The finding showed that ratio of mixture can be formable. The non-load-bearing interlocking blocks containing the wood ash were black and differed from the existing blocks that were gray. The reaction of wood ash, cement and water assisted better soldering characteristics to be stronger blocks. The density and water absorption of the blocks were equal to 1,914 kg/m3 and 342 kg/m3, respectively. The compressive strength has been in the non-loading quality. The average compressive strength and the minimum compressive strength to total area of the block were 31.7 kg/cm2 and 29.4 kg/cm2, respectively. From the study of heat transfer, the non-load-bearing interlocking block containing Para rubber wood ash affected the temperature reduction of the block. It revealed that the Para rubber wood ash assisted the non-load-bearing interlocking blocks having air-porous structure to give high heat resistance and low thermal conductivity.
Keywords: Non-load-bearing interlocking block, Para rubber wood ash, Heat transfer
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-05 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3560
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 1 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c) 2013 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3561
2021-06-16T17:12:06Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"131105 2013 eng "
2651-074X
dc
การเปรียบเทียบรูปแบบการสอนระหว่างวิดีโอเทปกับการทดลองแบบสาธิตเพื่อพัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่อง แรงลอยตัว
วุฒิพรหม, สุระ
ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34190
A Comparison of Teaching Experiments between Videotaped and Demonstrative Approaches in Developing Scientific Concepts about Buoyant Force
Sura Wuttiprom
รับบทความ: 5 มกราคม 2556; ยอมรับตีพิมพ์: 10 มีนาคม 2556
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่อง แรงลอยตัว ของนักศึกษาฟิสิกส์ชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จำนวน 42 คน ผู้วิจัยแบ่งนักศึกษาออกเป็น 2 กลุ่มตามปีการศึกษาที่ลงทะเบียนเรียนวิชาฟิสิกส์ทั่วไป กลุ่มตัวอย่างจำแนกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเรียนการทดลองแบบวิดีโอเทป และกลุ่มเรียนการทดลองแบบสาธิต และให้นักศึกษาทำแบบวัดแนวคิดวิทยาศาสตร์แบบ 3 ลำดับขั้น เรื่อง แรงลอยตัว จำนวน 3 ข้อก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ ผลการวิจัย พบว่า นักศึกษาส่วนใหญ่มีแนวคิดวิทยาศาสตร์เพิ่มมากขึ้น แต่ไม่มีความแตกต่างระหว่างกลุ่มที่เรียนแบบวิดีโอเทปกับการทดลองแบบสาธิต แสดงให้เห็นว่า สามารถใช้วิดีโอเทปเรียนการทดลองแทนการสาธิตได้
คำสำคัญ: การทดลองแบบวิดีโอเทป การทดลองแบบสาธิต แรงลอยตัว แนวคิดวิทยาศาสตร์
Abstract
The aim of this research was to study the development of the students’ scientific concepts on buoyant force. The study was conducted with first-year university physics students (N= 42) at Ubon Ratchathani University. The students were divided into two groups based on academic year of students who enrolled in introductory physics course. The first group was presented the experiment in the videotape method, and the another group dealt with the experiment in the form of a demonstration. Students were asked to complete two 3-tiers conceptual questions in the topic of buoyant force both before and after teaching. The results indicated that most students increasingly held scientific concepts but no significant difference in the effectiveness of the experiment in the videotaped or demonstration methods. Therefore, videotaped experiments could be an alternative for demonstration experiments.
Keywords: Videotaped experiment, Demonstration experiment, Buoyant force, Scientific concept
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-05 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3561
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 1 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c) 2013 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3562
2021-06-16T17:11:23Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"131105 2013 eng "
2651-074X
dc
การพัฒนาชุดกิจกรรมสืบเสาะหาความรู้ เรื่อง ไบโอดีเซล สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
ดรบัณฑิต, ปิยรัตน์
ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
โยสีดา, จินตวีร์
โรงเรียนคลองขามวิทยาคาร ยางตลาด กาฬสินธุ์ 46210
The Development of Inquiry Activity Packages on “Biodiesel” for Secondary School Students
Piyarat Dornbundit and Jintawee Yosida
รับบทความ:14 เมษายน 2556; ยอมรับตีพิมพ์: 20 พฤษภาคม 2556
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมสืบเสาะหาความรู้เรื่อง “ไบโอดีเซล” สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายโดยใช้การสืบเสาะความรู้แบบ 5E ประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ ขั้นสร้างความสนใจขั้นสำรวจและค้นหา ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป ขั้นขยายความรู้ และขั้นประเมินผลจากการประเมินผลเครื่องมือในการจัดการเรียนรู้ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจของนักเรียนด้วยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่าน พบว่า ชุดกิจกรรมมีคุณภาพระดับดี ผลการศึกษาในเบื้องต้นพบว่า ชุดกิจกรรมดังกล่าวมีประสิทธิภาพ 85.00/81.56 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้และเมื่อทดลองใช้ชุดกิจกรรมกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6โรงเรียนคลองขามวิทยาคาร ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2554 จำนวน 30 คน พบว่า นักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง “ไบโอดีเซล”หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน (p < .05) และผู้เรียนประเมินผลความพึงพอใจต่อการใช้ชุดกิจกรรมอยู่ในระดับมาก
คำสำคัญ: กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ ไบโอดีเซล ชุดกิจกรรม
Abstract
This research aimed to develop inquiry activity packages on “Biodiesel” for secondary school students by using the 5E inquiry process consisting of engagement, exploration, explanation, elaboration and evaluation steps respectively. The evaluation of tools for learning management in aspect of achievement and students’ preferences towards the activity packages by using three experts was in the good level. The pilot finding showed that the efficacy of the activity packages was 80.00/81.56, higher than the criteria. After using the activity packages with 30 Grade-12 students of Klongkhamwittayakarn School in academic year 2011, the findings indicated that students’ achievement in the topic of Biodiesel learning after using the activity packages was higher than those before using the activity packages (p < .05). The students’ preferences towards the activity packages, moreover, were in the high level.
Keywords: Inquiry process, Biodiesel, Activity packages
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-05 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3562
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 1 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c) 2013 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3563
2021-06-16T17:40:20Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การพัฒนาและติดตามศักยภาพในการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ของนิสิตครูวิทยาศาสตร์
ปิติพรเทพิน, ศศิเทพ
สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ศีกษา ภาควิชาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพมหานคร 19000
Developing and Following up Thai Pre-service Science Teachers’ Competencies for Science Communication
Sasithep Pitiporntapin
รับบทความ: 19 เมษายน 2556; ยอมรับตีพิมพ์: 5 พฤษภาคม 2556
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและติดตามศักยภาพในการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ของนิสิตครูวิทยาศาสตร์โดยงานวิจัยช่วงแรกมีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจทรรศนะเกี่ยวกับนักวิทยาศาสตร์ของนิสิตจบใหม่สาขาการสอนวิทยาศาสตร์ จำนวน 14 คน ปีการศึกษา 2554 โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากแบบสอบถาม และการสัมภาษณ์เชิงลึก ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาพบว่า นิสิตจบใหม่ส่วนใหญ่มีทรรศนะส่วนใหญ่ที่สอดคล้องกับธรรมชาติของวิทยาศาสตร์แต่ยังไม่มีทรรศนะในด้านข้อจำกัดของการอธิบายทางวิทยาศาสตร์ในการตอบคำถามได้ทุกคำถามนักวิทยาศาสตร์ใช้เหตุผลและจินตนาการในการสร้างความรู้ และกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์ในระดับสังคมซึ่งทรรศนะดังกล่าวเกี่ยวข้องกับการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุนี้งานวิจัยในช่วงที่ 2 ผู้วิจัยจึงสร้างรายวิชาการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ขึ้นเพื่อพัฒนาศักยภาพนิสิตครูในการสื่อสารทางวิทยา-ศาสตร์โดยใช้การสะท้อนความคิดผู้วิจัยเก็บรวบรวมจากนิสิตครูจำนวน 12 คน ในภาคต้น ปีการศึกษา 2555 ด้วยการสังเกตการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ บันทึกการเรียนรู้ แบบทดสอบเรื่องการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ แบบวัดเจตคติต่อการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ แบบประเมินความพึงพอใจในการจัดการเรียนรู้ และแบบบันทึกการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาพบว่า นิสิตส่วนใหญ่เข้าใจการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์เพิ่มมากขึ้นนอกจากนี้นิสิตยังพัฒนาทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียนและมีเจตคติที่ดีต่อการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ และต่อการจัดการเรียนรู้เพิ่มมากขึ้นส่วนงานวิจัยช่วงที่ 3 มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาเชิงลึกเกี่ยวกับการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์สู่ชุมชนของนิสิตครูที่สมัครใจเป็นกรณีศึกษา จำนวน 3 คน ในภาคปลาย ปีการศึกษา 2555 ผู้วิจัยเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสังเกตพฤติกรรม การสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการบันทึกการเรียนรู้ ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลแบบแบบอุปนัย พบว่า นิสิตได้นำเรียนรู้เกี่ยวกับการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์เพิ่มมากขึ้นได้แก่ การใช้ภาษาให้เหมาะสม การอธิบายทางวิทยาศาสตร์การใช้ความคิดอย่างมีวิจารณญาณ การใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารและการใช้ทักษะการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ในการเรียนและจัดกิจกรรมการเรียนรู้
คำสำคัญ: นิสิตครูวิทยาศาสตร์ การสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ การสะท้อนความคิด
Abstract
The purpose of the study was to develop and follow up pre-service science teachers’ science communication competencies. For the first phase, it aimed to survey views on scientists of 14 new graduate pre-service science teachers in the academic year 2011. The researchers collected data from questionnaires and in-depth interviews. The data were analyzed from content analysis. The findings showed that most of them had their views to be in line with nature of science. However, they still had no views on the limit of scientific explanation for every question, the scientists’ using of the reasoning and imagination for construction of knowledge, and scientist’s activities in social level. These missing views were concerned with science communication. Therefore in second phase, the researcher developed Science Communication course for enhancing pre-service science teachers’ teaching competencies for science communication through reflection. The researchers collected data from 12 pre-service science teachers in the first semester of academic year 2012. Multiple data were gathered from observation, informal interview, journal entries, science communication tests, a science communication attitude test, course evaluation form, and informal interview logs. Content analysis was used to analyze the data. The finding indicated that most of them had increased their understanding about science communication. Moreover, they also continually developed their listening, speaking, reading and writing skills as well as had positive attitude towards science communication and learning in this course. For third phase, the purpose of this phase was to study in depth about science communication through communities from 3 pre-service science teachers in the second semester of academic year 2012. The researcher collected from observation, informal interview, journal entries. Analytic induction was used. The finding revealed that they learned more about science communication such as how to use scientific language appropriately, explain scientific data to others, using critical thinking and technology for communication, and apply science communication skills in learning and teaching.
Keywords: Pre-service science teachers, Science communication, Reflection
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-05 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3563
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 1 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3564
2021-06-16T17:21:05Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"131105 2013 eng "
2651-074X
dc
การส่งเสริมความเข้าใจแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่อง โลกของเรา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ด้วยการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน
เมืองรามัญ, รวีวรรณ
สาขาวิชาการสอนวิทยาศาสตร์ ภาควิชาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ปิติพรเทพิน, ศศิเทพ
สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ศึกษา ภาควิชาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
Enhancing Grade 8th Students’ Understanding of Scientific Concept in Topic of “Our Earth” Using Model-based Learning
Rawewan Muangramun and Sasithep Pitiporntapin
รับบทความ:14 เมษายน 2556; ยอมรับตีพิมพ์: 20 พฤษภาคม 2556
บทคัดย่อ
การวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมแนวคิดวิทยาศาสตร์เรื่อง โลกของเรา ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 47 คน ด้วยการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานและสำรวจความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่องโลกของเราที่เน้นการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานจำนวน 5 แผน แบบวัดแนวคิดวิทยาศาสตร์บันทึกการเรียนรู้ของนักเรียน และแบบบันทึกการสัมภาษณ์อย่างไม่เป็นทางการ ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยการหาค่าความถี่และร้อยละวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนมีแนวคิดวิทยาศาสตร์และมีแนวคิดวิทยาศาสตร์สมบูรณ์บางส่วนเพิ่มมากขึ้นกว่าก่อนเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานนอกจากนี้นักเรียนยังมีแนวคิดวิทยาศาสตร์ไม่สมบูรณ์และคลาดเคลื่อนบางส่วนและแนวคิดวิทยาศาสตร์คลาดเคลื่อนจำนวนลดลงและหลังเรียนไม่มีนักเรียนคนใดที่ไม่มีแนวคิดวิทยาศาสตร์ ส่วนความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐานพบว่า การลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง การสื่อสารข้อมูลทางวิทยาศาสตร์และการทำงานร่วมกันเป็นกลุ่ม เป็นปัจจัยที่ส่งเสริมความเข้าใจแนวคิดวิทยาศาสตร์เรื่อง โลกของเรา ของนักเรียนได้
คำสำคัญ: แนวคิดวิทยาศาสตร์ การเรียนรู้โดยใช้แบบจำลองเป็นฐาน ความเข้าใจของนักเรียน
Abstract
This action research aimed at enhancing 47 grade 8th students’ understanding of scientific concepts in topic of “Our Earth” using model-based learning, and surveying students’ opinions about model-based learning. The research instruments were 5 lessen plans focused on model-based learning, scientific concept test, student journal entries, and informal interview logs. The quantitative data were analyzed by using finding frequency and percentage. For analyzing quantitative data, content analysis was used. The findings were that most students developed their complete understanding and partial understanding of scientific conception more than before learning with model-based learning. Moreover, students decreased their partial understanding with specific misconception and specific mis-conception. After learning with model-based learning, no student also had no understanding of the concepts. Students’ opinions about model-based learning, hands-on activities, science communication, and group working were factors that could enhance students’ understanding of scientific concepts in the topic of “Our Earth”.
Keywords: Scientific concept, Model-based learning, Students’ understanding
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-05 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3564
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 1 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c) 2013 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3565
2021-06-16T17:24:34Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"131105 2013 eng "
2651-074X
dc
ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคมต่อความตระหนักและความรู้ความเข้าใจของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อสังคม
นาใจแก้ว, พัดตาวัน
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี อุดรธานี 41000
ทิพย์จ้อย, วรวัฒน์
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี อุดรธานี 41000
The Effect of Science, Technology and Society Approach on Awareness and Knowledge of Science and Technology in Society of the First-year Undergraduates
Pattawan Narjaikaew and Worawat TipJoi
รับบทความ: 21 มีนาคม 2556; ยอมรับตีพิมพ์: 27 พฤษภาคม 2556
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความตระหนักและความเข้าใจของนักศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อสังคมของนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ได้รับการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักศึกษาชั้นปีที่ 1 มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาวิทยาศาสตร์เพื่อคุณภาพชีวิต ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 จำนวน 54 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่มโดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม ใช้แบบแผนการวิจัยกึ่งทดลองโดยมีรูปแบบการทดลองแบบกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลังการทดลอง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม จำนวน 6 แผน แผนละ 3 ชั่วโมง รวมระยะเวลาที่ใช้ในการทดลอง 18 ชั่วโมง แบบวัดความตระหนักต่อความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อสังคม และแบบวัดความรู้ความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อสังคม เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของความตระหนักและความเข้าใจต่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อสังคม โดยใช้การทดสอบทีแบบไม่อิสระต่อกัน ผลการวิจัย พบว่า นักศึกษาชั้นปีที่ 1 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดวิทยา-ศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคมมีความตระหนักต่อความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อสังคมก่อนเรียนและหลังเรียนไม่แตก-ต่างกัน มีความตระหนักต่อความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อสังคมในระดับค่อนข้างดีทั้งก่อนและหลังเรียน และมีความเข้าใจด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อสังคมระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกัน (p < .01)
คำสำคัญ: การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสังคม ความตระหนักต่อความสำคัญของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความรู้ความเข้าใจวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
Abstract
This research aimed to study and compare students’ awareness and knowledge of science and technology in society of the first-year undergraduates before and after using Science Technology and Society Approach (STS). The subjects were 54 first-year Udon Thani University students, sampled by cluster random sampling from students who enrolled in the Science for Quality of Life in second semester of academic year 2012. The research design was quasi-experiment using one-group pretest-posttest. The research tools consisted of 6 STS lesson plan 18 hours for the implementation, the science and technology awareness evaluation form, and the science and technology knowledge test. The statistical analysis of mean comparisons both science and technology awareness and knowledge before and after learning using the STS was t-test for independent samples. The findings showed that there was no difference between mean scores of the students’ science and technology awareness before and after learning with STS approach. In addition, the students’ science and technology awareness before and after using the STS were at the fairly good level. The students’ knowledge of science and technology was different between before and after using STS approach (p < .01)
Keywords: Science, technology and society approach, Science and technology awareness, Science and technology knowledge
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-05 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3565
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 1 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c) 2013 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3567
2021-06-16T17:31:40Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"131105 2013 eng "
2651-074X
dc
การศึกษาการวิจัยด้านพลังงานชีวภาพของสหภาพยุโรปสู่แนวทางการส่งเสริมในบริบทของประเทศไทย
เมฆาอภิรักษ์, จันทร์เพ็ญ
การศึกษาการวิจัยด้านพลังงานชีวภาพของสหภาพยุโรปสู่แนวทางการส่งเสริมในบริบทของประเทศไทย
Study on European Union’s Research in Bioenergy for Promotion Approaches in the Context of Thailand
Junpen Meka-Apiruk
รับบทความ: 10 มีนาคม 2556; ยอมรับตีพิมพ์: 25 พฤษภาคม 2556
บทคัดย่อ
สหภาพยุโรปกำหนดนโยบายด้านพลังงานโดยบูรณาการร่วมกับนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและการขนส่ง ซึ่งมีเป้าหมายการดำเนินงานให้บรรลุผลภายใน ค.ศ. 2020 อาทิ ลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 20 จากปริมาณที่ปลดปล่อยใน ค.ศ. 1990 การใช้พลังงานทดแทนร้อยละ 20 ของการบริโภคพลังงานในสหภาพยุโรปทั้งหมด การออมพลังงานร้อยละ 20 ของปริมาณพลังงานที่คาดว่าจะบริโภค รวมทั้งการใช้พลังงานทดแทนสำหรับภาคการขนส่งร้อยละ 10 และลดคาร์บอนจากการใช้เชื้อเพลิงในการขนส่งร้อยละ 6 ซึ่งในยุทธศาสตร์พลังงานสำหรับ ค.ศ. 2020 ของสหภาพยุโรปเน้นพลังงานที่แข่งขันได้ ยั่งยืนและมั่นคง รวมทั้งการพัฒนาและดำเนินการในโครงการสาธิตเทคโนโลยีหลักสำหรับเชื้อเพลิงชีวภาพด้วย การศึกษาครั้งนี้ได้ประมวลและวิเคราะห์ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนทางด้านการวิจัยและรวมทั้งนวัตกรรมด้านพลังงานชีวภาพของสหภาพยุโรปทั้งในปัจจุบันและอนาคต ซึ่งนำไปสู่การสังเคราะห์ข้อเสนอแนวทางในการส่งเสริมการผลิตพลังงานชีวภาพในบริบทของประเทศไทยไว้ 10 ประการ เพื่อใช้เป็นแหล่งพลังงานทดแทนสำหรับการบริโภคภายในประเทศ ลดการพึ่งพาพลังงานจากซากฟอสซิล และบรรเทาภาวะโลกร้อนจากการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วย
คำสำคัญ: แรงบันดาลใจ การพัฒนา การมีส่วนร่วม
Abstract
European Union’s energy policy integrated with environment and transportation has its framework targets to be achieved by 2020 such as 20% reduction of greenhouse gas emissions relative to emissions in 1990; 20% share for renewable energy sources in the energy consumed in the European Union; 20% savings in energy consumption compared to projections. In addition, there are specific targets for 10% renewable energy in the transport sector and 6% decarbonisation of transport fuels. Energy 2020 Strategy focuses on competitive, sustainable and secure energy, as well as, development and demonstration projects for the main technologies in biofuels. This study reviewed on European Union’s research in bioenergy currently and in the future, for the synthesis of 10 feasible promotion approaches in the context of Thailand on bioenergy productions as renewable energy for domestic consumption, reduction on fossil fuel dependence, as well as, reduction of greenhouse gas emissions.
Keywords: Inspiration, Development, Cooperation
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-05 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3567
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 1 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c) 2013 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3568
2021-06-16T17:34:32Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"131105 2013 eng "
2651-074X
dc
แนวทางการใช้ประโยชน์จากตะไคร่น้ำ
บัวหลวง, อาภรณ์
ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พญาไท กรุงเทพฯ 10300
คงวิทยา, สมบัติ
กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรุงเทพฯ 10400
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เพื่อการเรียนรู้
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
Application of Micro-Alga
Aporn Bualuang, Sombat Kongwithtaya and Surasak Laloknam
รับบทความ: 5 เมษายน 2556; ยอมรับตีพิมพ์: 8 พฤษภาคม 2556
บทคัดย่อ
ตะไคร่น้ำเป็นกลุ่มของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บริเวณที่มีความชื้นหรือแหล่งน้ำ โดยยึดเกาะกับริมขอบตลิ่ง กำแพง หรือลอยอยู่ในแหล่งน้ำ สิ่งมีชีวิตที่รวมกลุ่มกันเป็นตะไคร่น้ำประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตประเภทไซยาโนแบคทีเรียและสาหร่ายชนิดต่าง ๆ ได้แก่ สาหร่ายสีเขียว สาหร่ายสีแดง และไดอะตอม ตะไคร่น้ำจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจในการศึกษาถึงการนำไปใช้ประโยชน์เนื่องจากสามารถเจริญเติบโตได้ตามธรรมชาติ จึงทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเพาะเลี้ยง เนื่องจากกลุ่มสิ่งมีชีวิตตะไคร่น้ำมีสาหร่ายเป็นองค์ประกอบ หากสามารถแยกออกมาเป็นสายพันธุ์บริสุทธิ์สามารถนำมาเพิ่มมูลค่าได้ เช่น เป็นอาหารสัตว์เลี้ยง ใช้ในอุตสาหกรรมยา บำบัดน้ำเสีย ในการเกษตร และเป็นแหล่งพลังงานทดแทน
คำสำคัญ: ตะไคร่น้ำ สาหร่าย ประโยชน์ของตะไคร่น้ำ
Abstract
Micro-alga is a community of living organisms that grows in humidity area, water by padding on the edge of river or walls as well as floating in the water. The micro-alga composed of cyanobacteria, green algae, red algae and diatom. These organisms can grow in natural conditions without supplemented nutrient sources, and then could save the cost for culture. Isolation of pure alga is also needs for the goals in the future. There are many applications of algae, e.g., animal food, pharmaceutical industry, water treatment, agriculture and renewable energy.
Keywords: Micro-alga, Alga, Application of cyanobacteria
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-05 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3568
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 1 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c) 2013 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3569
2021-06-16T17:37:05Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"131105 2013 eng "
2651-074X
dc
ความผิดพลาดในการแก้ปัญหาโจทย์ เรื่อง ลิมิต ในวิชาแคลคูลัสของนิสิตระดับปริญญาตรี
เพียซ้าย, ขวัญ
ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
Mistake on Solving Problems of Limit in the Calculus for Undergraduates
Khawn Piasai
รับบทความ: 12 เมษายน 2556; ยอมรับตีพิมพ์: 2 พฤษภาคม 2556
บทคัดย่อ
นิสิตหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิตและหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ต้องเรียนวิชาแคลคูลัสเป็นรายวิชาบังคับและลิมิตเป็นหัวข้อหนึ่งในวิชาแคลคูลัส จากการสอบถามนิสิตเบื้องต้นเกี่ยวกับการเรียน เรื่อง ลิมิต นิสิตบางส่วนมีความเห็นว่า ลิมิตเป็นเรื่องที่ยากเพราะต้องใช้ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการแยกตัวประกอบของพหุนามและบางส่วนไม่ชอบเรื่องลิมิต เนื่องจากต้องใช้ทักษะการคำนวณและต้องจำสูตร รวมถึงไม่เห็นประโยชน์ในการนำเรื่องลิมิตไปใช้ในชีวิตประจำวัน จากนั้นวิเคราะห์ความผิดพลาดของนิสิตที่เกิดจากการแก้ปัญหาโจทย์เรื่องลิมิตของฟังก์ชันเศษส่วนเมื่อลิมิตของตัวเศษและตัวส่วนเท่ากับศูนย์ พบว่า ความผิดพลาดในการแก้ปัญหาโจทย์เรื่องลิมิตในข้อสอบของนิสิตมี 5 ลักษณะ
คำสำคัญ: ลิมิต แคลคูลัส ความเข้าใจคลาดเคลื่อน
Abstract
Students of Bachelor Degree of Science (B.Sc.) and Bachelor Degree of Education (B.Ed.) of Faculty of Science, Srinakharinwirot University, have to learn Calculus, a required course, and the Limit is one topic of this subject. From undergraduates’ preliminary interviewing on learning the Limit, some students commented that Limit is a difficult topic because it had to use the basic concepts of factoring of polynomials. Some students did not like the Limit because it had to use the calculation skills and remember formulas. In addition, they did not see the use of Limit in their everyday life. From analyzing of students’ mistake on solving problems in Limit of rational function when the limits of numerator and denominator equal to zero, the finding revealed that 5-type mistake in the Limit were found in the students’ paper exam.
Keywords: Limit, Calculus, Mistake
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-05 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3569
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 1 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c) 2013 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3574
2023-01-11T01:26:23Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การประเมินผลโปรแกรมสิ่งแวดล้อมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น ณ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
ทาทอง, วันทนี
โรงเรียนภัทรพิทยาจารย์ องครักษ์ นครนายก 26120
ศิริโสภณา, สุภาภรณ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
Assessment of Environmental Education Programme on Secondary Students at Ongkarak, Nakhon Nayok, Thailand
Surasak Laloknam, Wantanee Tatong and Supaporn Sirisopana
รับบทความ: 20 กันยายน 2555; ยอมรับตีพิมพ์: 8 พฤศจิกายน 2555
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้โปรแกรมสิ่งแวดล้อมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น โดยการจัดค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่น ณ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ ชุดกิจกรรมตรวจสอบคุณภาพน้ำเบื้องต้น แบบประเมินโปรแกรมสิ่งแวดล้อมศึกษา “ค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่นครั้งที่ 2” ที่มีรายการประเมิน 5 ด้าน ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจ ความตระหนัก เจตคติ ทักษะ และการมีส่วนร่วม และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรม กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นใน อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก จำนวน 54 คน ผลการวิจัยพบว่า รายการประเมินหลังการเข้าร่วมสูงกว่าก่อนเข้าร่วม “ค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่นครั้งที่ 2” ทุกรายการประเมิน โดยเรียงตามลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ การมีส่วนร่วม เจตคติ ความตระหนัก ทักษะ และความรู้ความเข้าใจ ตามลำดับ และเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการมีความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่นอยู่ในระดับมากที่สุด
คำสำคัญ: โปรแกรมสิ่งแวดล้อมศึกษา การประเมินผลโปรแกรมสิ่งแวดล้อมศึกษา ค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่น
Abstract
This research aimed to study the effect of environmental education programme on secondary students’ achievement after cooperating with “The 2nd Saving the Water Youth Camp” at Ongkarak, Nakhon Nayok. Three instruments of this study were: 1) the activity package water quality test; 2) the students’ achievement worksheet composed of knowledge, awareness, skill, attitude and participation before and after taking the camping; 3) students’ preferences towards joining the camp. The target sample was 54 lower secondary students at Ongkarak, Nakhon Nayok. The findings revealed that the students after joining the camp had the all achievement items higher than those before joining the camp, by ranking of participation, attitude, knowledge, skill, and awareness, respectively. The youth preferences towards the camp were very good.
Keywords: Environmental education programme, Assessment of environmental education programme, Saving the water youth camp
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3574
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 2 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3576
2014-07-16T14:10:58Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"131106 2013 eng "
2651-074X
dc
กองบรรณาธิการ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
ที่ปรึกษา
คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
(ศาสตราจารย์ ดร.วิเชียร มากตุ่น)
บรรณาธิการ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมเกียรติ พรพิสุทธิมาศ
บรรณาธิการจัดการ
อาจารย์ ดร.สุรศักดิ์ ละลอกน้ำ
กองบรรณาธิการ
ศาสตราจารย์ ดร.วรรณทิพา รอดแรงค้า / สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
รองศาสตราจารย์ ดร.อรินทิพย์ ธรรมชัยพิเนต /มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
รองศาสตราจารย์ธวัช ดอนสกุล / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
รองศาสตราจารย์พเยาว์ ยินดีสุข / จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รองศาสตราจารย์อรพินท์ เจียระพงษ์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ขวัญจิต เหมะวิบูลย์ /มหาวิทยาลัยนเรศวร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง / มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทัศนียา ร. นพรัตน์แจ่มจำรัส / มหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประภากร ธาราฉาย / มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เฟื่องลดา วีระสัย / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิเดช แสงดี / มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุภาภรณ์ ศิริโสภณา / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สายสุณีย์ ลิ้มชูวงศ์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.กานต์ตะรัตน์ วุฒิเสลา / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.ขวัญ เพียซ้าย / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.จันทิมา ปิยะพงษ์ / มหาวิทยาลัยบูรพา
อาจารย์ ดร.ณัฏฐ์ ดิษเจริญ / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.ธีรวัฒนา ภาระมาตย์ / มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อาจารย์ ดร.ปิยรัตน์ ดรบัณฑิต / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.พิชาภัค สมยูรทรัพย์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.เยาวนิตย์ ธาราฉาย / มหาวิทยาลัยแม่โจ้
อาจารย์ ดร.วุฒินันท์ รักษาจิตร์ / มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อาจารย์ ดร.ศักดิ์ศรี สุภาษร / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.ศิรินันท์ แก่นทอง / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.สุภาพร พรไตร / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.เสาวรัตน์ จันทะโร / จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อาจารย์ ดร.อนิษฐาน ศรีนวล / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.อโนชา หมั่นภักดี / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์สถาพร วรรณธนวิจารณ์ / โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
คุณวรรณวิมล เมฆบุญส่งลาภ / ศูนย์เครื่องมือวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ดร.สมบัติ คงวิทยา /กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
Dr. Bin Hong /China Institute of Medical Biotechnology, Chinese Academy of Medical Sciences and Peking Union Medical College, Taintanxili #1, Beijing 100050, China
Dr. Vandna Rai / National Research Centre on Plant Biotechnology, Indian Agriculture Research Institute, New Delhi 110012, India
ฝ่ายศิลป์และภาพ
นายสัญญา พาลุน
ฝ่ายจัดการและเลขานุการ
นางชลรดา สารทสมัย
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-05 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3576
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 1 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3595
2014-07-16T14:10:58Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"131108 2013 eng "
2651-074X
dc
รูปแบบการทำนิพนธ์ต้นฉบับ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
รูปแบบการทำนิพนธ์ต้นฉบับ
ต้นฉบับบทความเรื่องเต็มทั้งบทความวิจัยและบทความวิชาการเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนบทคัดย่อและส่วนเนื้อเรื่อง ความยาวของบทความรวมไม่เกิน 12 หน้า กระดาษ A4 พิมพ์ด้วยโปรแกรม Microsoft Word 2003 - 2013 ใช้ตัวอักษร Browallia New สำหรับหัวเรื่องใช้ตัวหนาขนาด 18 พอยต์ และส่วนเนื้อเรื่องตัวปกติขนาด 14 พอยต์ และให้ตั้งค่าหน้ากระดาษ ขอบบน (Top margin) 1 นิ้ว ขอบล่าง (Bottom margin) 1 นิ้ว ขอบซ้าย (Left margin) 1.25 นิ้ว และขอบขวา (Right margin) 1 นิ้ว ระยะห่างระหว่างบรรทัดเป็น double space โดยมีรายละเอียดดังนี้
ส่วนบทคัดย่อ
บทคัดย่อประกอบด้วยชื่อเรื่อง (Title) ชื่อคณะผู้วิจัย (Authors) ชื่อสถาบัน และเนื้อหา (Body) พร้อมคำสำคัญ (Keywords)
• ชื่อเรื่อง ความยาวไม่เกิน 2 บรรทัด ตัวอักษรแรกของทุกคำ ให้ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่
• ชื่อคณะผู้วิจัย ระบุเฉพาะชื่อและนามสกุล โดยไม่ต้องมีคำนำหน้านาม หรือคุณวุฒิให้ใส่จุลภาค (comma) หลังนามสกุล ยกเว้นคนสุดท้ายให้ใส่มหัพภาค (full stop) และใส่ดอกจัน (asterisk, *) หลังนามสกุลของผู้นิพนธ์ประสานงาน (corresponding author)
• ชื่อสถาบันขึ้นบรรทัดใหม่ หากมีมากกว่า 1 สถาบันให้ใช้ตัวเลขยก (superscript) กำกับหน้าชื่อสถาบันและหลังชื่อผู้วิจัยให้ตรงกัน
• เนื้อหาในบทคัดย่อ ควรครอบคลุมสาระสำคัญของการศึกษา เช่น วัตถุประสงค์ วิธีการ ผลและอภิปรายผล
• คำสำคัญ ให้ขึ้นบรรทัดใหม่ และมีจำนวนไม่เกิน 5 คำ
ส่วนเนื้อเรื่อง
• เนื้อเรื่องประกอบด้วย บทนำ (Introduction) วิธีดำเนินการวิจัย (Research Methodology) ผลการวิจัย (Results) อภิปรายผล (Discussion) สรุปผลการทดลอง (Conclusion) กิตติกรรม ประกาศ (Acknowledgement) และเอกสารอ้างอิง (References)
• บทนำ เป็นส่วนที่อธิบายถึงความสำคัญและมูลเหตุที่นำไปสู่การวิจัย พร้อมวัตถุประสงค์และการสำรวจเอกสารที่เกี่ยวข้อง
• วิธีดำเนินการวิจัย เป็นการอธิบายวิธีการดำเนินการวิจัยซึ่งขึ้นอยู่กับการวิจัยแต่ละประเภท
• ผลการวิจัย หรือผลการวิจัยและอภิปรายผล เป็นการเสนอผลการศึกษาตามสิ่งที่ค้นพบ ควรเสนอผลอย่างชัดเจน ตรงประเด็น ตามลำดับหัวข้อที่ศึกษา และอภิปรายผลการศึกษา โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบกับงานวิจัยอื่นๆ
• สรุปผล เป็นการสรุปสาระสำคัญที่ได้จากการศึกษาและให้ข้อเสนอแนะ
• กิตติกรรมประกาศ เป็นการระบุแหล่งทุนสนับสนุนการวิจัย หน่วยงาน หรือบุคคลที่ให้การสนับสนุน (ถ้ามี)
• เอกสารอ้างอิง เป็นการเขียนเอกสารอ้างอิง ให้ยึดถือรูปแบบตามตัวอย่างต่อไปนี้
หนังสือ
ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อหนังสือ. ครั้งที่พิมพ์. สำนักพิมพ์. สถานที่พิมพ์.
บทความในวารสาร
ชื่อผู้เขียน. (ปีที่พิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร. ปีที่(ฉบับที่): หน้าแรก - หน้าสุดท้ายของบทความ.
วิทยานิพนธ์
ชื่อผู้เขียน. (ปีที่พิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์. ชื่อปริญญา บัณฑิตวิทยาลัย. สถาบันการศึกษา.
การอ้างอิงแทรกเนื้อหา ให้ใช้ระบบนามและปี เช่น Takabe (2008) รายงานว่า... หรือ (Takabe, 2008) การเขียนเอกสารอ้างอิงในตอนท้ายบทความนั้น หากอ้างจากเล่มภาษาไทย ต้องเขียนทั้งชื่อและนามสกุล ให้เรียงลำดับตามตัวอักษรสำหรับการอ้างอิงโดยให้ภาษาไทยขึ้นก่อนตามด้วยภาษาอังกฤษ
แหล่งอ้างอิงจากอินเตอร์เน็ต ให้เขียนอ้างอิงในรูปแบบดังนี้ ใส่ชื่อเว็บไซต์ที่นำมาอ้างอิง เขียนตามด้วยคำว่า “สืบค้นเมื่อวันที่” และใส่วันที่ที่สืบค้น เช่น
http://www.thaipost.net สืบค้นเมื่อวันที่ 05/05/53
การอ้างอิงในเนื้อหาของแหล่งอ้างอิงจากอินเตอร์เน็ต ให้เขียนคำว่า “อินเตอร์เน็ต” และตามด้วยปี พ.ศ. ที่สืบค้น เช่น อินเทอร์เน็ต (2553) ได้กล่าวถึง ... หรือ ... สามารถนำ ไปใช้ประโยชน์ได้ (อินเทอร์เน็ต, 2553)
• ภาพประกอบเป็นนามสกุล jpg หรือ tif และควรมีความละเอียดไม่ต่ำกว่า 300 x 300 dpi โดยให้คำอธิบายรูปภาพอยู่ใต้ภาพ ให้ใช้ ภาพที่ 1 (ตัวหนา) และคำอธิบายภาพ เช่น ภาพที่ 1 รูปแบบการเจริญเติบโตของไซยาโนแบคทีเรีย
• ตาราง ให้ใช้ ตาราง 1 (ตัวหนา) อยู่เหนือตาราง เช่น ตาราง 1 สมบัติทางกายภาพของแม่น้ำน่าน
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-05 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3595
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 1 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3596
2023-01-11T01:26:23Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"131108 2013 eng "
2651-074X
dc
กองบรรณาธิการ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
ที่ปรึกษา
คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
(ศาสตราจารย์ ดร.วิเชียร มากตุ่น)
บรรณาธิการ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมเกียรติ พรพิสุทธิมาศ
บรรณาธิการจัดการ
อาจารย์ ดร.สุรศักดิ์ ละลอกน้ำ
กองบรรณาธิการ
ศาสตราจารย์ ดร.วรรณทิพา รอดแรงค้า / สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
รองศาสตราจารย์ ดร.อรินทิพย์ ธรรมชัยพิเนต /มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
รองศาสตราจารย์ธวัช ดอนสกุล / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
รองศาสตราจารย์พเยาว์ ยินดีสุข / จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รองศาสตราจารย์อรพินท์ เจียระพงษ์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ขวัญจิต เหมะวิบูลย์ /มหาวิทยาลัยนเรศวร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง / มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทัศนียา ร. นพรัตน์แจ่มจำรัส / มหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประภากร ธาราฉาย / มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เฟื่องลดา วีระสัย / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิเดช แสงดี / มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อรุณ ชาญชัยเชาว์วิวัฒน์ / มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุภาภรณ์ ศิริโสภณา / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สายสุณีย์ ลิ้มชูวงศ์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.กานต์ตะรัตน์ วุฒิเสลา / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.ขวัญ เพียซ้าย / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.จันทิมา ปิยะพงษ์ / มหาวิทยาลัยบูรพา
อาจารย์ ดร.ณัฏฐ์ ดิษเจริญ / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.ธีรวัฒนา ภาระมาตย์ / มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อาจารย์ ดร.ปิยรัตน์ ดรบัณฑิต / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.พิชาภัค สมยูรทรัพย์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.เยาวนิตย์ ธาราฉาย / มหาวิทยาลัยแม่โจ้
อาจารย์ ดร.วุฒินันท์ รักษาจิตร์ / มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อาจารย์ ดร.ศักดิ์ศรี สุภาษร / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.ศิรินันท์ แก่นทอง / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.สุภาพร พรไตร / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.เสาวรัตน์ จันทะโร / จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อาจารย์ ดร.อนิษฐาน ศรีนวล / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.อโนชา หมั่นภักดี / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์สถาพร วรรณธนวิจารณ์ / โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
คุณวรรณวิมล เมฆบุญส่งลาภ / ศูนย์เครื่องมือวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ดร.สมบัติ คงวิทยา /กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
Dr. Bin Hong /China Institute of Medical Biotechnology, Chinese Academy of Medical Sciences and Peking Union Medical College, Taintanxili #1, Beijing 100050, China
Dr. Vandna Rai / National Research Centre on Plant Biotechnology, Indian Agriculture Research Institute, New Delhi 110012, India
ฝ่ายศิลป์และภาพ
นายสัญญา พาลุน
ฝ่ายจัดการและเลขานุการ
นางชลรดา สารทสมัย
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3596
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 2 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3597
2014-03-13T09:43:32Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"131108 2013 eng "
2651-074X
dc
กองบรรณาธิการ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
ที่ปรึกษา
คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
(ศาสตราจารย์ ดร.วิเชียร มากตุ่น)
บรรณาธิการ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมเกียรติ พรพิสุทธิมาศ
บรรณาธิการจัดการ
อาจารย์ ดร.สุรศักดิ์ ละลอกน้ำ
กองบรรณาธิการ
ศาสตราจารย์ ดร.วรรณทิพา รอดแรงค้า / สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
รองศาสตราจารย์ ดร.อรินทิพย์ ธรรมชัยพิเนต /มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
รองศาสตราจารย์ธวัช ดอนสกุล / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
รองศาสตราจารย์พเยาว์ ยินดีสุข / จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รองศาสตราจารย์อรพินท์ เจียระพงษ์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ขวัญจิต เหมะวิบูลย์ /มหาวิทยาลัยนเรศวร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง / มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทัศนียา รัตนฤาทัย / มหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประภากร ธาราฉาย / มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เฟื่องลดา วีระสัย / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิเดช แสงดี / มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อรุณ ชาญชัยเชาว์วิวัฒน์ / มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุภาภรณ์ ศิริโสภณา / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สายสุณีย์ ลิ้มชูวงศ์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.ขวัญ เพียซ้าย / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.จันทิมา ปิยะพงษ์ / มหาวิทยาลัยบูรพา
อาจารย์ ดร.ณัฏฐ์ ดิษเจริญ / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.ธีรวัฒนา ภาระมาตย์ / มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อาจารย์ ดร.ปิยรัตน์ ดรบัณฑิต / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.พิชาภัค สมยูรทรัพย์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.เยาวนิตย์ ธาราฉาย / มหาวิทยาลัยแม่โจ้
อาจารย์ ดร.วุฒินันท์ รักษาจิตร์ / มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อาจารย์ ดร.ศักดิ์ศรี สุภาษร / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.ศิรินันท์ แก่นทอง / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.สุภาพร พรไตร / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.เสาวรัตน์ จันทะโร / จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อาจารย์ ดร.อนิษฐาน ศรีนวล / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.อโนชา หมั่นภักดี / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์สถาพร วรรณธนวิจารณ์ / โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
คุณวรรณวิมล เมฆบุญส่งลาภ / ศูนย์เครื่องมือวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ดร.สมบัติ คงวิทยา /กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
Dr. Bin Hong /China Institute of Medical Biotechnology, Chinese Academy of Medical Sciences and Peking Union Medical College, Taintanxili #1, Beijing 100050, China
Dr. Vandna Rai / National Research Centre on Plant Biotechnology, Indian Agriculture Research Institute, New Delhi 110012, India
ฝ่ายศิลป์และภาพ
นายสัญญา พาลุน
ฝ่ายจัดการและเลขานุการ
นางชลรดา สารทสมัย
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3597
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 1 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3598
2014-03-13T09:28:44Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"131108 2013 eng "
2651-074X
dc
กองบรรณาธิการ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
ที่ปรึกษา
คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
(ศาสตราจารย์ ดร.วิเชียร มากตุ่น)
บรรณาธิการ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมเกียรติ พรพิสุทธิมาศ
บรรณาธิการจัดการ
อาจารย์ ดร.สุรศักดิ์ ละลอกน้ำ
กองบรรณาธิการ
ศาสตราจารย์ ดร.วรรณทิพา รอดแรงค้า / สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
รองศาสตราจารย์ ดร.อรินทิพย์ ธรรมชัยพิเนต /มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
รองศาสตราจารย์ธวัช ดอนสกุล / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
รองศาสตราจารย์พเยาว์ ยินดีสุข / จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รองศาสตราจารย์อรพินท์ เจียระพงษ์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ขวัญจิต เหมะวิบูลย์ /มหาวิทยาลัยนเรศวร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง / มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประภากร ธาราฉาย / มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เฟื่องลดา วีระสัย / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิเดช แสงดี / มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อรุณ ชาญชัยเชาว์วิวัฒน์ / มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุภาภรณ์ ศิริโสภณา / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สายสุณีย์ ลิ้มชูวงศ์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.ขวัญ เพียซ้าย / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.จันทิมา ปิยะพงษ์ / มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
อาจารย์ ดร.ทัศนียา รัตนฤาทัย / มหาวิทยาลัยมหิดล
อาจารย์ ดร.ปิยรัตน์ ดรบัณฑิต / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.พิชาภัค สมยูรทรัพย์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.เยาวนิตย์ ธาราฉาย / มหาวิทยาลัยแม่โจ้
อาจารย์ ดร.วุฒินันท์ รักษาจิตร์ / มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อาจารย์ ดร.ศักดิ์ศรี สุภาษร / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.ศิรินันท์ แก่นทอง / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.สุภาพร พรไตร / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.เสาวรัตน์ จันทะโร / จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อาจารย์ ดร.อนิษฐาน ศรีนวล / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.อโนชา หมั่นภักดี / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ธีรวัฒนา ภาระมาตย์ / มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อาจารย์สถาพร วรรณธนวิจารณ์ / โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
คุณวรรณวิมล เมฆบุญส่งลาภ / ศูนย์เครื่องมือวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ดร.สมบัติ คงวิทยา /กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
Dr. Vandna Rai / National Research Centre on Plant Biotechnology, Indian Agriculture Research Institute, New Delhi 110012, India
ฝ่ายศิลป์และภาพ
นายสัญญา พาลุน
ฝ่ายจัดการและเลขานุการ
นางชลลดา สารทสมัย
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3598
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 2 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3600
2021-06-10T14:08:10Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"131108 2013 eng "
2651-074X
dc
กองบรรณาธิการ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
ที่ปรึกษา
คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
(ศาสตราจารย์ ดร.วิเชียร มากตุ่น)
บรรณาธิการ
อาจารย์ ดร.สมเกียรติ พรพิสุทธิมาศ
บรรณาธิการจัดการ
อาจารย์ ดร.สุรศักดิ์ ละลอกน้ำ
กองบรรณาธิการ
รองศาสตราจารย์ ดร.อรินทิพย์ ธรรมชัยพิเนต /มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
รองศาสตราจารย์ธวัช ดอนสกุล / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
รองศาสตราจารย์พเยาว์ ยินดีสุข / จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รองศาสตราจารย์อรพินท์ เจียระพงษ์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ขวัญจิต เหมะวิบูลย์ /มหาวิทยาลัยนเรศวร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง / มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประภากร ธาราฉาย / มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เฟื่องลดา วีระสัย / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิเดช แสงดี / มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุภาภรณ์ ศิริโสภณา / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สายสุณีย์ ลิ้มชูวงศ์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.ขวัญ เพียซ้าย / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.จันทิมา ปิยะพงษ์ / มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
อาจารย์ ดร.ทัศนียา รัตนฤาทัย / มหาวิทยาลัยมหิดล
อาจารย์ ดร.ปิยรัตน์ ดรบัณฑิต / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.พิชาภัค สมยูรทรัพย์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.เยาวนิตย์ ธาราฉาย / มหาวิทยาลัยแม่โจ้
อาจารย์ ดร.วุฒินันท์ รักษาจิตร์ / มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อาจารย์ ดร.ศักดิ์ศรี สุภาษร / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.ศิรินันท์ แก่นทอง / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.สุภาพร พรไตร / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.เสาวรัตน์ จันทะโร / จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อาจารย์ ดร.อนิษฐาน ศรีนวล / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.อโนชา หมั่นภักดี / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.อรุณ ชาญชัยเชาว์วิวัฒน์ / มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
อาจารย์ธีรวัฒนา ภาระมาตย์ / มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อาจารย์สถาพร วรรณธนวิจารณ์ / โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
คุณวรรณวิมล เมฆบุญส่งลาภ / ศูนย์เครื่องมือวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คุณสมบัติ คงวิทยา /กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
Dr. Vandna Rai / National Research Centre on Plant Biotechnology, Indian Agriculture Research Institute, New Delhi 110012, India
ฝ่ายศิลป์และภาพ
นายสัญญา พาลุน
ฝ่ายจัดการและเลขานุการ
นางชลลดา สารทสมัย
นางสาวธิดารัตน์ วัดแพ
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3600
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 2 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3601
2023-11-10T10:25:59Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"131108 2013 eng "
2651-074X
dc
กองบรรณาธิการ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
ที่ปรึกษา
คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
(ศาสตราจารย์ ดร.วิเชียร มากตุ่น)
บรรณาธิการ
อาจารย์ ดร.สมเกียรติ พรพิสุทธิมาศ
บรรณาธิการจัดการ
อาจารย์ ดร.สุรศักดิ์ ละลอกน้ำ
กองบรรณาธิการ
รองศาสตราจารย์ ดร.อรินทิพย์ ธรรมชัยพิเนต /มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
รองศาสตราจารย์ธวัช ดอนสกุล / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
รองศาสตราจารย์พเยาว์ ยินดีสุข / จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รองศาสตราจารย์อรพินท์ เจียระพงษ์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ขวัญจิต เหมะวิบูลย์ /มหาวิทยาลัยนเรศวร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง / มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประภากร ธาราฉาย / มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เฟื่องลดา วีระสัย / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิเดช แสงดี / มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุภาภรณ์ ศิริโสภณา / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สายสุณีย์ ลิ้มชูวงศ์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.ขวัญ เพียซ้าย / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.จันทิมา ปิยะพงษ์ / มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
อาจารย์ ดร.ทัศนียา รัตนฤาทัย / มหาวิทยาลัยมหิดล
อาจารย์ ดร.ปิยรัตน์ ดรบัณฑิต / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.พิชาภัค สมยูรทรัพย์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.เยาวนิตย์ ธาราฉาย / มหาวิทยาลัยแม่โจ้
อาจารย์ ดร.วุฒินันท์ รักษาจิตร์ / มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อาจารย์ ดร.ศักดิ์ศรี สุภาษร / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.ศิรินันท์ แก่นทอง / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.สุภาพร พรไตร / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.เสาวรัตน์ จันทะโร / จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อาจารย์ ดร.อนิษฐาน ศรีนวล / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.อโนชา หมั่นภักดี / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.อรุณ ชาญชัยเชาว์วิวัฒน์ / มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
อาจารย์ธีรวัฒนา ภาระมาตย์ / มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อาจารย์สถาพร วรรณธนวิจารณ์ / โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
คุณวรรณวิมล เมฆบุญส่งลาภ / ศูนย์เครื่องมือวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
คุณสมบัติ คงวิทยา /กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
Dr. Vandna Rai / National Research Centre on Plant Biotechnology, Indian Agriculture Research Institute, New Delhi 110012, India
ฝ่ายศิลป์และภาพ
นายสัญญา พาลุน
ฝ่ายจัดการและเลขานุการ
นางชลลดา สารทสมัย
นางสาวธิดารัตน์ วัดแพ
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3601
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 1 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c) 2013 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3602
2023-01-11T01:26:23Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"131108 2013 eng "
2651-074X
dc
รูปแบบการทำนิพนธ์ต้นฉบับ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
รูปแบบการทำนิพนธ์ต้นฉบับ
ต้นฉบับบทความเรื่องเต็มทั้งบทความวิจัยและบทความวิชาการเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนบทคัดย่อและส่วนเนื้อเรื่อง ความยาวของบทความรวมไม่เกิน 12 หน้า กระดาษ A4 พิมพ์ด้วยโปรแกรม Microsoft Word 2003 - 2013 ใช้ตัวอักษร Browallia New สำหรับหัวเรื่องใช้ตัวหนาขนาด 18 พอยต์ และส่วนเนื้อเรื่องตัวปกติขนาด 14 พอยต์ และให้ตั้งค่าหน้ากระดาษ ขอบบน (Top margin) 1 นิ้ว ขอบล่าง (Bottom margin) 1 นิ้ว ขอบซ้าย (Left margin) 1.25 นิ้ว และขอบขวา (Right margin) 1 นิ้ว ระยะห่างระหว่างบรรทัดเป็น double space โดยมีรายละเอียดดังนี้
ส่วนบทคัดย่อ
บทคัดย่อประกอบด้วยชื่อเรื่อง (Title) ชื่อคณะผู้วิจัย (Authors) ชื่อสถาบัน และเนื้อหา (Body) พร้อมคำสำคัญ (Keywords)
• ชื่อเรื่อง ความยาวไม่เกิน 2 บรรทัด ตัวอักษรแรกของทุกคำ ให้ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่
• ชื่อคณะผู้วิจัย ระบุเฉพาะชื่อและนามสกุล โดยไม่ต้องมีคำนำหน้านาม หรือคุณวุฒิให้ใส่จุลภาค (comma) หลังนามสกุล ยกเว้นคนสุดท้ายให้ใส่มหัพภาค (full stop) และใส่ดอกจัน (asterisk, *) หลังนามสกุลของผู้นิพนธ์ประสานงาน (corresponding author)
• ชื่อสถาบันขึ้นบรรทัดใหม่ หากมีมากกว่า 1 สถาบันให้ใช้ตัวเลขยก (superscript) กำกับหน้าชื่อสถาบันและหลังชื่อผู้วิจัยให้ตรงกัน
• เนื้อหาในบทคัดย่อ ควรครอบคลุมสาระสำคัญของการศึกษา เช่น วัตถุประสงค์ วิธีการ ผลและอภิปรายผล
• คำสำคัญ ให้ขึ้นบรรทัดใหม่ และมีจำนวนไม่เกิน 5 คำ
ส่วนเนื้อเรื่อง
• เนื้อเรื่องประกอบด้วย บทนำ (Introduction) วิธีดำเนินการวิจัย (Research Methodology) ผลการวิจัย (Results) อภิปรายผล (Discussion) สรุปผลการทดลอง (Conclusion) กิตติกรรม ประกาศ (Acknowledgement) และเอกสารอ้างอิง (References)
• บทนำ เป็นส่วนที่อธิบายถึงความสำคัญและมูลเหตุที่นำไปสู่การวิจัย พร้อมวัตถุประสงค์และการสำรวจเอกสารที่เกี่ยวข้อง
• วิธีดำเนินการวิจัย เป็นการอธิบายวิธีการดำเนินการวิจัยซึ่งขึ้นอยู่กับการวิจัยแต่ละประเภท
• ผลการวิจัย หรือผลการวิจัยและอภิปรายผล เป็นการเสนอผลการศึกษาตามสิ่งที่ค้นพบ ควรเสนอผลอย่างชัดเจน ตรงประเด็น ตามลำดับหัวข้อที่ศึกษา และอภิปรายผลการศึกษา โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบกับงานวิจัยอื่นๆ
• สรุปผล เป็นการสรุปสาระสำคัญที่ได้จากการศึกษาและให้ข้อเสนอแนะ
• กิตติกรรมประกาศ เป็นการระบุแหล่งทุนสนับสนุนการวิจัย หน่วยงาน หรือบุคคลที่ให้การสนับสนุน (ถ้ามี)
• เอกสารอ้างอิง เป็นการเขียนเอกสารอ้างอิง ให้ยึดถือรูปแบบตามตัวอย่างต่อไปนี้
หนังสือ
ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อหนังสือ. ครั้งที่พิมพ์. สำนักพิมพ์. สถานที่พิมพ์.
บทความในวารสาร
ชื่อผู้เขียน. (ปีที่พิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร. ปีที่(ฉบับที่): หน้าแรก - หน้าสุดท้ายของบทความ.
วิทยานิพนธ์
ชื่อผู้เขียน. (ปีที่พิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์. ชื่อปริญญา บัณฑิตวิทยาลัย. สถาบันการศึกษา.
การอ้างอิงแทรกเนื้อหา ให้ใช้ระบบนามและปี เช่น Takabe (2008) รายงานว่า... หรือ (Takabe, 2008) การเขียนเอกสารอ้างอิงในตอนท้ายบทความนั้น หากอ้างจากเล่มภาษาไทย ต้องเขียนทั้งชื่อและนามสกุล ให้เรียงลำดับตามตัวอักษรสำหรับการอ้างอิงโดยให้ภาษาไทยขึ้นก่อนตามด้วยภาษาอังกฤษ
แหล่งอ้างอิงจากอินเตอร์เน็ต ให้เขียนอ้างอิงในรูปแบบดังนี้ ใส่ชื่อเว็บไซต์ที่นำมาอ้างอิง เขียนตามด้วยคำว่า “สืบค้นเมื่อวันที่” และใส่วันที่ที่สืบค้น เช่น
http://www.thaipost.net สืบค้นเมื่อวันที่ 05/05/53
การอ้างอิงในเนื้อหาของแหล่งอ้างอิงจากอินเตอร์เน็ต ให้เขียนคำว่า “อินเตอร์เน็ต” และตามด้วยปี พ.ศ. ที่สืบค้น เช่น อินเทอร์เน็ต (2553) ได้กล่าวถึง ... หรือ ... สามารถนำ ไปใช้ประโยชน์ได้ (อินเทอร์เน็ต, 2553)
• ภาพประกอบเป็นนามสกุล jpg หรือ tif และควรมีความละเอียดไม่ต่ำกว่า 300 x 300 dpi โดยให้คำอธิบายรูปภาพอยู่ใต้ภาพ ให้ใช้ ภาพที่ 1 (ตัวหนา) และคำอธิบายภาพ เช่น ภาพที่ 1 รูปแบบการเจริญเติบโตของไซยาโนแบคทีเรีย
• ตาราง ให้ใช้ ตาราง 1 (ตัวหนา) อยู่เหนือตาราง เช่น ตาราง 1 สมบัติทางกายภาพของแม่น้ำน่าน
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3602
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 2 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3603
2014-03-13T09:43:32Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"131108 2013 eng "
2651-074X
dc
รูปแบบการทำนิพนธ์ต้นฉบับ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
รูปแบบการทำนิพนธ์ต้นฉบับ
ต้นฉบับบทความเรื่องเต็มทั้งบทความวิจัยและบทความวิชาการเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนบทคัดย่อและส่วนเนื้อเรื่อง ความยาวของบทความรวมไม่เกิน 12 หน้า กระดาษ A4 พิมพ์ด้วยโปรแกรม Microsoft Word 2003 - 2013 ใช้ตัวอักษร Browallia New สำหรับหัวเรื่องใช้ตัวหนาขนาด 18 พอยต์ และส่วนเนื้อเรื่องตัวปกติขนาด 14 พอยต์ และให้ตั้งค่าหน้ากระดาษ ขอบบน (Top margin) 1 นิ้ว ขอบล่าง (Bottom margin) 1 นิ้ว ขอบซ้าย (Left margin) 1.25 นิ้ว และขอบขวา (Right margin) 1 นิ้ว ระยะห่างระหว่างบรรทัดเป็น double space โดยมีรายละเอียดดังนี้
ส่วนบทคัดย่อ
บทคัดย่อประกอบด้วยชื่อเรื่อง (Title) ชื่อคณะผู้วิจัย (Authors) ชื่อสถาบัน และเนื้อหา (Body) พร้อมคำสำคัญ (Keywords)
• ชื่อเรื่อง ความยาวไม่เกิน 2 บรรทัด ตัวอักษรแรกของทุกคำ ให้ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่
• ชื่อคณะผู้วิจัย ระบุเฉพาะชื่อและนามสกุล โดยไม่ต้องมีคำนำหน้านาม หรือคุณวุฒิให้ใส่จุลภาค (comma) หลังนามสกุล ยกเว้นคนสุดท้ายให้ใส่มหัพภาค (full stop) และใส่ดอกจัน (asterisk, *) หลังนามสกุลของผู้นิพนธ์ประสานงาน (corresponding author)
• ชื่อสถาบันขึ้นบรรทัดใหม่ หากมีมากกว่า 1 สถาบันให้ใช้ตัวเลขยก (superscript) กำกับหน้าชื่อสถาบันและหลังชื่อผู้วิจัยให้ตรงกัน
• เนื้อหาในบทคัดย่อ ควรครอบคลุมสาระสำคัญของการศึกษา เช่น วัตถุประสงค์ วิธีการ ผลและอภิปรายผล
• คำสำคัญ ให้ขึ้นบรรทัดใหม่ และมีจำนวนไม่เกิน 5 คำ
ส่วนเนื้อเรื่อง
• เนื้อเรื่องประกอบด้วย บทนำ (Introduction) วิธีดำเนินการวิจัย (Research Methodology) ผลการวิจัย (Results) อภิปรายผล (Discussion) สรุปผลการทดลอง (Conclusion) กิตติกรรม ประกาศ (Acknowledgement) และเอกสารอ้างอิง (References)
• บทนำ เป็นส่วนที่อธิบายถึงความสำคัญและมูลเหตุที่นำไปสู่การวิจัย พร้อมวัตถุประสงค์และการสำรวจเอกสารที่เกี่ยวข้อง
• วิธีดำเนินการวิจัย เป็นการอธิบายวิธีการดำเนินการวิจัยซึ่งขึ้นอยู่กับการวิจัยแต่ละประเภท
• ผลการวิจัย หรือผลการวิจัยและอภิปรายผล เป็นการเสนอผลการศึกษาตามสิ่งที่ค้นพบ ควรเสนอผลอย่างชัดเจน ตรงประเด็น ตามลำดับหัวข้อที่ศึกษา และอภิปรายผลการศึกษา โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบกับงานวิจัยอื่นๆ
• สรุปผล เป็นการสรุปสาระสำคัญที่ได้จากการศึกษาและให้ข้อเสนอแนะ
• กิตติกรรมประกาศ เป็นการระบุแหล่งทุนสนับสนุนการวิจัย หน่วยงาน หรือบุคคลที่ให้การสนับสนุน (ถ้ามี)
• เอกสารอ้างอิง เป็นการเขียนเอกสารอ้างอิง ให้ยึดถือรูปแบบตามตัวอย่างต่อไปนี้
หนังสือ
ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อหนังสือ. ครั้งที่พิมพ์. สำนักพิมพ์. สถานที่พิมพ์.
บทความในวารสาร
ชื่อผู้เขียน. (ปีที่พิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร. ปีที่(ฉบับที่): หน้าแรก - หน้าสุดท้ายของบทความ.
วิทยานิพนธ์
ชื่อผู้เขียน. (ปีที่พิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์. ชื่อปริญญา บัณฑิตวิทยาลัย. สถาบันการศึกษา.
การอ้างอิงแทรกเนื้อหา ให้ใช้ระบบนามและปี เช่น Takabe (2008) รายงานว่า... หรือ (Takabe, 2008) การเขียนเอกสารอ้างอิงในตอนท้ายบทความนั้น หากอ้างจากเล่มภาษาไทย ต้องเขียนทั้งชื่อและนามสกุล ให้เรียงลำดับตามตัวอักษรสำหรับการอ้างอิงโดยให้ภาษาไทยขึ้นก่อนตามด้วยภาษาอังกฤษ
แหล่งอ้างอิงจากอินเตอร์เน็ต ให้เขียนอ้างอิงในรูปแบบดังนี้ ใส่ชื่อเว็บไซต์ที่นำมาอ้างอิง เขียนตามด้วยคำว่า “สืบค้นเมื่อวันที่” และใส่วันที่ที่สืบค้น เช่น
http://www.thaipost.net สืบค้นเมื่อวันที่ 05/05/53
การอ้างอิงในเนื้อหาของแหล่งอ้างอิงจากอินเตอร์เน็ต ให้เขียนคำว่า “อินเตอร์เน็ต” และตามด้วยปี พ.ศ. ที่สืบค้น เช่น อินเทอร์เน็ต (2553) ได้กล่าวถึง ... หรือ ... สามารถนำ ไปใช้ประโยชน์ได้ (อินเทอร์เน็ต, 2553)
• ภาพประกอบเป็นนามสกุล jpg หรือ tif และควรมีความละเอียดไม่ต่ำกว่า 300 x 300 dpi โดยให้คำอธิบายรูปภาพอยู่ใต้ภาพ ให้ใช้ ภาพที่ 1 (ตัวหนา) และคำอธิบายภาพ เช่น ภาพที่ 1 รูปแบบการเจริญเติบโตของไซยาโนแบคทีเรีย
• ตาราง ให้ใช้ ตาราง 1 (ตัวหนา) อยู่เหนือตาราง เช่น ตาราง 1 สมบัติทางกายภาพของแม่น้ำน่าน
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3603
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 1 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3604
2014-03-13T09:28:44Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"131108 2013 eng "
2651-074X
dc
รูปแบบการทำนิพนธ์ต้นฉบับ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
รูปแบบการทำนิพนธ์ต้นฉบับ
ต้นฉบับบทความเรื่องเต็มทั้งบทความวิจัยและบทความวิชาการเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนบทคัดย่อและส่วนเนื้อเรื่อง ความยาวของบทความรวมไม่เกิน 12 หน้า กระดาษ A4 พิมพ์ด้วยโปรแกรม Microsoft Word 2003 - 2013 ใช้ตัวอักษร Browallia New สำหรับหัวเรื่องใช้ตัวหนาขนาด 18 พอยต์ และส่วนเนื้อเรื่องตัวปกติขนาด 14 พอยต์ และให้ตั้งค่าหน้ากระดาษ ขอบบน (Top margin) 1 นิ้ว ขอบล่าง (Bottom margin) 1 นิ้ว ขอบซ้าย (Left margin) 1.25 นิ้ว และขอบขวา (Right margin) 1 นิ้ว ระยะห่างระหว่างบรรทัดเป็น double space โดยมีรายละเอียดดังนี้
ส่วนบทคัดย่อ
บทคัดย่อประกอบด้วยชื่อเรื่อง (Title) ชื่อคณะผู้วิจัย (Authors) ชื่อสถาบัน และเนื้อหา (Body) พร้อมคำสำคัญ (Keywords)
• ชื่อเรื่อง ความยาวไม่เกิน 2 บรรทัด ตัวอักษรแรกของทุกคำ ให้ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่
• ชื่อคณะผู้วิจัย ระบุเฉพาะชื่อและนามสกุล โดยไม่ต้องมีคำนำหน้านาม หรือคุณวุฒิให้ใส่จุลภาค (comma) หลังนามสกุล ยกเว้นคนสุดท้ายให้ใส่มหัพภาค (full stop) และใส่ดอกจัน (asterisk, *) หลังนามสกุลของผู้นิพนธ์ประสานงาน (corresponding author)
• ชื่อสถาบันขึ้นบรรทัดใหม่ หากมีมากกว่า 1 สถาบันให้ใช้ตัวเลขยก (superscript) กำกับหน้าชื่อสถาบันและหลังชื่อผู้วิจัยให้ตรงกัน
• เนื้อหาในบทคัดย่อ ควรครอบคลุมสาระสำคัญของการศึกษา เช่น วัตถุประสงค์ วิธีการ ผลและอภิปรายผล
• คำสำคัญ ให้ขึ้นบรรทัดใหม่ และมีจำนวนไม่เกิน 5 คำ
ส่วนเนื้อเรื่อง
• เนื้อเรื่องประกอบด้วย บทนำ (Introduction) วิธีดำเนินการวิจัย (Research Methodology) ผลการวิจัย (Results) อภิปรายผล (Discussion) สรุปผลการทดลอง (Conclusion) กิตติกรรม ประกาศ (Acknowledgement) และเอกสารอ้างอิง (References)
• บทนำ เป็นส่วนที่อธิบายถึงความสำคัญและมูลเหตุที่นำไปสู่การวิจัย พร้อมวัตถุประสงค์และการสำรวจเอกสารที่เกี่ยวข้อง
• วิธีดำเนินการวิจัย เป็นการอธิบายวิธีการดำเนินการวิจัยซึ่งขึ้นอยู่กับการวิจัยแต่ละประเภท
• ผลการวิจัย หรือผลการวิจัยและอภิปรายผล เป็นการเสนอผลการศึกษาตามสิ่งที่ค้นพบ ควรเสนอผลอย่างชัดเจน ตรงประเด็น ตามลำดับหัวข้อที่ศึกษา และอภิปรายผลการศึกษา โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบกับงานวิจัยอื่นๆ
• สรุปผล เป็นการสรุปสาระสำคัญที่ได้จากการศึกษาและให้ข้อเสนอแนะ
• กิตติกรรมประกาศ เป็นการระบุแหล่งทุนสนับสนุนการวิจัย หน่วยงาน หรือบุคคลที่ให้การสนับสนุน (ถ้ามี)
• เอกสารอ้างอิง เป็นการเขียนเอกสารอ้างอิง ให้ยึดถือรูปแบบตามตัวอย่างต่อไปนี้
หนังสือ
ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อหนังสือ. ครั้งที่พิมพ์. สำนักพิมพ์. สถานที่พิมพ์.
บทความในวารสาร
ชื่อผู้เขียน. (ปีที่พิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร. ปีที่(ฉบับที่): หน้าแรก - หน้าสุดท้ายของบทความ.
วิทยานิพนธ์
ชื่อผู้เขียน. (ปีที่พิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์. ชื่อปริญญา บัณฑิตวิทยาลัย. สถาบันการศึกษา.
การอ้างอิงแทรกเนื้อหา ให้ใช้ระบบนามและปี เช่น Takabe (2008) รายงานว่า... หรือ (Takabe, 2008) การเขียนเอกสารอ้างอิงในตอนท้ายบทความนั้น หากอ้างจากเล่มภาษาไทย ต้องเขียนทั้งชื่อและนามสกุล ให้เรียงลำดับตามตัวอักษรสำหรับการอ้างอิงโดยให้ภาษาไทยขึ้นก่อนตามด้วยภาษาอังกฤษ
แหล่งอ้างอิงจากอินเตอร์เน็ต ให้เขียนอ้างอิงในรูปแบบดังนี้ ใส่ชื่อเว็บไซต์ที่นำมาอ้างอิง เขียนตามด้วยคำว่า “สืบค้นเมื่อวันที่” และใส่วันที่ที่สืบค้น เช่น
http://www.thaipost.net สืบค้นเมื่อวันที่ 05/05/53
การอ้างอิงในเนื้อหาของแหล่งอ้างอิงจากอินเตอร์เน็ต ให้เขียนคำว่า “อินเตอร์เน็ต” และตามด้วยปี พ.ศ. ที่สืบค้น เช่น อินเทอร์เน็ต (2553) ได้กล่าวถึง ... หรือ ... สามารถนำ ไปใช้ประโยชน์ได้ (อินเทอร์เน็ต, 2553)
• ภาพประกอบเป็นนามสกุล jpg หรือ tif และควรมีความละเอียดไม่ต่ำกว่า 300 x 300 dpi โดยให้คำอธิบายรูปภาพอยู่ใต้ภาพ ให้ใช้ ภาพที่ 1 (ตัวหนา) และคำอธิบายภาพ เช่น ภาพที่ 1 รูปแบบการเจริญเติบโตของไซยาโนแบคทีเรีย
• ตาราง ให้ใช้ ตาราง 1 (ตัวหนา) อยู่เหนือตาราง เช่น ตาราง 1 สมบัติทางกายภาพของแม่น้ำน่าน
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3604
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 2 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3605
2021-06-16T16:58:14Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"131108 2013 eng "
2651-074X
dc
รูปแบบการทำนิพนธ์ต้นฉบับ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
รูปแบบการทำนิพนธ์ต้นฉบับ
ต้นฉบับบทความเรื่องเต็มทั้งบทความวิจัยและบทความวิชาการเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนบทคัดย่อและส่วนเนื้อเรื่อง ความยาวของบทความรวมไม่เกิน 12 หน้า กระดาษ A4 พิมพ์ด้วยโปรแกรม Microsoft Word 2003 - 2013 ใช้ตัวอักษร Browallia New สำหรับหัวเรื่องใช้ตัวหนาขนาด 18 พอยต์ และส่วนเนื้อเรื่องตัวปกติขนาด 14 พอยต์ และให้ตั้งค่าหน้ากระดาษ ขอบบน (Top margin) 1 นิ้ว ขอบล่าง (Bottom margin) 1 นิ้ว ขอบซ้าย (Left margin) 1.25 นิ้ว และขอบขวา (Right margin) 1 นิ้ว ระยะห่างระหว่างบรรทัดเป็น double space โดยมีรายละเอียดดังนี้
ส่วนบทคัดย่อ
บทคัดย่อประกอบด้วยชื่อเรื่อง (Title) ชื่อคณะผู้วิจัย (Authors) ชื่อสถาบัน และเนื้อหา (Body) พร้อมคำสำคัญ (Keywords)
• ชื่อเรื่อง ความยาวไม่เกิน 2 บรรทัด ตัวอักษรแรกของทุกคำ ให้ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่
• ชื่อคณะผู้วิจัย ระบุเฉพาะชื่อและนามสกุล โดยไม่ต้องมีคำนำหน้านาม หรือคุณวุฒิให้ใส่จุลภาค (comma) หลังนามสกุล ยกเว้นคนสุดท้ายให้ใส่มหัพภาค (full stop) และใส่ดอกจัน (asterisk, *) หลังนามสกุลของผู้นิพนธ์ประสานงาน (corresponding author)
• ชื่อสถาบันขึ้นบรรทัดใหม่ หากมีมากกว่า 1 สถาบันให้ใช้ตัวเลขยก (superscript) กำกับหน้าชื่อสถาบันและหลังชื่อผู้วิจัยให้ตรงกัน
• เนื้อหาในบทคัดย่อ ควรครอบคลุมสาระสำคัญของการศึกษา เช่น วัตถุประสงค์ วิธีการ ผลและอภิปรายผล
• คำสำคัญ ให้ขึ้นบรรทัดใหม่ และมีจำนวนไม่เกิน 5 คำ
ส่วนเนื้อเรื่อง
• เนื้อเรื่องประกอบด้วย บทนำ (Introduction) วิธีดำเนินการวิจัย (Research Methodology) ผลการวิจัย (Results) อภิปรายผล (Discussion) สรุปผลการทดลอง (Conclusion) กิตติกรรม ประกาศ (Acknowledgement) และเอกสารอ้างอิง (References)
• บทนำ เป็นส่วนที่อธิบายถึงความสำคัญและมูลเหตุที่นำไปสู่การวิจัย พร้อมวัตถุประสงค์และการสำรวจเอกสารที่เกี่ยวข้อง
• วิธีดำเนินการวิจัย เป็นการอธิบายวิธีการดำเนินการวิจัยซึ่งขึ้นอยู่กับการวิจัยแต่ละประเภท
• ผลการวิจัย หรือผลการวิจัยและอภิปรายผล เป็นการเสนอผลการศึกษาตามสิ่งที่ค้นพบ ควรเสนอผลอย่างชัดเจน ตรงประเด็น ตามลำดับหัวข้อที่ศึกษา และอภิปรายผลการศึกษา โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบกับงานวิจัยอื่นๆ
• สรุปผล เป็นการสรุปสาระสำคัญที่ได้จากการศึกษาและให้ข้อเสนอแนะ
• กิตติกรรมประกาศ เป็นการระบุแหล่งทุนสนับสนุนการวิจัย หน่วยงาน หรือบุคคลที่ให้การสนับสนุน (ถ้ามี)
• เอกสารอ้างอิง เป็นการเขียนเอกสารอ้างอิง ให้ยึดถือรูปแบบตามตัวอย่างต่อไปนี้
หนังสือ
ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อหนังสือ. ครั้งที่พิมพ์. สำนักพิมพ์. สถานที่พิมพ์.
บทความในวารสาร
ชื่อผู้เขียน. (ปีที่พิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร. ปีที่(ฉบับที่): หน้าแรก - หน้าสุดท้ายของบทความ.
วิทยานิพนธ์
ชื่อผู้เขียน. (ปีที่พิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์. ชื่อปริญญา บัณฑิตวิทยาลัย. สถาบันการศึกษา.
การอ้างอิงแทรกเนื้อหา ให้ใช้ระบบนามและปี เช่น Takabe (2008) รายงานว่า... หรือ (Takabe, 2008) การเขียนเอกสารอ้างอิงในตอนท้ายบทความนั้น หากอ้างจากเล่มภาษาไทย ต้องเขียนทั้งชื่อและนามสกุล ให้เรียงลำดับตามตัวอักษรสำหรับการอ้างอิงโดยให้ภาษาไทยขึ้นก่อนตามด้วยภาษาอังกฤษ
แหล่งอ้างอิงจากอินเตอร์เน็ต ให้เขียนอ้างอิงในรูปแบบดังนี้ ใส่ชื่อเว็บไซต์ที่นำมาอ้างอิง เขียนตามด้วยคำว่า “สืบค้นเมื่อวันที่” และใส่วันที่ที่สืบค้น เช่น
http://www.thaipost.net สืบค้นเมื่อวันที่ 05/05/53
การอ้างอิงในเนื้อหาของแหล่งอ้างอิงจากอินเตอร์เน็ต ให้เขียนคำว่า “อินเตอร์เน็ต” และตามด้วยปี พ.ศ. ที่สืบค้น เช่น อินเทอร์เน็ต (2553) ได้กล่าวถึง ... หรือ ... สามารถนำ ไปใช้ประโยชน์ได้ (อินเทอร์เน็ต, 2553)
• ภาพประกอบเป็นนามสกุล jpg หรือ tif และควรมีความละเอียดไม่ต่ำกว่า 300 x 300 dpi โดยให้คำอธิบายรูปภาพอยู่ใต้ภาพ ให้ใช้ ภาพที่ 1 (ตัวหนา) และคำอธิบายภาพ เช่น ภาพที่ 1 รูปแบบการเจริญเติบโตของไซยาโนแบคทีเรีย
• ตาราง ให้ใช้ ตาราง 1 (ตัวหนา) อยู่เหนือตาราง เช่น ตาราง 1 สมบัติทางกายภาพของแม่น้ำน่าน
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3605
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 1 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3606
2021-06-10T14:08:10Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"131108 2013 eng "
2651-074X
dc
รูปแบบการทำนิพนธ์ต้นฉบับ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
รูปแบบการทำนิพนธ์ต้นฉบับ
ต้นฉบับบทความเรื่องเต็มทั้งบทความวิจัยและบทความวิชาการเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนบทคัดย่อและส่วนเนื้อเรื่อง ความยาวของบทความรวมไม่เกิน 12 หน้า กระดาษ A4 พิมพ์ด้วยโปรแกรม Microsoft Word 2003 - 2013 ใช้ตัวอักษร Browallia New สำหรับหัวเรื่องใช้ตัวหนาขนาด 18 พอยต์ และส่วนเนื้อเรื่องตัวปกติขนาด 14 พอยต์ และให้ตั้งค่าหน้ากระดาษ ขอบบน (Top margin) 1 นิ้ว ขอบล่าง (Bottom margin) 1 นิ้ว ขอบซ้าย (Left margin) 1.25 นิ้ว และขอบขวา (Right margin) 1 นิ้ว ระยะห่างระหว่างบรรทัดเป็น double space โดยมีรายละเอียดดังนี้
ส่วนบทคัดย่อ
บทคัดย่อประกอบด้วยชื่อเรื่อง (Title) ชื่อคณะผู้วิจัย (Authors) ชื่อสถาบัน และเนื้อหา (Body) พร้อมคำสำคัญ (Keywords)
• ชื่อเรื่อง ความยาวไม่เกิน 2 บรรทัด ตัวอักษรแรกของทุกคำ ให้ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่
• ชื่อคณะผู้วิจัย ระบุเฉพาะชื่อและนามสกุล โดยไม่ต้องมีคำนำหน้านาม หรือคุณวุฒิให้ใส่จุลภาค (comma) หลังนามสกุล ยกเว้นคนสุดท้ายให้ใส่มหัพภาค (full stop) และใส่ดอกจัน (asterisk, *) หลังนามสกุลของผู้นิพนธ์ประสานงาน (corresponding author)
• ชื่อสถาบันขึ้นบรรทัดใหม่ หากมีมากกว่า 1 สถาบันให้ใช้ตัวเลขยก (superscript) กำกับหน้าชื่อสถาบันและหลังชื่อผู้วิจัยให้ตรงกัน
• เนื้อหาในบทคัดย่อ ควรครอบคลุมสาระสำคัญของการศึกษา เช่น วัตถุประสงค์ วิธีการ ผลและอภิปรายผล
• คำสำคัญ ให้ขึ้นบรรทัดใหม่ และมีจำนวนไม่เกิน 5 คำ
ส่วนเนื้อเรื่อง
• เนื้อเรื่องประกอบด้วย บทนำ (Introduction) วิธีดำเนินการวิจัย (Research Methodology) ผลการวิจัย (Results) อภิปรายผล (Discussion) สรุปผลการทดลอง (Conclusion) กิตติกรรม ประกาศ (Acknowledgement) และเอกสารอ้างอิง (References)
• บทนำ เป็นส่วนที่อธิบายถึงความสำคัญและมูลเหตุที่นำไปสู่การวิจัย พร้อมวัตถุประสงค์และการสำรวจเอกสารที่เกี่ยวข้อง
• วิธีดำเนินการวิจัย เป็นการอธิบายวิธีการดำเนินการวิจัยซึ่งขึ้นอยู่กับการวิจัยแต่ละประเภท
• ผลการวิจัย หรือผลการวิจัยและอภิปรายผล เป็นการเสนอผลการศึกษาตามสิ่งที่ค้นพบ ควรเสนอผลอย่างชัดเจน ตรงประเด็น ตามลำดับหัวข้อที่ศึกษา และอภิปรายผลการศึกษา โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบกับงานวิจัยอื่นๆ
• สรุปผล เป็นการสรุปสาระสำคัญที่ได้จากการศึกษาและให้ข้อเสนอแนะ
• กิตติกรรมประกาศ เป็นการระบุแหล่งทุนสนับสนุนการวิจัย หน่วยงาน หรือบุคคลที่ให้การสนับสนุน (ถ้ามี)
• เอกสารอ้างอิง เป็นการเขียนเอกสารอ้างอิง ให้ยึดถือรูปแบบตามตัวอย่างต่อไปนี้
หนังสือ
ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อหนังสือ. ครั้งที่พิมพ์. สำนักพิมพ์. สถานที่พิมพ์.
บทความในวารสาร
ชื่อผู้เขียน. (ปีที่พิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร. ปีที่(ฉบับที่): หน้าแรก - หน้าสุดท้ายของบทความ.
วิทยานิพนธ์
ชื่อผู้เขียน. (ปีที่พิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์. ชื่อปริญญา บัณฑิตวิทยาลัย. สถาบันการศึกษา.
การอ้างอิงแทรกเนื้อหา ให้ใช้ระบบนามและปี เช่น Takabe (2008) รายงานว่า... หรือ (Takabe, 2008) การเขียนเอกสารอ้างอิงในตอนท้ายบทความนั้น หากอ้างจากเล่มภาษาไทย ต้องเขียนทั้งชื่อและนามสกุล ให้เรียงลำดับตามตัวอักษรสำหรับการอ้างอิงโดยให้ภาษาไทยขึ้นก่อนตามด้วยภาษาอังกฤษ
แหล่งอ้างอิงจากอินเตอร์เน็ต ให้เขียนอ้างอิงในรูปแบบดังนี้ ใส่ชื่อเว็บไซต์ที่นำมาอ้างอิง เขียนตามด้วยคำว่า “สืบค้นเมื่อวันที่” และใส่วันที่ที่สืบค้น เช่น
http://www.thaipost.net สืบค้นเมื่อวันที่ 05/05/53
การอ้างอิงในเนื้อหาของแหล่งอ้างอิงจากอินเตอร์เน็ต ให้เขียนคำว่า “อินเตอร์เน็ต” และตามด้วยปี พ.ศ. ที่สืบค้น เช่น อินเทอร์เน็ต (2553) ได้กล่าวถึง ... หรือ ... สามารถนำ ไปใช้ประโยชน์ได้ (อินเทอร์เน็ต, 2553)
• ภาพประกอบเป็นนามสกุล jpg หรือ tif และควรมีความละเอียดไม่ต่ำกว่า 300 x 300 dpi โดยให้คำอธิบายรูปภาพอยู่ใต้ภาพ ให้ใช้ ภาพที่ 1 (ตัวหนา) และคำอธิบายภาพ เช่น ภาพที่ 1 รูปแบบการเจริญเติบโตของไซยาโนแบคทีเรีย
• ตาราง ให้ใช้ ตาราง 1 (ตัวหนา) อยู่เหนือตาราง เช่น ตาราง 1 สมบัติทางกายภาพของแม่น้ำน่าน
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3606
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 2 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3607
2023-11-10T10:25:59Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"100630 2010 eng "
2651-074X
dc
รูปแบบการทำนิพนธ์ต้นฉบับ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
รูปแบบการทำนิพนธ์ต้นฉบับ
ต้นฉบับบทความเรื่องเต็มทั้งบทความวิจัยและบทความวิชาการเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนบทคัดย่อและส่วนเนื้อเรื่อง ความยาวของบทความรวมไม่เกิน 12 หน้า กระดาษ A4 พิมพ์ด้วยโปรแกรม Microsoft Word 2003 - 2013 ใช้ตัวอักษร Browallia New สำหรับหัวเรื่องใช้ตัวหนาขนาด 18 พอยต์ และส่วนเนื้อเรื่องตัวปกติขนาด 14 พอยต์ และให้ตั้งค่าหน้ากระดาษ ขอบบน (Top margin) 1 นิ้ว ขอบล่าง (Bottom margin) 1 นิ้ว ขอบซ้าย (Left margin) 1.25 นิ้ว และขอบขวา (Right margin) 1 นิ้ว ระยะห่างระหว่างบรรทัดเป็น double space โดยมีรายละเอียดดังนี้
ส่วนบทคัดย่อ
บทคัดย่อประกอบด้วยชื่อเรื่อง (Title) ชื่อคณะผู้วิจัย (Authors) ชื่อสถาบัน และเนื้อหา (Body) พร้อมคำสำคัญ (Keywords)
• ชื่อเรื่อง ความยาวไม่เกิน 2 บรรทัด ตัวอักษรแรกของทุกคำ ให้ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่
•
• ชื่อคณะผู้วิจัย ระบุเฉพาะชื่อและนามสกุล โดยไม่ต้องมีคำนำหน้านาม หรือคุณวุฒิให้ใส่จุลภาค (comma) หลังนามสกุล ยกเว้นคนสุดท้ายให้ใส่มหัพภาค (full stop) และใส่ดอกจัน (asterisk, *) หลังนามสกุลของผู้นิพนธ์ประสานงาน (corresponding author)
•
• ชื่อสถาบันขึ้นบรรทัดใหม่ หากมีมากกว่า 1 สถาบันให้ใช้ตัวเลขยก (superscript) กำกับหน้าชื่อสถาบันและหลังชื่อผู้วิจัยให้ตรงกัน
•
• เนื้อหาในบทคัดย่อ ควรครอบคลุมสาระสำคัญของการศึกษา เช่น วัตถุประสงค์ วิธีการ ผลและอภิปรายผล
•
• คำสำคัญ ให้ขึ้นบรรทัดใหม่ และมีจำนวนไม่เกิน 5 คำ
ส่วนเนื้อเรื่อง
• เนื้อเรื่องประกอบด้วย บทนำ (Introduction) วิธีดำเนินการวิจัย (Research Methodology) ผลการวิจัย (Results) อภิปรายผล (Discussion) สรุปผลการทดลอง (Conclusion) กิตติกรรม ประกาศ (Acknowledgement) และเอกสารอ้างอิง (References)
•
• บทนำ เป็นส่วนที่อธิบายถึงความสำคัญและมูลเหตุที่นำไปสู่การวิจัย พร้อมวัตถุประสงค์และการสำรวจเอกสารที่เกี่ยวข้อง
•
• วิธีดำเนินการวิจัย เป็นการอธิบายวิธีการดำเนินการวิจัยซึ่งขึ้นอยู่กับการวิจัยแต่ละประเภท
•
• ผลการวิจัย หรือผลการวิจัยและอภิปรายผล เป็นการเสนอผลการศึกษาตามสิ่งที่ค้นพบ ควรเสนอผลอย่างชัดเจน ตรงประเด็น ตามลำดับหัวข้อที่ศึกษา และอภิปรายผลการศึกษา โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบกับงานวิจัยอื่นๆ
•
• สรุปผล เป็นการสรุปสาระสำคัญที่ได้จากการศึกษาและให้ข้อเสนอแนะ
•
• กิตติกรรมประกาศ เป็นการระบุแหล่งทุนสนับสนุนการวิจัย หน่วยงาน หรือบุคคลที่ให้การสนับสนุน (ถ้ามี)
•
• เอกสารอ้างอิง เป็นการเขียนเอกสารอ้างอิง ให้ยึดถือรูปแบบตามตัวอย่างต่อไปนี้
หนังสือ
ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อหนังสือ. ครั้งที่พิมพ์. สำนักพิมพ์. สถานที่พิมพ์.
บทความในวารสาร
ชื่อผู้เขียน. (ปีที่พิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร. ปีที่(ฉบับที่): หน้าแรก - หน้าสุดท้ายของบทความ.
วิทยานิพนธ์
ชื่อผู้เขียน. (ปีที่พิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์. ชื่อปริญญา บัณฑิตวิทยาลัย. สถาบันการศึกษา.
การอ้างอิงแทรกเนื้อหา ให้ใช้ระบบนามและปี เช่น Takabe (2008) รายงานว่า... หรือ (Takabe, 2008) การเขียนเอกสารอ้างอิงในตอนท้ายบทความนั้น หากอ้างจากเล่มภาษาไทย ต้องเขียนทั้งชื่อและนามสกุล ให้เรียงลำดับตามตัวอักษรสำหรับการอ้างอิงโดยให้ภาษาไทยขึ้นก่อนตามด้วยภาษาอังกฤษ
แหล่งอ้างอิงจากอินเตอร์เน็ต ให้เขียนอ้างอิงในรูปแบบดังนี้ ใส่ชื่อเว็บไซต์ที่นำมาอ้างอิง เขียนตามด้วยคำว่า “สืบค้นเมื่อวันที่” และใส่วันที่ที่สืบค้น เช่น http://www.thaipost.net สืบค้นเมื่อวันที่ 05/05/53
การอ้างอิงในเนื้อหาของแหล่งอ้างอิงจากอินเตอร์เน็ต ให้เขียนคำว่า “อินเตอร์เน็ต” และตามด้วยปี พ.ศ. ที่สืบค้น เช่น อินเทอร์เน็ต (2553) ได้กล่าวถึง ... หรือ ... สามารถนำ ไปใช้ประโยชน์ได้ (อินเทอร์เน็ต, 2553)
• ภาพประกอบเป็นนามสกุล jpg หรือ tif และควรมีความละเอียดไม่ต่ำกว่า 300 x 300 dpi โดยให้คำอธิบายรูปภาพอยู่ใต้ภาพ ให้ใช้ ภาพที่ 1 (ตัวหนา) และคำอธิบายภาพ เช่น ภาพที่ 1 รูปแบบการเจริญเติบโตของไซยาโนแบคทีเรีย
•
• ตาราง ให้ใช้ ตาราง 1 (ตัวหนา) อยู่เหนือตาราง เช่น ตาราง 1 สมบัติทางกายภาพของแม่น้ำน่าน
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3607
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 1 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c) 2010 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3608
2014-08-09T23:36:25Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"131108 2013 eng "
2651-074X
dc
กองบรรณาธิการ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
ที่ปรึกษา
คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
(ศาสตราจารย์ ดร.วิเชียร มากตุ่น)
บรรณาธิการ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมเกียรติ พรพิสุทธิมาศ
บรรณาธิการจัดการ
อาจารย์ ดร.สุรศักดิ์ ละลอกน้ำ
กองบรรณาธิการ
ศาสตราจารย์ ดร.วรรณทิพา รอดแรงค้า / สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
รองศาสตราจารย์ ดร.อรินทิพย์ ธรรมชัยพิเนต /มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
รองศาสตราจารย์ธวัช ดอนสกุล / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
รองศาสตราจารย์พเยาว์ ยินดีสุข / จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รองศาสตราจารย์อรพินท์ เจียระพงษ์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ขวัญจิต เหมะวิบูลย์ /มหาวิทยาลัยนเรศวร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง / มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ทัศนียา ร. นพรัตน์แจ่มจำรัส / มหาวิทยาลัยมหิดล
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประภากร ธาราฉาย / มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เฟื่องลดา วีระสัย / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิเดช แสงดี / มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุภาภรณ์ ศิริโสภณา / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สายสุณีย์ ลิ้มชูวงศ์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.กานต์ตะรัตน์ วุฒิเสลา / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.ขวัญ เพียซ้าย / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.จันทิมา ปิยะพงษ์ / มหาวิทยาลัยบูรพา
อาจารย์ ดร.ณัฏฐ์ ดิษเจริญ / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.ธีรวัฒนา ภาระมาตย์ / มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อาจารย์ ดร.ปิยรัตน์ ดรบัณฑิต / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.พิชาภัค สมยูรทรัพย์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.เยาวนิตย์ ธาราฉาย / มหาวิทยาลัยแม่โจ้
อาจารย์ ดร.วุฒินันท์ รักษาจิตร์ / มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อาจารย์ ดร.ศักดิ์ศรี สุภาษร / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.ศิรินันท์ แก่นทอง / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.สุภาพร พรไตร / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.เสาวรัตน์ จันทะโร / จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อาจารย์ ดร.อนิษฐาน ศรีนวล / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.อโนชา หมั่นภักดี / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์สถาพร วรรณธนวิจารณ์ / โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
คุณวรรณวิมล เมฆบุญส่งลาภ / ศูนย์เครื่องมือวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ดร.สมบัติ คงวิทยา /กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
Dr. Bin Hong /China Institute of Medical Biotechnology, Chinese Academy of Medical Sciences and Peking Union Medical College, Taintanxili #1, Beijing 100050, China
Dr. Vandna Rai / National Research Centre on Plant Biotechnology, Indian Agriculture Research Institute, New Delhi 110012, India
ฝ่ายศิลป์และภาพ
นายสัญญา พาลุน
ฝ่ายจัดการและเลขานุการ
นางชลรดา สารทสมัย
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2014-03-08 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3608
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 2 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3609
2014-08-09T23:36:25Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"131108 2013 eng "
2651-074X
dc
รูปแบบการทำนิพนธ์ต้นฉบับ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
รูปแบบการทำนิพนธ์ต้นฉบับ
ต้นฉบับบทความเรื่องเต็มทั้งบทความวิจัยและบทความวิชาการเป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนบทคัดย่อและส่วนเนื้อเรื่อง ความยาวของบทความรวมไม่เกิน 12 หน้า กระดาษ A4 พิมพ์ด้วยโปรแกรม Microsoft Word 2003 - 2013 ใช้ตัวอักษร Browallia New สำหรับหัวเรื่องใช้ตัวหนาขนาด 18 พอยต์ และส่วนเนื้อเรื่องตัวปกติขนาด 14 พอยต์ และให้ตั้งค่าหน้ากระดาษ ขอบบน (Top margin) 1 นิ้ว ขอบล่าง (Bottom margin) 1 นิ้ว ขอบซ้าย (Left margin) 1.25 นิ้ว และขอบขวา (Right margin) 1 นิ้ว ระยะห่างระหว่างบรรทัดเป็น double space โดยมีรายละเอียดดังนี้
ส่วนบทคัดย่อ
บทคัดย่อประกอบด้วยชื่อเรื่อง (Title) ชื่อคณะผู้วิจัย (Authors) ชื่อสถาบัน และเนื้อหา (Body) พร้อมคำสำคัญ (Keywords)
• ชื่อเรื่อง ความยาวไม่เกิน 2 บรรทัด ตัวอักษรแรกของทุกคำ ให้ใช้ตัวพิมพ์ใหญ่
• ชื่อคณะผู้วิจัย ระบุเฉพาะชื่อและนามสกุล โดยไม่ต้องมีคำนำหน้านาม หรือคุณวุฒิให้ใส่จุลภาค (comma) หลังนามสกุล ยกเว้นคนสุดท้ายให้ใส่มหัพภาค (full stop) และใส่ดอกจัน (asterisk, *) หลังนามสกุลของผู้นิพนธ์ประสานงาน (corresponding author)
• ชื่อสถาบันขึ้นบรรทัดใหม่ หากมีมากกว่า 1 สถาบันให้ใช้ตัวเลขยก (superscript) กำกับหน้าชื่อสถาบันและหลังชื่อผู้วิจัยให้ตรงกัน
• เนื้อหาในบทคัดย่อ ควรครอบคลุมสาระสำคัญของการศึกษา เช่น วัตถุประสงค์ วิธีการ ผลและอภิปรายผล
• คำสำคัญ ให้ขึ้นบรรทัดใหม่ และมีจำนวนไม่เกิน 5 คำ
ส่วนเนื้อเรื่อง
• เนื้อเรื่องประกอบด้วย บทนำ (Introduction) วิธีดำเนินการวิจัย (Research Methodology) ผลการวิจัย (Results) อภิปรายผล (Discussion) สรุปผลการทดลอง (Conclusion) กิตติกรรม ประกาศ (Acknowledgement) และเอกสารอ้างอิง (References)
• บทนำ เป็นส่วนที่อธิบายถึงความสำคัญและมูลเหตุที่นำไปสู่การวิจัย พร้อมวัตถุประสงค์และการสำรวจเอกสารที่เกี่ยวข้อง
• วิธีดำเนินการวิจัย เป็นการอธิบายวิธีการดำเนินการวิจัยซึ่งขึ้นอยู่กับการวิจัยแต่ละประเภท
• ผลการวิจัย หรือผลการวิจัยและอภิปรายผล เป็นการเสนอผลการศึกษาตามสิ่งที่ค้นพบ ควรเสนอผลอย่างชัดเจน ตรงประเด็น ตามลำดับหัวข้อที่ศึกษา และอภิปรายผลการศึกษา โดยวิเคราะห์เปรียบเทียบกับงานวิจัยอื่นๆ
• สรุปผล เป็นการสรุปสาระสำคัญที่ได้จากการศึกษาและให้ข้อเสนอแนะ
• กิตติกรรมประกาศ เป็นการระบุแหล่งทุนสนับสนุนการวิจัย หน่วยงาน หรือบุคคลที่ให้การสนับสนุน (ถ้ามี)
• เอกสารอ้างอิง เป็นการเขียนเอกสารอ้างอิง ให้ยึดถือรูปแบบตามตัวอย่างต่อไปนี้
หนังสือ
ชื่อผู้แต่ง. (ปีที่พิมพ์). ชื่อหนังสือ. ครั้งที่พิมพ์. สำนักพิมพ์. สถานที่พิมพ์.
บทความในวารสาร
ชื่อผู้เขียน. (ปีที่พิมพ์). ชื่อบทความ. ชื่อวารสาร. ปีที่(ฉบับที่): หน้าแรก - หน้าสุดท้ายของบทความ.
วิทยานิพนธ์
ชื่อผู้เขียน. (ปีที่พิมพ์). ชื่อวิทยานิพนธ์. ชื่อปริญญา บัณฑิตวิทยาลัย. สถาบันการศึกษา.
การอ้างอิงแทรกเนื้อหา ให้ใช้ระบบนามและปี เช่น Takabe (2008) รายงานว่า... หรือ (Takabe, 2008) การเขียนเอกสารอ้างอิงในตอนท้ายบทความนั้น หากอ้างจากเล่มภาษาไทย ต้องเขียนทั้งชื่อและนามสกุล ให้เรียงลำดับตามตัวอักษรสำหรับการอ้างอิงโดยให้ภาษาไทยขึ้นก่อนตามด้วยภาษาอังกฤษ
แหล่งอ้างอิงจากอินเตอร์เน็ต ให้เขียนอ้างอิงในรูปแบบดังนี้ ใส่ชื่อเว็บไซต์ที่นำมาอ้างอิง เขียนตามด้วยคำว่า “สืบค้นเมื่อวันที่” และใส่วันที่ที่สืบค้น เช่น
http://www.thaipost.net สืบค้นเมื่อวันที่ 05/05/53
การอ้างอิงในเนื้อหาของแหล่งอ้างอิงจากอินเตอร์เน็ต ให้เขียนคำว่า “อินเตอร์เน็ต” และตามด้วยปี พ.ศ. ที่สืบค้น เช่น อินเทอร์เน็ต (2553) ได้กล่าวถึง ... หรือ ... สามารถนำ ไปใช้ประโยชน์ได้ (อินเทอร์เน็ต, 2553)
• ภาพประกอบเป็นนามสกุล jpg หรือ tif และควรมีความละเอียดไม่ต่ำกว่า 300 x 300 dpi โดยให้คำอธิบายรูปภาพอยู่ใต้ภาพ ให้ใช้ ภาพที่ 1 (ตัวหนา) และคำอธิบายภาพ เช่น ภาพที่ 1 รูปแบบการเจริญเติบโตของไซยาโนแบคทีเรีย
• ตาราง ให้ใช้ ตาราง 1 (ตัวหนา) อยู่เหนือตาราง เช่น ตาราง 1 สมบัติทางกายภาพของแม่น้ำน่าน
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2014-03-08 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3609
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 2 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3630
2023-11-10T10:25:59Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"131110 2013 eng "
2651-074X
dc
ถ้อยแถลงบรรณาธิการ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ฉบับที่ท่านกำลังถืออยู่ในมือนี้เป็นฉบับปฐมฤกษ์ โดยมีวาระการออกเผยแพร่ทุก ๆ 6 เดือน เพื่อเป็นแหล่งเผยแพร่ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และวิทยาศาสตรศึกษาในทุกระดับการศึกษา รวมถึงการนำเสนอผลงานเผยแพร่ด้านการวิจัยในชั้นเรียน โครงงานวิทยาศาสตร์ และวิจัยวิทยาศาสตร์แขนงต่าง ๆ ตั้งแต่ขนาดย่อมไปจนถึงระดับที่มีความซับซ้อน ในการตีพิมพ์วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้นี้ มีผู้ทรงคุณวุฒิทั้งภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยประเมินและให้ข้อเสนอบทความแต่ละเรื่องก่อนลงตีพิมพ์ และจะพยายามทำให้อยู่ในฐานข้อมูลของศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย (Thai Journal Citation Index Centre, TCI) ในปีถัด ๆ ไป
บทความในวารสารฉบับนี้ประกอบด้วยบทความวิจัยวิทยาศาสตร์ 1 เรื่อง คือ การศึกษาสมบัติของเอนไซม์เพอร์ออกซิเดสบริสุทธิ์บางส่วนจากกะหล่ำปลี และบทความวิจัยวิทยาศาสตรศึกษา 4 เรื่อง ทั้งจากครูโรงเรียนมัธยมศึกษาและมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีบทความวิชาการที่ให้สาระทันสมัย คือ การควบคุมโรคโดยชีววิธี การลดโลกร้อนด้วยการจำแนกประเภทของขยะ และรูปแบบการจัดการท่องเที่ยวเชิงนิเวศในแถบบางขุนเทียน กรุงเทพฯ สุดท้ายขอเปิดตัวหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ อย่างเป็นทางการ เพื่อให้ท่านผู้สนใจได้เข้ามาค้นหาเนื้อแท้ของหน่วยวิจัยฯ และงานที่หน่วยวิจัยฯ กำลังดำเนินการอยู่
ขอขอบคุณท่านผู้ทรงคุณวุฒิประเมินบทความทุกท่านที่กรุณาประเมินบทความและให้ข้อเสนออันมีค่ายิ่งในการปรับปรุงวารสารหน่วยวิจัยฯ ให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น หากอาจารย์ นักวิจัย นิสิต นักเรียน และผู้สนใจท่านใดอ่านแล้วพบข้อบกพร่องกรุณาแจ้งกลับมายังอีเมลล์ somkiatp@swu.ac.th เพื่อจะได้ทำใบแทรกในการพิมพ์ฉบับต่อไป ทางกองบรรณาธิการพร้อมรับข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงแก้ไขวารสารหน่วยวิจัยฯ ให้มีคุณภาพและมีความถูกต้องทางวิชาการสำหรับให้ผู้สนใจนำไปประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3630
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 1 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c) 2013 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3644
2023-11-10T10:25:59Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"100630 2010 eng "
2651-074X
dc
การใช้ยีสต์ควบคุมโรคพืช
ชาญชัยเชาว์วิวัฒน์, อรุณ
สาขาวิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ 10600
Using of Yeast for Biological Control
Arun Chanchaichaovivat
รับบทความ: 15 มษายน 2553; ยอมรับตีพิมพ์: 12 พฤษภาคม 2553
บทคัดย่อ
ยีสต์เป็นจุลินทรีย์ที่มีความสำคัญในด้านอุตสาหกรรม การแพทย์ เกษตรกรรม และ สิ่งแวดล้อม การใช้ยีสต์ในทางเกษตรกรรมรูปแบบหนึ่ง คือ การนำยีสต์มาใช้ควบคุมโรคพืช ซึ่งต้องคำนึงถึงภาวะแวดล้อมที่เหมาะสมในการควบคุมจุลินทรีย์โรคพืชโดยไม่แพร่กระจายไปเกิดโรคในพืชชนิดอื่น ๆ การใช้ยีสต์ควบคุมโรคพืชอาจใช้ร่วมกับจุลินทรีย์ต่างชนิดกันหรือปรับปรุงพันธุ์ยีสต์ให้ควบคุมโรคพืชได้ดีขึ้น นอกจากนี้การใช้ยีสต์ควบคุมโรคพืชยังเป็นการลดการใช้สารเคมีและยาปฏิชีวนะต่าง ๆ ที่นำมาใช้ในทางเกษตรกรรม
คำสำคัญ: ยีสต์ โรคพืช การควบคุมโดยชีววิธี เกษตรกรรม การปรับปรุงพันธุ์
Abstract
Yeast is an important microorganism that uses in industry, medicine, agriculture and environment. A method to use the yeast in agriculture is to control the plant diseases. The appropriate environment for using yeast to control plant pathogens, not disperse to induce other plant diseases has been concerned. The plant disease control may use with other microbes, and the yeast improvement for high efficiency to control plant disease is a method used to control plant diseases. In addition, the control of plant diseases using yeasts uses to reduce the chemical and antibiotics in agricultures.
Keywords: yeast, plant disease, biological control, agriculture, strain improvement
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3644
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 1 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c) 2010 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3647
2023-11-10T10:25:59Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"100630 2010 eng "
2651-074X
dc
เปิดตัวหน่วยวิจัย
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรคิ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
-
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3647
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 1 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c) 2010 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3648
2021-06-10T14:08:10Z
JSTEL:AUI
nmb a2200000Iu 4500
"131113 2013 eng "
2651-074X
dc
ดัชนีผู้แต่ง
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
-
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3648
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 2 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3650
2021-06-15T14:22:39Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การจัดการเรียนรู้จากปฏิบัติการทดลองเรื่องอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้นเพื่อเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะทางวิทยาศาสตร์
โพธิ์งาม, ณัฏฐณิชา
ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34190
Learning by Doing Experiments in Basic Electronics to Enhance Student’s Achievement and Scientific Skills
Natthanicha Phongam and Sura Wuttiprom
รับบทความ: 10 กรกฎาคม 2553; ยอมรับตีพิมพ์: 18 สิงหาคม 2553
บทคัดย่อ
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้จากการลงมือปฏิบัติการทดลองเป็นการเพิ่มพูนทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ การปฏิบัติ การแก้ปัญหา และการทำงานร่วมกัน ทำให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์และความสนใจทางการเรียนสูงขึ้น การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติการทดลองทางอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้นเกี่ยวกับตัวต้านทาน ตัวเก็บประจุไฟฟ้า ไดโอด ทรานซิสเตอร์ และวงจรไฟกระพริบ กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ ศรีสะเกษ อำเภอเมือง จังหวัดศรีสะเกษ จำนวน 33 คน ผลการวิจัย พบว่า นักเรียนที่เรียนด้วยชุดฝึกปฏิบัติการอิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้นมีผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน (p < .01) และมีความก้าวหน้าทางการเรียน (normalized gain) เท่ากับ 0.68 และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้อยู่ในระดับพึงพอใจมาก (อยู่ในระดับ 4.02) จากแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับของลิเคอร์ต
คำสำคัญ: สืบเสาะหาความรู้ อิเล็กทรอนิกส์เบื้องต้น ปฏิบัติการ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความก้าวหน้าทางการเรียน
Abstract
Inquiry-based learning in science by doing experiments can improve various students’ skills, e.g., critical thinking, practice, problem solving, and co-operative, including enhancing learning achievement and satisfaction. The objective of this research was to develop the learning achievement and satisfaction. The five laboratories related to basic electronics, capacitor, diode, transistor, and blinker circuits, were designed. The subjects were 33 Mattayom III students in the second semester of academic year 2009 at Srinagarindra the Princess Mother School, Sisaket. The research found that the learning achievement after implementation with the designed laboratories was significantly higher than that before the implementation (p < .01), and average normalized gain was 0.68. By using the 5-point Likert’s scale, the students’ satisfactions in the developed learning process were rated as a very suitable at 4.02.
Keywords: inquiry, basic electronics, laboratory, learning achievement, normalized gain
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3650
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 2 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3651
2021-06-15T14:20:03Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การพัฒนาความเข้าใจแนวคิด เรื่อง คลื่นกล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้ซิปปาโมเดล
ใจสุข, ญาใจ
ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34190
ทิพราช, อุดม
ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34190
ธนเฮือง, โชคศิลป์
ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34190
Developing Students’ Conceptions of Mechanical Waves for Mattayomsuksa V Students Using CIPPA Model
Yajai Jaisuk, Udom Tipparach and Choksin Tanahoung
รับบทความ: 23 กรกฎาคม 2553; ยอมรับตีพิมพ์: 13 กันยายน 2553
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการพัฒนาแนวคิด เรื่องคลื่นกล โดยใช้ซิปปาโมเดล ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนร่มเกล้าพิทยาสรรค์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามุกดาหาร ปีการศึกษา 2552 จำนวน 27 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบซิปปา แบบทดสอบวัดแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์ แบบสำรวจความพึงพอใจ แบบสัมภาษณ์นักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่าที และ normalized gain ผลการ วิจัยพบว่า นักเรียนมีความเข้าใจ เรื่องคลื่นกล สูงขึ้นหลังจัดการเรียนรู้ (p < .01) และนักเรียนมีการพัฒนาแนวคิดรายชั้นอยู่ระดับปานกลาง (average normalized gain, <g> เท่ากับ 0.53) โดยนักเรียนมีพัฒนาการของแนวคิดระดับสูงในหัวข้อการหักเหของคลื่นและการสะท้อนของคลื่น นอกจากนี้นักเรียนยังมีแนวคิดคลาดเคลื่อนอยู่บ้างในหัวข้ออัตราเร็วคลื่นและการแทรกสอดคลื่น ผลจากสอนแสดงให้เห็นว่า การใช้ซิปปาโมเดลสามารถช่วยพัฒนาแนวคิด เรื่องคลื่นกล ของนักเรียนได้ นอกจากนี้นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการการจัดการเรียนรู้ระดับดี และการสอนตามรูปแบบดังกล่าวเป็นกิจกรรมที่เน้นให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และการทำงานเป็นกลุ่ม นักเรียนมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม ส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความสุข สนุกสนานในการเรียน
คำสำคัญ: ซิปปาโมเดล ความเข้าใจแนวคิด คลื่นกล
Abstract
The purpose of this research was to study the development of the students’ conceptions on mechanical waves using CIPPA model. The target group was 27 students from Mattayomsuksa V, Romklao Pittayasan School, Mukdahan studying in the second semester of academic year 2009. The one group pretest - posttest design was employed in carrying out the study. The research tools consisted of lesson plans based on the CIPPA model, the mechanical wave conceptual test, the learning activity record forms and interview forms. The data were analyzed as the average percentage, standard deviation, t-test and normalized gain. The result showed that there was statistically significant mean difference between the pre-test and post-test (p < .01). The class average normalized gain was in the medium gain <g> = 0.53. Moreover, it was found the normalized gains in the conceptual areas of refraction of waves and reflection of waves were high. The students had difficultly to achieve high normalized gains of two conceptual areas, speed of waves and interference of waves. The result indicated that CIPPA model can be used to develop students’ conceptual understanding on mechanical waves. Mainly, the students showed enthronization and enjoy learning and made the students participating, physically, intellectually, emotionally as well as socially. The students had an opportunity to experience from actual practice to build up new body of knowledge by themselves, to interact with the teacher and among themselves.
Keywords: CIPPA model, Conceptual understanding, Mechanical waves
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3651
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 2 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3652
2021-06-15T14:23:24Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
ผลการใช้เอกสารประกอบการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (งานเกษตร) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ศรีเจริญบุตร, ขจรศรี
โรงเรียนอนุบาลสุขสวัสดิ์ บางจาก พระประแดง สมุทรปราการ 10310
Effect of Class Materials on Work and Technology Strand (Agriculture-Oriented) for Prathumsuka V
Kajonsri Sricharoenbut
รับบทความ: 12 กันยายน 2553; ยอมรับตีพิมพ์: 16 พฤศจิกายน 2553
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อ 1) สร้างและหาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (งานเกษตร) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และ 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังใช้เอกสารประกอบการเรียนที่สร้างขึ้น โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมปีที่ 5 โรงเรียนอนุบาลสุขสวัสดิ์ จังหวัดสมุทรปราการ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสมุทรปราการ เขต 1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2550 จำนวน 41 คน รูปแบบการศึกษา เป็นแบบ One Group Pretest Posttest Design เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ เอกสารประกอบการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (งานเกษตร) จำนวน 5 เรื่อง และแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ จากการเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียนด้วยสถิติที (t-test) พบว่า เอกสารประกอบการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (งานเกษตร) มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ คือ มีประสิทธิภาพ 83.83/84.47 และมีคุณภาพจากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยรวม 4.63±0.52 และนักเรียนที่เรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (งานเกษตร) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน (p < .05) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า นักเรียนมีการพัฒนาความรู้ความเข้าใจและทักษะการทำงานเพื่อเป็นพื้นฐานในการประกอบอาชีพในอนาคตได้
คำสำคัญ: กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี, งานเกษตร, ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน, ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5, เอกสารประกอบการเรียน
Abstract
This research aimed at 1) constructing and investigating the efficiency and quality of a class material on Work and Technology Strand; Agriculture Oriented for Prathomsuksa V based on a standardized criteria of 80/80, and 2) comparing the pupils’ achievement before and after using the class material. The samples were 41 Prathomsuksa V pupils of Suksawad Kindergarten School, Samutprakan, under the jurisdiction of Samutprakan Office of Educational Service Area 1, in a first semester, academic year 2007. A one group pretest posttest design was used in the study. The research tools were 5 sets of class materials on Work and Technology Strand; Agriculture Oriented for Prathomsuksa V and the learning achievement test. By the comparison between before and after using the class materials with t-test, the efficiency of class materials on Work and Technology Strand (Agriculture-oriented) were as the criterion (83.83/84.47). The quality of the class materials evaluated by the experts was the highest in a mean of 4.63±0.52. The pupils after learning using the class materials of Work and Technology Strand (Agriculture-oriented) had higher learning achievement than those before using them (p < .05). It indicated that pupils had the developments of knowledge and working skills to apply for their further work.
Keywords: Work and technology strand, Agriculture, Achievement, Prathomsuksa V, Class material
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3652
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 2 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3653
2021-06-15T14:23:54Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
ผลของความเครียดจากเกลือต่อปริมาณโพรลีนในแคลลัสสละ
เจา, เจนนี่
ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพมหานคร 10110
ลิ้มชูวงศ์, สายสุณีย์
ภาควิชาชีววิทยา และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพมหานคร 10110
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
ภาควิชาชีววิทยา และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพมหานคร 10110
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพมหานคร 10110
Effect of Salt Stress on Proline Content in Snake Palm Callus
Jenny Chao, Saisunee Limchoowong, Somkiat Phornphisutthimas and Surasak Laloknam
รับบทความ: 12 กันยายน 2553; ยอมรับตีพิมพ์: 16 พฤศจิกายน 2553
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาปริมาณโพรลีนของแคลลัสสละภายใต้ภาวะที่มีความเครียดจากเกลือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ที่ความเข้มข้นร้อยละ 0 – 1 โดยน้ำหนักต่อปริมาตร เป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ พบว่า ปริมาณโพรลีนในแคลลัสสละ เพิ่มขึ้นภายใต้ภาวะที่มีความเครียดจาก NaCl เพิ่มขึ้น และที่ความเข้มข้นของ NaCl ร้อยละ 0.8 โดยน้ำหนักต่อปริมาตร ให้ปริมาณโพรลีนสูงสุด ดังนั้นแคลลัสสละมีการสะสมโพรลีนภายใต้ภาวะที่มีความเครียดจากเกลือ NaCl
คำสำคัญ: แคลลัสสละ โพรลีน ความเครียดจากเกลือ
Abstract
This research was to study the effect of salt stress on proline content in snake palm (Salacca zalacca) by observing callus growth under sodium chloride (NaCl) concentrations 0 – 1% (w/v) for 4 weeks. The results revealed that the calli were increasing accumulated of proline content when the concentration of NaCl increased. 0.8% (w/v) of NaCl showed highest proline content in calli. Snake palm calli were enhanced proline content under salt stress conditions.
Keywords: Snake palm calli, Proline, Salt stress
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3653
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 2 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3654
2021-06-15T13:34:45Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
กล้วย: แหล่งพลังงานทดแทน
ชาญประโคน, รมิดา
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนบ้านกรวดวิทยาคาร ปราสาท บ้านกรวด บุรีรัมย์ 31180
Banana: A Renewable Energy Source
Ramida Chanprakon
รับบทความ: 12 กุมภาพันธ์ 2553; ยอมรับตีพิมพ์: 11 พฤษภาคม 2553
บทคัดย่อ
พลังงานทดแทนเป็นทางเลือกหนึ่งที่จะนำมาใช้ในสถานการณ์ปัจจุบันที่แหล่งพลังงานสิ้นเปลืองกำลังหมดไปจากธรรมชาติ กล้วยเป็นพืชชนิดหนึ่งที่ปลูกเป็นจำนวนมากตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศไทย ส่วนต่างๆ ของกล้วยนำไปใช้ประโยชน์ด้านบริโภค และเป็นวัสดุห่อหุ้มอาหาร แต่กล้วยมีประโยชน์มากกว่านั้น เพราะของเหลวจากสารสกัดกล้วยมีสมบัติเป็นสารละลายอิเล็กโทรไลต์ ดังนั้นจึงสามารถนำไฟฟ้าได้ มีการเปรียบเทียบกรรมวิธีการทำให้เกิดพลังงานไฟฟ้าจากสารสกัดจากกล้วยส่วนต่างๆ ได้แก่ รากกล้วย ดอกกล้วย ผลดิบ ผลสุก และลำต้น (เน่าและสด) พบว่า เมื่อมาวัดค่าพารามิเตอร์ทางไฟฟ้า ได้แก่ ค่าความนำไฟฟ้า ค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้า รวมถึงค่าความเป็นกรด-เบส ส่วนจากต้นกล้วยเน่าให้ค่าพลังงานไฟฟ้าได้มากที่สุด และเมื่อนำเซลล์ที่ใช้ของเหลวจากต้นกล้วยมาต่อกันแบบแบตเตอรี่ สามารถให้พลังงานไฟฟ้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดต่าง ๆ ได้ ดังนั้นสารละลายอิเล็กโทรไลต์จากกล้วยจึงเป็นทางเลือกหนึ่งสู่การเป็นแหล่งพลังงานทดแทน และเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่จะทำการศึกษาในพืชชนิดอื่น ๆ ต่อไป
คำสำคัญ: กล้วย สารสกัด สารละลายอิเล็กโทรไลต์ พลังงานไฟฟ้า พลังงานทดแทน
Abstract
Renewable energy is an alternative way to be used instead of nonrenewable energy that is all down from the nature. Banana is a plant that grows in a large amount in parts of Thailand. Various parts of banana have been used for human consumption and packaging material. Banana is also more advantage because its extract is an electrolyte solution having an electrical conductive property. The comparison of method to induce banana extract from its various parts, i.e., root, flower, raw fruit, ripe fruit as well as rotten and fresh stem, was conducted. The conductive parameters as conductivity, electrical potential difference and electric current including pH were measured in all experiments. The result showed that rotten stem gave the highest electrical energy. When connected to battery by using the banana extract from stem, it can give the electrical energy for various electrical appliances. Therefore, banana electrolyte is an alteration to be renewable energy, and it is a basic knowledge to further investigate in other plants.
Keywords: Banana, Extract, Electrolyte solution, Electrical energy, Renewable energy
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3654
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 2 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3655
2021-06-15T13:37:52Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
ยีสต์บีตากลูแคน: อาหารเสริมระบบภูมิต้านทาน
ชาญชัยเชาว์วิวัฒน์, อรุณ
สาขาวิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพมหานคร 10600
Yeast Beta-Glucan: Food Supplement for Immune System
Arun Chanchaichaovivat
รับบทความ: 15 เมษายน 2553; ยอมรับตีพิมพ์: 12 พฤษภาคม 2553
บทคัดย่อ
บีตากลูแคนจัดเป็นสารประกอบพอลิแซคคาไรด์ (polysaccharide) ที่มีหน่วยย่อยของน้ำตาลดีกลูโคส (D-glucose) เชื่อมต่อกันด้วยพันธะบีตาไกลโคซิดิก (β-glycosidic bonds) ซึ่งบีตากลูแคนที่พบในธรรมชาติมีหลายกลุ่มด้วยกัน โดยมีลักษณะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับคุณสมบัติทางเคมีและโครงสร้างสามมิติของบีตากลูแคนชนิดนั้นๆ โดยทั่วไปบีตากลูแคนพบได้ในรำข้าว สาหร่ายทะเล ผนังเซลล์ของฟังไจ และพบในแบคทีเรียบางชนิด ซึ่งปัจจุบันได้มีการสกัดบีตากลูแคนจากสิ่งมีชีวิตหลายชนิดเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ เช่น ผลิตเป็นอาหารเสริมสุขภาพ เป็นแหล่งไฟเบอร์ ผสมในเครื่องสำอาง และเป็นสารเพิ่มผิวสัมผัส (texturing agents) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำบีตากลูแคนจากผนังเซลล์ยีสต์มาใช้เป็นสารเพิ่มภูมิต้านทานให้กับมนุษย์นับว่ามีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากมีโรคที่เกิดขึ้นใหม่อยู่ตลอดเวลาหรือยังคงพบโรคที่มีความรุนแรงรักษาได้ยาก เช่น โรคมะเร็ง โรคเอดส์ โรคไข้หวัดนก ซึ่งโรคเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่มีความบกพร่องอยู่ด้วย ดังนั้นการเสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับผู้ที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอด้วยอาหารเสริมจึงมีส่วนช่วยรักษาโรคและบรรเทาอาการเจ็บป่วยได้อีกทางหนึ่ง
คำสำคัญ: ยีสต์ บีต้ากลูแคน อาหารเสริม ระบบภูมิต้านทาน
Abstract
β-glucan is a polysaccharide compound composing of D-glucose monomer linked with β-glycosidic bond. There are many groups of β-glucans that found in nature. Their chemical characteristics and three-dimensional structure are different in each β-glucan. In general, β-glucans are found in plants, rice brand, sea weed, fungal cell wall and some bacteria. At present, β-glucans can be extracted from various organisms to use in many advantages such as a fiber source in healthy food, cosmetic products and texturing agents. Particularly, β-glucan from yeast cell wall is used to increase human immune responses since new diseases have occurred, and some dangerous diseases, e.g., cancer, AIDS, bird flu are still found. All related diseases are incorporated with the disorder immune system. Therefore, to increase immunity for anybody who are high risks to infectious diseases or immunity-disorders are a way to cure and relief their symptoms.
Keywords: Yeast, β-glucan, Healthy food, Immune system
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3655
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 2 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3656
2021-06-15T14:44:56Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การจำลองการถ่ายเทความร้อนในร่างกายมนุษย์
เวศพันธุ์, ธีรพจน์
สาขาวิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอีสเทิร์นเอเชีย ปทุมธานี 12110
Simulation of Heat Transfer in Human Body
Teerapot Wessapan
รับบทความ: 20 กันยายน 2553; ยอมรับตีพิมพ์: 25 พฤศจิกายน 2553
บทคัดย่อ
การศึกษาเรื่องการถ่ายเทความร้อนภายในเนื้อเยื่อที่มีเลือดไหลเวียนกำลังเป็นที่สนใจในปัจจุบัน บทความนี้นำเสนอหลักการการจำลองการถ่ายเทความร้อนในร่างกายมนุษย์เพื่อช่วยในการประเมินความเสี่ยงในการรักษาโรคโดยวิธีการให้ความร้อน การจำลองการถ่ายเทความร้อนในร่างกายมนุษย์นิยมใช้สมการไบโอฮีทที่พิจารณาถึงการนำความร้อน การพาความร้อนจากการไหลเวียนของเลือดและความร้อนจากการสันดาปของเนื้อเยื่อ ซึ่งแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของการถ่ายเทความร้อนในร่างกายนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับแพทย์ในการรักษาโรคได้เป็นอย่างดี
คำสำคัญ: การจำลองการถ่ายเทความร้อน, สมการไบโอฮีท, การไหลเวียนของเลือด
Abstract
At present, the knowledge of heat transfer in blood-perfused tissue has been a topic of interest. This paper presents a use of human heat transfer simulation for risk assessment in hyperthermia treatment. Heat transfer in human tissues, which is usually expressed by the bioheat equation. It involves thermal conduction, blood perfusion, and metabolic heat generation. The mathematical model of bioheat transfer can be useful for the physicians in enabling them to optimize their surgical protocols.
Keywords: Heat transfer simulation, Bioheat equation, Blood perfusion
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3656
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 2 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3662
2021-06-10T14:08:10Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"131115 2013 eng "
2651-074X
dc
ใบแทรกข้อความที่แก้ไข
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
-
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3662
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 2 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3663
2021-06-10T14:08:10Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"131115 2013 eng "
2651-074X
dc
ถ้อยแถลงบรรณาธิการ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
ปัจจุบันความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มีเพิ่มมากขึ้นทุก ๆ ปี หนังสือที่เราอ่านส่วนใหญ่มีเนื้อหาถูกต้องตามหลักวิชาการ แต่เงื่อนไขต่าง ๆ อาจเปลี่ยนแปลงไปตามการค้นพบหรือการวิจัยใหม่ ๆ ตลอดเวลา การเผยแพร่ความรู้ด้านการวิจัย การรวบรวมเนื้อหาจากบทความวิจัยจนเป็นบทความปริทัศน์จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเพิ่มเติมความรู้ให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้การนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ด้านต่าง ๆ เช่น อุตสาหกรรม สิ่งแวดล้อม การเกษตร การแพทย์ รวมถึงนำไปปรับปรุงใช้ในการเรียนการสอนย่อมทำให้คุณค่าของบทความต่าง ๆ มีมากขึ้น
บทความในวารสารฉบับนี้ประกอบด้วยบทความวิจัยวิทยาศาสตร์ 1 เรื่อง คือ ผลของความเครียดจากเกลือต่อปริมาณโพรลีนในแคลลัสสละ และบทความวิจัยวิทยาศาสตรศึกษา 3 เรื่อง จากครูโรงเรียนประถมศึกษาจนถึงมหาวิทยาลัยในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีบทความวิชาการ 3 เรื่อง ได้แก่ กล้วย: แหล่งพลังงานทดแทน ยีสต์บีตากลูแคน: อาหารเสริมระบบภูมิคุ้มกัน และการจำลองการถ่ายเทความร้อนในร่างกายมนุษย์
ขอขอบคุณท่านผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านที่กรุณาประเมินบทความและให้ข้อเสนอแนะอันมีค่ายิ่งในการปรับปรุงวารสารหน่วยวิจัยฯ ให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น และจากการตรวจสอบ พบว่า บทความเรื่อง “รูปแบบการจัดการบ้านพักโฮมสเตย์ชุมชนแสนตอแขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร” ของ วันทนี สว่างอารมณ์ มีความซ้ำซ้อนกับบทความในวารสารก้าวทันโลกวิทยาศาสตร์ ซึ่งดำเนินการโดยคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา บรรณาธิการวารสารก้าวทันโลกวิทยาศาสตร์แจ้งถอนบทความดังกล่าวออกจากวารสารก้าวทันโลกวิทยาศาสตร์ ปีที่ 10 ฉบับที่ 1 (มกราคม - กรกฎาคม 2553) แล้ว ทางกองบรรณธิการขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย และในฉบับนี้เพิ่มเติม “ใบแทรกข้อความที่เปลี่ยนแปลง เล่ม 1 ฉบับที่ 1” เพื่อให้เกิดความถูกต้องทั้งอักขรวิธีและเนื้อหาทางวิชาการมากขึ้น
ขอเชิญชวนนักวิจัย นิสิต นักเรียน และผู้สนใจส่งบทความวิชาการหรือบทความวิจัยตีพิมพ์ในวารสารหน่วยวิจัยฯ โดยส่งบทความมายังอีเมลล์ somkiatp@swu.ac.th และหากท่านใดพบข้อบกพร้องกรุณาแจ้งกลับมายังอีเมลล์ข้างต้น เพื่อจะได้จัดทำใบแทรกข้อความที่มีการเปลี่ยนแปลงในการพิมพ์ฉบับต่อไป ทางกองบรรณาธิการพร้อมรับข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงแก้ไขวารสารหน่วยวิจัยฯ ให้มีคุณภาพและความถูกต้องทางวิชาการสำหรับให้ผู้สนใจนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3663
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 2 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3746
2021-06-16T16:58:14Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"131118 2013 eng "
2651-074X
dc
กองบรรณาธิการ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
ที่ปรึกษา
คณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
(ศาสตราจารย์ ดร.วิเชียร มากตุ่น)
บรรณาธิการ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมเกียรติ พรพิสุทธิมาศ
บรรณาธิการจัดการ
อาจารย์ ดร.สุรศักดิ์ ละลอกน้ำ
กองบรรณาธิการ
ศาสตราจารย์ ดร.วรรณทิพา รอดแรงค้า / สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
รองศาสตราจารย์ ดร.อรินทิพย์ ธรรมชัยพิเนต /มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
รองศาสตราจารย์ธวัช ดอนสกุล / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
รองศาสตราจารย์พเยาว์ ยินดีสุข / จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
รองศาสตราจารย์อรพินท์ เจียระพงษ์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ขวัญจิต เหมะวิบูลย์ /มหาวิทยาลัยนเรศวร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เชาวรีย์ อรรถลังรอง / มหาวิทยาลัยศิลปากร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประภากร ธาราฉาย / มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เฟื่องลดา วีระสัย / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อภิเดช แสงดี / มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อรุณ ชาญชัยเชาว์วิวัฒน์ / มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุภาภรณ์ ศิริโสภณา / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สายสุณีย์ ลิ้มชูวงศ์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.ขวัญ เพียซ้าย / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.จันทิมา ปิยะพงษ์ / มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
อาจารย์ ดร.ทัศนียา รัตนฤาทัย / มหาวิทยาลัยมหิดล
อาจารย์ ดร.ปิยรัตน์ ดรบัณฑิต / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.พิชาภัค สมยูรทรัพย์ / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.เยาวนิตย์ ธาราฉาย / มหาวิทยาลัยแม่โจ้
อาจารย์ ดร.วุฒินันท์ รักษาจิตร์ / มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
อาจารย์ ดร.ศักดิ์ศรี สุภาษร / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.ศิรินันท์ แก่นทอง / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.สุภาพร พรไตร / มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
อาจารย์ ดร.เสาวรัตน์ จันทะโร / จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อาจารย์ ดร.อนิษฐาน ศรีนวล / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ ดร.อโนชา หมั่นภักดี / มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อาจารย์ธีรวัฒนา ภาระมาตย์ / มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อาจารย์สถาพร วรรณธนวิจารณ์ / โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์
คุณวรรณวิมล เมฆบุญส่งลาภ / ศูนย์เครื่องมือวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ดร.สมบัติ คงวิทยา /กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
Dr. Vandna Rai / National Research Centre on Plant Biotechnology, Indian Agriculture Research Institute, New Delhi 110012, India
ฝ่ายศิลป์และภาพ
นายสัญญา พาลุน
ฝ่ายจัดการและเลขานุการ
นางชลลดา สารทสมัย
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3746
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 1 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3747
2014-07-16T14:10:58Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"131118 2013 eng "
2651-074X
dc
ถ้อยแถลงบรรณาธิการ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
มนุษยชาติดิ้นรนค้นคว้าความรู้ใหม่ ๆ เพื่อดำรงสภาพสรีรวิทยาและเผ่าพันธุ์ของตนเองให้อยู่ได้นานที่สุด วิทยาศาสตร์ที่ค้นคว้ามายังคงเป็นยาขมสำหรับบุคคลโดยทั่วไป แม้ว่าทุกประเทศจะส่งเสริมให้ประชาชนรับรู้สิ่งใหม่ด้วยภาษาพูดหรือภาษาเขียนที่ง่ายลง แต่ยังคงเข้าไม่ถึงกลุ่มคนส่วนมากที่ด้อยโอกาสทางการศึกษา นอกจากนี้ ประเทศไทยจะเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ 2558 การส่งเสริมการเรียนรู้ทุกรูปแบบจึงเข้ามามีบทบาทเพื่อให้ผู้เรียนสามารถเข้าใจและสื่อสารศาสตร์ต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี ในวารสารฉบับนี้มีเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นทางวิทยาศาสตรศึกษาและคณิตศาสตรศึกษาทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ และมีเนื้อหาสาระการจัดการเรียนวิทยาศาสตร์เพื่อได้มาซึ่งบุคคลที่โลกต้องการในปัจจุบันและอนาคต
บทความในวารสารที่ท่านถืออยู่นี้ประกอบด้วยบทความวิจัยวิทยาศาสตร์ 1 เรื่อง บทความวิจัยวิทยาศาสตรศึกษา 5 เรื่อง บทความวิชาการวิทยาศาสตร์ 2 เรื่อง บทความวิชาการทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตรศึกษา 2 เรื่อง การจัดการศึกษาวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ควรมีรูปแบบที่หลากหลาย และตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน ทางกองบรรณาธิการเคารพความคิดเห็นในบทความของผู้นิพนธ์ทุกเรื่อง อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา กระบวนการทำวิจัย และการเขียนบทความ รวมถึงการอภิปรายผลการวิจัย แม้ว่าจะอิงแนวคิดของผู้วิจัยเป็นหลัก แต่ท่านผู้ทรงคุณวุฒิอาจแนะนำหรือชี้ช่องทางให้สืบค้นเพิ่มเติมเพื่อให้บทความมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันวารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (ISSN 1906-9790) อยู่ในฐานข้อมูล TCI ซึ่งทางกองบรรณาธิการจะรักษาคุณภาพและพัฒนาให้เป็นวารสารวิชาการมาตรฐานที่ดีอย่างต่อเนื่อง
ขอขอบพระคุณท่านผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านที่กรุณาประเมินบทความและให้ข้อเสนอแนะอันมีค่ายิ่งในการปรับปรุงวารสารหน่วยวิจัยฯ ให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น และขอเชิญชวนนักวิจัย นิสิตนักศึกษา นักเรียน และผู้สนใจส่งบทความวิชาการหรือบทความวิจัยตีพิมพ์ในวารสารหน่วยวิจัยฯ โดยส่งมายังอีเมล์ somkiatp @swu.ac.th หรือ surasakl@swu.ac.th และหากท่านใดพบข้อบกพร่องกรุณาแจ้งกลับมากองบรรณาธิการโดยใช้อีเมล์ข้างต้น เพื่อจะได้จัดทำใบแทรกข้อความที่มีการเปลี่ยนแปลงในการพิมพ์ฉบับต่อไป ทางกอง-บรรณาธิการพร้อมรับข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงแก้ไขวารสารหน่วยวิจัยฯ ให้มีคุณภาพและมีความถูกต้องทางวิชาการเพื่อให้ผู้สนใจนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-05 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3747
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 1 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3878
2021-07-08T11:20:22Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การพัฒนาชุดกิจกรรม เรื่อง ระบบนิเวศป่าชายเลน แบบบูรณาการ สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ในจังหวัดสมุทรสงคราม
ไชยบุญชู, กิตติพงษ์
คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล นครปฐม 73170
โตอิ้ม, จงดี
คณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล นครปฐม 73170
Development of Integrated Learning Package on Mangrove Ecosystems for Lower Secondary Students in Samut Songkhram Province
Kittipong Chaiboonchoe and Jongdee To-im
รับบทความ: 10 มีนาคม 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 11 พฤษภาคม 2554
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศป่าชายเลน ดำเนินการพัฒนาชุดกิจกรรมแบบบูรณาการ และวิเคราะห์ผลของชุดกิจกรรมต่อความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศป่าชายเลนของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยเป็นนักเรียนระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2 ในโรงเรียนแห่งหนึ่งของอำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสงคราม จำนวน 32 คน ชุดกิจกรรมที่ได้พัฒนาขึ้น ประกอบไปด้วยกิจกรรมแบบบูรณาการ ได้แก่ กิจกรรมเกมสิ่งแวดล้อม การบรรยาย การเรียนรู้ระบบนิเวศป่าชายเลนตามสภาพจริงในท้องถิ่น การแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับปราชญ์ชาวบ้าน และการศึกษาด้วยตัวเอง ใช้เวลาทั้งหมด 10 ชั่วโมง การจัดกิจกรรมดำเนินการในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2553 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยคือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนด้านความรู้เกี่ยวกับระบบนิเวศป่าชายเลน จำนวน 20 ข้อ ผลวิจัยพบว่า ค่าเฉลี่ยของคะแนนด้านความรู้ของนักเรียนก่อน (11.19±2.63) และหลังเข้าร่วมกิจกรรม (12.69±1.77) มีความแตกต่างกัน (p < .05) และความก้าวหน้าทางการเรียนอยู่ในระดับต่ำ (0.17)
คำสำคัญ: ชุดกิจกรรม, ระบบนิเวศป่าชายเลน, ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น, ความก้าวหน้าทางการเรียน
Abstract
The objectives of this study were to investigate lower secondary school students’ knowledge on mangrove ecosystems, to develop an integrated learning package on mangrove ecosystems, and to study the effect of developed learning packages on students’ knowledge. The participants of this study were 32 eighth-grade students in a school at Muang District, Samut Songkhram Province, and were randomized using purposive sampling technique. These participants attended the developed learning package in second semester of academic year 2010. The developed learning package composes of various integrated activities as games, lecture from local sage, teacher and researcher, field trips in local ecosystems, discussion with local sages, and self-study. Data collections using the questionnaires and multiple choice items were conducted for the knowledge assessment. The results of the study indicated the significant difference in knowledge between pre-test score (11.19±2.63) and post-test score (12.69±1.77) (p < .05), and all students’ average normalized gain is low gain (0.17).
Keywords: Learning package, Mangrove ecosystem, Lower secondary level, Normalized gain
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3878
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 1 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3879
2021-07-08T11:21:35Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยการใช้ชุดกิจกรรมปรับปรุงคุณภาพดินและการเปลี่ยนแปลงของดินสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น
คำแสน, อัฐวุฒิ
โรงเรียนวัดดอนมงคลสันติสุขวิทยา สันติสุข น่าน 55000
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
Enhancing Learning Outcome with an Activity Package Soil Improvement and Changing for Lower Secondary Students
Attavut Camsaen and Surasak Laloknam
รับบทความ: 14 มีนาคม 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 22 เมษายน 2554
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างชุดกิจกรรมการปรับคุณภาพดินและการเปลี่ยนแปลงของดินสำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้น ให้มีคุณภาพอยู่ในระดับดี มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ใช้ชุดกิจกรรม โดยการวิจัยได้ดำเนินการ 3 ขั้นตอน คือ การสร้างชุดกิจกรรมการปรับคุณภาพดินและการเปลี่ยนแปลงของดินด้วยการสร้างแบบจำลองการเปลี่ยนแปลงคุณภาพของดินในขวดน้ำพลาสติก และนำดินมาผสมกับเศษอาหาร ตรวจวัดค่าความเป็นกรด-เบส อุณหภูมิ สี และปริมาณธาตุอาหาร N P K จากนั้นสร้างชุดกิจกรรมการสอน ประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 ท่าน และทดลองสอนเพื่อหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกับกลุ่มนักเรียนโรงเรียนวัดดอน-มงคลสันติสุขวิทยา อำเภอสันติสุข จังหวัดน่าน จำนวน 30 คน พบว่า การสร้างชุดกิจกรรมการปรับคุณภาพดินและการเปลี่ยนแปลงของดินในขวดน้ำพลาสติก ทำให้ผู้เรียนสามารถสังเกตลักษณะของเนื้อดินและสีของดิน มีการเปลี่ยนแปลงหลังจากปรับปรุงคุณภาพของดิน โดยได้ค่าอุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลง ค่าพีเอชเพิ่มขึ้นค่อนข้างเป็นเบส และปริมาณธาตุอาหาร N P K เพิ่มขึ้น จากนั้นนำไปออกแบบและสร้างชุดกิจกรรมการปรับคุณภาพดินและการเปลี่ยนแปลงของดินสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จำนวน 4 หน่วย โดยค่าเฉลี่ยภาพรวมของความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อชุดกิจกรรมทั้ง 4 หน่วยเท่ากับ 4.46±0.36 ซึ่งอยู่ในระดับดี และจากการทดสอบชุดกิจกรรมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น พบว่า มีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์กำหนด 80.2/81.3 และนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมมีผลสัมฤทธิ์การเรียนภายหลังใช้ชุดกิจกรรมสูงกว่าก่อนใช้ชุดกิจกรรม (p < .05)
คำสำคัญ: การปรับปรุงคุณภาพดินและการเปลี่ยนแปลงของดิน ชุดกิจกรรม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
Abstract
This research aimed to construct an activity package of soil improvement and changing for lower secondary students to be a good level of quality with efficiency attained the criteria at 80/80 and to study students’ achievement after implementing with the activity package. This study was accomplished through 3 steps were: 1) the construction of a model of soil improvement by using the plastic bottles to determine soil color, temperature, pH and N P K contents. The model contained soil with vegetable, meat, and/all mixed vegetable and meat; 2) the quality of activity package was determined by 5 experts; 3) experimental trying out with 30 students of Watdon-monkongsantisukwittaya School, Santisuk, Nan Province was performed. Plastic bottle model was also used in this package. The results of the examination of all soil samples showed that temperature was not changed, pH was increased to basic range, as well as N P K contents were increased. The activity package comprising 4 learning units were designed and constructed for lower secondary students. The qualities of all four units in the activity package by five experts were shown in an average of 4.46±0.36, as a good quality level. The efficiency of the activity package as 80.2/81.3, and students’ achievement after practicing with the activity package was significantly higher than those before practicing with it (p < .05).
Keywords: Soil improvement and changing, Activity package, Learning outcome
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3879
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 1 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3880
2021-07-08T10:46:28Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การติดตามการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำน้ำหมักชีวภาพ 7 สูตร ต่อการงอกของเมล็ดถั่วเขียว (Vigna radiata L.)
คัสกุล, บุญนิธิ
โรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา สามพราน นครปฐม 73210
มีแก้ว, นงลักษณ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
ศิริโสภณา, สุภาภรณ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
ภาควิชาชีววิทยา และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
Detection of Fermentation Process Changes of 7-Bioextract Formulas on Mung Bean (Vigna radiata L.) Seed Germination
Boonnithi Khusakul, Nonglux Meekaew, Sirirat Kaveekhew, Surasak Laloknam, Supaporn Sirisopana and Somkiat Phornphisutthimas
รับบทความ: 15 มีนาคม 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 26 พฤษภาคม 2554
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำน้ำหมักชีวภาพ 7 สูตร ต่อการงอกของเมล็ดถั่วเขียว สูตรน้ำหมัก 7 สูตร มีส่วนประกอบและอัตราส่วนดังนี้ สูตรที่ 1 (กล้วย: กากน้ำตาล อัตราส่วน 3:1) สูตรที่ 2 (มะพร้าว: กากน้ำตาล อัตราส่วน 3:1) สูตรที่ 3 (มะละกอ: กากน้ำตาล อัตราส่วน 3:1) สูตรที่ 4 (กล้วย: มะละกอ: กากน้ำตาล อัตราส่วน 3:3:1) สูตรที่ 5 (กล้วย: มะพร้าว: กากน้ำตาล อัตราส่วน 3:3:1) สูตรที่ 6 (มะละกอ: มะพร้าว: กากน้ำตาล อัตราส่วน 3:3:1) และสูตรที่ 7 (มะละกอ: มะพร้าว: กล้วย: กากน้ำตาล อัตราส่วน 3:3:3:1) ตามลำดับ จากนั้นติดตามการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทำน้ำหมักชีวภาพได้แก่ พีเอช อุณหภูมิ และปริมาณกรดเป็นระยะเวลา 90 วัน พบว่า น้ำหมักทุกสูตรมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้นใน 2 วันแรก และคงที่ที่ 30 องศาเซลเซียส ตลอดระยะเวลาการศึกษา ค่าพีเอชลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 10 วันและมีค่าคงที่ตลอดระยะเวลาการศึกษา และปริมาณกรดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 10 วัน จากนั้นติดตามการงอกและการเจริญเติบโตของต้นถั่วเขียวเป็นระยะเวลา 7 วัน โดยนำน้ำหมักแต่ละสูตรมาเจือจางด้วยอัตราส่วน 1: 100 (V/V) พบว่า น้ำหมักสูตรที่ 6 ให้อัตราการงอกและการเจริญเติบโต (ความยาวส่วนต้นและความยาวส่วนราก) ดีที่สุด
คำสำคัญ: น้ำหมักชีวภาพ ถั่วเขียว การงอก
Abstract
This research aimed to study effect of fermented bioextracts on germination and growth of mung bean. The seven formulas of bioextract were contained different ingredient ratio named EM1 (banana: molasses = 3: 1) EM 2 (coconut: molasses = 3:1) EM3 (papaya: molasses = 3:1) EM4 (banana: papaya: molasses = 3:3:1) EM5 (banana: coconut: molasses = 3:3:1) EM6 (papaya: coconut: molasses = 3:3:1) and EM7 (papaya: coconut: banana: molasses = 3:3:3:1), respectively. Temperature, pH and acid concentration were observed for 90 days. All bioextract formulas showed temperature increased within 10 days, after that was remaining for 90 days. The pH value was decreased, while acid concentration was increased within 10 days and remains until the end of experiment. The seed germination and growth of mung bean were observed by using the fermented bioextracts diluted in a ratio of 1: 100 (v/v) for 7 days. The EM6 gave the highest seed germination and growth (root and shoot length).
Keywords: Fermented bioextract, Mung bean, Seed germination
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3880
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 1 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3881
2021-07-08T10:45:15Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
ผลของน้ำหมักชีวภาพต่อการเจริญเติบโตและผลผลิตของถั่วเขียว Vigna radiata L.
ก๋าวีเขียว, ศิริรัตน์
โรงเรียนบ้านนาคอก สาขานาบง บ่อเกลือ น่าน 55000
คัสกุล, บุญนิธิ
โรงเรียนวัดไร่ขิงวิทยา สามพราน นครปฐม 73210
มีแก้ว, นงลักษณ์
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
ศิริโสภณา, สุภาภรณ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Effect of Fermented Bioextracts on Growth and Production of Mung Bean (Vigna radiata L.)
Sirirat Kaveekhew, Boonnithi Khusakul, Nonglux Meekaew, Surasak Laloknam, Supaporn Sirisopana and Somkiat Phornphisutthimas
รับบทความ: 15 มีนาคม 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 26 พฤษภาคม 2554
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของน้ำหมักชีวภาพต่อการเจริญเติบโตของต้นถั่วเขียว โดยใช้สูตรน้ำหมัก EM6 ที่มีส่วนผสมของ มะละกอ: มะพร้าว: กากน้ำตาล อัตราส่วน 3:3:1 ในอัตราส่วนน้ำหมักต่อน้ำ 1: 10 1:100 1:1,000 1: 10,000 และ 1: 100,000 (V/V) พบว่า เมื่อเจือจาง ที่ 1: 10,000 ให้อัตราการงอกและการเจริญเติบโตสูงที่สุด จากนั้นศึกษาความถี่ของการรดน้ำหมักในช่วงเวลาต่างๆ ได้แก่ 3, 7 และ 14 วัน ในห้องปฏิบัติการจนครบวงชีวิตของต้นถั่วเขียว โดยในอัตราส่วนการเจือจางที่ 1: 10,000 พบว่า การรดน้ำหมักทุก 3 วัน ให้การเจริญเติบโตจนเก็บผลผลิตได้ดีที่สุดในระยะเวลา 42 วัน ในขณะที่ต้นควบคุมให้ผลผลิตสูงสุดในวันที่ 56 จากนั้นศึกษาในแปลงทดลอง พบว่า การรดน้ำหมักทุก 3 วัน ให้การเจริญเติบโตจนเก็บผลผลิตได้ดีที่สุดในระยะเวลา 42 วันเช่นเดียวกับในห้องปฏิบัติการ ในขณะที่ต้นควบคุมให้ผลผลิตสูงสุดในวันที่ 49 ดังนั้นน้ำหมักชีวภาพสูตรที่ 6 สามารถทำให้การเจริญเติบโตของต้นถั่วเขียวและให้ผลผลิตเร็วกว่าภาวะปกติ
คำสำคัญ: น้ำหมักชีวภาพ ถั่วเขียว การเจริญเติบโต
Abstract
This research aimed to study the effect of fermented bioextracts on growth of Mung bean. The formula of bioextract, named EM6, was contained papaya: coconut: molasses in a ratio of 3:3:1. 1: 10, 1: 100, 1: 1,000, 1: 10,000 and 1: 100,000 (V/V) of EM6 were investigated for seed germination and growth of Mung bean. The 1: 10,000 (v/v) of EM6 had the highest seed germination and growth. The frequencies of 1: 10,000 (v/v) EM6 treatment to mung bean each 3, 7 and 14 days were investigated under laboratory condition. The result revealed that 3-day treatment cycle gave the highest yield within 42 days, while no treatment had the highest yield at 56 days. In field, 3-day treatment cycle showed the same highest yield as that in laboratory, but the control were shorter period of highest yield at 49 days. From these result, EM6 could promote the growth of mung been shorter period than the control condition.
Keywords: Fermented bioextract, Mung bean, Growth
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3881
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 1 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3882
2021-07-08T11:13:05Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การบรรยายเชิงปฏิสัมพันธ์วิชาฟิสิกส์ระดับมหาวิทยาลัยเพื่อพัฒนาความเข้าใจแนวคิดเรื่องแม่เหล็กไฟฟ้า
วุฒิพรหม, สุระ
ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี วารินชำราบ อุบลราชธานี 34190
ชัยวัฒนา, ฉวีวรรณ
ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี วารินชำราบ อุบลราชธานี 34190
Interactive Lecturing for University Physics to Develop Electromagnetism Concept
Sura Wuttiprom and Chaweewan Chaiwattana
รับบทความ: 10 มีนาคม 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 11 พฤษภาคม 2554
บทคัดย่อ
วิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการจัดการเรียนรู้ด้วย worksheet (ไกด์สำหรับการจดเล็คเชอร์) ร่วมกับ D4L+P (ระบบการจัดการเรียนรู้) ในการพัฒนาความเข้าใจแนวคิดเรื่องแม่เหล็กไฟฟ้า กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานีจำนวน 843 คนที่ลงทะเบียนเรียนรายวิชาฟิสิกส์ทั่วไป 2 ปีการศึกษา 2551 โดยแบ่งเป็น 6 กลุ่มตามสาขาวิชา เฉลี่ยกลุ่มละประมาณ 150 คน อาจารย์และรูปแบบการจัดการเรียนรู้ในแต่ละกลุ่มแตกต่างกัน เครื่องมือตรวจสอบความเข้าใจแนวคิดคือแบบทดสอบแนวคิดเชิงวิทยาศาสตร์มาตรฐานเรื่องแม่เหล็กไฟฟ้า ผลการเปรียบเทียบคะแนนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้แสดงให้เห็นว่ากลุ่มที่จัดการเรียนรู้โดยใช้ worksheet ร่วมกับ D4L+P มีความเข้าใจแนวคิดเรื่องแม่เหล็กไฟฟฟ้าสูงกว่ากลุ่มที่ไม่ได้เรียนด้วยรูปแบบนี้
คำสำคัญ: D4L+P Worksheet แม่เหล็กไฟฟ้า
Abstract
The objectives of this study were to investigate lower secondary school students’ knowledge on mangrove ecosystems, to develop an integrated learning package on mangrove ecosystems, and to study the effect of developed learning packages on students’ knowledge. The participants of this study were 32 eighth-grade students which were randomized using purposive sampling technique. These participants attended the developed learning package in second semester of academic year 2010. The developed learning package composes of various activities such as games, lecture from local sage, teacher and researcher, field trips in local ecosystems, discussion with local sages, and self-study. Data collections using the questionnaires and multiple choice items were conducted for the knowledge assessment. The statistical analysis including mean, standard deviation, frequencies, paired sample t-test, and normalized gain were conducted for data analysis. The results of the study indicated the significant difference in knowledge between pre-test and post-test knowledge scores and all students’ average normalized gain is low gain (0.17).
Keywords: D4L+P, Worksheet, Electromagnetism
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3882
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 1 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3883
2021-07-08T11:16:16Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
ผลของไกลซีน โพรลีน และกลูตาเมต ต่อการเจริญของไซยาโนแบคทีเรีย Synechococcus PCC 7942, Synechocystis PCC 6803 และ Aphanothece halophytica ภายใต้ภาวะปกติและภาวะที่มีความเครียดจากเกลือ
บุญบูรพงศ์, บงกช
ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 10330
บัวหลวง, อาภรณ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพมหานคร 10110
อินเจริญศักดิ์, อรัญ
ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 10330
นิลผาย, ยุวธิดา
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพมหานคร 10110
บุญประกอบกูล, อภิญญาณ
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพมหานคร 10110
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพมหานคร 10110
Effect of Glycine, Proline and Glutamate on Growth of Cyanobacteria Synechococcus PCC 7942, Synechocystis PCC 6803 and Aphanothece halophytica under Normal and Salt Stress Conditions
Sirirat Kaveekhew, Boonnithi Khusakul, Nonglux Meekaew, Surasak Laloknam, Supaporn Sirisopana and Somkiat Phornphisutthimas
รับบทความ: 8 มกราคม 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 9 มีนาคม 2554
บทคัดย่อ
จากการศึกษาการเจริญไซยาโนแบคทีเรีย Synechococcus PCC 7942, Synechocystis PCC 6803 และ Aphanothece halophytica ในอาหารเลี้ยง BG11 ภายใต้ภาวะที่มีเกลือโซเดียมคลอไรด์ (NaCl) ความเข้มข้น 0 – 3 โมลาร์ พบว่า อัตราการเจริญที่เหมาะสมภายใต้ภาวะที่มีความเค็มของเกลือ NaCl ต่อไซยาโนแบคเรีย Synechococcus PCC 7942, Synechocystis PCC 6803 และ A. halophytica คือ 0, 0.2 และ 0.5 โมลาร์ ตามลำดับ และภาวะที่มีความเครียดจากเกลือ NaCl ที่ทำให้อัตราการเจริญลดลงเป็นครึ่งหนึ่งของภาวะที่เหมาะสม (ภาวะปกติ) ของไซยาโนแบคเรีย Synechococcus PCC 7942, Synechocystis PCC 6803 และ A. halophytica คือ 0.1, 0.5 และ 2.0 โมลาร์ ตามลำดับ จากนั้นทำการศึกษาผลของกรดอะมิโนอิสระ 3 ชนิด ได้แก่ ไกลซีน โพรลีน และกลูตาเมต ต่อการเจริญของไซยาโนแบคทีเรีย Synechococcus PCC 7942, Synechocystis PCC 6803 และ A. halophytica ภายใต้ภาวะปกติและภาวะที่มีความเครียดจากเกลือ NaCl พบว่า ไกลซีน โพรลีน และ กลูตาเมต ความเข้มข้น 1 มิลลิโมลาร์ไม่มีผลต่อการเจริญของไซยาโนแบคทีเรีย Synechococcus PCC 7942 และ Synechocystis PCC 6803 ภายใต้ภาวะปกติและภาวะที่มีความเครียดจากเกลือ NaCl รวมถึงภาวะปกติของ A. halophytica ในขณะที่ ไกลซีน โพรลีน และกลูตาเมต ความเข้มข้นเดียวกันทำให้อัตราการเจริญของ A. halophytica สูงขึ้นภายใต้ภาวะที่มีความเครียดจากเกลือ NaCl และกลูตาเมตเป็นกรดอะมิโนที่ส่งเสริมการเจริญได้ดีที่สุด โดยมีโพรลีนและไกลซีน รองลงมาตามลำดับ ดังนั้น กลูตาเมต โพรลีน และไกลซีน แสดงสมบัติเป็นสารออสโมโพรเทคแทนต์ที่มีความจำเพาะต่อไซยาโนแบคทีเรียทนเค็ม A. halophytica
คำสำคัญ: ไกลซีน โพรลีน กลูตาเมต ไซยาโนแบคทีเรีย ความเครียดจากเกลือ
Abstract
The growth of cyanobacteria Synechococcus PCC 7942, Synechocystis PCC 6803 and Aphanothece halophytica was stimulated by increasing salinity ranging from 0 – 3 M NaCl in BG11 medium. The optimal growth rate of Synechococcus PCC 7942, Synechocystis PCC 6803 and A. halophytica under salinity was 0, 0.2 and 0.5 M NaCl, respectively. The salt stress condition that half of optimal growth rate of Synechococcus PCC 7942, Synechocystis PCC 6803 and A. halophytica was 0.1, 0.5 and 2.0 M NaCl, respectively. The three amino acids, glycine, proline or glutamate were supplemented in BG11 medium under normal and salt stress conditions. Growth rates of Synechococcus PCC 7942, Synechocystis PCC 6803 and A. halophytica were determined. Additions of 1 mM of glycine, proline or glutamate had no effect on growth rate of Synechococcus PCC 7942 and Synechocystis PCC 6803 at both normal and salt stress conditions as well as normal condition of A. halophytica. However, at the equal level of amino acid could improve growth rate of A. halophytica at salt stress condition. Glutamate was the best amino acid to support growth of A. halophytica and follow by proline and glycine, respectively. Therefore, glutamate, proline and glycine can act as osmoprotectant and has high specificity on growth rate of halotolerant cyanobacterium A. halophytica.
Keywords: Glycine, Proline, Glutamate, Cyanobacteria, Salt stress
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3883
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 1 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3884
2021-07-08T11:19:30Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การให้เหตุผลเชิงสัดส่วน
เพียซ้าย, ขวัญ
ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพมหานคร 10110
ร่วมชาติ, ภิญญาพันธ์
ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพมหานคร 10110
Proportional Reasoning
Khwan Piasai and Pinyapan Roamchart
รับบทความ: 23 กุมภาพันธ์ 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 6 พฤษภาคม 2554
บทคัดย่อ
การให้เหตุผลเชิงสัดส่วนเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะว่าเนื้อหาของหลายๆ วิชาโดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ล้วนมีความเชื่อมโยงและใช้แนวคิดของเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้การให้เหตุผลเชิงสัดส่วนนี้ยังเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน รวมทั้งถูกนำไปประยุกต์ใช้กับศาสตร์หลายๆ สาขา เช่น สถาปัตยกรรม ศิลปะ ดนตรี วิศวกรรมศาสตร์ และอีกทั้งบนโลกของเรามีปรากฏการณ์หลายๆ อย่างที่ดำเนินการไปตามกฎของสัดส่วน ดังนั้นการพัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถทางด้านการให้เหตุผลเชิงสัดส่วนนับว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง องค์ประกอบหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาความสามารถในการให้เหตุผลเชิงสัดส่วน คือ โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับการให้เหตุผลเชิงสัดส่วน รวมถึงการเน้นให้ผู้เรียนคิดหายุทธวิธีที่หลากหลายในการแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับสัดส่วน เช่น การใช้รูปภาพ การบวกเพิ่ม การใช้อัตราต่อหนึ่งหน่วย การเปลี่ยนตัวประกอบ หรือการคูณไขว้ ทั้งนี้เมื่อเริ่มต้นสอนครูไม่ควรแนะนำวิธีการคูณไขว้แก่นักเรียนก่อน ควรให้นักเรียนได้ค้นพบวิธีดังกล่าวด้วยตนเอง ซึ่งจะทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย
คำสำคัญ: สัดส่วน การให้เหตุผลเชิงสัดส่วน ความสามารถทางด้านการให้เหตุผลเชิงสัดส่วน
Abstract
Proportional reasoning is important because the contents in several subjects are linked and used its concepts, particularly in mathematics and science. In addition, it is linked to way of life and applied with many disciplinary. For example, architecture, art, music, engineering and the world have events concerning the process of proportional rules. The students’ development to have proportional reasoning ability is also essential. One factor that has an influence on the development of proportional reasoning ability is proportional reasoning problem including the teacher focuses on the students’ thinking about various strategies in solving the proportional reasoning problem, for instance, pictorial, building up, unit rate, factors of change or cross products. When the teachers start teaching, they should not suggest student cross products strategy before the students’ discovery by themselves to effect on their meaningful learning occurrence.
Keyword: Proportion, Proportional reasoning, Proportional reasoning ability
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3884
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 1 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3885
2021-07-08T11:25:16Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
เพอร์ออกซิเดสและสารต้านอนุมูลอิสระ
คงวิทยา, สมบัติ
กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรุงเทพ 10400
Peroxidase and Antioxidant
Sombat kongwithtaya
รับบทความ: 26 กุมภาพันธ์ 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 31 พฤษภาคม 2554
บทคัดย่อ
เพอร์ออกซิเดส (E.C.1.11.1.7) เป็นเอนไซม์ที่เร่งสลายสับเสตรตโดยใช้ปฏิกิริยาออกซิเดชัน-รีดักชัน ด้วยไฮโดรเจน เพอร์ออกไซด์ มีการนำมาใช้ประโยชน์หลายด้าน เช่น การบำบัดน้ำเสียที่มีสารประกอบฟีนอล การสังเคราะห์สารอะโรมาติก และการตรวจสอบสารต้านอนุมูลอิสระ เพอร์ออกซิเดสพบได้ทั้งในจุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรีย และ พืช ได้แก่ หัววาซาบิ กระหล่ำปลี และตำลึง จากปฏิกิริยาของเพอร์ออกซิเดส สามารถนำมาใช้ในการตรวจสอบสารต้านอนุมูลอิสระได้ ซึ่งเป็นความจำเพาะของเอนไซม์ต่อสับสเตรตที่มีความไวของปฏิกิริยาสูง และผลิตภัณฑ์ที่ได้มีสีสามารถทำการติดตามด้วยเทคนิดสเปคโทรสโกปีได้
คำสำคัญ เพอร์ออกซิเดส สารต้านอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระ
Abstract
Peroxidases (EC number 1.11.1.7) are enzymes that typically catalyze substrate by using oxidoreduction reacted with hydrogen peroxide. Applications of peroxidase can be used for treatment of industrial waste waters containing phenolic compounds, aromatic synthesis and determination of antioxidant content. These enzymes were found in bacteria and plants, horseradish root, cabbage and ivy gourd, respectively. The high sensitive reaction of peroxidase were selected and developed to determine antioxidant. The reaction product gave color therefore can detect by spectroscopic technique.
Keywords: Peroxidase, Antioxidant, Free radical
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3885
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 1 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3886
2021-07-08T11:29:53Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การแยกประเภทขยะมูลฝอยในมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร
ใหม่จันทร์, วิจิตรา
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
กำมังละการ, พิชามญชุ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
ศิริโสภณา, สุภาภรณ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
Sorting of Solid Wastes at Srinakharinwirot University, Prasarnmit
Wijittra maijan, Pichamon Kummunglakarn and Supaporn Sirisopana
รับบทความ: 8 กุมภาพันธ์ 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 28 เมษายน 2554
บทคัดย่อ
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร มีจำนวนประชากรอยู่จำนวนมากประกอบด้วย เจ้าหน้าที่สำนักงาน คณาจารย์ และนิสิต รวมถึงผู้ที่เข้ามาติดต่อกับทางมหาวิทยาลัย ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่า 10,000 คนต่อวัน ทำให้ปัญหาที่ตามมาคือ ปริมาณขยะมูลฝอยที่มีมากในแต่ละวัน ดังนั้นทางมหาวิทยาลัยจึงมีการจัดการแยกขยะมูลฝอยออกเป็น 2 รูปแบบ คือ แบ่งตามประเภทหรือชนิดของมูลฝอย และแบ่งตามลักษณะของขยะ นอกจากนี้ทางมหาวิทยาลัยได้มีการรณรงค์ด้วยการจัดทำโครงการธนาคารวัสดุรีไซเคิล และแนวทางการคัดแยกขยะมูลฝอยของมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ซึ่งโครงการดังกล่าวสามารถลดและควบคุมปริมาณขยะมูลฝอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำสำคัญ การคัดแยก ขยะมูลฝอย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
Abstract
Srinakharinwirot University, Prasarnmit where there are officers, teachers, and students as well as the people who contact with university about 10,000 persons. A number of people make a big problem called solid waste. There are two criteria to sort the solid waste: classifying by the types or kinds of wastes, and their characters. The university promotes a new project named Solid waste recycle bank to manage the amount of solid waste. By the way, this project showed high efficiency and could decrease and control the content of solid waste.
Keywords: Sorting, Solid waste, Srinakharinwirot University
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3886
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 1 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3887
2021-07-08T11:33:25Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การปรับตัวของไซยาโนแบคทีเรียภายใต้ภาวะเครียดจากเกลือ
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
Adaptation of Cyanobacteria under Salt stress condition
Surasak Laloknam
รับบทความ: 13 ธันวาคม 2553; ยอมรับตีพิมพ์: 24 กุมภาพันธ์ 2554
บทคัดย่อ
ไซยาโนแบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดโพรแคริโอตที่สามารถสังเคราะห์แสงได้ มีการนำไซยาโนแบคทีเรียไปใช้ประโยชน์ในหลายด้าน เช่น การเกษตร การอุตสาหกรรมอาหาร เภสัชกรรม และงานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นต้น โดยเฉพาะการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับพืชจะมีการศึกษาเบื้องต้นในไซยาโนแบคทีเรียก่อนเนื่องจากมีกลไกที่ใช้ในการสังเคราะห์แสงคล้ายพืช จากการศึกษาความสามารถของสิ่งมีชีวิตในการเจริญภายใต้ภาวะเครียดจากเกลือ พบว่า ไซยาโนแบคทีเรียมีกลไกในการปรับตัวให้เจริญ ภายใต้ภาวะเครียดจากเกลืออย่างน้อย 2 กลไก ได้แก่ การแลกเปลี่ยนไอออนระหว่างเซลล์กับสิ่งแวดล้อม และการสะสมสารออสโม-โพรเทคแทนต์ การแลกเปลี่ยนไอออนใช้โปรตีนที่อยู่บริเวณเยื่อหุ้มเซลล์ ในขณะที่สารออสโมโพรเทคแทนต์เป็นสารที่โมเลกุลขนาดเล็กช่วยลดแรงดันออสโมติกของไซยาโนแบคทีเรีย และเป็นสารประกอบอินทรีย์ส่วนมากเป็นกรดอะมิโนและอนุพันธ์ของกรดอะมิโน เช่น ไกลซีนบีเทน และโพรลีน มีการสะสมโดยนำเข้าสู่เซลล์หรือการสังเคราะห์ขึ้นภายในเซลล์
คำสำคัญ ไซยาโนแบคทีเรีย ภาวะเครียดจากเกลือ ออสโมโพรเทคแทนต์
Abstract
Cyanobacteria are photosynthetic prokaryotic cells. There are many applications in various fields, for example, agriculture, food industries, pharmaceuticals, as well as science and technology researches. Especially, in researches about plants, the preliminary study has been done in cyanobacteria since they have the mechanism as photosynthetic system in plants. The study in organisms’ growth ability under salt stress condition revealed that cyanobacteria have at least two mechanisms to adapt their growth under the salt stress condition: the ion-exchanger between cell and environment and osmoprotectant accumulation. The ion-exchanger is a membrane protein whereas osmoprotectant is a small molecule to reduce osmotic pressure of cyanobacteria. Osmoprotectant also occurs in organic compound, and almost is amino acid and its derivatives, for instance, glycine betaine and proline, which accumulate by uptake from environment or synthesis within cell.
Keywords: Cyanobacteria, Salt stress condition, Osmoprotectant
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3887
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 1 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3888
2023-11-10T10:25:59Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"100630 2010 eng "
2651-074X
dc
รูปแบบการจัดการบ้านพักโฮมสเตย์ชุมชนแสนตอแขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร
สว่างอารมณ์, วันทนี
สาขาวิชาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ 10600
Homestay Managing Pattern of Santor Community, Bangkhun Thian, Bangkok
Wantanee Sawangarom
รับบทความ: 12 มีนาคม 2553; ยอมรับตีพิมพ์: 12 พฤษภาคม 2553
บทคัดย่อ
รูปแบบการจัดการที่พักโฮมสเตย์เป็นรูปแบบการจัดการท่องเที่ยวโดยชุมชนที่เป็นที่สนใจในหมู่นักท่องเที่ยวเช่นกัน โฮมสเตย์เป็นการผสมผสานกันระหว่างการท่องเที่ยวและสถานที่พัก เป็นรูปแบบการท่องเที่ยวที่ทำให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้เกี่ยวกับการดำรงชีวิต กิจกรรมการดำรงชีวิตประจำวันและวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่นที่เป็นชีวิตจริง การจัดการบ้านพักโฮมสเตย์สามารถดำเนินการได้ทั้งแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวิถีชีวิต ประเพณีและวัฒนธรรม ทำให้ชาวบ้านในชุมชนมีบทบาทสำคัญในการจัดการทรัพยากรการท่องเที่ยว ที่ยึดเอาความต้องการที่แท้จริงของชุมชนเป็นตัวตั้งและนำไปสู่การร่วมมือร่วมใจกันอนุรักษ์คุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตลอดจนรักษาไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรม จารีตประเพณีอันดีงามและภูมิปัญญาดั้งเดิมของท้องถิ่นไว้ให้เกิดความยั่งยืนชั่วลูกหลาน
คำสำคัญ: โฮมสเตย์ การท่องเที่ยงเชิงนิเวศ รูปแบบการท่องเที่ยว ชีวิตในท้องถิ่นที่แท้จริง
Abstract
Homestay is a community-based tourism for travelers, and is the integration between the tourism and residence. Furthermore, it is a travelling pattern that makes traveler learn the lifestyles, everyday activities and real cultural heritages. Homestay pattern are able to be ecotourism, travelling place for history, and life style, tradition as well as culture. This helps people in community for acting to manage travelling resources based on their real life as a main premise, and make them save natural resources and environment including the art and culture, beautiful discipline and local wisdom for their offspring.
Keywords: Homestay, Ecotourism, Community-based tourism, Real local life
จากการตรวจสอบ พบว่า บทความเรื่อง“ รูปแบบการจัดการบ้านพักโฮมสเตย์ชุมชนแสนตอแขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร” ของวันทนี สว่างอารมณ์ มีความซ้ำซ้อนกับบทความในวารสารก้าวทันโลกวิทยาศาสตร์ ซึ่งดำเนินการโดยคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา บรรณาธิการวารสารก้าวทันโลกวิทยาศาสตร์แจ้งถอนบทความดังกล่าวออกจากวารสารก้าวทันโลกวิทยาศาสตร์ ปีที่ 10 ฉบับที่ 1(มกราคม - กรกฎาคม 2553) แล้ว ทางกองบรรณธิการขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3888
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 1 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c) 2010 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3998
2023-01-11T01:26:23Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การผลิตเซลลูโลสจากแบคทีเรีย Acetobacter xylinum TISTR 086 โดยใช้ผลผลิตทางการเกษตรเป็นแหล่งคาร์บอน
ใหม่จันทร์, วิจิตรา
โรงเรียนปัญจทรัพย์ ดินแดง กรุงเทพฯ 10400
กำมังละการ, พิชามญชุ์
โรงเรียนบ้านแม่ต๋อม อมก๋อย เชียงใหม่ 50310
สุดปรึก, สุวรรณา
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
ปุ๊ดพรหม, กุลนันท์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
อันชนะ, ชุติมา
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
พงษ์พานิช, จันทร์ทิมา
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
Production of Bacterial Cellulose by Acetobacter xylinum TISTR086 Using Agricultural Products as Carbon Sources
Wichitta Maichan, Pichamol Kammanglakan, Suwanna Sudpruek, Kullanan Prudprom, Chutima Anchana, Jantima Pongpanich, and Surasak Laloknam
รับบทความ: 15 ตุลาคม 2555; ยอมรับตีพิมพ์: 26 พฤศจิกายน 2555
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตเซลลูโลสจากแบคทีเรีย Acetobacter xylinum TISTR086 โดยใช้ผลผลิตทางการเกษตรเป็นแหล่งคาร์บอน ได้แก่ แอปเปิ้ล องุ่น ส้ม เผือก แครอท และมันฝรั่ง และใช้น้ำมะพร้าวเป็นตัวควบคุม โดยเริ่มจากการหาปริมาณน้ำตาลรีดิวซ์ในผลผลิตทางการเกษตรตัวอย่างทำปฏิกิริยากับสารละลายกรดไดไนโตรซาลิก พบว่า ผลผลิตทางการเกษตรที่ให้น้ำตาลรีดิวซ์สูงสุด 3 ลำดับแรก ได้แก่ แอปเปิ้ล เผือก และมันฝรั่ง จากนั้นนำผลผลิตทั้งหมดไปหมักกับ Acetobacter xylinum TISTR086 เพื่อผลิตเซลลูโลสโดยแปรผันปริมาณน้ำตาลรีดิวซ์ร้อยละ 0 – 3 โดยน้ำหนักต่อปริมาตร พบว่า ผลิตภัณฑ์ที่ให้น้ำหนักเซลลูโลสสูงสุด ได้แก่ เผือก องุ่น และมะพร้าว ตามลำดับ ตัวอย่างจากเผือกที่ความเข้มข้นของน้ำตาลรีดิวซ์ร้อยละ 1 โดยน้ำหนักต่อปริมาตรให้ผลผลิตสูงที่สุด เซลลูโลสที่อยู่ในรูปวุ้นสวรรค์มีความชื้นร้อยละ 90 โดยน้ำหนักต่อน้ำหนัก ดังนั้นจึงอธิบายได้ว่า ผลผลิตทางการเกษตรสามารถนำมาใช้ในการผลิตเซลลูโลสได้
คำสำคัญ: เซลลูโลสจากแบคทีเรีย ผลผลิตทางการเกษตร Acetobacter xylinum TISTR086
Abstract
This research aimed at producing gelatinous bacterial cellulose from Acetobacter xylinum TISTR086 using agricultural products as carbon sources. Agricultural products were apple, grape and carrot, taro, carrot and potato, and coconut milk was used as a control. All samples were determined reducing sugar contents using dinitrosalic acid method. The result showed that three agricultural products with highest reducing sugar were apple juice, taro and potato, respectively. All agricultural products with a rage of 0 – 3 %(w/v) reducing sugar were fermented with Acetobacter xylinum TISTR086 to produce gelatinous bacterial cellulose. The finding indicated that the product giving the highest cellulose weight was taro, following by grape and coconut, respectively. The taro sample with 1%(w/v) of reducing sugar gave the highest cellulose weight. The fresh gelatinous bacterial cellulose had 90% moisture content. Therefore, the agricultural product is able to use as carbon source of cellulose production.
Keywords: Bacterial cellulose, Agricultural product, Acetobacter xylinum TISTR086
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3998
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 2 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/3999
2023-01-11T01:26:23Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การพัฒนาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์โดยใช้แผนที่ความคิด
แทนคำ, ชวัลณัฐ
โรงเรียนขุนหาญวิทยาสรรค์ สิ ขุญหาญ ศรีสะเกษ 33150
Enhancing Science Learning Outcome with Mind Map
Chawannat Tankham
รับบทความ: 20 มิถุนายน 2555; ยอมรับตีพิมพ์: 12 กันยายน 2555
บทคัดย่อ
การศึกษานี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความรู้โดยการใช้แผนที่ความคิด และศึกษาทักษะการเขียนแผนที่ความคิด กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดสังเวช จำนวน 39 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือวิจัยประกอบด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบก่อน – หลังเรียน และแบบประเมินผลการเขียนแผนที่ความคิด (mind map) แบบแผนการวิจัยที่ใช้เป็นแบบ one group pretest – posttest design และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติที (one sample t–test) ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน (p < .05) และมีทักษะในการเขียนแผนที่ความคิดอยู่ในระดับดี
คำสำคัญ: แผนที่ความคิด การพัฒนาความรู้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
Abstract
The aims of this study were to develop learning outcome with mind map and study the mind map writing practice. The participants were 39 Mattayomsuksa V students in Watsungwej School, and were selected by purposive selection technique. Data collections using the students’ achievement test and the mind map writing practice assessment form were conducted the knowledge assessment. The results showed that the students’ achievement after learning with mind map was significantly higher than those before learning (p < .05), and the mind map writing practice was shown as good level.
Keywords: Mind map, Enhancing learning outcome, Learning achievement
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/3999
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 2 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4006
2023-01-11T01:26:23Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
ผลของการจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนที่ความคิดที่มีต่อทักษะการสรุปความคิดรวบยอดกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น
มีแก้ว, วิชิตพล
โรงเรียนอมก๋อยวิทยาคม อมก๋อย อมก๋อย เชียงใหม่ 50310
The Effects of Learning by Using the Mind Mapping on Summarizing Concept Skill and Science Achievement of Lower Secondary School Students
Wichitpon Meekaew
รับบทความ: 16 มิถุนายน 2555; ยอมรับตีพิมพ์: 23 สิงหาคม 2555
บทคัดย่อ
งานวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาผลของการจัดการเรียนรู้ โดยใช้แผนที่ความคิดที่มีต่อทักษะการสรุปความคิดรวบยอดกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น กลุ่มตัวอย่างวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดสังเวช จำนวน 35 คน ได้มาจากการเลือกอย่างเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาวิทยาศาสตร์โดยใช้แผนที่ความคิด (mind mapping) 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และ 3) แบบประเมินทักษะการสรุปความคิดรวบยอด ผลการวิจัยพบว่า หลังการจัดการเรียนรู้โดยใช้แผนที่ความคิดนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 70 (p < .05) จากคะแนนเต็ม 20 คะแนน โดยมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 15.86 ± 1.87 คิดเป็นร้อยละ 79.29 นักเรียนมีทักษะการสรุปความคิดรวบยอดวิชาวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับดี โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 11.28 ± 2.93
คำสำคัญ: แผนที่ความคิด การสรุปความคิดรวบยอด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
Abstract
This research aimed to study the effects of learning using mind mapping on summarizing concept skill and science achievement of lower secondary school students. The participants were 35 Mattayomsuksa III students purposively selected from Watsungwej School. This study was performed through 3 instruments were: 1) learning Management Plan by using mind mapping; 2) students’ achievement test; 3) summarizing concepts skill test. The results showed that the students’ achievement after learning was significantly higher than the proposed standard 70 percent (p < .05) (79.29%), in which the average score was 15.86 ± 1.87. The skill of summarizing concept in science subject of students was in a good level, in which the average score was 11.28 ± 2.93.
Keywords: Mind map, Summarizing concept, Learning achievement
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4006
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 2 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4007
2023-01-11T01:26:23Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
ผลของความเค็มต่อการเจริญและปริมาณบีเทนของไซยาโนแบคทีเรียชนิดเส้นสาย Anabaena sp. Nostoc sp. และ Spirulina sp.
ครรชิตานุรักษ์, โพธิธรณ์
ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
นาคทอง, กนกกานต์
ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
คเชนทร์สุวรรณ, ชัยศาสตร์
ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
Effect of Salinity on Growth and Betaine Content of Filamentous Cyanobacteria Anabaena sp., Nostoc sp. and Spirulina sp.
Potitorn Kanchitanurak, Kanokgarn Naktong, Chaiyasad Kachensuwan and Surasak Laloknam
รับบทความ: 10 เมษายน 2555; ยอมรับตีพิมพ์: 18 พฤษภาคม 2555
บทคัดย่อ
การเพาะเลี้ยงไซยาโนแบคทีเรีย Anabaena sp. Nostoc sp. และ Spirulina sp. ในอาหารเลี้ยง BG11 ภายใต้ภาวะความเค็มของเกลือโซเดียมคลอไรด์ที่ความเข้มข้น 0 – 1 โมลาร์ พบว่า ความเข้มข้นของเกลือโซเดียมคลอไรด์ที่เหมาะสมต่ออัตราการเจริญของ Spirulina sp. เท่ากับ 0.25 โมลาร์ ซึ่งเจริญได้ดีใกล้เคียงกับภาวะปกติที่ไม่เติมเกลือ ส่วน Anabaena sp. และ Nostoc sp. เจริญได้ดีในอาหารที่ไม่มีเกลือโซเดียมคลอไรด์ (0 M NaCl) และภาวะที่มีความเครียดจากเกลือโซเดียมคลอไรด์ที่ทำให้อัตราการเจริญของ Anabaena sp. ลดลงเป็นครึ่งหนึ่งของภาวะที่เหมาะสม เท่ากับ 0.25 โมลาร์ ในขณะที่ Nostoc sp. และ Spirulina sp. เท่ากับ 0.5 โมลาร์ จากนั้นติดตามปริมาณบีเทนของ Anabaena sp. Nostoc sp. และ Spirulina sp. ภายใต้ภาวะปกติและภาวะที่มีความเครียดจากเกลือ พบว่า ภายใต้ภาวะความเครียดจากเกลือไซยาโนแบคทีเรียทั้ง 3 ชนิด ให้ปริมาณบีเทนสูงกว่าภาวะปกติประมาณ 2 เท่า ดังนั้นอธิบายได้ว่าไซยาโนแบคทีเรียมีการสะสมบีเทนภายใต้ภาวะที่มีความเครียดจากเกลือโซเดียมคลอไรด์
คำสำคัญ: ไซยาโนแบคทีเรีย บีเทน ความเครียดจากเกลือ
Abstract
The growth of cyanobacterium Anabaena sp., Nostoc sp. and Spirulina sp. was stimulated by increasing of salinity range of 0 – 1 M NaCl in BG11 medium. The optimal growth rate of Spirulina sp. under salinity was 0.25 M NaCl nearest with 0 M NaCl, and the optimal growth rate of Anabaena sp. and Nostoc sp. were condition without NaCl (0 M NaCl), The salt stress condition is growth rate half of optimal growth rate of Anabaena sp., Nostoc sp. and Spirulina sp. as 0.25, 0.5 and 0.5 M NaCl, respectively. The betaine content in all cyanobacteria was determined under normal and salt stress conditions. At the salt stress condition, all cyanobacteria showed betaine content higher than normal condition about 2 folds. These results suggested that all cyanobacteria Anabaena sp., Nostoc sp. and Spirulina sp. were accumulated betaine under salt stress condition.
Keywords: Cyanobacteria, Betaine, Salt stress
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4007
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 2 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4008
2023-01-11T01:26:23Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การวิเคราะห์ข้อความทางคณิตศาสตร์ที่มีความกระชับสูง
เพียซ้าย, ขวัญ
ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
Analyzing Highly Condensed Mathematical Messages
Khawn Piasai
รับบทความ: 15 กันยายน 2555; ยอมรับตีพิมพ์: 21 พฤศจิกายน 2555
บทคัดย่อ
ข้อความทางคณิตศาสตร์ที่ตีความหมายออกมาเป็นข้อมูลทางคณิตศาสตร์ได้อย่างมากมาย เราเรียกข้อความทางคณิตศาสตร์ดังกล่าวนี้ว่า ข้อความทางคณิตศาสตร์ที่มีความกระชับสูง บทความนี้ต้องการแสดงตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อความทางคณิตศาสตร์อย่างง่าย และข้อความทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน รวมทั้งการวิเคราะห์ข้อความทางคณิตศาสตร์ในเชิงของบทสนทนา
คำสำคัญ: ข้อความทางคณิตศาสตร์ที่มีความกระชับสูง การวิเคราะห์ข้อความทางคณิตศาสตร์ การสื่อสารทางคณิตศาสตร์
Abstract
The highly condensed mathematical messages are those interpreted by many mathematical data. In this article, examples of analysis of both simple and complex mathematical messages along with related analysis of mathematical messages in oral communication are shown.
Keywords: Highly condensed mathematical messages, Analysis of mathematical message, Mathematical communication
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4008
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 2 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4010
2023-01-11T01:26:23Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การวิจัยในชั้นเรียน: เครื่องมือสำคัญของครูวิทยาศาสตร์
พุ่มศรีภานนท์, จุมพต
สาขาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ พระนครศรีอยุธยา 13000
Classroom Action Research: Important Tool for Science Teachers
Joompot Poomsripanon
รับบทความ: 25 สิงหาคม 2555; ยอมรับตีพิมพ์: 18 ตุลาคม 2555
บทคัดย่อ
การวิจัยในชั้นเรียน (classroom action research) เป็นงานวิจัยที่แตกต่างจากการวิจัยตามรูปแบบ (formal research) เนื่องจากการวิจัยในชั้นเรียนเป็นการวิจัยที่มุ่งศึกษาเพื่อแก้ปัญหา หรือนำผลการวิจัยไปพัฒนากลุ่มเป้าหมายหรือสถานการณ์ที่จำเพาะเจาะจง การวิจัยจะลดกฎเกณฑ์และรูปแบบที่ซับซ้อนของงานวิจัยตามรูปแบบออกไป จึงทำให้ครูสามารถนำวิธีการวิจัยในชั้นเรียนไปพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้สะดวก สำหรับครูวิทยาศาสตร์การวิจัยในชั้นเรียนเป็นเครื่องมือสำคัญอย่างหนึ่งที่ครูวิทยาศาสตร์จะนำไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ได้เป็นอย่างดี การที่ครูวิทยาศาสตร์จะใช้งานวิจัยในชั้นเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องฝึกทักษะการตั้งคำถามงานวิจัยที่เหมาะสม วางแผนการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบคู่ขนานไปกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับสถิติวิจัยเพื่อเป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์ข้อมูลงานวิจัย
คำสำคัญ: การวิจัยในชั้นเรียน การวิจัยตามรูปแบบ ครูวิทยาศาสตร์ ทักษะการตั้งคำถาม สถิติวิจัย
Abstract
Classroom action research is different from formal research. Classroom action research aims to solve the problem or to develop a specific subject or situation. Classroom action research reduces the complexity of the rules and format of formal research. Thus, the teacher can easily use classroom action research to improve their classrooms in teaching and learning activities. For science teachers, classroom action research will be used as an important tool to improve science instruction as well. To use classroom action research more effectively in the classroom the science, teachers have to practice the questing skill for addressing problem or exposing the appropriate research questions. Science teachers have to plan to collect the data for their research together with teaching and learning activities. In addition, the basic research statistics is also necessary as a basis to analyze the data.
Keywords: Classroom action research, Formal research, Science teacher, Questing skill, Statistics
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4010
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 2 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4011
2023-01-11T01:26:23Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
เตรียมตัวอย่างไรกับรางวัลผลงานที่มีคุณภาพนิสิตครูวิทยาศาสตร์
หิรัญสถิตย์, สุรเชษฐ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คลองเตยเหนือ วัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
How to Prep Yourself to Get the Quality Awards of Science-Teacher Student
Surachet Hiransatit
รับบทความ: 13 ตุลาคม 2555; ยอมรับตีพิมพ์: 2 ธันวาคม 2555
บทดัดย่อ
การเตรียมความพร้อมที่จะสร้างผลงานที่มีคุณภาพ จำเป็นต้องอาศัยระยะเวลาในการสะสมผลงานและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญ 2 ประการคือ ความรู้ และ ประสบการณ์ ดำเนินควบคู่กันไปจนนำไปสู่ความสำเร็จที่เรียกว่า “คุณภาพ” ซึ่งอาศัยหลักการ PDCA ได้แก่ การวางแผน (P = Plan) การลงมือทำ (D = Do) การตรวจสอบ (C = Check) และการปรับปรุงแก้ไข (A = Act) ลักษณะเป็นวงจรตามลำดับซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อให้เกิดการพัฒนาคุณภาพอย่างยั่งยืน ในด้านหลักคุณธรรมจริยธรรมเป็นแนวทางปฏิบัติ และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน เพราะคนที่มีคุณธรรมก็คือคนดี คิดดี ประพฤติปฏิบัติดี ทุ่มเทเสียสละ มองรอบทิศคิดรอบด้าน ใฝ่หาความรู้ รู้จักการครองตน ครองคน และครองงานเป็นอย่างดี มีความอดทนอดกลั้น รู้จักแก้ไขอุปสรรคปัญหา กล้าคิดกล้าทำในสิ่งที่ถูกต้องเป็นธรรม น้อมนำเอาพระราชดำรัสและพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในเรื่องคุณธรรมมาปฏิบัติและเป็นหลักชัยในการทำงาน ดังนั้น การทำงานที่รู้จักการวางแผนอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยหลักการ PDCA หรือวงจรบริหารงานคุณภาพ ควบคู่กับการประพฤติปฎิบัติตนยึดมั่นในหลักคุณธรรมจริยธรรมเป็นที่ตั้ง จะเป็นวิธีการสำคัญอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ตนเองสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพเกิดประโยชน์ต่อตนเอง บุคคลรอบข้าง สังคมและประเทศชาติต่อไปได้อย่างแน่นอน สุดท้ายเมื่อเกิดคุณภาพทั้งตัวบุคคลและผลงานสังคมที่อยู่ก็จะพบแต่ความสุขความเจริญทั่วกันด้วยเช่นกัน
คำสำคัญ: คุณภาพ หลักการ PDCA คุณธรรมจริยธรรม ความรู้ ประสบการณ์
Abstract
Preparing to create a quality work need a time to build a portfolio and continuous self-development. The 2 factors, knowledge and experience are necessary that leads to "quality work". The principle of PDCA cycle composed of plan (P), Do (D), Check (C) and Act (A). PDCA is an achieve sustainable development with ethical practices which a critically important to success in life and career. A good person who a good moral conduct and selfless dedication. I looked around the problems to solve and inquiry about the goal as well as patients. I bring the initiate of His Majesty the King's speech. In regard to the moral and the goal of the work is the work that is planned in a systematic way. The PDCA cycle quality management principles could practical conduct their commitment to moral and ethical principles are set. How important is one of the ways to help make their creative works with the benefit of the society and people around the country continued to be exact. Finally, the quality of both the individual and the society in which it is found, but is happy with the progress as well.
Keywords: Quality work, PDCA, Morality and Ethics, Knowledge, Experience
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4011
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 2 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4012
2023-01-11T01:26:23Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
บันทึกการเดินทาง “สร้างแรงบันดาลใจ” จากต้นแบบ “ดอยตุง” การพัฒนาที่ยั่งยืนและมีส่วนร่วม
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
Diary for Inspiration from a Model at Doi Tung “The Sustainable Development and Cooperation”
Surasak Laloknam
รับบทความ: 10 ตุลาคม 2555; ยอมรับตีพิมพ์: 8 ธันวาคม 2555
บทคัดย่อ
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีนโยบายให้บุคลากร และนิสิต “สร้างแรงบันดาลใจ” เพื่อส่งเสริมเอกลักษณ์ของสถาบัน คือ การบริการวิชาการอย่างมีส่วนร่วมสู่ชุมชน ดังนั้นจึงได้จัดโครงการสร้างแรงบันดาลใจแก่ผู้ปฏิบัติงานผ่านแนวทางการพัฒนาทางเลือกในการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน ณ โครงการพัฒนาดอยตุง อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับบุคลากรเพื่อนำมาใช้ในการปฏิบัติงาน กิจกรรมในโครงการมีการฟังบรรยายจากวิทยากร มีการเยี่ยมชมในสถานที่จริงๆ ทำให้เห็นความยั่งยืนของโครงการที่มีการบูรณาการวิถีความเป็นอยู่ของชุมชนและการนำความรู้จากการทำวิจัยถ่ายทอดให้กับชุมชนสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างลงตัว ภายใต้หลักการ “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” และ “ประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด” ดังนั้นการเข้าร่วมโครงการนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการสร้างแรงบันดาลใจให้กับทุกคนในการทำงานอย่างมีหลักการดำเนินชีวิต
คำสำคัญ: แรงบันดาลใจ การพัฒนา การมีส่วนร่วม
Abstract
The policy of Srinakharinwirot University gave a staff and students to have an inspiration to promote the identity of university. The identity of Srinakharinwirot University is the academic service with cooperation community. Therefore, the inspiration project was performed to staff through the development of sustainable alternative livelihoods at Doi Tung, Mae Fah Luang district, Chiang Rai. This project hopes to motivate the staff to be used in practical applications. Activity in the project is to listen to lectures from local guest speakers and visit the example site. The project is under the principle of "understanding, cooperation and development” and "save, simply and application”. Also, this project is a good starting point to inspire people to work for a living principle.
Keywords: Inspiration, Development, Cooperation
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4012
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 2 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4013
2023-01-11T01:26:23Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
ศักยภาพของไซยาโนแบคทีเรียในอนาคตประเทศไทย
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
บุญบูรพงษ์, บงกช
ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พญาไท กรุงเทพฯ 10300
Potential of Cyanobacteria in Thailand
Surasak Laloknam and Bongkoj Boonburapong
รับบทความ: 25 กันยายน 2555; ยอมรับตีพิมพ์: 18 พฤศจิกายน 2555
บทคัดย่อ
ไซยาโนแบคทีเรียหรือสาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงินเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดโพรคาริโอต ซึ่งเป็นผู้ผลิตลำดับแรกในระบบนิเวศเนื่องจากสามารถสังเคราะห์ด้วยด้วยแสงได้ ไซยาโนแบคทีเรียพบได้ในสิ่งแวดล้อมที่มีความหลากหลาย ได้แก่ พื้นดินที่มีความชื้น บ่อน้ำ แม่น้ำ และทะเล นอกจากนี้ยังพบเจริญร่วมกับสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ เช่น ปรง และ ไดอะตอม ประเทศไทยมีการ ศึกษาความหลากหลายของไซยาโนแบคทีเรียในที่ที่มีความเค็ม แม่น้ำ และบ่อน้ำพุร้อน พบว่ามีความหลากหลายของไซยาโน-แบคทีเรีย ที่เป็นแบบเส้นสาย และเซลล์เดี่ยว มีการศึกษาวิจัยอย่างแพร่หลายเกี่ยวกับไซยาโนแบคทีเรียและนำไปใช้ประโยชน์ในหลายด้าน ได้แก่ สิ่งแวดล้อม อุตสาหกรรมอาหาร การเกษตร การแพทย์ และพลังงานทดแทน รวมถึงการทำเป็นการท่อง-เที่ยวเชิงเกษตร ด้วยศักยภาพของไซยาโนแบคทีเรียที่มีความสามารถคล้ายพืชชั้นสูง และเจริญเติบโตได้เร็ว จึงมีการศึกษาวิจัยอย่างแพร่หลายเพื่อนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประเทศ
คำสำคัญ: ไซยาโนแบคทีเรีย ความหลากหลาย ประโยชน์ของไซยาโนแบคทีเรีย
Abstract
Cyanobacteria (blue-green algae) are eukaryote, primary producer in ecosystem and photosynthetic organisms. These organisms found in various environments, moisture soils, ponds, rivers and seas as well as symbiosis with other organisms as Cycad and Diatoms. In Thailand, we found cyanobacteria in high saline environment and hot springs. Single cell and filamentous cyanobacteria were found. There are many applications of cyanobacteria such as environment, food industry, agriculture, medicine and renewable energy as well as an agro-tourism. Because of potential function of cyanobacteria like higher plant and growth faster also cyanobacteria were extensively to research for maximum benefit for the country.
Keywords: Cyanobacteria, Diversity, Application of cyanobacteria
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4013
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 2 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4014
2023-01-11T01:26:23Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
ใบแทรกข้อความที่เปลี่ยนแปลง
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
-
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4014
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 2 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4017
2021-06-15T14:00:59Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การคัดกรองไซยาโนแบคทีเรียที่ผลิตเอนไซม์เพอร์ออกซิเดส
คเชนทร์สุวรรณ, ชัยศาสตร์
ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
คงวิทยา, สมบัติ
กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรุงเทพฯ 10400
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
ภาควิชาชีววิทยา และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
A Screening of Cyanobacteria Producing the Peroxidase
Chaiyasad Kachensuwan, Sombat Kongwithtaya, Somkiat Phornphisutthimas and Surasak Laloknam
รับบทความ: 10 พฤศจิกายน 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 25 กุมภาพันธ์ 2555
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการเจริญของไซยาโนแบคทีเรียในภาวะที่มีความเครียดจากเกลือ NaCl และตรวจหาแอคทิวิทีของเอนไซม์เพอร์ออกซิเดสจากไซยาโนแบคทีเรีย 6 ชนิด ได้แก่ Anabeana ambigua Nostoc commune Spilurina sp. Oscillatoria sp. Oscillatoria salina และ Oscillatoria sp. TISTR 8491 ในอาหาร BG11 โดยสกัดตัวอย่างด้วยสารละลายฟอสเฟตบัฟเฟอร์ พีเอช 8.0 และติดตามแอคทิวิทีของเอนไซม์เพอร์ออกซิเดสด้วย 4-amino antipyrine, gallic acid และ ไฮโดรเจน เพอร์ออกไซด์ บ่มที่อุณหภูมิ 30oซ เป็นเวลา 10 นาที พบว่า ไซยาโนแบคทีเรีย Anabeana ambigua Nostoc commune Oscillatoria sp. Oscillatoria salina และ Oscillatoria sp. TISTR 8491 เจริญได้ดีในภาวะที่ไม่มีเกลือ NaCl ส่วน Spilurina sp. เจริญได้ดีในภาวะที่มีเกลือ NaCl เข้มข้น 0.25 โมลาร์ และภาวะทนเค็มของ Anabeana ambigua น้อยกว่า 0.25 โมลาร์ ในขณะที่ Nostoc commune Oscillatoria sp. Oscillatoria salina Oscillatoria sp. TISTR 8491 และ Spilurina sp. น้อยกว่า 0.5 โมลาร์ จากการศึกษาแอคทิวิทีของเพอร์ออกซิเดส พบว่า Anabeana ambigua Nostoc commune Spilurina sp. Oscillatoria sp. Oscillatoria salina และ Oscillatoria sp. TISTR 8491 มีแอคทิวิทีจำเพาะเท่ากับ 32.34 29.75 12.86 10.67 9.60 และ 3.82 ยูนิตต่อมิลลิกรัมโปรตีน ตามลำดับ เพอร์ออกซิเดสทำงานได้ในช่วงพีเอช 4 – 11 และทำงานได้ดีในภาวะที่เป็นเบส ค่าพีเอชเท่ากับ 9.0
คำสำคัญ: การคัดกรอง เพอร์ออกซิเดส ไซยาโนแบคทีเรีย ภาวะความเค็ม
Abstract
This research aimed to study the growth of six cyanobacteria, Anabeana ambigua, Nostoc commune, Spilurina sp., Oscillatoria sp., Oscillatoria salina and Oscillatoria sp. TISTR 8491, on salt stress by increasing of NaCl in BG11 medium, and detect their peroxidase activities. The samples were extracted by phosphate buffer, pH 8.0. The peroxidase activities from extracts were measured using a mixture of 4-aminoantipyrine, gallic acid and hydrogen peroxide, incubated at 30oC for 10 minutes. The result showed that the optimal growth rate of Anabeana ambigua, Nostoc commune, Oscillatoria sp., Oscillatoria salina and Oscillatoria sp. TISTR 8491 under no salanity while Spilurina sp. was 0.25 M NaCl. The salt stress condition on growth of Anabeana ambigua was under 0.25 M NaCl, Nostoc commune, Oscillatoria sp., Oscillatoria salina, Oscillatoria sp. TISTR 8491 and Spilurina sp. was under 0.5 M NaCl. The specific activities of crude extracts from Anabeana ambigua, Nostoc commune, Spilurina sp., Oscillatoria sp., Oscillatoria salina and Oscillatoria sp. TISTR 8491 were 32.34, 29.75, 12.86, 10.67, 9.60 and 3.82 Units/mg protein, respectively. The peroxidase activities were stable at the pH range of 4 – 11, with optimal activities at alkaline condition at pH 9.0.
Keywords: Screening, Peroxidase, Cyanobacteria, Salinity
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4017
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 1 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4018
2021-06-15T14:01:42Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ร่วมกับการเกษตรอินทรีย์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เรื่องระบบนิเวศ และเจตคติต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ไชยตีฆะ, สุกานดา
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34190
เกษรบัว, วิโรจน์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ชีวภาพ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34190
Using the 7-E’s Learning Cycle Integrated with Organic Farming to Develop Students’ Achievement and Science Process Skill in Ecosystem Unit, and Attitudes toward Environmental Conservation for Grade 9 Students
Sukanda Chaiteka and Wirot Kesonbua
รับบทความ: 14 มีนาคม 2555; ยอมรับตีพิมพ์: 22 เมษายน 2555
บทคัดย่อ
การใช้วัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น ร่วมกับการเกษตรอินทรีย์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เรื่องระบบนิเวศ และเจตคติต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนนาน้อย จังหวัดน่าน ภาคเรียนที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2554 จำนวน 39 คน วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยา-ศาสตร์ 2) ศึกษาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และ 3) ศึกษาเจตคติต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ดำเนินการวิจัยโดย 1) วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน 2) ดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้และประเมินทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และ 3) วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมหลังเรียน ผลการวิจัยพบว่า 1) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 76.75 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ (70%) และมีจำนวนนักเรียนผ่านเกณฑ์ร้อยละ 76.92 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ (70%) 2) นักเรียนมีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เฉลี่ยเท่ากับร้อยละ 81.25 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ (70%) และมีจำนวนนักเรียนร้อยละ 100 ได้คะแนนสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ (70%) และ 3) นักเรียนมีเจตคติต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอยู่ในระดับดี โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.95
คำสำคัญ: วัฏจักรการเรียนรู้แบบ 7 ขั้น เกษตรอินทรีย์ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เจตคติต่อการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
Abstract
The 7-E’s learning cycle integrated with organic farming for developing science process skill and students’ achievement in the topic of ecosystem, and attitudes toward environmental conservation was to investigate 39 Grade 9 students from Nanoi School, Nan province, during the first semester of academic year 2011. The purpose of the present research included: 1) developing students’ achievement in science, 2) investigation of science process skill, and 3) studying the students’ attitude toward environmental conservation. Research was operated by 1) measuring students’ achievement before learning, 2) performing learning activities and evaluating science process skill, and 3) measuring students’ achievement and attitude toward the environmental conservation after learning. The results indicated that 1) the post achievement score of students was 76.75%, which was higher than minimum criterion (70%), and 30 students or 76.92% of the group was passing, which are also higher than minimum criterion (70%), 2) students’ score in science process skill are 81.25 %, which are higher than minimum criterion (70%), and 39 students or 100% of the group are passing, which are also higher than minimum criterion (70%), and 3) student demonstrated a good level in attitudes toward the environmental conservation, with 3.95 levels by means.
Keywords: The 7-e’s learning cycle, Organic farming, Learning achievement, Science process skill, Attitudes toward environmental conservation
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4018
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 1 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4019
2021-06-15T13:57:05Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การศึกษาผลของการใช้โปรแกรมสิ่งแวดล้อมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในท้องถิ่นด้วยการจัดค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่น อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่
ศิริโสภณา, สุภาภรณ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
A Study of Environmental Education Programme on Local Lower Secondary Students by Using Saving the Water Youth Camp at Omkoi, Chiang Mai
Supaporn Sirisopana and Surasak Laloknam
รับบทความ: 20 ธันวาคม 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 18 กุมภาพันธ์ 2555
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อศึกษาผลการใช้โปรแกรมสิ่งแวดล้อมศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นในท้องถิ่น โดยการจัดค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่น อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ ชุดกิจกรรมตรวจสอบคุณภาพน้ำเบื้องต้น แบบประเมินโปรแกรมสิ่งแวดล้อมศึกษา “ค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่น” ที่มีรายการประเมิน 5 ด้าน ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจ ความตระหนัก เจตคติ ทักษะ และการมีส่วนร่วม และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรม กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นในท้องถิ่น อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 49 คน พบว่า รายการประเมินหลังการเข้าร่วมสูงกว่าก่อนเข้าร่วม “ค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่น” ทุกรายการประเมิน โดยเรียงตามลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ การมีส่วนร่วม เจตคติ ความตระหนัก ทักษะ และความรู้ความเข้าใจ ตามลำดับ และเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการมีความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่นอยู่ในระดับมากที่สุด
คำสำคัญ: โปรแกรมสิ่งแวดล้อมศึกษา ชุดกิจกรรมตรวจสอบคุณภาพน้ำเบื้องต้น ค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่น
Abstract
This research aimed to study effect of environmental education programme on local lower secondary students’ achievement after cooperation “Saving the water youth camp” at Omkoi, Chiang Mai. This study was performed through 3 instruments were: 1) the activity package water quality test; 2) the students’ achievement worksheet composed of knowledge, awareness, skill, attitude and participation before and after through the camp and 3) The attitude test after joined the camp. The results indicated that “Saving the water youth camp” were enhanced higher students’ achievement after passed the environmental programme. After students through the environmental programme can express higher qualities than before joined the programme, and rank by designed and constructed for local lower secondary students. The qualities of all six units in the activity package by knowledge, awareness, skill, attitude and participation. The attitude test of students was very good.
Keywords: Environmental education programme, Activity package water quality test, Saving the water youth camp
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4019
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 1 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4020
2021-06-15T14:02:33Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
เครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานน้ำขนาดจิ๋วอย่างง่าย: นวัตกรรมสำหรับชนบท
ยูนิ, มูฮำหมัดนูร
คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ยะลา 95000
เจ๊ะเต๊ะ, อิสมาแอล
คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ยะลา 95000
Simple Picohydropower Generator: Innovation for Rural Area
Muhammadnur Yuni, Ismail Cheteh, Romse Mahah, Lutfee Seni and Eleeyah Saniso
รับบทความ: 10 มีนาคม 2555; ยอมรับตีพิมพ์: 30 เมษายน 2555
บทคัดย่อ
พลังงานน้ำผลิตไฟฟ้าขนาดเล็กเป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานทดแทนที่สำคัญ เป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่สามารถประดิษฐ์ได้ง่าย ใช้เงินลงทุนต่ำ ไม่ยุ่งยากในการติดตั้งระบบและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งสามารถปรับปรุงให้มีความเหมาะสมกับการใช้งานสำหรับครัวเรือนในพื้นที่ชนบท โดยเฉพาะพลังงานน้ำผลิตไฟฟ้าขนาดจิ๋ว (กำลังผลิตไม่เกิน 5 กิโลวัตต์) อย่างง่ายที่สามารถประดิษฐ์และติดตั้งได้ในทุกพื้นที่ที่มีลำธารหรือสายน้ำไหลผ่าน การวิจัยนี้จึงได้ประยุกต์ใช้มอเตอร์เครื่องซักผ้าเป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้ากระแสสลับ โดยติดตั้งและทดสอบระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำขนาดจิ๋วอย่างง่ายที่ได้ปรับปรุงขึ้นในพื้นที่จังหวัดยะลา จากการศึกษา พบว่า ระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานน้ำขนาดจิ๋วอย่างง่ายสามารถผลิตไฟฟ้ากระแสสลับ มีกำลังไฟฟ้าอยู่ในช่วง 800-1,000 วัตต์ ที่ระดับความสูงของหัวน้ำเท่ากับ 10-15 เมตร ความเร็วรอบของมอเตอร์ 650-900 รอบต่อนาที ซึ่งกระแสไฟฟ้าที่ผลิตได้ใช้กับหลอดไฟฟ้าขนาด 40-60 วัตต์ โทรทัศน์สีขนาด 85-100 วัตต์ พัดลมไฟฟ้าขนาด 45 วัตต์ และอื่นๆ ประมาณ 100 วัตต์
คำสำคัญ: เครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานน้ำขนาดจิ๋ว มอเตอร์เครื่องซักผ้า นวัตกรรม ชนบท
Abstract
Small-scale hydropower electrical generator plays important role in providing the basic necessity to the off-grid rural area community. The advantages of this type of generator include cost effective, reliability, ease of operation and friendly with the environment. Most small-scale hydropower generator (generally below 5 kW) can be manufactured locally and operated at a wide range of water flow rate. In this study, the AC washing machine motors were modified to be utilized as the electrical generator. The testing site of the setup was located in the province of Yala, Thailand. The results showed that the generator was capable of producing up to 800-1000 W of AC power at the water differential height of 10-15 m and motor rotational rate of 650-900 rpm. The generated power can be used to power household 40-60 W fluorescent lamps, an 85-100 W television, a 45 W electrical fan with approximately 100 W for extra usage.
Keywords: Picohydropower generator, Washing machine motor, Innovation, Rural area
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4020
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 1 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4021
2021-06-15T14:00:46Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
แผ่นฉนวนจากเถ้าไม้ยางพาราเสริมแรงด้วยเส้นใยธรรมชาติ
ดีตรีเพชร, ราฮูนี
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ยะลา 95000
ราแดง, ซุลยาณี
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ยะลา 95000
วานิ, เพ็ญแข
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ยะลา 95000
ดะแซสาเมาะ, อาบีดีน
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ยะลา 95000
Insulation Board from Para Rubber Wood Fly Ash Reinforced by Mineral Fiber
Rahunee Deetriphet, Sulyanee Radeng, Penkae Vani and Abedeen Dasaesamoh
รับบทความ: 10 มีนาคม 2555; ยอมรับตีพิมพ์: 7 พฤษภาคม 2555
บทคัดย่อ
เถ้าไม้ยางพาราเป็นสิ่งเหลือใช้ในกระบวนการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานชีวมวล มีน้ำหนักเบา มีสมบัติทางความร้อนที่ดี งานวิจัยนี้ศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้เถ้าไม้ยางพาราผสมกับเส้นใยธรรมชาติเป็นตัวเสริมแรงเพื่อใช้เป็นฉนวน โดยใช้กาวแดงเป็นตัวเชื่อมประสาน ทดสอบสมบัติทางกายภาพ สมบัติทางกล ตามมาตรฐาน JIS A 5908-1994 ทดสอบการดูดซับเสียง และการนำความร้อนตามมาตรฐานทดสอบ ASTM C 384-03 พบว่า เส้นใยธรรมชาติทำให้ค่าความหนาแน่นและการพองตัวทางความหนาลดลง แต่อัตราการดูดซึมน้ำมีค่าเพิ่มขึ้น และมีสมบัติทางกลดีขึ้น สำหรับสมบัติด้านฉนวน พบว่า เส้นใยธรรมชาติทำให้ฉนวนจากเถ้าไม้ยางพารามีค่าการนำความร้อนลดลง แต่มีผลให้สมบัติในการดูดซับเสียงมีค่าดีขึ้น มีประสิทธิภาพในการดูดซับเสียงปานกลาง ดูดซับเสียงดีที่ความถี่ 2 kHz จัดเป็นวัสดุดูดซับเสียงประเภทรูพรุน (porous dissipative absorber) จากการวิจัยสรุปได้ว่า ฉนวนจากเถ้าไม้ยางพาราที่มีการเสริมแรงด้วยเส้นใยธรรมชาติ มีความเหมาะในการใช้งานเป็นฉนวนทางเสียงในย่านความถี่เสียงสูง
คำสำคัญ: เถ้าไม้ยางพารา เส้นใยธรรมชาติ แผ่นฉนวน
Abstract
Para rubber wood fly ash (PWFA), a by-product in the biomass power plant, is light weight with good thermal properties. This study aimed to examine the feasibility of using PWFA mixed with natural fibers as reinforcement for insulation board. Physical properties, mechanical properties, sound absorption coefficient, and thermal conductivity were tested according to JIS A 5908-1994 and ASTM C 384-03 standards. The results showed that density and thickness swelling were decreased while the rate of water absorption was increased. It had better mechanical properties. For insulating properties, thermal conductivity values were decreased; however, the sound absorption property was improved. Insulation board is porous dissipative absorber or medium effective in absorbing and high absorption at a frequency of 2 kHz. It can be concluded that mineral fiber-reinforced PWFA insulating board is recommended to apply for sound insulating materials.
Keywords: Para-Rubber Wood Fly Ash, Natural Fiber, Insulating Board
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4021
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 1 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4022
2021-06-15T14:03:41Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การประกันคุณภาพการศึกษาต่อการพัฒนากิจกรรมนิสิตคณะวิทยาศาสตร์
สารทสมัย, ชลรดา
สำนักงานคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คลองเตยเหนือ วัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
เสืองาม, กิตติธัช
ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คลองเตยเหนือ วัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ และภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คลองเตยเหนือ วัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
Educational Quality Assessment through Student Developing Activities at Faculty of Science, Srinakharinwirot University
Chonrada Sartsamai, Kittithat Suea-ngam and Surasak Laloknam
รับบทความ: 2 เมษายน 2555; ยอมรับตีพิมพ์: 14 พฤษภาคม 2555
บทคัดย่อ
ในปัจจุบันการประกันคุณภาพการศึกษามีการประเมินจากสองหน่วยงานหลักคือ (1) สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) (สมศ.) และ (2) สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) ทั้งสองหน่วยงานมีการตรวจสอบให้สถาบันอุดมศึกษามีแนวปฏิบัติในการกำกับและพัฒนาคุณภาพการจัดการการศึกษาที่ชัดเจนสอดคล้องกับกรอบแผนพัฒนาอุดมศึกษาระยะยาว นำไปสู่การสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพสามารถตอบสนองสังคมและประเทศชาติตามเป้าหมายของแต่ละกลุ่มสถาบัน ผลผลิตที่สำคัญของสถาบันคือนิสิตหรือนักศึกษา นอกจากจะมุ่งเน้นให้นิสิตมีความรู้ทางด้านวิชาการแล้ว ต้องส่งเสริมกิจกรรมพัฒนานักศึกษาให้สอดคล้องและมีการบูรณาการกิจกรรมให้เข้ากับการเรียนการสอนและการทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรม องค์ประกอบที่ 3 กิจกรรมพัฒนานักศึกษาของ สกอ. มุ่งเน้นกิจกรรม 5 ด้าน ได้แก่ กิจกรรมวิชาการที่ส่งเสริมคุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์ กิจกรรมกีฬาหรือการส่งเสริมสุขภาพ กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์หรือรักษาสิ่งแวดล้อม กิจกรรมเสริมสร้างคุณธรรมและจริยธรรม และกิจกรรมส่งเสริมศิลปะและวัฒนธรรม นอกจากนี้คณะวิทยาศาสตร์ได้มีการกำหนดเอกลักษณ์ของคณะวิทยาศาสตร์ คือ บริการวิชาการสู่ชุมชนอย่างมีส่วนร่วม จึงทำให้กิจกรรมพัฒนานิสิตเน้นด้านบริการวิชาการ คณะวิทยาศาสตร์ได้กำหนดอัตลักษณ์นิสิตที่สอดคล้องกับมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ คือ มีทักษะการสื่อสาร เป็นรากฐานของครูวิทยาศาสตร์/คณิตศาสตร์ และนักวิทยาศาสตร์/คณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์กำหนดพฤติกรรมอันพึงประสงค์ด้านคุณธรรมและจริยธรรมของนิสิตคณะวิทยาศาสตร์ เป็นอัตลักษณ์นิสิต 9 ประการ จากการถ่ายทอดสิ่งต่าง ๆ จากมหาวิทยาลัย สู่ระดับคณะ ภาควิชา และตัวนิสิต ทำให้กิจกรรมพัฒนานิสิตของคณะวิทยาศาสตร์ ประจำปีการศึกษา 2554 เป็นไปตามหลักประกันคุณภาพการศึกษาทุกตัวชี้วัด ทั้งนี้ความสำเร็จเกิดจากการทำงานและการประสานงานของนิสิตกับคณะวิทยาศาสตร์ผ่านสโมสรนิสิต และฝ่ายกิจการนิสิตคณะวิทยาศาสตร์ มีการฝึกอบรมและถ่ายทอดความรู้ด้านประกันคุณภาพการศึกษาให้นิสิตสามารถเขียนและดำเนินโครงการตามหลัก PDCA ดังนั้นจึงทำให้ทุกโครงการที่นิสิตดำเนินการและคณะดำเนินการจึงมีการจัดการอย่างมีระบบและกลไกทำให้งานด้านพัฒนากิจกรรมนิสิตส่งเสริมให้คุณภาพการศึกษาของคณะวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับดี
คำสำคัญ: การประกันคุณภาพการศึกษา กิจกรรมพัฒนานิสิต อัตลักษณ์นิสิต เอกลักษณ์
Abstract
At present, educational quality assessment is evaluated by two agencies: (1) Office for National education standards and Quality Assessment. (Public Organization) (ONESQA), and (2) Office of the Higher Education Commission (OHEC). Both agencies have the same purpose to the institution's guidelines for the management and development of quality education that is consistent with the long-term development plan for higher education. The output of quality assessment is the good-quality students. Besides the academic knowledge, students will be encouraged to develop a coherent and integrated into the teaching and learning activities. The activities has focused on five areas: academic activities to promote desired qualities, activities to promote sport and health promotion, activities for environmental benefit, moral and ethic activities, and activities for promoting arts and culture. In addition, the Faculty of Science, Srinakharinwirot University has established a unique service to the academic community participation. The activities have focused on the students’ activities of academic services. The students’ personality in accordance with the “communication skills”, which is a foundation of science/mathematics teachers as well as scientists/mathematicians, has been established. The Faculty of Science has set nine students’ desired quality in moral and ethical aspects transferred from the university, faculty, department and students, respectively. The student developing activities in academic year 2011 has also performed as all KPI of educational quality assessment. The Student Affairs and Science Youth Club of the Faculty of Science has provided the training courses in the educational quality assessment to assist students and perform how to write the activity projects using PDCA cycle. All students’ activity projects of Student Youth Club showed the systematic performance following the educational quality assessment. The Quality of students’ developing system and mechanism of the Faculty of Science was assessed at good level.
Keywords: Educational quality assessment, Student developing activities, Personality, Identity
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4022
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 1 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4023
2021-06-15T14:00:12Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
แคลโมดูลินในกุ้งกุลาดำ
วงศ์ปัญญา, ราตรี
ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรุงเทพฯ 10900
Calmodulin in the Black Tiger Shrimp, Penaeus monodon
Ratree Wongpanya
รับบทความ: 15 พฤศจิกายน 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 15 มีนาคม 2555
บทคัดย่อ
แคลโมดูลินเป็นโปรตีนขนาดเล็กที่พบได้ในยูคาริโอตทั่วไป มีบริเวณที่สามารถจับกับแคลเซียมและโปรตีนอื่นๆ ได้ โดยแคลโมดูลินมีบทบาทสำคัญในกระบวนการต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต เช่น ทำหน้าที่เป็นตัวส่งสัญญาณ เกี่ยวข้องกับกระบวนการเผาผลาญ กระบวนการยืดหดตัวของกล้ามเนื้อ รวมถึงกระบวนการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันด้วย ในกุ้งกุลาดำพบว่าโปรตีนแคลโมดูลินมีขนาด 17 กิโลดาลตัน ประกอบด้วยกรดอะมิโน 149 ตัว โดยลำดับกรดอะมิโนของแคลโมดูลินในกุ้งกุลาดำมีความอนุรักษ์กับแคลโมดูลินในสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆ จึงอาจกล่าวได้ว่าโปรตีนแคลโมดูลินอาจทำหน้าที่คล้ายกันในสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิด จากการศึกษาการแสดงออกของยีนแคลโมดูลินในเลือดของกุ้งกุลาดำที่ติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียพบว่ามีค่ามากกว่าในกุ้งปกติ ดังนั้นแคลโมดูลินจึงอาจเกี่ยวข้องกับการส่งสัญญาณภายในเซลล์เพื่อให้มีการตอบสนองต่อการติดเชื้อดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องมีการศึกษาบทบาทและหน้าที่ของโปรตีนแคลโมดูลินต่อไป รวมถึงศึกษาโปรตีนที่สามารถจับกับแคลโมดูลินซึ่งอาจเกี่ยวข้องและเป็นข้อมูลสำคัญที่ทำให้ความเข้าใจในระบบภูมิคุ้มกันของกุ้งกุลาดำสมบูรณ์ขึ้น ความรู้ที่ได้อาจนำไปพัฒนาและส่งเสริมให้อุตสาหกรรมการผลิตกุ้งกุลาดำมีความยั่งยืนต่อไป
คำสำคัญ: แคลโมดูลิน กุ้งกุลาดำ ระบบภูมิคุ้มกัน ระบบโปรฟีนอลออกซิเดส
Abstract
Calmodulin (CaM) is a small Ca2+-binding protein that found in a wide variety of eukaryotes. It is involved in binding several cellular proteins and regulating many biological activities and processes such as signal transduction, metabolism, muscle contraction and immune response. In the black tiger shrimp, Penaeus monodon, a molecular mass of the CaM is about 17 kDa containing 149 amino acids. It was found that expression of CaM gene in hemocyte of an infected shrimp was higher than that of normal shrimp. This finding indicated that CaM maybe involved in cell signaling in shrimp defense mechanism. However, functional analysis of the calmodulin including calmodulin-binding proteins still needs to be elucidated for further understanding of the shrimp immune system. Knowledge of immune response mechanism might be useful for sustainable development in the shrimp industry.
Keywords: Calmodulin, The black tiger shrimp, Immunity, Prophenoloxidase syste
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4023
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 1 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4024
2021-06-15T14:06:21Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
น้ำหมักชีวภาพกับงานด้านการเกษตร
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
ภาควิชาชีววิทยา และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เขตวัฒนา กรุงเทพฯ 10110
Fermented Bio-extracts and Agricultures
Somkiat Phornphisutthimas
รับบทความ: 5 มกราคม 2555; ยอมรับตีพิมพ์: 12 มีนาคม 2555
บทคัดย่อ
น้ำหมักชีวภาพเป็นสารละลายหรือของผสมภูมิปัญญาท้องถิ่นที่เกิดจากการหมักเศษสิ่งมีชีวิตกับสารให้ความหวาน ซึ่งโดยทั่วไปใช้ของเหลวข้นสีน้ำตาลเข้มที่ได้จากโรงงานน้ำตาลหรือกากน้ำตาลเป็นสารให้ความหวาน กระบวนการผลิตน้ำหมักชีวภาพอาจทำได้ทั้งแบบให้อากาศมากและแบบให้อากาศน้อยทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการนำสารเมทาบอไลต์ทุติยภูมิที่เกิดขึ้นในน้ำหมักชีวภาพไปใช้ น้ำหมักชีวภาพนำมาใช้ในการเกษตรเพื่อลดการใช้สารเคมีต่าง ๆ ที่ใช้เร่งการเจริญเติบโตของพืชและการควบคุมศัตรูพืช ซึ่งสารเหล่านี้เป็นอันตรายต่อเกษตรกร สิ่งแวดล้อม และผู้บริโภค
คำสำคัญ: การบวนการหมัก การเกษตร การควบคุมโดยชีววิธี น้ำหมักชีวภาพ ศัตรูพืช
Abstract
Fermented bio-extract, a local wisdom, is a solution or mixture of organic residues and sweetener. In general, the dark brown paste from sugar industry or molasses is the sweetener. Its fermentation process is both aerobic and semi-anaerobic depended on the purpose of secondary metabolite uses. The advantage of using fermented bio-extracts is to reduce various chemicals for plant growth promoters and pest controls. These chemicals are harmful for farmers, environment and consumers.
Keywords: Fermentation process, Agriculture, Biological control, Fermented bio-extract, Pest
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4024
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 1 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4025
2021-06-15T14:11:08Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
ยีสต์โพรไบโอติก
ชาญชัยเชาว์วิวัฒน์, อรุณ
สาขาวิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ 10600
Yeast Probiotic
Arun Chanchaichaovivat
รับบทความ: 16 พฤศจิกายน 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 24 กุมภาพันธ์ 2555
บทคัดย่อ
โพรไบโอติก หมายถึง จุลินทรีย์ที่มีชีวิตเมื่อเข้าสู่ทางเดินอาหารของมนุษย์หรือสัตว์จะมีผลป้องกันหรือรักษาโรคติดเชื้อในระบบทางเดินอาหาร รวมทั้งส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์และสัตว์ โพรไบโอติกที่มีประสิทธิภาพควรมีสมบัติทนต่อสภาวะในทางเดินอาหารของผู้ให้อาศัย โดยไม่ถูกทำลายไป ยีสต์ที่ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นโพรไบโอติกที่ดีและผลิตเป็นการค้า คือ Saccharomyces boulardii ยีสต์ชนิดนี้ใช้ในการรักษาโรคท้องร่วงและความผิดปกติของระบบทางเดินอาหารของผู้ป่วยที่รับประทานยาปฏิชีวนะ การนำยีสต์มาผลิตเป็นอาหารโพรไบโอติมีข้อดีกว่าแบคทีเรียกลุ่มแลคทิก คือ ยีสต์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมที่มีค่าความเป็นกรด-เบสได้หลายช่วง ทนต่อเอนไซม์ น้ำดีในทางเดินอาหาร และทนต่ออุณภูมิในร่างกายของผู้ให้อาศัย นอกจากนี้ยีสต์ไม่ทำให้เกิดการถ่ายทอดยีนดื้อยาปฏิชีวนะเข้าสู่แบคทีเรียก่อโรค การใช้ยีสต์โพรไบโอติกจึงปลอดภัยสำหรับผู้ป่วยที่อยู่ในระหว่างการได้รับยาปฏิชีวนะ กลไกการต่อต้านของยีสต์โพรไบโอติกต่อแบคทีเรียก่อโรคในทางเดินอาหารแบ่งได้เป็น 2 แบบ คือ การถอนพิษจากแบคทีเรีย และการเปลี่ยนแปลงการรับสัญญาณของเซลล์ผู้ให้อาศัย
คำสำคัญ: ยีสต์โพรไบโอติก ยีนดื้อยาปฏิชีวนะ ระบบทางเดินอาหาร ระบบภูมิคุ้มกัน Saccharomyces boulardii
Abstract
Probiotics are viable microorganisms caused beneficial effect when they enter to human or animal guts by prevention and treatment of enteric pathogens. Moreover, they can activate local mucosal protective mechanisms and modulate the immune system. Effective probiotics should tolerate and survive in gut conditions. Saccharomyces boulardii is commercial yeast probiotic that has been proven effective. This yeast has been accepted as therapeutic agent for preventing diarrhea and other GI disorders caused by the administration of antimicrobial agents. Using yeast as probiotic has better functions than those lactic bacteria, which it can grow in various pH and it tolerates to GI enzymes, bile salts, and temperature of host. In addition, no transferring of antibiotic resistant gene occurs between bacteria and yeast making yeast safe for use during antibiotic treatment. Yeast probiotic represent inhibitory effects against enteropathogenic bacteria by two mechanisms: (i) production of factors neutralized bacterial toxins and (ii) modulation of the host cell signaling pathway of proinflammatory response during bacterial infection.
Keywords: Yeast probiotics, Antibiotic resistant gene, Gut, Immune system, Saccharomyces boulardii
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4025
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 1 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4026
2021-06-15T15:02:09Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
ศิลปะและวัฒนธรรมบูรณาการกับคณะวิทยาศาสตร์อย่างไร
ภูตะมี, เกียรติศักดิ์
สำนักงานคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
พาลุน, สัญญา
สำนักงานคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
สารทสมัย, ชลรดา
สำนักงานคณบดีคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
ภาควิชาชีววิทยา และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
How to Integrate Art and Culture into Science
Kiattisak Phutamee, Sanya Palun, Chonrada Sartsamai, Somkiat Phornphisutthimas and Surasak Laloknam
รับบทความ: 10 เมษายน 2555; ยอมรับตีพิมพ์: 18 พฤษภาคม 2555
บทคัดย่อ
ศิลปะและวัฒนธรรมมีผลต่อการดำเนินชีวิตของกลุ่มสังคมที่ชี้ให้เห็นวิถีการดำเนินชีวิตและความดีงามของสังคม โดยงานด้านศิลปะและวัฒนธรรมเป็นภาระงานหลักของบุคลากรในมหาวิทยาลัย และเป็นองค์ประกอบหลักของงานประกันคุณภาพการศึกษาของการศึกษาระดับอุดมศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ได้จัดการด้านทำนุบำรุงศิลปะและวัฒนธรรมตามหลักประกันคุณภาพการศึกษาที่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของบุคลากรและนิสิตคณะวิทยาศาสตร์ โดยมีการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับศิลปะและวัฒนธรรมที่สามารถบูรณาการเข้ากับการเรียนการสอน โดยบุคลากรและนิสิตทั้งคณะวิทยาศาสตร์มีส่วนร่วมในกิจกรรมบูรณาการนี้
คำสำคัญ: ศิลปะและวัฒนธรรม การประกันคุณภาพการศึกษา บูรณาการ
Abstract
Art and culture affects the daily life and reflects to the lifestyle and social morality. It is a main part of staff workload in the university, and a major component of educational quality assessment of the university. The Faculty of Science has the activities in art and culture following the quality assessment system and concerning about students and staffs’ life qualities. The art and culture activities of our faculty are integrated into the teaching and learning by both staffs and students’ participation.
Keywords: Art and culture, Quality assessment, Integration
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4026
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 3 No. 1 (2555): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4027
2021-07-08T11:41:58Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การติดตามแอคทิวิทีของเอนไซม์บางชนิดในกระบวนการทำน้ำหมักชีวภาพ
วงศ์เศวตศิลา, ชัยวัฒน์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
มีแก้ว, วิชิตพล
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
เสริมมติวงศ์, เฉลิมพร
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
ขันธปราบ, ณัฐพล
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
ตุงคนาคร, สุชาดา
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
แสนใจอิ, ภูตะวัน
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
ศิริโสภณา, สุภาภรณ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
ภาควิชาชีววิทยา และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
Detection of Some Enzyme Activities in Bio-Fermented Extracts
Chaiwat Wongsawetsila, Wichitpol Meekaew, Chalermporn Sermmatiwong, Nattapol Kantapab, Suchada Toonkanakorn, Putawan Saenjai-i, Supaporn Sirisopana, Somkiat Phornphisutthimas and Surasak Laloknam
รับบทความ: 10 พฤษภาคม 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 13 กรกฎาคม 2554
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามกิจกรรมของเอนไซม์ในกระบวนการทำน้ำหมักชีวภาพ โดยใช้สูตรน้ำหมักจำนวน 4 สูตร ซึ่งมีอัตราส่วนดังนี้ สูตร F1 (ข้าวสุก : กากน้ำตาล = 3:1) F2 (ผัก : กากน้ำตาล = 3:1) F3 (เนื้อหมู : กากน้ำตาล = 3:1) และ F4 (ข้าวสุก : ผัก : เนื้อหมู : กากน้ำตาล = 3:3:3:1) โดยติดตามกิจกรรมของเอนไซม์อะไมเลส เซลลูเลส โพรทิเอส และไลเปส ทุก ๆ วัน เป็นระยะเวลา 3 เดือน พบว่า สูตรอาหารทุกสูตรให้กิจกรรมเอนไซม์ทุกชนิดตั้งแต่วันแรกของการทำน้ำหมักชีวภาพ โดยสูตร F1 ให้กิจกรรมเอนไซม์อะไมเลสสูงสุดในวันที่ 3 รองลงมาคือ เซลลูเลส โพรทิเอส และไลเปส ตามลำดับ สูตร F2 ให้กิจกรรมเอนไซม์เซลลูเลสสูงสุดในวันที่ 3 ตาม รองลงมาคือ อะไมเลส โพรทิเอส และไลเปส ตามลำดับ สูตร F3 ให้กิจกรรมเอนไซม์โพรทิเอสสูงสุดในวันที่ 3 รองลงมาคือ ไลเปส เซลลูเลส และอะไมเลส ตามลำดับ สูตร F4 ให้กิจกรรมเอนไซม์ไลเปสสูงสุดในวันที่ 3 รองลงมาคือ โพรทิเอส อะไมเลส และเซลลูเลส ตามลำดับ เมื่อเวลาผ่านไป 1 เดือน ไม่พบกิจกรรมของเอนไซม์ทุกชนิด จากการติดตามปริมาณแบคทีเรียทั้งหมดในน้ำหมักสูตรต่าง ๆ ทุกสัปดาห์เป็นระยะเวลา 3 เดือน พบว่า น้ำหมักชีวภาพทุกสูตรอาหารมีจำนวนแบคทีเรียสูงสุดในสัปดาห์ที่ 2 โดยมีปริมาณประมาณ 104–1010 cfu/mL จำนวนแบคทีเรียคงที่ประมาณ 6 สัปดาห์และลดลงเป็นครึ่งหนึ่งที่สัปดาห์ที่ 10 จากการศึกษานี้อธิบายได้ว่า ในกระบวนการทำน้ำหมักชีวภาพพบกิจกรรมของเอนไซม์ อะไมเลส เซลลูเลส โพรทิเอส และไลเปส ซึ่งอาจมาจากสารเมแทบอไลต์ทุติยภูมิของจุลินทรีย์ที่สร้างออกมาในระหว่างการหมัก
คำสำคัญ: อะไมเลส เซลลูเลส โพรทิเอส ไลเปส น้ำหมักชีวภาพ
Abstract
This research aimed to detect the enzyme activity during fermentation process of four bio-extracts, which were different ingredient ratios as follows: F1 (cooked rice: molasses = 3:1), F2 (vegetables: molasses = 3:1), F3 (pork: molasses = 3:1), and F4 (cooked rice: vegetables: pork: molasses = 3:3:3:1). The activities of amylase, cellulase, protease and lipase were investigated and analysed each day for three months. The result showed that all enzyme activities were found in all fermented bio-extracts at first-day fermentation. After 3-day fermentation, the F1 gave the highest amylase activity following cellulase, protease and lipase activities, respectively; the F2 gave the highest cellulase activity following amylase, protease and lipase activities, respectively; the F3 gave the highest protease activity following lipase, cellulase and amylase activities, respectively; the F4 gave the highest lipase activity following protease, amylase and cellulase activities, respectively. All enzyme activities were not determined after 1-month fermentation. In addition, the total bacterial amounts in all fermented bio-extracts were investigated each week for 3 months. All fermented bio-extracts had the largest number of bacteria in a range of 104–1010 cfu/mL after 2-week fermentation. The bacterial amounts were not changed at 6-week fermentation, and then reduced to a half after 10 weeks. The results revealed that the amylase, cellulase, protease and lipase activities found in all fermentation process may be the secondary metabolites produced from bacteria during the fermentation process.
Keywords: Amylase, Cellulase, Protease, Lipase, Bio-extract
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4027
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 2 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4028
2021-07-08T11:47:23Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การตรวจหาแอคทิวิทีของเอนไซม์เพอร์ออกซิเดสในผลเงาะ
คงวิทยา, สมบัติ
กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรุงเทพฯ 10400
อรกุล, อริสรา
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
ช่อชู, เบญจวรรณ
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
คเชนทร์สุวรรณ, ชัยศาสตร์
ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
ภาควิชาชีววิทยา และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
Detection of Peroxidase from Rambutan Fruit
Sombat Kongwithtaya, Arisara Orakul, Benjawan Chochu,Panita Wongcom, Chaiyasad Kachensuwan, Somkiat Phornphisutthimas and Surasak Laloknam
รับบทความ: 12 มีนาคม 2553; ยอมรับตีพิมพ์: 12 พฤษภาคม 2553
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจหาแหล่งที่ให้เอนไซม์เพอร์ออกซิเดสในผลเงาะ ได้แก่ เปลือก เนื้อ และเมล็ด โดยการนำตัวอย่างสกัดเอนไซม์โดยใช้สารละลายบัฟเฟอร์ฟอสเฟต พีเอช 7.0 และติดตามแอคทิวิตีของเอนไซม์เพอร์ออกซิเดสด้วย 4-อะมิโนแอนทิไพรีน ฟีนอล และไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ ทำการบ่มที่อุณหภูมิ 30oซ เป็นเวลา 10 นาที พบว่า ทุกส่วนของผลเงาะมีแอคทิวิทีของเพอร์ออกซิเดส สารสกัดหยาบจากเมล็ดให้แอคทิวิทีของเพอร์ออกซิเดสสูงสุดเท่ากับ 234.52 ยูนิตต่อมิลลิกรัมโปรตีน ตามด้วยส่วนของเปลือกและเนื้อ ให้แอคทิวิทีของเพอร์ออกซิเดสสูงสุดเท่ากับ 206.37 และ 148.26 ยูนิตต่อมิลลิกรัมโปรตีนตามลำดับ จากนั้นนำสารสกัดหยาบจากเงาะทั้ง 3 ส่วน หาค่าความเป็นกรด-เบสและอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเร่งปฏิกิริยาของเพอร์ออกซิเดส พบว่า พีเอชและอุณหภูมิที่เหมาะสมของส่วนเมล็ด เท่ากับ 8.5 และ 45oซ ส่วนเนื้อ เท่ากับ 8.5 และ 45oซ และส่วนเปลือก 5.5 และ 45oซ ตามลำดับ จากผลการศึกษาอธิบายได้ว่าทุกส่วนของเงาะมีแอคทิวิทีของเพอร์ออกซิเดสและมีสมบัติแตกต่างกัน
คำสำคัญ: เพอร์ออกซิเดส เงาะ อุณหภูมิ และพีเอชเหมาะสม
Abstract
This research aimed to detect the peroxidase sources from rambutan fruit part, peel, white edible flesh, and seed. The samples were extracted by using phosphate buffer, pH. 7.0. The extracts were measured the peroxidase activity using a mixture of 4-aminoantipyrine, phenol and hydrogen peroxide and incubated at 30oC for 10 minutes. The result showed that all crude extracts from rambutan fruit had the peroxidase activity. The seed crude extract showed the highest peroxidase activity, 234.52 units/mg protein. The white edible flesh and peel crude extracts had peroxidase activity as 206.37 and 148.26 units/mg protein, respectively. The optimum temperature and pH of all crude extracts were also determined. The optimum pH and temperature of peroxidase of crude extracts from seed were 8.5 and 45oC, from white edible flesh were 8.5 and 45oC, and from peel were 8.5 and 45oC, respectively. These results suggested that all parts of rambutant fruit had peroxidase activity, but the kinds of peroxidase are different.
Keywords: Peroxidase, Rambutan, Optimum temperature, Optimum pH
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4028
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 2 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4029
2021-07-08T11:51:34Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การพัฒนาการเรียนการสอนวิชาชีวสถิติในระดับปริญญาตรีด้วยการสอนแบบสร้างความรู้ด้วยตนเอง
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
ภาควิชาชีววิทยา และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
Development of Learning Undergraduate-Level Biostatistics Using Constructivism
Somkiat Phornphisutthimas
รับบทความ: 3 ตุลาคม 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 2 ธันวาคม 2554
บทคัดย่อ
ชีวสถิติเป็นวิชาที่มีเนื้อหาค่อนข้างยากและต้องใช้เนื้อหาการทดลองที่เกี่ยวข้องมาประกอบ งานวิจัยนี้มีจุดประสงค์เพื่อปรับปรุงการจัดการเรียนการสอนรายวิชาชีวสถิติโดยเพิ่มแบบฝึกปฏิบัติที่ใกล้เคียงกับสาขาวิชาที่ผู้เรียนมาลงทะเบียน ให้ผู้เรียนได้ร่วมกิจกรรมทั้งในและนอกห้องเรียน และสอนแบบให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเอง ผลการศึกษา พบว่า ผู้เรียนที่ลงทะเบียนเรียนในปีการศึกษา 2553 จำนวน 46 คน มีคะแนนสอบก่อนเรียนโดยเฉลี่ยเท่ากับ 2.96 ± 1.57 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) และมีค่าเฉลี่ยของความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มขึ้นในการวัดผล 3 ครั้ง เท่ากับ 0.25 ± 0.24, 0.37 ± 0.23 และ 0.51± 0.36 ตามลำดับ ส่วนในปีการศึกษา 2554 ผู้เรียนที่ลงทะเบียน จำนวน 65 คน มีคะแนนสอบก่อนเรียนโดยเฉลี่ยเท่ากับ 2.10 ± 0.87 คะแนน (จากคะแนนเต็ม 10 คะแนน) และมีค่าเฉลี่ยของความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มขึ้นในการวัดผล 3 ครั้ง เท่ากับ 0.35 ± 0.24, 0.55 ± 0.23 และ 0.63 ± 0.20 ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบความก้าวหน้าทางการเรียนของผู้เรียนทั้ง 2 ปีการ ศึกษา พบว่า ผู้เรียนในปีการศึกษา 2554 ซึ่งอยู่ในชั้นปีที่ 3 มีความก้าวหน้าทางการเรียนสูงกว่าผู้เรียนในปีการศึกษา 2553 ซึ่งอยู่ในชั้นปีที่ 2 (p < .05) และจำนวนผู้เรียนที่มีผลการเรียนในระดับต่ำน้อยลงและมีผู้เรียนถอนรายวิชาน้อยกว่าในปีการศึกษา 2550–2552 โดยผู้เรียนถอนรายวิชานี้มีสาเหตุมาจากประสบอุบัติเหตุและไม่เข้าเรียน สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้รายวิชาชีวสถิติโดยการจัดการเรียนรู้แบบให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองช่วยให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหารายวิชาชีวสถิติมากขึ้น
คำสำคัญ: ชีวสถิติ รูปแบบการเรียนรู้โดยสร้างความรู้ด้วยตนเอง วิทยาศาสตร์ชีวภาพ ระดับปริญญาตรี
Abstract
Biostatistics is a high difficult subject including the practicals. This research aimed to improve the learning and teaching management by increasing practices containing the contents corresponding to the field of registered learners’ studies, giving learners’ chances to participate both in and out of class, and teaching learners using constructivist learning model. The results showed that forty-six learners registered in academic year 2010 had the average pretest score of 2.96 ± 1.57 (of 10 in toto). The learners’ average gain progressions of three-times evaluation were orderly increased by 0.25 ± 0.24, 0.37 ± 0.23 and 0.51± 0.36. In the academic year 2011, sixty-five learners had the average pretest score of 2.10 ± 0.87 (of 10 in toto). The learners’ average gain progressions of evaluated three-times evaluation were orderly increased by 0.35 ± 0.24, 0.55 ± 0.23, and 0.63 ± 0.20. When comparing gain progressions between both years, the third-year learners registered in academic year 2011 had higher gain progressions than the second-year learners registered in academic year 2010 (p < .05). The numbers of learners who had the low-level achievement were decreased; moreover, the numbers of learners who had withdrawn this subject were less than those in academic year 2007–2009. The learners who had withdrawn in academic year 2010–2011 were an accidental case and not in attendance. In conclusion, the management of learning biostatistics using the constructivist learning model can assist learners to increase understanding of the biostatistics contents.
Keywords: Biostatistics, Constructivist learning model, Biological science, Undergraduate level
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4029
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 2 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4030
2021-07-08T11:55:52Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
การสร้างกับดักลูกน้ำยุงโดยใช้ขวดน้ำพลาสติก
สุพรรณท้าว, อดิชัย
โรงเรียนสายน้ำทิพย์ คลองตัน คลองเตย กรุงเทพฯ 10110
แสงทอง, พงษ์ตะวัน
โรงเรียนแม่สะเรียง “บริพัตรศึกษา” บ้านกาศ แม่สะเรียง แม่ฮ่องสอน 58110
พนารินทร์, ฐาปกรณ์
โรงเรียนสายน้ำทิพย์ คลองตัน คลองเตย กรุงเทพฯ 10110
นวลเทพ, และณัฐวุฒิ
โรงเรียนสายน้ำทิพย์ คลองตัน คลองเตย กรุงเทพฯ 10110
Construction of Mosquito Larva Trap by Using Plastic Bottles
Adichai Supantao, Pongtawan Sangtong, Tapakorn Panarin and Nattawoot Nualtep
รับบทความ: 15 ตุลาคม 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 6 พฤศจิกายน 2554
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้เป็นการศึกษาผลของสีต่อการดึงดูดลูกน้ำยุงเพื่อใช้เป็นองค์ประกอบสำหรับพัฒนารูปแบบกับดักลูกน้ำยุงให้สามารถจับลูกน้ำยุงได้มากที่สุด โดยใช้ฉากสี 9 สี ได้แก่ สีเหลือง สีเขียว สีชมพู สีฟ้า สีแดง สีน้ำเงิน สีเทา สีดำ และสีขาว ผลการทดลอง พบว่า ลูกน้ำยุงเคลื่อนที่เข้าหาฉากสีดำมากที่สุด รองลงมาคือสีน้ำเงิน จากนั้นออกแบบกับดักลูกน้ำยุงที่สร้างขึ้นจากขวดน้ำพลาสติกเป็น 3 แบบ ได้แก่ แบบที่ 1 ทำจากขวดพลาสติก 1 ขวด มีช่องทางเข้าของลูกน้ำยุง 8 ช่องทางและดักจับลูกน้ำยุงในลักษณะการวางในแนวนอน แบบที่ 2 ทำจากขวดพลาสติก 1 ขวด มีช่องทางเข้าของลูกน้ำยุง 5 ช่องทางและดักจับในแนวตั้ง แบบที่ 3 ทำจากขวดพลาสติก 2 ขวด มีช่องทางเข้าของลูกน้ำยุง 5 ช่องทาง และดักจับในแนวตั้ง นำกับดักลูกน้ำยุงทั้ง 3 แบบไปดักจับลูกน้ำยุงจำนวน 50 ตัว ในภาชนะใสทรงสี่เหลี่ยมที่มีความกว้าง × ความยาว × ความสูง เป็น 25 × 50 × 38 เซนติเมตร บรรจุน้ำปริมาตร 23,750 ลูกบาศก์เซนติเมตร ตั้งไว้ 24 ชั่วโมง พบว่า กับดักลูกน้ำยุงแบบที่ 1 2 และ 3 ดักลูกน้ำยุงได้เฉลี่ยร้อยละ 36.0 28.0 และ 22.0 ตามลำดับ จากนั้นพัฒนากับดักลูกน้ำยุงต่อโดยการทาสีอะครีลิคสีดำบริเวณปากทางเข้าของกับดักลูกน้ำยุงทุกด้าน พบว่า กับดักแบบที่ 2 ดักจับลูกน้ำยุงได้มากที่สุด รองลงมาคือ แบบที่ 1 และ 3 (เฉลี่ยร้อยละ 58 56 และ 30 ตามลำดับ) จากการศึกษาครั้งนี้สรุปว่า กับดักลูกน้ำยุงแบบที่ 2 ที่มีการทาสีอะครีลิคสีดำ ดักจับลูกน้ำยุงได้ดีที่สุด
คำสำคัญ: กับดักลูกน้ำยุง ขวดน้ำพลาสติก ลูกน้ำยุง สีอะครีลิก
Abstract
This research aimed to study the effects on mosquito larvae to various color screens to develop a trap that can harvest the largest amount of mosquito larvae. Nine colors, yellow, green, pink, blue, red, blue, gray, black and white, were used. The results indicated that the black screen had the highest ability to trap the larvae, following the blue screen. Three models of mosquito larva trap using plastic bottles were designed: Model 1 was a water bottle having 8 channels to trap mosquito larvae horizontally; Model 2 was a water bottle having 5 channels to trap mosquito larvae vertically; Model 3 was two water bottles having 5 channels to trap mosquito larvae vertically. The three models of mosquito traps were applied to harvest 50 larvae in 25 × 50 × 38 cm of transparent containers containing 23,750 cm3 of water for 24 hours. The average percent of larva amounts in trap Model 1, 2 and 3 were 36.0, 28.0 and 22.0, respectively. The black acrylic dye was applied to all entrance channels. The results showed that Model 2 had the highest ability to harvest the larvae (average 58%), following Model 1 (average 56%) and Model 3 (average 30%). In conclusion, the trap Model 2 painted with black acrylic dye had the highest ability to harvest mosquito larvae.
Keywords: Mosquito larva trap, Plastic bottle, Mosquito larva, Acrylic dye
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4030
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 2 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4031
2021-07-08T12:17:22Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคงทนทางการเรียนของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในท้องถิ่นด้วยการใช้ชุดกิจกรรมตรวจสอบคุณภาพน้ำเบื้องต้น
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
ศิริโสภณา, สุภาภรณ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
Learning Achievement and Learning Retention of Local Lower Secondary Students with an Activity Package of Basic Water Quality Tests
Surasak Laloknam and Supaporn Sirisopana
รับบทความ: 20 กันยายน 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 22 พฤศจิกายน 2554
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อสร้างชุดกิจกรรม เรื่อง การตรวจสอบคุณภาพน้ำเบื้องต้นสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในท้องถิ่นที่มีคุณภาพและมีประสิทธิภาพ รวมถึงศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความพึงพอใจ และความคงทนทางการเรียนของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนต้นในท้องถิ่นที่ใช้ชุดกิจกรรม โดยการวิจัยเริ่มต้นจากการสร้างชุดกิจกรรม เรื่อง การตรวจสอบคุณภาพน้ำเบื้องต้น ประเมินคุณภาพโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 7 ท่าน ทดลองสอนเพื่อหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมและผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนกับกลุ่มนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในท้องถิ่น อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 24 คน และศึกษาความคงทนทางการเรียนกับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง พบว่า ชุดกิจกรรม เรื่องการตรวจสอบคุณภาพน้ำเบื้องต้นสำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้น มีค่าเฉลี่ยของความเห็นของผู้เชี่ยวชาญที่มีต่อชุดกิจกรรมทั้ง 6 หน่วยโดยภาพรวมเท่ากับ 4.53±0.20 ซึ่งอยู่ในระดับดีมาก และจากการหาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น พบว่า มีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด 74.37/71.32 นักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภายหลังใช้ชุดกิจกรรมสูงกว่าก่อนใช้ชุดกิจกรรม (p < .05) และนักเรียนที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมมีความพึงพอใจต่อชุดกิจกรรมอยู่ในระดับดี และเมื่อศึกษาความคงทนทางการเรียนเมื่อระยะเวลาผ่านไป 1 เดือน พบว่า นักเรียนมีความคงทนทางการเรียนอยู่ในระดับคงที่ เฉลี่ยร้อยละ 70.02±0.26
คำสำคัญ: การตรวจสอบคุณภาพน้ำเบื้องต้น ชุดกิจกรรม ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความคงทนทางการเรียน
Abstract
This research aimed to construct an activity package of basic water quality tests for local lower secondary students to be a good level of quality with efficiency and to study students’ achievement, attitude and learning retention after implementing with the activity package. This study was accomplished through 3 steps. The first step was the construction of activity package. Its quality was evaluated by 7 experts, and its efficiency was determined. The second one was the trying out with a 24-student group of a local school in Omkoi, Chiang Mai. The last step was the investigation of learning retention after 1-month learning with the package. The results showed that the qualities of 6-unit activity package for local secondary students were shown in an average of 4.53±0.20, as a good quality level. The efficiency of the activity package as 74.37/71.32, and students’ achievement after practising with the activity package was significantly higher than those before practicing with the package (p < .05). Students had learning retention as 70.02±0.26 after 1-month test.
Keywords: Basic water quality tests, Activity package, Learning achievement, Learning retention
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4031
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 2 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4032
2021-07-08T12:20:28Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
เกมบัตรสำหรับการจัดการเรียนรู้เรื่องธาตุและสารประกอบ
วุฒิเสลา, กานต์ตะรัตน์
ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อุบลราชธานี 34190
Card Games for Teaching Elements and Compounds
Karntarat Wuttisela
รับบทความ: 17 กรกฎาคม 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 15 ตุลาคม 2554
บทคัดย่อ
สำหรับนักศึกษาคณะวิทยาศาสตร์ชั้นปีที่ 1 ที่ต้องเริ่มเรียนวิชาเคมีเรื่องธาตุและสารประกอบ เกมเป็นทางเลือกของสื่อการเรียนรู้ที่จะทำให้นักศึกษาเรียนเนื้อหานี้ด้วยความสนุกสนาน เกมบัตร 3 เกม ได้แก่ ‘ELEMENTS’ ‘GO CHEMISTRY’ และ ‘CHEMANTICS’ สามารถใช้นำเข้าสู่บทเรียนหรือทบทวนเนื้อหานี้ได้ เกมที่ 1 ELEMENTS นักศึกษาต้องจับคู่ชื่อธาตุและสัญลักษณ์ธาตุ เกมที่ 2 GO CHEMISTRY นักศึกษานำธาตุมาสร้างเป็นสูตรเคมีของสารประกอบ และเกมที่ 3 CHEMANTICS นักศึกษาจะได้คะแนนเมื่อสร้างสูตรเคมีของสารประกอบและอ่านชื่อของสารประกอบได้ถูกต้อง โดยนักศึกษากลุ่มละ 4 คนแข่งขันเป็นรายบุคคล อุปกรณ์หลักในการเล่นเกมคือบัตรที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของเกม สำหรับกติกาการเล่นดัดแปลงมาจากเกมบัตรทั่วไป เช่น บัตรจับคู่ การเล่นเกมหลายรอบเป็นความท้าทายเพื่อกระตุ้นให้นักศึกษาจำธาตุและสารประกอบได้ พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดการในห้องเรียนสำหรับอาจารย์ที่เริ่มนำเกมบัตรไปใช้
คำสำคัญ: เกมบัตร วิชาเคมี ธาตุและสารประกอบ
Abstract
The first-year science students need to initially learn about the chemistry concepts of elements and compounds. Game is a choice to use as a learning media to make these concepts enjoyable for students. Three card games, ‘ELEMENTS’, ‘GO CHEMISTRY’, and ‘CHEMANTICS’, are served as an introduction or review of the concepts. The ‘ELEMENTS’ card game requires students to match name and symbol of chemical elements. Students put particles together to get score in the ‘GO CHEMISTRY’ card game. In addition, a card game called ‘CHEMANTICS’ earn point by using cards to correctly form formulas for compounds as well as naming the compounds. Individual student in a group (4 students each) takes competition with others. Cards are main supplies corresponding to the game objectives. The rules of the games are mostly modified from its traditional playing cards, e.g. a matching game. Repeating of the games is a challenge to stimulate students memorising the elements and compounds. The students’ additional suggesting will be used to assist novice teachers’ class management.
Keywords: Card game, Chemistry, Elements and compounds
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4032
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 2 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4034
2021-07-08T12:27:11Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
ขยะอิเล็กทรอนิกส์ : ความเจริญที่ถดถอย
แสนใจอิ, ภูตะวัน
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
ศิริโสภณา, สุภาภรณ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพฯ 10110
Electronic Waste: Regressive Progression
Putawan Saenjai-i and Supaporn Sirisopana
รับบทความ: 1 กรกฎาคม 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 15 สิงหาคม 2554
บทคัดย่อ
คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าขยะอิเล็กทรอนิกส์เป็นขยะอันตราย เนื่องจากไม่ส่งกลิ่นเหม็นเหมือนขยะทั่วไป จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญและใส่ใจ ทั้งที่เป็นขยะที่มีอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีโลหะหนักเป็นส่วนประกอบอยู่ บทความนี้นำเสนอการป้องกันไม่ให้ขยะอิเล็กทรอนิกส์กลายมาเป็นตัวทำลายสิ่งแวดล้อม โดยแสดงแหล่งที่มา สารพิษที่เป็นส่วนประกอบ และระเบียบข้อกำหนดเกี่ยวกับขยะอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงวิธีแก้ปัญหาเพื่อเป็นการรับมือกับขยะอิเล็กทรอนิกส์ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
คำสำคัญ: ขยะอิเล็กทรอนิกส์ สารพิษ การจัดการของเสีย
Abstract
Almost all people do not know that electronic waste is a kind of hazardous waste due to its non-smelling like others. In spite of being a hazardous waste comprising of heavy metal in its composition that can greatly affect to our environment, the people do not give precedence and care of it. This article indicates sources, toxic chemical compositions, laws and recommendations including electronic wastes, and waste management to prevent the increase of electronic wastes.
Keywords: Electronic waste, Poison, Waste management
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4034
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 2 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4035
2021-07-08T12:35:41Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
ครูมือใหม่จะเริ่มสอนโครงงานวิทยาศาสตร์อย่างไรดี
วุฒิพรหม, สุระ
ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี 34190
How Do Novice Teachers Teach Science Fair Project?
Sura Wuttiprom
รับบทความ: 25 สิงหาคม 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 5 กันยายน 2554
บทคัดย่อ
การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้โครงงานเป็นฐาน เป็นหัวใจของการปฏิรูปการศึกษา เนื่องจากส่งเสริมให้ผู้เรียนแต่ละคนได้พัฒนาตนเองอย่างเต็มตามศักยภาพ แม้ว่าการจัดกระบวนการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โดยใช้โครงงานไม่ใช่แนวคิดใหม่ แต่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับครูมือใหม่ ดังนั้นบทความนี้จึงได้นำเสนอแนวทาง เทคนิค กิจกรรม และแหล่งเรียนรู้ทางอินเตอร์เน็ต สำหรับให้ครูมือใหม่นำไปใช้ในห้องเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ
คำสำคัญ: โครงงานวิทยาศาสตร์ ครูมือใหม่ การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
Abstract
Project-based science management is the heart of education reform because of promoting individual students to develop themselves efficiently. Although project-based science management is not a new approach, it is not easy to novice teachers. The aims of this article is thus to present approaches, techniques, activities and online resources for effective implementation into the classroom.
Keywords: Science fair project, Novice teacher, Science learning management
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4035
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 2 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4036
2021-07-08T12:35:19Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
ความร่วมมือของหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ต่อการพัฒนาด้านโครงงานโรงเรียนในเครือข่ายคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ อย่างยั่งยืน
พรพิสุทธิมาศ, สุรศักดิ์
ภาควิชาชีววิทยา และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
มากตุ่น, วิเชียร
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
Cooperation of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning for Sustainable Development of the Science Projects on School Network under the Faculty of Science, Srinakharinwirot University
Somkiat Phornphisutthumas, Surasak Laloknam and Wichian Magtoon
รับบทความ: 10 กรกฎาคม 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 1 กันยายน 2554
บทคัดย่อ
คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้มีการบริการวิชาการสู่ชุมชนอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะการพัฒนาความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ โดยเน้นด้านทักษะกระบวนการทางด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เริ่มต้นจากการพัฒนาด้านโครงงานวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นโครงการบริการวิชาการที่คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ในเบื้องต้น ภายใต้โครงการพัฒนาโครงงานวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์โรงเรียนในเครือข่ายคณะวิทยาศาสตร์ ในปี พ.ศ. 2550–2551 คณะวิทยาศาสตร์ได้จัดอบรมการทำโครงงานวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ให้กับครูและนักเรียนเพื่อให้สามารถทำโครงงานวิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง จากนั้นดำเนินการติดตามผลอย่างต่อเนื่องในปี พ.ศ. 2552–2554 ร่วมกับคณาจารย์ในหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ โดยจัดเป็นการแข่งขันตอบปัญหาแสดงความสามารถของนักเรียนในเครือข่ายคณะวิทยาศาสตร์ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ พบว่า นักเรียนที่ได้รับการอบรมมีศักยภาพด้านโครงงานวิทยาศาสตร์ได้เกินร้อยละ 60 และค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับคุณภาพเหรียญเงิน (มากกว่าร้อยละ 70) นอกจากนี้คณะวิทยาศาสตร์ยังได้ให้สิทธิ์กับทางโรงเรียนในเครือข่ายคณะวิทยาศาสตร์เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒในระบบโควต้า ซึ่งได้รับนักเรียนตั้งแต่ปีการศึกษา 2551 ถึงปัจจุบัน รวมมีนิสิตจากโครงการนี้จำนวน 109 คน โดยทุกคนมีผลการเรียนเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อแยกเป็นหลักสูตรวิทยาศาสตรบัณฑิตและการศึกษาบัณฑิต นิสิตหลักสูตรการศึกษาบัณฑิตมีผลการเรียนเฉลี่ยสูงกว่า ดังนั้นโครงการพัฒนาโครงงานวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์โรงเรียนในเครือข่ายคณะวิทยาศาสตร์จึงตอบโจทย์การมีศักยภาพของทางโรงเรียนที่ครูสามารถถ่ายทอดความรู้ให้นักเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนิสิตที่เรียนอยู่ปัจจุบันมีศักยภาพที่จบการศึกษาด้วยทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์อย่างมีคุณภาพสูง
คำสำคัญ: โรงเรียนในเครือข่ายคณะวิทยาศาสตร์ หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ โครงงาน
Abstract
Faculty of Science, Srinakharinwirot University has had academic service to community continuously, particularly the development of science and mathematics knowledge emphasizing on their science process skills. The development of science and mathematics projects has initially started by using the grant from the Institute for the Promotion of Teaching Science and Technology (IPST). The science and mathematics project development has primarily performed in the school network under Faculty of Science during year 2007 – 2008. The science and mathematics projects had been trained for teachers and students to actually do the science projects. The Faculty of Science incorporated with teachers of the Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning has continuously monitored the trained results in year 2009 – 2011. Both theoretical and practical science quizzes were performed to investigate the science ability of students in the school network. The results indicated that the trained students’ potential in science projects were more than 60%, and their average scores were in silver medal (more than 70%). Moreover, Faculty of Science, SWU, gives chances for students to learn in Faculty of Science using the SWU quota system. From academic year 2008 to present, there are 109 students from this project. All students have gained learning average scores in the middle level. Comparing the students between B.Sc. and B.Ed., B.Ed. students have got higher average scores than B.Sc. Thus, teachers in the school network under the Faculty of Science, SWU, have proficiencies to transfer knowledge to students effectively. The students in our faculty from this project will graduate with high quality of science and mathematics process skills.
Keywords: School network under the Faculty of Science, Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Project
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4036
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 2 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4037
2021-07-08T12:39:54Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
เอกลักษณ์ของนักเรียนวิทยาศาสตร์
ร่วมชาติ, ภิญญาพันธ์
ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพมหานคร 10110
เพียซ้าย, ขวัญ
ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพมหานคร 10110
Science Student’s Identity
Pinyapan Roamchart and Khwan Piasai
รับบทความ: 12 กรกฎาคม 2554; ยอมรับตีพิมพ์: 15 กันยายน 2554
บทคัดย่อ
เอกลักษณ์ของนักเรียนวิทยาศาสตร์ หมายถึง การรู้คิดเกี่ยวกับบทบาทและตำแหน่งของการเป็นนักเรียนวิทยาศาสตร์ในการแสดงออกเพื่อติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในสังคม การพัฒนานักเรียนที่มีความสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ให้มีเอกลักษณ์ของนักเรียนวิทยาศาสตร์ที่เด่นชัดกว่าการมีเอกลักษณ์อื่น ๆ เป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากทำให้นักเรียนมีพฤติกรรมตามบทบาทของนักเรียนวิทยาศาสตร์มากกว่าพฤติกรรมตามบทบาทอื่น ๆ ได้แก่ การแสวงหาความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ การศึกษาต่อในสาขาวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นผลดีต่อการช่วยให้นักเรียนอยู่ในเส้นทางของการเป็นนักวิทยาศาสตร์และการเพิ่มกำลังคนทางด้านวิทยาศาสตร์ของประเทศในอนาคต การพัฒนาให้นักเรียนมีเอกลักษณ์ของนักเรียนวิทยาศาสตร์ทำได้โดยการให้บุคคลได้รับประสบ-การณ์ในบทบาท เช่น ได้พูดคุย ได้ทำกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ร่วมกันกับบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเอกลักษณ์นั้น ได้แก่ สมาชิกในครอบครัว ครูสอนวิทยาศาสตร์ เพื่อนนักเรียนวิทยาศาสตร์และนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง โดยประสบการณ์หรือกิจกรรมนั้นได้สร้างอารมณ์ทางบวก ตลอดจนความรู้สึกภาคภูมิใจในบทบาทของการเป็นนักเรียนวิทยาศาสตร์ และเห็นคุณค่าของการทำกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ การวัดเอกลักษณ์ของนักเรียนวิทยาศาสตร์จะวัด 3 องค์ประกอบ คือ องค์ประกอบความเด่นของเอกลักษณ์ของนักเรียนวิทยาศาสตร์ องค์ประกอบความรู้สึกสำคัญของเอกลักษณ์ของนักเรียนวิทยาศาสตร์ และองค์ประกอบความภาคภูมิใจในบทบาทของนักเรียนวิทยาศาสตร์
คำสำคัญ: เอกลักษณ์ นักเรียนวิทยาศาสตร์ เอกลักษณ์ของนักเรียนวิทยาศาสตร์
Abstract
Science student's identity is defined as self-cognitions in terms of the role and position of science students that behave to interact with others in society. It is necessary to develop students containing their science capacity that can be done by giving science student’s identity than others. As a result, the students have the role performance of science student rather than others, e.g., scientific inquiry, study in the field of pure sciences. That can shape students themselves to be scientists, and it is increased the science manpower of our country in the future. The science student’s identity can be developed by gaining experiences in role, for instances, to talk and participate in the scientific activities with important persons such as their family, science teachers, science friends and outstanding scientists. It makes students to have the tendency to play into scientist roles. In addition, the students’ experiences or activities have to create positive affective, esteem in science students' role and the perceived value of the scientific activities. For measurement of science student's identity, it can be measured in three components: science student's identity salience, psychological centrality of science student's identity and esteem in science student's role.
Keywords: Identity, Students in science, Science Student’s Identity
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4037
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 2 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4038
2014-07-16T11:21:40Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
ใบแทรกข้อความที่เปลี่ยนแปลง
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
-
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4038
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 2 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4039
2016-03-07T11:24:59Z
JSTEL:AUI
nmb a2200000Iu 4500
"140313 2014 eng "
2651-074X
dc
ดัชนีผู้เเต่ง
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
-
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4039
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 2 No. 2 (2554): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4047
2021-06-16T17:51:44Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140218 2014 eng "
2651-074X
dc
การศึกษาโมเลกุลลาร์ด็อกกิ้งของควิโนนรีดักเตส 2 เป็นเอนไซม์เป้าหมายสำหรับยับยั้งมะเร็งเต้านม
ศิยะพงษ์, พรรณราย
ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
สโมสร, สิริธร
ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
กูโน, มะยูโซ๊ะ
ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
Molecular Docking Investigation of Quinone Reductase 2 as a Target Enzyme for Breast Cancer
Punnarai Siyapong, Siritron Samosorn and Mayuso Kuno
รับบทความ: 24 ตุลาคม 2556; ยอมรับตีพิมพ์: 12 ธันวาคม 2556
DOI: https://doi.org/10.14456/jstel.2013.12
บทคัดย่อ
ควิโนนรีดักเทส 2 (QR2) เป็นเอนไซม์ที่ช่วยเร่งปฏิกิริยารีดักชันของควิโนนไปเป็นไฮโดรควิโนนซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกระบวนการสังเคราะห์เอสโทรเจน มีรายงานว่าเอนไซม์ QR2 สามารถเร่งปฏิกิริยาการเปลี่ยนควิโนนไปเป็นสารพิษที่มีความว่องไวสูงในการทำลายดีเอ็นเอและมีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นให้เกิดมะเร็งเต้านม ดังนั้นการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ QR2 ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลายจากสารพิษเหล่านั้นได้ งานวิจัยนี้ศึกษาโมเลกุลลาร์ด็อกกิ้งของเอนไซม์ QR2 ซึ่งเป็นเอนไซม์เป้าหมายสำหรับยับยั้งการเกิดมะเร็งเต้านม โดยศึกษาโครงสร้างและอันตรกิริยาระหว่างตัวยับยั้ง XM5 กับเอนไซม์ QR2 ที่อยู่ในบริเวณการจับของเอนไซม์ที่มีรหัส 3G5M.pdb จากฐานข้อมูลโครงสร้างของโปรตีน และสารอนุพันธ์ของเบอร์เบอรีนซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญ-เติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านม MCF–7 โดยใช้วิธีการคำนวณทางโมเลกุลลาร์ด็อกกิ้งด้วยโปรแกรม AutoDock 4.2 เพื่อออกแบบโมเลกุลใหม่หรือพัฒนาโมเลกุลเดิมให้มีประสิทธิภาพในการยับยั้งเอนไซม์ QR2 ดีขึ้น จากการศึกษาพบว่า โครงสร้างของสารอนุพันธ์เบอร์เบอรีนที่มีหมู่แอริลออกซีที่ตำแหน่ง C–13 และมีหมู่ไฮดรอกซิล 2 หมู่ที่ตำแหน่ง C–9 และ C–10 จะให้ค่าพลังงานยึดเหนี่ยวดีที่สุด จากข้อมูลดังกล่าวสามารถออกแบบโครงสร้างตัวยับยั้งที่มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นได้ 3 โครงสร้าง
คำสำคัญ: ควิโนนรีดักเทส 2 โมเลกุลลาร์ด็อกกิ้ง เบอร์เบอรีน มะเร็งเต้านม
Abstract
Quinone reductase 2 (QR2) serves as an enzyme that catalyzes the reduction of quinones to hydroquinones involving in an estrogen synthetic pathway. Recent studies reported that QR2 may transform quinone into highly reactive toxins that are capable of causing more DNA damage and playing a crucial role in stimulating breast cancer. Inhibition of QR2 activities by its inhibitors, therefore, may lead to protection of cells from these toxins. This work focuses on the studies of molecular docking of QR2 inhibitor, XM5, was designed at enzyme binding site coded 3G5M.pdb from structural protein database. Berberine derivatives were designed to show growth inhibiting activity of breast cancer MCF–7. Docking simulation was performed using AutoDock 4.2 to improve the potential to existing QR2 inhibitors. The binding energy calculation using molecular docking showed that the structure of berberine derivatives having an aryloxy group at C–13, and two hydroxyl groups at C–9 and C–10 gave the best result. This finding was accomplished three structures of better potential inhibitors.
Keywords: Quinone reductase 2, Molecular docking, Berberine, Breast cancer
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2014-03-08 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4047
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 2 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4049
2021-06-16T17:55:24Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140220 2014 eng "
2651-074X
dc
การส่งเสริมแนวคิดวิทยาศาสตร์ เรื่อง อาณาจักรสัตว์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยการจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีความหลากหลายของการเรียนรู้
คูหเพ็ญแสง, อรวรรณ
โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา จตุจักร กรุงเทพฯ 10900
ศรีทา, สุรเดช
โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา จตุจักร กรุงเทพฯ 10900
โภคพันธ์, กฤษณา
โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา จตุจักร กรุงเทพฯ 10900
พงศ์ไพจิตร, ภาธร
โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา จตุจักร กรุงเทพฯ 10900
ชินสิญจน์, กฤษณา
โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา จตุจักร กรุงเทพฯ 10900
ปิติพรเทพิน, ศศิเทพ
สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ศึกษา ภาควิชาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จตุจักร กรุงเทพฯ 10900
Enhancing of the 10th Grade Students’ Scientific Conceptions of Animal Kingdom Using Variation Theory
Orawan Kuhapensang, Suradet Sritha, Krissana Pokpun, Partorn Phongpaijit, Krissana Shinnasin and Sasithep Pitiporntapin
รับบทความ: 30 เมษายน 2556; ยอมรับตีพิมพ์: 24 กรกฎาคม 2556
DOI: https://doi.org/10.14456/jstel.2013.13
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ส่งเสริมแนวคิดวิทยาศาสตร์เรื่อง อาณาจักรสัตว์ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีความหลากหลายของการเรียนรู้ และ 2) เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการส่งเสริมแนวคิดวิทยาศาสตร์เรื่องอาณาจักรสัตว์ ของนักเรียนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีความหลากหลายของการเรียนรู้ กลุ่มที่ศึกษา คือ นักเรียนโรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่ง สังกัดสำนักงานการอุดมศึกษา จังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวน 5 กลุ่ม แผนการเรียนวิทยา-ศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 รวมทั้งสิ้น 135 คน ในภาคปลาย ปีการศึกษา 2555 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง อาณาจักรสัตว์ ที่เน้นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามทฤษฎีความหลากหลายของการเรียนรู้ 2) แบบวัดแนวคิดทางวิทยาศาสตร์เรื่อง อาณาจักรสัตว์ จำนวน 10 ข้อ และ 3) อนุทินที่บันทึกสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการร่วมกิจกรรม ผลการวิจัยพบว่า 1) การวัดแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง อาณาจักรสัตว์ ในช่วงก่อนเรียนไม่มีนักเรียนที่มีแนวคิดสอดคล้องกับแนวคิดวิทยา-ศาสตร์ทุกแนวคิด และพบว่าหลังเรียนนักเรียนมีแนวคิดที่สอดคล้องกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์เพิ่มขึ้นทุกแนวคิด 2) ปัจจัยที่มีผลต่อการส่งเสริมแนวคิดวิทยาศาสตร์เรื่อง อาณาจักรสัตว์ ได้แก่ การนำตัวอย่างสัตว์หลากหลายชนิดมาใช้ในการจัดการเรียนรู้ การใช้ของจริงของตัวอย่าง รูปภาพ และวีดิทัศน์ มาประกอบการสอน การจัดกิจกรรมฐานหมุน และการให้นักเรียนวาดภาพประกอบการอธิบาย
คำสำคัญ: ทฤษฎีความหลากหลายของการเรียนรู้ แนวคิดวิทยาศาสตร์เรื่องอาณาจักรสัตว์ ปัจจัยที่ส่งผลต่อการจัดการเรียนรู้
Abstract
The aims of this research were to 1) enhance the scientific conceptions of animal kingdom using variation theory of the tenth grade students, and 2) to study the factors affecting the enhancement of the scientific conceptions of animal kingdom using variation theory of the tenth grade students. The participants of this study were 135 students of the science and technology program in 10th grade in the second semester of academic year 2012 of a laboratory school under Office of the Higher Education Commission in Bangkok. The research tools were as follows: 1) the animal kingdom using variation theory of lesson plans; 2) the ten-item concept test for scientific conceptions of animal kingdom using variation theory; 3) the journals. The results of this research indicated that: 1) most of students had no understanding of scientific conception of animal kingdom before studying and the students had better understanding of all scientific conceptions of animal kingdom after studying; 2) the factors affecting the enhancement of the scientific conceptions of animal kingdom; for example, various kinds of animals, real teaching materials, photos, and video were used for learning, Also, the students were provided with activities and were allowed to draw pictures with captions.
Keywords: Variation theory, Scientific conceptions of animal kingdom, Factors affecting the learning management
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2014-03-08 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4049
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 2 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4050
2021-06-16T17:57:49Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140220 2014 eng "
2651-074X
dc
ความพึงพอใจและความคิดเห็นต่อโปรแกรม Designing4Learning+Portfolio ของนักศึกษาที่มีเพศและความสามารถในการเรียนวิชาเคมีแตกต่างกัน
วุฒิเสลา, กานต์ตะรัตน์
ภาควิชาเคมี และศูนย์วิจัยและนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ศึกษา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี 34190
Satisfaction and Opinions on Designing4Learning+Portfolio Program of Students with Difference Gender and Learning Performance in Chemistry
Karntarat Wuttisela
รับบทความ: 13 ตุลาคม 2556; ยอมรับตีพิมพ์: 8 ธันวาคม 2556
DOI: https://doi.org/10.14456/jstel.2013.14
บทคัดย่อ
Designing4Learning+Portfolio (D4L+P) เป็นโปรแกรมที่ใช้เพื่อส่งเสริมให้นักศึกษามีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้นในการจัด-การเรียนรู้แบบบรรยาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความพึงพอใจและความคิดเห็นต่อโปรแกรม D4L+P ของนักศึกษาแต่ละเพศและแต่ละระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มตัวอย่างคือนักศึกษาคณะเภสัชศาสตร์ชั้นปีที่ 1 จำนวน 99 คน นักศึกษาชาย 28 คนและนักศึกษาหญิง 71 คน นักศึกษาแต่ละคนถูกกำหนดให้ส่งงานที่ 1 2 และ 3 ของ 5 สภาพแวดล้อมการเรียนรู้ นักศึกษาส่งงานที่ 1 หลังการบรรยายแต่ละเนื้อหา สำหรับงานที่ 2 นักศึกษาแต่ละคนอ่านและให้ข้อเสนอแนะงานที่ 1 ของเพื่อนโดยประเมินจากความถูกต้องของงานที่ 1 ด้วยวิธีเดียวกัน ในงานที่ 3 นักศึกษาอ่านและให้ข้อเสนอแนะงานที่ 2 ในงานที่ 3 โดยประเมินจากความพยายามของเพื่อน แบบสอบถามเป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลซึ่งแบ่งแบบสอบถามเป็น 6 กลุ่มได้แก่ นักศึกษาชายกลุ่มเก่ง กลุ่มปานกลาง และกลุ่มอ่อน นักศึกษาหญิงกลุ่มเก่ง กลุ่มปานกลาง และกลุ่มอ่อน ตามคะแนนรายวิชาเคมี 1 ของผู้ตอบแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ ได้แก่ ค่าเฉลี่ย การทดสอบค่าเฉลี่ยด้วยค่าทีแบบกลุ่มอิสระ และการวิเคราะห์ความแปรปรวน ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษาทั้งห้องมีความพึงพอใจต่อโปรแกรม D4L+P โดยภาพรวมและรายข้ออยู่ในระดับปานกลาง นักศึกษาชายและนักศึกษาหญิงมีความพึงพอใจไม่แตกต่างกันที่ระดับนัยสำคัญ .05 เช่นเดียวกับนักศึกษาที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามนักศึกษาเพศหญิงมีความพึงพอใจต่อโปรแกรม D4L+P มากกว่าเพศชาย นัก-ศึกษาชายกลุ่มอ่อนมีความพึงพอใจมากที่สุดเพราะโปรแกรม D4L+P สะดวกต่อการส่งการบ้าน ส่วนนักศึกษาชายกลุ่มปานกลางมีความพึงพอใจน้อยที่สุด เพราะโปรแกรม D4L+P ขัดข้องเมื่อมีผู้ใช้งานจำนวนมาก
คำสำคัญ: โปรแกรม D4L+P ทีไฟว์โมเดล ความพึงพอใจ
Abstract
The Designing4Learning+Portfolio (D4L+P) program is utilized to promote students’ interaction in lecture-based learning. The research objective aimed to study satisfaction and opinions regarding D4L+P program of students according to their gender as well as learning achievement. The subjects were 99 first-year pharmacy students (28 males and 71 females). Each student was asked to complete and hand in tasks 1, 2 and 3 of 5 learning environment. Students were also required to complete and submit task 1 after each single lecture. In task 2, students were asked to read and reflect including accuracy of task 1 of their peers. In the same manner, in task 3 the students had to read and reflect task 2. Questionnaire was used as a research instrument to collect data which then were divided into 6 piles, labeled as male high, male medium, male low, female high, female medium, and female low achievers, along with chemistry 1 final scores of questionnaire respondents. Data were then analyzed by means, t–test for independent samples, and analysis of variance. Results showed that the students’ satisfaction in overall and each item on the questionnaire were neutral. Male and female students did not have the statistically significant difference at the .05 level of satisfaction. Also, samples with different learning performance provided the same results. However, female students showed more positive attitudes to the D4L+P program than males. Males in the low achiever group had the highest satisfaction levels. This may be due to the fact that they thought the program was very convenient for them to submit homework assignments. The lowest satisfaction levels were recorded by male medium achievers as they encountered with a glitch in the computer system when many users logged in at same time.
Keywords: D4L+P program, T5 Model, Satisfactio
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2014-03-08 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4050
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 2 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4055
2021-06-16T18:07:08Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140222 2014 eng "
2651-074X
dc
ประสิทธิภาพการยับยั้งแบคทีเรียก่อโรคทางเดินอาหารโดยแบคทีเรียกรดแลกทิกจากลูกแป้งข้าวหมาก
ชาญชัยเชาว์วิวัฒน์, อรุณ
สาขาวิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ 10600
อุเทนสุต, อัฐวิทย์
สาขาวิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ 10600
Inhibitory Efficacies of Lactic Acid Bacteria Isolated from LoogPang KaoMark against Enteropathogenic Bacteria
Arun Chanchaichaovivat and Atthawit Utiansut
รับบทความ: 18 สิงหาคม 2556; ยอมรับตีพิมพ์: 3 ตุลาคม 2556
DOI: https://doi.org/10.14456/jstel.2013.16
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์และเปรียบเทียบประสิทธิภาพของแบคทีเรียกรดแลกทิก
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2014-03-08 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4055
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 2 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4056
2021-06-16T18:06:24Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140222 2014 eng "
2651-074X
dc
ผลการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลซิปปาเรื่อง ทรัพยากรธรณี (หิน) ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความพึงพอใจในการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2
หิรัญสถิตย์, สุรเชษฐ์
โรงเรียนวัดทรงธรรม ตลาด พระประแดง สมุทรปราการ 10130
Effects of Mineral Resources (Rock) Instruction based on CIPPA Model on Sciences Achievement and Learning Satisfaction of Students in Mattayomsuksa 2
Surachet Hirunsathit
รับบทความ: 12 กรกฎาคม 2556; ยอมรับตีพิมพ์: 25 กันยายน 2556
DOI: https://doi.org/10.14456/jstel.2013.17
บทคัดย่อ
งานวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์และความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลซิปปาเรื่องทรัพยากรธรณี (หิน) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2555 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ปทุมวัน กรุงเทพฯ จำนวนนักเรียน 50 คน ซึ่งชักตัวอย่างมาแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ประกอบการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลซิปปาเรื่องทรัพยากรธรณี (หิน) 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์เรื่องทรัพยากรธรณี (หิน) 3) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลซิปปาเรื่องทรัพยากรธรณี (หิน) และ 4) บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องทรัพยากรธรณี (หิน) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าเฉลี่ยเลขคณิต ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าทีโดยใช้ t-test for dependent samples ผลการวิจัยพบว่า 1) ค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลซิปปาเรื่องทรัพยากรธรณี (หิน) หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน (p < .01) และ 2) ค่าเฉลี่ยของคะแนนความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโมเดลซิปปาเรื่องทรัพยากรธรณี (หิน) อยู่ในระดับความพึงพอใจมากที่สุด มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.56 ± 0.01
คำสำคัญ: การจัดการเรียนรู้แบบโมเดลซิปปา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทรัพยากรธรณี หิน
Abstract
The purpose of this study was to study on science achievement and learning satisfaction of Mattayomsuksa 2 students that received the CIPPA model–based instruction in a topic of mineral resources (rock). The purposively sampled subjects were 50 Mattayomsuksa 2 students (n = 50) in the second semester of academic year 2012 from Patumwan Demonstration School, Srinakharinwirot University, Bangkok. The research tools consisted of: 1) the lesson plan using CIPPA Model to teach the topic of mineral resources (rock); 2) achievement test of the learning about the science of mineral resources (rock); 3) students’ satisfaction questionnaire towards the CIPPA based instruction of mineral resources (rock); and 4) the lesson of programmed instruction on mineral resources (rock). The data were analyzed using arithmetic mean, percentage, standard deviation and t-test for dependent samples. The results of the study indicated that: 1) the mean score of learning achievement in science of Mattayomsuksa 2 students that taught CIPPA–based instruction of Mineral Resources (rock) after learning with this model was significantly higher than those before learning (p < .01); and 2) the mean score of satisfaction of Mattayomsuksa 2 students that taught CIPPA–based instruction of mineral resources (rock) was at the highest level which was the mean as 4.56 4.56 ± 0.01.
Keywords: Instruction based on CIPPA Model, Learning achievement, Mineral resources, Rocks
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2014-03-08 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4056
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 2 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4057
2014-08-09T23:36:25Z
JSTEL:EDB
nmb a2200000Iu 4500
"140227 2014 eng "
2651-074X
dc
ถ้อยแถลงบรรณาธิการ
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
ภาควิชาชีววิทยา และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
ในปัจจุบันการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีความสำคัญมาก และจากผลการสอบระดับชาติต่าง ๆ ก็เป็นที่ยอมรับกันแล้วว่า นอกจากการใช้ภาษาแล้ว นักเรียนไทยยังอ่อนด้อยเรื่อง คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ด้วย การสร้างความรู้ไม่อาจทำได้ด้วยกระบวนการเรียนการสอนแบบใดแบบหนึ่ง ที่สำคัญ คือ ต้องเน้นให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง หรือใช้จินตนาการอย่างมากในการสร้างโมเดลต่าง ๆ การวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีมากขึ้นทุก ๆ วัน ผู้สอนจึงจำเป็นต้องหาวิธีการหรือรูปแบบใหม่ในการสอนที่ผสมผสานและกลมกลืนโดยให้ผู้เรียนมีมโนมติไม่เพี้ยนออกไปจากความจริง การวิจัยทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตรศึกษาจึงมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาผู้เรียนไทยให้ทันกับชาวโลก และต้องเร่งให้ผู้เรียนมีการสื่อสารความรู้ทางวิทยาศาสตร์ร่วมกับศาสตร์อื่น ๆ ได้อย่างเข้าใจ ในวารสารฉบับนี้มีเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตรศึกษา และวิทยาศาสตรศึกษาทั้งเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ ที่ได้รับการคัดสรรโดยผ่านผู้ทรงคุณวุฒิตรวจอย่างระมัดระวังในการให้ความรู้กับกลุ่มนักวิจัย ครูวิทยาศาสตร์ ผู้เรียนวิทยาศาสตร์ และประชาชนทั่วไป
บทความในวารสารฉบับที่ท่านถืออยู่นี้ประกอบด้วยบทความวิจัยวิทยาศาสตร์ 3 เรื่อง บทความวิจัยคณิตศาสตรศึกษา 1 เรื่อง บทความวิจัยวิทยาศาสตรศึกษา 5 เรื่อง บทความวิชาการวิทยาศาสตร์ 1 เรื่อง ทางกองบรรณาธิการเคารพความคิดเห็นในบทความของผู้นิพนธ์ทุกเรื่อง อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบความถูกต้องของเนื้อหา กระบวนการทำวิจัย การเขียนบทความ การอภิปรายผลการวิจัย และความทัน-สมัยโดยภาพรวมยังคงอิงแนวคิดของผู้นิพนธ์เป็นหลัก แต่ท่านผู้ทรงคุณวุฒิอาจแนะนำหรือชี้ช่องทางให้สืบค้นเพิ่มเติมเพื่อ ให้บทความมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ปัจจุบันวารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (ISSN 1906-9790) อยู่ในฐานข้อมูล TCI ซึ่งทางกองบรรณาธิการจะรักษาคุณภาพและพัฒนาให้เป็นวารสารวิชาการมาตรฐานที่ดีอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ผู้สนใจทุกท่านสามารถเข้าไปศึกษาวิธีเตรียมต้นฉบับในการตีพิมพ์ กองบรรณาธิการ และค้นหาบทความต่าง ๆ ที่ตีพิมพ์ในวารสาร JSTEL แบบออนไลน์ได้ที่ http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL
ขอขอบพระคุณท่านผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านที่กรุณาประเมินบทความและให้ข้อเสนอแนะอันมีค่ายิ่งในการปรับปรุงวารสารหน่วยวิจัยฯ ให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น และขอเชิญชวนนักวิจัย นิสิตนักศึกษา นักเรียน และผู้สนใจส่งบทความวิชาการหรือบทความวิจัยตีพิมพ์ในวารสารหน่วยวิจัยฯ โดยส่งมายังอีเมล์ somkiatp@swu.ac.th หรือ surasakl@swu.ac.th และหากท่านใดพบข้อบกพร่องกรุณาแจ้งกลับมากองบรรณาธิการโดยใช้อีเมล์ข้างต้น เพื่อจะได้จัดทำใบแทรกข้อความที่มีการเปลี่ยนแปลงในการพิมพ์ฉบับต่อไป ทางกองบรรณาธิการพร้อมรับข้อเสนอแนะเพื่อปรับปรุงแก้ไขวารสารหน่วยวิจัยฯ ให้มีคุณภาพและมีความถูกต้องทางวิชาการเพื่อให้ผู้สนใจนำไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2014-03-08 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4057
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 2 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4059
2021-06-16T18:09:05Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140302 2014 eng "
2651-074X
dc
ผลการฝึกอบรมระยะสั้นต่อมโนมติทางวิทยาศาสตร์ของครูวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษาที่สอนไม่ตรงวุฒิ
ทิพจ้อย, วรวัฒน์
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เมือง อุดรธานี 41000
นาใจแก้ว, พัดตาวัน
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เมือง อุดรธานี 41000
The Effect of Short-Course Training Program on Scientific Concepts of the Primary School Non-Science Teacher
Worawat Tipjoi and Pattawan Narjaikaew
รับบทความ: 20 ตุลาคม 2556; ยอมรับตีพิมพ์: 18 พฤศจิกายน 2556
DOI: https://doi.org/10.14456/jstel.2013.18
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมายเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบมโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต และแรงและการเคลื่อนที่ ของครูวิทยาศาสตร์ระหว่างก่อนและหลังได้รับการอบรมระยะสั้น 2 วัน กลุ่มตัวอย่างคือครูวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำนวน 48 คน ที่เข้าร่วมโครงการโดยการเจาะจงจากเขตพื้นที่ในปีการศึกษา 2555 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ แบบทดสอบวัดมโนมติทางวิทยาศาสตร์ชนิดตัวเลือกสองลำดับขั้น ชนิด 5 ตัวเลือก วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้เกณฑ์ที่ปรับมาจากงานวิจัยของ Haidar (1997) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และการทดสอบค่าสถิติ Wilcoxon signed rank test ผลการ วิจัยพบว่า หลังการได้รับการฝึกอบรมครูมีมโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง สิ่งมีชีวิตกับกระบวนการดำรงชีวิต ในระดับมีมโนมติทางวิทยาศาสตร์แบบสมบูรณ์ (SU ร้อยละ 58.33) เพิ่มขึ้นจากก่อนได้รับการฝึกอบรม (ร้อยละ 37.50) มีระดับมโนมติทางวิทยาศาสตร์บางส่วนหรือมโนมติคลาดเคลื่อนบางส่วน (PU ร้อยละ 25.00) ลดลงจากก่อนได้รับการฝึกอบรม (ร้อยละ 35.40) มีระดับมโนมติทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ถูกต้อง (MU ร้อยละ 16.67) ลดลงจากก่อนได้รับการอบรม (ร้อยละ 27.10) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 และครูมีมโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง แรงและการเคลื่อนที่ หลังการได้รับการฝึกอบรมในระดับมีมโนมติทางวิทยาศาสตร์แบบสม-บูรณ์ (SU ร้อยละ 27.08) เพิ่มขึ้นจากก่อนได้รับการฝึกอบรม (ร้อยละ 8.33) มีระดับมโนมติทางวิทยาศาสตร์บางส่วนหรือมโนมติคลาดเคลื่อนบางส่วน (PU ร้อยละ 41.67) ไม่แตกต่างจากก่อนได้รับการอบรม (ร้อยละ 33.33) มีระดับมโนมติทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่ถูกต้อง (MU ร้อยละ 58.33 ลดลงจากก่อนได้รับการอบรม (ร้อยละ 31.25) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
คำสำคัญ: ครูวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษาที่สอนไม่ตรงวุฒิ การอบรมระยะสั้น มโนมติวิทยาศาสตร์
Abstract
The purposes of this research were to study and compare the conceptual change in the living things and processes of life concept and forces and motion concept of the primary school science teachers before and after participating in 2 days training program. The samples were 48 primary school non-science teachers, UdonThani primary educational Service area office 1, in academic year 2012. The research instruments were the short-course training program and the two-tier multiple-choice diagnostic tests. The scientific concepts were grouping the answers based on criterion adapted from Haidar’s (1997) study. The data were analyzed using frequency, percentage, mean, and the Wilcoxon signed ranks test. The results of this study indicated that: After training, the teachers’ scientific concepts toward living things and processes of lifein Scientific Understanding (SU 58.33%) was significantly higher than those before (37.50%). The Partial Understanding (PU 25.00%) and Misconceptions (16.67 %) after the training were significantly lower than those before (PU 34.40, MU 27.10%) at the 0.05 level of significance. After training, there was no difference between the teachers’ scientific concepts toward forces and motion in Partial Understanding before (33.33%) and after the training (41.67%). The Scientific Understanding after the training (SU 27.08%) was significantly higher than those before the training (8.33%), and Misconception after the training (31.25%) was significantly lower than those before the training (58.33%) at the 0.05 level of significance.
Keywords: Non-science teachers, Short-course training program, Scientific concepts
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2014-03-08 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4059
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 2 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4060
2021-06-16T18:18:06Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140302 2014 eng "
2651-074X
dc
รูปแบบโพรงอากาศของกระดูกสันหลังไดโนเสาร์ซอโรพอดชนิดใหม่ หมวดหินเสาขัว จากแหล่ง ไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว จังหวัดกาฬสินธุ์
กายแก้ว, สิริภัทร
ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 44150
สุธีธร, สุรเวช
ศูนย์วิจัยและการศึกษาบรรพชีวินวิทยา มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 44150
สอนสุภาพ, รัฐ
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม 44000
Characteristics of Vertebral Pneumaticity in a Ne
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2014-03-08 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4060
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 2 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4065
2021-06-16T18:16:24Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140302 2014 eng "
2651-074X
dc
ความสำเร็จของการจัดโปรแกรมสิ่งแวดล้อมศึกษาในรูปแบบค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่นสำหรับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษา
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
ศิริโสภณา, สุภาภรณ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
ครรชิตานุรักษ์, โพธิธรณ์
สถาบันวิจัย พัฒนาและสาธิตการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ องครักษ์ นครนายก 26210
มีแก้ว, วิชิตพล
โรงเรียนออก๋อยวิทยาคม อมก๋อย เชียงใหม่ 50310
คเชนทร์สุวรรณ, ชียศาสตร์
โรงเรียนมัธยมวัดหนองจอก หนองจอก กรุงเทพฯ 10530
ทาทอง, วันทนี
โรงเรียนภัทรพิทยาจารย์ องครักษ์ นครนายก 26210
The Success of Environmental Education Programme Using “The Water Conservation Youth Camp” for Secondary Students
Surasak Laloknam, Supaporn Sirisopana, Somkiat Phornphisutthimas, Potitorn Kanchitanurak, Wichitpol Meekaew, Chaiyasard Kachensuwan and Wantanee Tatong
รับบทความ: 9 สิงหาคม 2556; ยอมรับตีพิมพ์: 2 ธันวาคม 2556
DOI: https://doi.org/10.14456/jstel.2013.20
บทคัดย่อ
ค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่น พัฒนามาจากโครงการวิจัยโครงการชุด “โปรแกรมสิ่งแวดล้อมศึกษา” เรื่อง การตรวจสอบคุณภาพน้ำเบื้องต้น สำหรับนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในท้องถิ่นของจังหวัดเชียงใหม่ ได้ดำเนินการจัดค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่น จำนวน 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 จัดขึ้นที่อำเภออมก๋อย จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งที่ 2 และ 3 จัดขึ้นที่อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ครั้งที่ 1 เป็นการศึกษาผลการใช้โปรแกรมสิ่งแวดล้อมศึกษา ครั้งที่ 2 เป็นการนำโปรแกรมสิ่งแวดล้อมศึกษามาบูรณาการกับการเรียนการสอน และครั้งที่ 3 เป็นการนำตัวแทนเยาวชนที่ผ่านค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่น ครั้งที่ 1 และ 2 มาร่วมเป็นผู้ช่วยวิทยากร และมีการขยายเพิ่มกลุ่มตัวอย่างที่เป็นนักเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายด้วย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา คือ ชุดกิจกรรมตรวจสอบคุณภาพน้ำเบื้องต้น แบบประเมินโปรแกรมสิ่งแวดล้อมศึกษา “ค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่น” ที่มีรายการประเมิน 5 ด้าน ได้แก่ ความรู้ความเข้าใจ ความตระหนัก เจตคติ ทักษะ และการมีส่วนร่วม และแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่เข้าร่วมกิจกรรม กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการจากโรงเรียนเครือข่ายคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ในจังหวัดนครนายก ได้แก่ โรงเรียนภัทรพิทยาจารย์ โรงเรียนปิยชาติพัฒนา และโรงเรียนปากพลีวิทยาคาร และโรงเรียนในจังหวัดเชียงใหม่ คือ โรงเรียนอมก๋อยวิทยาคม พบว่า รายการประเมินโปรแกรมสิ่งแวดล้อมศึกษา “ค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่น” ที่มีรายการประเมิน 5 ด้านหลังการเข้าร่วมสูงกว่าก่อนเข้าร่วมค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่นทุกครั้งและทุกรายการประเมิน และเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการมีความพึงพอใจในการจัดกิจกรรมค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่นอยู่ในระดับมากที่สุด
คำสำคัญ: โปรแกรมสิ่งแวดล้อมศึกษา การประเมินผลโปรแกรมสิ่งแวดล้อมศึกษา ค่ายเยาวชนรักษ์น้ำท้องถิ่น
Abstract
The Water Conservation Youth (WCY) camp was developed from a series of project “Environmental Education Programme”, on the topic of preliminary water quality assessment for secondary students at the local country at Chiangmai. The WCY camps were performed three times: the first at Omkoi district, Chiangmai, the second and third at Ongkarak, Nakorn Nayok. The 1st WCY camp was studied on the effects of environmental education programme on students at Omkoi, Chiangmai. The 2nd WCY camp was integrated with the learning and teaching process, and the 3rd WYP camp was developed using youths who had joined the 1st and 2nd WCY camps as assistant trainers. The 3rd WCY camp was also extended senior secondary student groups to join the camp. The study was performed through 3 instruments were: 1) an activity package of preliminary water quality test, students’ achievement worksheet, composed of knowledge, awareness, skill, attitude and participation; and 3) attitude towards the joining of the camps. The subjects were students from Pattarapithayajarn School, Piyachartpatana School and Pakpleewittaya School at Nakorn Nayok as well as Omkoi Wittayakom School at Chiangmai. After joining the WYP camp, students gave higher 5-item assess-ment scores than those before joining the camp. The youths who joined with the camp gave the highest satisfaction level of the camp participation.
Keywords: Environmental education programme, Assessment of environmental education programme, Saving the water youth camp
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2014-03-08 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4065
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 2 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4066
2016-03-07T11:32:33Z
JSTEL:AUI
nmb a2200000Iu 4500
"140302 2014 eng "
2651-074X
dc
ดัชนีผู้แต่ง
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
ภาควิชาชีววิทยา และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา
กรุงเทพฯ 10110
-
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2014-03-08 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4066
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 2 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4077
2021-06-16T17:48:54Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"140308 2014 eng "
2651-074X
dc
การศึกษาความสามารถด้านสัดส่วนของนิสิตระดับปริญญาตรี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
เพียซ้าย, ขวัญ
ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
เพียซ้าย, ภิญญาพันธ์
ภาควิชาจิตวิทยา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
ภาควิชาชีววิทยา และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
A Study of Ability in Proportion of Undergraduates, Faculty of Science, Srinakharinwirot University
Khawn Piasai, Pinyapan Piasai, Surasak laloknam and Somkiat Phornphisutthimas
รับบทความ: 11 ตุลาคม 2556; ยอมรับตีพิมพ์: 24 พฤศจิกายน 2556
DOI: https://doi.org/10.14456/jstel.2013.11
บทคัดย่อ
งานวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความสามารถด้านสัดส่วนของนิสิตระดับปริญญาตรี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 3 ที่ศึกษาในหลักสูตรการศึกษาบัณฑิต 5 สาขาวิชา ได้แก่ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์–ฟิสิกส์ วิทยาศาสตร์–เคมี วิทยาศาสตร์–ชีววิทยา และวิทยาศาสตร์ทั่วไป คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรี-นครินทรวิโรฒ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2556 จำนวน 150 คน (สาขาวิชาละ 30 คน) โดยชักตัวอย่างแบบสุ่มอย่างง่าย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบวัดความสามารถด้านสัดส่วน และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติพรรณนา ผลการวิจัย พบว่า คะแนนเฉลี่ยจากแบบทดสอบวัดความสามารถด้านสัดส่วนของนิสิตกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 21.17 ± 5.63 จากคะแนนเต็ม 35 คะแนน แสดงให้เห็นว่า นิสิตกลุ่มตัวอย่างมีความสามารถด้านสัดส่วนโดยภาพรวมอยู่ในระดับสูง เมื่อพิจารณาคะแนนเฉลี่ยของนิสิตในแต่ละสาขาวิชา พบว่า สาขาวิชาคณิตศาสตร์มีคะแนนเฉลี่ย (22.33 ± 5.22) สูงสุด รองลงมาเป็นนิสิตสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป (21.73 ± 4.82) สาขาวิชาวิทยาศาสตร์–ชีววิทยา (21.30 ± 5.13) สาขาวิชาวิทยาศาสตร์–ฟิสิกส์ (21.16 ± 6.06) และสาขาวิชาวิทยาศาสตร์–เคมี (19.33 ± 6.66) ตามลำดับ
คำสำคัญ: สัดส่วน ความสามารถด้านสัดส่วน นิสิตระดับปริญญาตรี
Abstract
The aim of this research was to study the ability of the proportion of undergraduates at Faculty of Science, Srinakharinwirot University. The subjects consisted of third-year science education undergraduates in 5 majors, Mathematics, Science–Physics, Science–Chemistry, Science–Biology and General science, Faculty of Science, Srina-karinwirot University, who registered in the first semester of the academic year 2013. Thirty students in each major (150 in toto) were sampled by simple random sampling. The instrument was the ability test in proportion, and the data were analyzed by descriptive statistics. The finding showed that the overall average score from the ability test in proportion was 21.17 ± 5.63. It revealed that students had high ability in proportion. The highest average score was students in Mathematics (22.33 ± 5.22), followed by students in General Science (21.73 ± 4.82), Science–Biology (21.30 ± 5.13), Science–Physics (21.16 ± 6.06) and Science–Chemistry (19.33 ± 6.66), respectively.
Keywords: Proportion, Ability in proportion, Undergraduate
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2014-03-08 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4077
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 2 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4078
2021-06-16T17:28:12Z
JSTEL:ACA
nmb a2200000Iu 4500
"140308 2014 eng "
2651-074X
dc
การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 21
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
ภาควิชาชีววิทยา และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วัฒนา กรุงเทพฯ 10110
Learning Management of Science in 21st Century
Somkiat Phornphisutthimas
รับบทความ: 15 กุมภาพันธ์ 2556; ยอมรับตีพิมพ์: 22 เมษายน 2556
บทคัดย่อ
การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันควรจัดการเรียนรู้โดยวิธีการที่หลากหลายเพื่อให้ผู้เรียนมีสมรรถนะสำคัญ คือ นำความรู้เดิมจากประสบการณ์เดิมที่มีอยู่มาสร้างความรู้ใหม่ในบริบทที่แตกต่างกันออกไป การเรียนการสอนเปลี่ยนแปลงจากการบรรยายเป็นการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างผู้สอนและผู้เรียน ผู้สอนต้องประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริงเพื่อให้เข้าใจธรรมชาติการเรียนรู้ของผู้เรียนแต่ละคนและประเมินสมรรถนะที่ผู้เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ควรได้รับ การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มีลักษณะเป็นการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยอาจใช้สื่อต่าง ๆ ประกอบและให้ลงมือทำปฏิบัติการจริงเพื่อสร้างทักษะต่าง ๆ สำหรับผู้เรียนและใช้เป็นเครื่องมือในการสืบเสาะและเรียนรู้ด้วยตนเองตลอดชีวิต
คำสำคัญ: การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 สมรรถนะของผู้เรียน ทัศนคติในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
Abstract
Learning and teaching about sciences, nowadays, is managed by using various learning management to assist learners to have an important competency, using the prior experience to construct the new knowledge in different contexts. The learning and teaching method has been changed from lecture to collaboration between teachers and learners. The teachers have authentically assessed to recognise the learners’ learning and evaluate their achieved competencies in learning sciences. The learning management in science is the child-oriented learning by using various media and hands-on practicals to construct learners’ skills, as well as used to be tools for inquiry and lifelong learning.
Keywords: 21st Century skill, Students’ competency, Attitude towards science learning
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-05 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4078
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 4 No. 1 (2556): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4088
2023-11-10T10:25:59Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"100630 2010 eng "
2651-074X
dc
การพัฒนาการคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์โดยใช้กิจกรรมชุมนุมเยาวชนนักประดิษฐ์คิดค้นของนักเรียนมัธยมศึกษาช่วงชั้นที่ 3
ชาญประโคน, รมิดา
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนบ้านกรวดวิทยาคาร ตำบลปราสาท อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ 31180
The Development of Science Creative Thinking Using Youth Investor Club Activity in the Third Level-Secondary Students
Ramida Chanprakon
รับบทความ: 12 กุมภาพันธ์ 2553; ยอมรับตีพิมพ์: 11 พฤษภาคม 2553
บทคัดย่อ
งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ทำการเปรียบเทียบการคิดสร้างสรรค์ผลงานสิ่งประดิษฐ์คิดค้นของนักเรียนก่อนและหลังการเข้าร่วมกิจกรรมชุมนุมเยาวชนนักประดิษฐ์คิดค้น ตามแนวทางการจัดกิจกรรมโครงงานสิ่งประดิษฐ์คิดค้นของสมาคมนักประดิษฐ์แห่งประเทศไทย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนโรงเรียนนวมินทราชินูทิศเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า ช่วงชั้นที่ 3 (ม.1 – ม.3) ปีการศึกษา 2551 ที่เลือกเรียนโปรแกรมวิทยาศาสตร์จำนวน 330 คน และกลุ่มตัวอย่างจำนวน 52 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ชุมนุมเยาวชนนักประดิษฐ์คิดค้นจำนวน 7 แผน แบบบันทึกผลหลังกิจกรรม แฟ้มสะสมงานกลุ่ม และแบบทดสอบความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ วิเคราะห์ผลการวิจัยโดยการทดสอบด้วยสถิติ t-test สำหรับกลุ่มตัวอย่างที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน และ ANOVA ของฮอยท์ พบว่า กิจกรรมชุมนุมเยาวชนนักประดิษฐ์คิดค้นมีคะแนนประเมินความเหมาะสม 4.40 แสดงว่า มีความเหมาะสมมาก และคะแนนความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์หลังเรียนของกลุ่มตัวอย่างสูงขึ้นกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
คำสำคัญ: กิจกรรมชุมนุมเยาวชนนักประดิษฐ์คิดค้น ความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์ นักเรียนมัธยมศึกษาช่วงชั้นที่ 3
Abstract
The purpose of this study aimed to compare the student’s creative thinking inventions before and after joining with youth inventor club activity through the invention activity guidelines based on the Inventors Association of Thailand. Sample used in this research was 52 of 330 students who studied in Science Learning Program in the third secondary level (grade 7 – 9) at Nawaminthrachinuthit Triamudomsuksanomklao School in academic year 2008. The research instruments were seven youth investor learning plans, after activity report, group portfolio, and science creative thinking test. The data were collected and analyzed by using content analysis, descriptive statistics, t-test for dependent samples and Hoyt’s ANOVA. The research finding showed that the youth investor club activity was highly suitable for students with average assessment score of 4.40. After learning with the youth investor club activities, students had significantly higher science creative thinking scores than that before learning using these activities at the significance level of .01.
Keywords: Youth investor club activity, Science creative thinking, Third level-secondary student
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4088
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 1 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c) 2014 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4089
2023-11-10T10:25:59Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"100630 2010 eng "
2651-074X
dc
การเพิ่มประสิทธิภาพการเขียนรายงานปฏิบัติการด้วยเทคนิคทางเทคโนโลยีสารสนเทศในวิชาจุลินทรีย์อุตสาหกรรม
ชาญชัยเชาว์วิวัฒน์, อรุณ
สาขาวิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จเจ้าพระยา กรุงเทพฯ 10600
Enhancing Writing Lab Report by Information Technology Technique in Industrial Microbiology Course
Arun Chanchaichaovivat
รับบทความ: 15 เมษายน 2553; ยอมรับตีพิมพ์: 12 พฤษภาคม 2553
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อประเมินและเปรียบเทียบรูปแบบของการนำเสนอรายงานปฏิบัติการวิชาจุลินทรีย์อุตสาหกรรมของนิสิตสาขาวิชาเทคโนโลยีการอาหาร 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยจัดทำ เปรียบเทียบกับกลุ่มที่เขียนรายงานด้วยลายมือ รวมทั้งวิเคราะห์ความคิดเห็นนิสิตชั้นปีที่ 1 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา เกี่ยวกับความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศกับการเขียนรายงานปฏิบัติการ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่แบบประเมินรายงานปฏิบัติการ แบบประเมินการจัดการเรียนการสอน และแบบสอบถามความคิดเห็น ผลการวิจัยพบว่ารายงานของนิสิตกลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยจัดทำรายงานมีผลการประเมินในภาพรวมอยู่ในระดับดี สำหรับรายงานที่เขียนด้วยลายมือได้รับผลการประเมินในภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง และรายงานของทั้งสองกลุ่มต้องปรับปรุงในส่วนของข้อมูลบรรณานุกรมหรือเอกสารอ้างอิง ในด้านการจัดการเรียนการสอนให้กับนิสิตสองกลุ่มนี้ พบว่ากลุ่มที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศจัดทำรายงานมีองค์ประกอบด้านผู้สอน ด้านเนื้อหา ด้านสื่อและสิ่งสนับสนุนการเรียนการสอนอยู่ในระดับดีมาก โดยมีองค์ประกอบด้านผู้เรียนได้คะแนนอยู่ในระดับต่ำกว่าองค์ประกอบอื่น สำหรับกลุ่มที่จัดทำรายงานด้วยการเขียนลายมือมีเพียงองค์ประกอบเดียวที่ได้คะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับดีมากคือด้านผู้สอน โดยที่ด้านกิจกรรมการเรียนการสอนได้ระดับคะแนนต่ำกว่าองค์ประกอบอื่น ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นเกี่ยวกับความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศกับการเขียนรายงานปฏิบัติการของนิสิตชั้นปีที่ 1 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี จำนวน 200 คน พบว่านิสิตเห็นด้วยค่อนข้างมากกับการจัดทำรายงานโดยใช้ความรู้และอุปกรณ์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ อุปกรณ์ที่นิสิตเห็นด้วยค่อนข้างมากในการนำมาใช้จัดทำรายงาน ได้แก่ แฮนดีไดรฟ์ (handy drive) กล้องดิจิตอล (digital camera) และเครื่องพิมพ์ผล (printer) รวมทั้งนิสิตเห็นด้วยข้างมากกับการจัดการกับข้อมูลให้อยู่ในรูปของไฟล์อิเล็กทรอนิกส์ (electronic file) โดยนิสิตรู้สึกเฉยๆ กับการใช้โทรศัพท์มือถือมาช่วยจัดทำรายงาน จากผลการวิจัยทำให้สามารถสรุปได้ว่าการนำความรู้ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการเรียนการสอนทางด้านวิทยาศาสตร์มีความสำคัญและนิสิตยอมรับในเทคนิคเหล่านี้ ดังนั้นผู้สอนจึงควรเรียนรู้เรื่องของการจัดกระทำข้อมูลโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่มมากขึ้นและควรนำมาประยุกต์ใช้กับการเรียนการสอนในยุคปัจจุบัน
คำสำคัญ: เทคโนโลยีสารสนเทศ รายงานปฏิบัติการ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
Abstract
The research objectives were to evaluate and compare two laboratory report patterns written by Food Science and Technology students in Microbiology course. First group of students was assigned to do laboratory report with information technology technique (ITT) and the second group used hand writing. The research tools were laboratory scoring rubric, teaching and learning evaluation form, and students’ opinion questionnaire. The results showed that laboratory report used ITT was in good quality, whereas hand-writing report (HWR) was moderate. Both groups have to improve the reference parts of their reports. Teaching and learning evaluation of ITT group showed very good level in four factors, i.e., instructor, contents, media, and teaching and learning facilities. Student factor in ITT group was acquired the lowest score. Teaching and learning of HWR class presented very good level in instructor component, but teaching and learning activities was at the lowest score. Agreement analysis of 200 first year students from Faculty of Science and Technology showed that they were about most agreed in doing laboratory report with ITT and using ITT tools (handy drive, digital camera, and printer). Moreover, they were about most acceptable in providing electronic file report. They were unconcerned with using mobile phone for doing laboratory report. By these results, ITT seemed to be important facilitated tool for science education and it was concurrent from students. Therefore, instructors should apply ITT to their class activities to improve teaching and learning outcomes.
Keywords: Information Technology; Laboratory Report; Faculty of Science and Technology; Bansomdejchaopraya Rajabhat University
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4089
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 1 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c) 2010 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4090
2023-11-10T10:25:59Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"100630 2010 eng "
2651-074X
dc
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ เรื่อง ไฟฟ้าเคมี
เมืองแก้ว, พรทิพย์
โรงเรียนลือคำหาญวารินชำราบ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี 34190
วุฒิเสลา, กานต์ตะรัตน์
ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี 34190
พึ่งโพธิ์, พรพรรณ
ภาควิชาเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี 34190
Enhancing Learning Outcome with Cooperative Learning in Electrochemistry
Porntip Muangkeaw, Karntarat Wuttisela and Pornpan Pungpo
รับบทความ: 10 เมษายน 2553; ยอมรับตีพิมพ์: 11 พฤษภาคม 2553
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนเรื่องไฟฟ้าเคมีด้วยการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือแบบการสร้างผลสัมฤทธิ์ของทีม แบบกลุ่มแข่งขัน แบบกลุ่มร่วมมือและแบบต่อบทเรียน 2) สร้างแผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และ 3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ แบบแผนการวิจัยที่ใช้คือ การทดลองแบบกลุ่มเดียวสอบก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2552 โรงเรียนลือคำหาญวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 46 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือเรื่องไฟฟ้าเคมี แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ การวิเคราะห์ข้อมูลสถิติโดยหาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าดัชนีประสิทธิผล และการทดสอบค่าที กรณีกลุ่มตัวอย่างไม่เป็นอิสระต่อกัน ผลการศึกษา พบว่า (1) ประสิทธิภาพของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เท่ากับ 80.98/81.41 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ (2) ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 0.05 (3) ดัชนีประสิทธิผลของนักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.70 (4) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมืออยู่ในระดับมาก
คำสำคัญ: การเรียนรู้แบบร่วมมือ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ไฟฟ้าเคมี
Abstract
This research aimed to 1) enhance student learning outcomes in electrochemistry with cooperative learning activities using Student Teams Achievement Division (STAD), Teams-Game-Tournament (TGT), Learning Together (LT), and Jigsaw; 2) create the lesson plans of cooperative learning process based on the efficient standard 80/80; and 3) survey the students’ satisfaction towards cooperative learning activities. A one-group pretest-posttest experimental design was conducted. Forty six of 12-grade students at Lukhamhan warinchamrab school, Ubonratchathani were participated during the first semester of academic year 2009. The research tools consisted of lesson plan of cooperative learning approach, achievement test, and questionnaire. The collected data were analyzed by mean, mean percentage, effectiveness index, and t-test for dependent samples. The findings were as follows: (1) the efficiency of the learning activity was 80.98 /81.41, which was higher than the standard criterion; (2) the students’ achievement scores after learning with cooperative learning method was higher than those before learning with this method at the .05 significance level; (3) the average percentage of progression was about 53.70%; (4) most of students were fairly satisfied with this learning management.
Keywords: Cooperative Learning, Learning Outcomes, Electrochemistry
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4090
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 1 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c) 2010 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4091
2023-11-10T10:25:59Z
JSTEL:RES
nmb a2200000Iu 4500
"100630 2010 eng "
2651-074X
dc
การศึกษาสมบัติของเอนไซม์เพอร์ออกซิเดสบริสุทธิ์บางส่วนจากกะหล่ำปลี
แย้มด้วง, ชะอรทิพย์
ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพมหานคร 10110
คงวิทยา, สมบัติ
กรมวิทยาศาสตร์บริการ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กรุงเทพมหานคร 10400
พรพิสุทธิมาศ, สมเกียรติ
ภาควิชาชีววิทยา และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพมหานคร 10110
ละลอกน้ำ, สุรศักดิ์
ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป และหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กรุงเทพมหานคร 10110
Characterization of Partial Purified Peroxidase from Cabbage
Chaontip Yamduang, Sombat Kongwithtaya, Somkiat Phornphisutthimas and Surasak Laloknam
รับบทความ: 12 มีนาคม 2553; ยอมรับตีพิมพ์: 12 พฤษภาคม 2553
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคัดแยกแหล่งที่ให้เอนไซม์เพอร์ออกซิเดสจากผัก 10 ชนิด ได้แก่ มะเขือเทศ ผักกาดขาว แตงกวา บร็อกคอลี่ มะเขือเปาะ แครอท ผักบุ้ง ฟักทอง ถั่วฝักยาว และกะหล่ำปลี โดยการนำตัวอย่างสกัดเอนไซม์โดยใช้สารละลายบัฟเฟอร์ฟอสเฟต พีเอช 7.0 และติดตามแอคทิวิตีของเอนไซม์เพอร์ออกซิเดสด้วย 4-อะมิโนแอนทิไพรีน ฟีนอล และไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์ ทำการบ่มที่อุณหภูมิ 30oซ เป็นเวลา 10 นาที พบว่า สารสกัดหยาบจากกะหล่ำปลีให้แอคทิวิทีของเพอร์ออกซิเดสสูงสุดเท่ากับ 234.52 ยูนิตต่อมิลลิกรัมโปรตีน จากนั้นนำกะหล่ำปลีสกัดหยาบตกตะกอนด้วยเกลือแอมโมเนียมซัลเฟตที่ความเข้มข้นอิ่มตัวร้อยละ 0 – 20, 20 – 40, 40 – 60, 60 – 80, และ 80 – 100 ตามลำดับ พบว่า การตกตะกอนด้วยเกลือแอมโมเนียมซัลเฟตอิ่มตัวที่ความเข้มข้นร้อยละ 60 – 80 ให้แอคทิวิตีสูงสุดเท่ากับ 1432.65 ยูนิตต่อมิลลิกรัมโปรตีน จากนั้นใช้ความเข้มข้นของเกลือแอมโมเนียมซัลเฟตอิ่มตัวร้อยละ 20 – 80 ตกตะกอนเอนไซม์เพอร์ออกซิเดส พบว่า ให้ผลผลิตร้อยละ 58.50 และความบริสุทธิ์ 3.82 เท่า มีค่าความเป็นกรด-เบสและอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเร่งปฏิกิริยาเท่ากับ 7.0 และ 40oซ ตามลำดับ ค่าจลนศาสตร์ของเอนไซม์เพอร์ออกซิเดส Km และ Vmax เท่ากับ 125 mM and 17.2 umol.min-1.mg protein-1 ตามลำดับ
คำสำคัญ: เพอร์ออกซิเดส พืชผัก กะหล่ำปลี การตกตะกอนด้วยเกลือแอมโมเนียมซัลเฟต
Abstract
This research aimed to screen the peroxidase sources from ten vegetables, tomato, Chinese white cabbage, cucumber, broccoli, eggplant, carrot, morning glory, pumpkin, yard long bean, and cabbage. The samples were extracted by phosphate buffer, pH. 7.0. The extracts were measured the peroxidase activity using a mixture of 4-aminoantipyrine, phenol and hydrogen peroxide, and incubated at 30oC for 10 minutes. The result showed the crude extract from cabbage had the highest peroxidase activity, 234.52 units/mg protein. After precipitation with ammonium sulfate saturated at percentage ranges of 0 – 20, 20 – 40, 40 – 60, 60 – 80, and 80 – 100, the highest peroxidase activity, 1432.65 units/mg protein, was in a range of 60 – 80%. 20 – 80% of saturated ammonium sulfate was selected to precipitate peroxidase from the cabbage crude extract. The enzyme yield and purity were 58.50% and 3.82 folds, respectively. The optimum pH and temperature of peroxidase were 7 and 40oC, and peroxidase kinetics as Km and Vmax were 125 mM and 17.2 umol.min-1.mg protein-1, respectively.
Keywords: Peroxidase, Vegetable, Cabbage, Ammonium sulfate precipitation
หน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้
2013-11-04 00:00:00
application/pdf
http://ejournals.swu.ac.th/index.php/JSTEL/article/view/4091
วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning); Vol. 1 No. 1 (2553): JSTEL
eng
Copyright (c) 2010 วารสารหน่วยวิจัยวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ (Journal of Research Unit on Science, Technology and Environment for Learning)
oai:ojs.ejournals.swu.ac.th:article/4092
2022-09-13T13:33:33Z
JSTEL:RES
bb164e0a3c6ac0fd7bf82cb3f0d23f01